บัวลอยไข่หวาน ขนมไทยอร่อยดีสีสวย
อุดมด้วยคุณค่าจากธรรมชาติ
|
บัวลอยไข่หวาน |
เชื่อว่าเมื่อเอ่ยถึงบัวลอยไข่หวาน หลายคนคงแอบน้ำลายสอเพราะติดใจในรสชาติหวานละมุน กลมกล่อมและหอมเป็นเอกลักษณ์ แต่นอกจากจะหาที่อร่อยจริงๆ ได้ยากแล้ว สาวๆ และผู้รักสุขภาพทั้งหลายคงกังวลเรื่องน้ำหนักและคอเลสเตอรอลกันอยู่ไม่ได้
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าขนมไทยส่วนใหญ่นั้นใช้วัตถุดิบหลักคือแป้ง น้ำตาล และกะทิเป็นสำคัญ แต่หากสังเกตุให้ดียิ่งขึ้นไปอีก จะพบว่าจริงๆ แล้วขนมไทยนั้นนอกจากสื่อถึงภูมิปัญญาของปู่ย่าตายายในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าแล้ว คุณค่าของสารอาหารในขนมไทยเองก็มีไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็นขนมน้ำ ขนมหม้อ อย่างฟักทองแกงบวด กล้วยบวชชี ถั่วดำแกงบวด เต้าส่วน ลอดช่องน้ำกะทิแตงไทย ขนมใบตองอย่างขนมกล้วย ขนมแตง ขนมตาล ข้าวต้มมัด และอีกสารพัดเมนู ไม่เพียงแต่จะมีพืชพรรณธัญญาหารอย่างกล้วย ฟักทอง ถั่วดำ ถั่วเขียว แตงไทย เผือก มันต่างๆ ตัวน้ำกะทิเองก็เป็นไขมันพืชมากคุณประโยชน์ที่ชาวต่างชาตินั้นนิยมยกย่อง แต่คนไทยกลับกลัวเกรง
อย่างไรก็ตามน้ำตาลทรายและแป้งก็ยังเป็นศัตรูกับสุขภาพอยู่หากได้รับปริมาณมากจนเกินไป ดังนั้นการกินอาหารที่ดีที่สุดก็คือรับประทานแต่พอดี และหากเป็นไปได้เราก็ทำอาหารกินกันเองดีกว่า เพราะตัวเราเองย่อมรู้ว่าอาหารที่เราทำนั้นประกอบด้วยส่วนผสมอะไรบ้าง จะได้กินแบบยับยั้งชั่งใจ เพียงแต่ไม่ต้องยั้งเรื่องรสชาติ เพราะปรับรสได้ตามใจปากตัวเอง
ฝันเองก็ชอบกินขนมหวาน โดยเฉพาะขนมไทยนั้นชอบเป็นพิเศษ ชอบทุกอย่าง เว้นก็แต่ขนมตระกูลทองที่หวานจัดจนกินไม่ไหว บัวลอยไข่หวานก็เช่นกัน เป็นเมนูพิเศษที่ถ้าไม่อร่อยก็ไม่กินนะ เพราะไหนๆ จะอ้วนทั้งที อ้วนแบบมีสุขก่อนก็ยังดี แต่บัวลอยไข่หวานเจ้าอร่อยนั้นมีน้อยมาก จะมีบ้างก็ขายตอนค่ำ ซึ่งไม่ใช่เวลาที่น่าจัดของหนักท้องทั้งยังหนักแคลอรี่เสียอีก ซื้อไว้กินตอนเช้าก็เสียรสไปแล้ว แถมตอนนี้เลิกขายไปแล้วด้วย ที่มีใกล้บ้าน ก็ไม่ใช่รสที่ถูกปากถูกใจ ก็เลยลองทำดูบ้าง ลองผิดลองถูกอยู่นานจนได้แนวทางที่ตัวเองชอบ คือได้รสหวานมันเค็มแบบพอดี รสละมุน ไม่หวานแหลม ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำตาล ได้รสสัมผัสที่นุ่มหนึบอร่อยกว่าแป้งผสมสีเปล่าๆ แถมมีสีสันสวยงามน่ากิน แต่กินได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเพราะได้สีสวยมาจากธรรมชาติล้วนๆ หรือถ้าหากจะแต่งสีเสริมบ้างก็แค่เพียงเล็กน้อย ถ้าหากว่าสีที่ได้นั้นอ่อนเกินไป หรือหาสีที่อยากได้จากธรรมชาติไม่ได้ในตอนนั้น เช่นสีชมพู แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้สีจากธรรมชาติมากกว่า
|
บัวลอยหลากสี ต่างขนาดเพราะหลายมือทำ |
ขนมบัวลอยไข่หวานนั้นสูตรโบราณดั้งเดิมจะใช้เพียงน้ำตาลปี๊บ จะให้รสที่หวานละมุนกว่าใช้น้ำตาลทราย แต่ปัจจุปันมีการใช้น้ำตาลทรายแทนเพื่อให้กะทิยังคงมีสีขาวสวยน่ารับประทาน เรียกว่าบัวลอยกะทิสด แต่รสชาติจะหวานแหลมไม่ละมุนอย่างสูตรโบราณที่ใช้น้ำตาลปี๊บ สำหรับแป้งบัวลอยแต่เดิมจะใช้แป้งข้าวเหนียวเป็นหลักผสมกับแป้งข้าวเจ้าเล็กน้อย นวดด้วยน้ำอุ่นจัดจนเนียนมือ จึงนำมาปั้น แต่ปัจจุบันมีการเพิ่มรสชาติด้วยพืชหลายชนิดทำให้ได้รสสัมผัสที่นุ่มละมุนขึ้น ส่วนตัวแป้งบัวลอยเมื่อปั้นเสร็จแล้วก็ผึ่งให้แห้ง ไม่ต้องผสมแป้งนวล เพราะปั้นเสร็จก็โยนใส่น้ำกะทิที่ปรุงรสหวานนิดเค็มหน่อยไว้อยู่แล้ว พอแป้งสุกลอยขึ้น ก็ต่อยไข่ไก่ใส่ลงไป ประมาณ 4 นาทีก็สุกพอดีกิน ตักไข่ออกพักไว้ เวลาจัดเสิร์ฟก็ตักบัวลอยและไข่หวานใส่ถ้วย ราดด้วยหัวกะทิข้นๆ ที่คั้นแบบไม่ผสมน้ำเลย คนโบร่ำโบราณเค้าทำกินกันร้อนๆ จึงได้บัวลอยรสชาติหอมหวานอร่อย สำหรับเรานั้นแม้ว่าจะชอบวิถีการกินแบบโบราณ แต่ด้วยวิถีชีวิตแบบที่แตกต่าง จึงคิดว่าทำแบบประยุกต์นั้นจะเหมาะกับครอบครัวเรายิ่งกว่า เพราะลูกกลับจากโรงเรียนก็เวลาหนึ่ง พ่อบ้านกลับบ้านก็อีกเวลาหนึ่ง พ่อแม่สามีนึกอยากกินขึ้นมาก็อีกเวลาหนึ่ง ไม่ได้กินพร้อมหน้ากันอย่างคนโบร่ำโบราณ ผู้เขียนจึงต้องปรับให้สามารถรับประทานได้อร่อยทุกๆ เวลาค่ะ
|
วัตถุดิบหลักที่ทำให้แป้งบัวลอยอร่อยนุ่ม ไม่แข็ง แล้วยังได้ประโยชน์ |
มาดูสูตรแป้งบัวลอยกันนะคะ ทั้งนี้ต้องขอบคุณครัวบ้านพิมค่ะ เพราะฝันได้สูตรแป้งบัวลอยมาจากที่นี่ จากนั้นก็อาจจะมีปรับบ้างเล็กน้อยตามประสบการณ์และการทดลองทำหลายๆ ครั้งค่ะ ส่วนน้ำกะทิก็ปรับเอาจากหลายๆ สูตรที่ได้ลองอ่าน ลองทำดูค่ะ ต้องขอบคุณเจ้าของสูตรทุกสูตรเลยทั้งจากหนังสือ นิตยสารและผู้เผยแพร่สูตรทางอินเตอร์เน็ต ปกติน้ำกะทินั้นฝันไม่มีสูตรตายตัว อาศัยชิมรสชาติเอา มันกะทินำ หวานตาม เค็มปะแล่มๆ สักหน่อย ก็ใช้ได้แล้ว แต่วันนี้ก็ลองจดสูตรดูสักหน่อยค่ะ แต่เพราะทำปริมาณมากเพราะทำเลี้ยงงานบุญ สูตรที่ลงไว้จึงขอลดทอนจากสูตรที่ทำนะคะ
|
สีสวยจากธรรมชาติ คุณค่าทางโภชนาการสูง |
ใช้สีจากธรรมชาติตามนี้ค่ะ
- สีเขียวได้จากน้ำใบเตยคั้นข้นๆ
- สีน้ำเงิน สีครามได้จากน้ำดอกอัญชัน
- สีม่วง ได้จากน้ำดอกอัญชันผสมน้ำมะนาวหรือมันเทศสีม่วงนึ่งสุก
- สีส้ม ได้จากแครอทนึ่งสุก หรือมันเทศแครอทนึ่งสุก
- สีเหลืองได้จากฟักทองนึ่งสุก
- สีเหลืองอ่อนได้จากมันเทศสีเหลืองนึ่งสุก
- สีขาวนวลๆ ได้จากเผือกนึ่งสุก
|
แป้งบัวลอย สีสันจากธรรมชาติ |
สีอื่นๆ ที่อยากลอง แต่ฝันเองยังไม่ได้ลองเพราะยังหาวัตถุดิบไม่ได้คือสีชมพูค่ะ อาจได้จากหัวบีต (ใช้ปริมาณไม่มาก อาจผสมกับเผือกเพื่อลดความเข้มของสี หรือจะใช้ทั้งหมดสำหรับสีสดๆ), ดอกเฟื่องฟ้า, ดอกกุหลาบ, ดอกเข็ม เป็นต้น
ถ้าหากอยากได้สีที่ต่างไปจากสีธรรมชาติ แต่ยังอยากได้รสชาติแบบธรรมชาติ แนะนำให้ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติในการผสมกับแป้งตามเดิม โดยใช้สีที่ใกล้เคียงหรือสีที่อ่อนกว่าสีที่ต้องการ เช่น อยากได้สีชมพู แต่ไม่มี ก็ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเช่นมันฝรั่งนึ่งสุกบด หรือเผือกนึ่งบด เพราะให้สีออกขาวหรือครีมซึ่งจะไม่ตีกับสีชมพู แล้วก็ใช้สีผสมอาหารผสมไปในปริมาณเล็กน้อย อยากได้สีเขียวก็ทำได้ด้วยการใช้วัตถุดิบที่มีสีออกเขียวหรือสีเหลืองอ่อน เช่นเปลือกฟักทองญี่ปุ่น หรือมันฝรั่งนึ่งบดผสมกับสีผสมอาหารสีเขียวหรือสีเขียวจากน้ำใบเตยก็ได้
|
แป้งบัวลอยที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ผสมสีเพียงเล็กน้อย (เฉพาะสีชมพู และสีเขียวมิ้นต์) |
สัดส่วนแป้งและเผือกหรือมัน ดังนี้ค่ะ
แป้งข้าวเหนียว 100 กรัม
แป้งมัน 10 กรัม (หรือสัก 1 ช้อนแกง ไม่พูนค่ะ)
ของนึ่ง เช่น เผือกนึ่ง ฟักทองนึ่ง มันเทศนึ่ง แครอทนึ่ง 150 กรัม สำหรับมันฝรั่งนึ่งใช้ 100 กรัม และไม่ต้องใส่แป้งมัน (ชอบสูตรนี้ตรงนี้ค่ะ วัตถุดิบเหล่านี้มากกว่าแป้งเสียอีก)
น้ำเปล่า 0 7 ช้อนโต๊ะ*
|
ตัวอย่างการผสมสี และนวดแป้งสำหรับปั้นบัวลอย |
- ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน นวดจนเนียน นุ่มไม่ติดมือ
- จากนั้นก็ปั้นแป้งเป็นลูกกลมๆ ขนาดประมาณสาคูเม็ดโต วางผึ่งไว้ให้แห้ง ถ้าหากจะทำกินทันที แต่หากจะปั้นเก็บไว้ก็ไม่ต้องผึ่งแป้ง แต่ให้โรยแป้งนวลไว้กันแป้งติดกันด้วย
- หากจะเก็บไว้ทำวันหลัง ก็ใส่ถุงมัดปากไว้ เก็บไว้ได้นาน 2-3 วัน หรือเก็บใส่ช่องแข็งไว้ได้นานหลายเดือน เมื่อจะใช้ก็นำมาวางไว้ในช่องธรรมดาสัก 1 คืน หรือ 1วัน
*น้ำเปล่าทยอยใส่นะคะ วัตถุดิบบางอย่างอาจไม่ต้องใส่น้ำเลย เช่นฟักทอง แครอท เมื่อนึ่งแล้วจะมีน้ำมาก ทดลองผสมเข้ากันก่อน ถ้าแห้งไปจึงค่อยๆ เติมน้ำค่ะ แป้งจะได้ไม่แฉะจนเกินไป แต่หากว่าผสมแล้วแป้งแฉะ ก็ค่อยๆ ใส่แป้งข้าวเหนียวเพิ่มได้
|
ฟักทองญี่ปุ่น เนื้อสีเหลืองทำแป้งสีเหลือง เปลือกสีเขียวทำแป้งสีเขียวได้อีก |
สำหรับสีเขียวจากใบเตยหรือสีม่วง สีน้ำเงินจากอัญชันนั้น จะผสมกับแป้งแทนน้ำเปล่าเลยก็ได้ แต่ฝันว่ารสสัมผัสนั้นจะสู้แบบผสมมันหรือเผือกไม่ได้ สีม่วงหรือสีฟ้า แนะนำให้ผสมกับเผือกนึ่งค่ะ หรือถ้ามีมันเทศสีม่วง ก็ใช้แทนได้เลย ไม่ต้องผสมสีเพิ่ม เพราะสีที่ได้จากมันเทศสีม่วงนั้นเข้มมากอยู่แล้ว ส่วนสีเขียวอาจจะใช้เผือกซึ่งมีสีอ่อน หรือใช้วัตถุดิบที่มีสีเหลืองอ่อนๆ อย่างมันเทศสีเหลืองอ่อนๆ หรือมันฝรั่งก็ได้ค่ะ แต่ที่แนะนำเลยก็คือเปลือกฟักทองญี่ปุ่นค่ะ ใช้เนื้อสีเหลืองๆ ทำเป็นแป้งบัวลอยสีเหลืองแล้วเปลือกก็อย่าทิ้ง นึ่งไปพร้อมกันนั่นแหละค่ะ นำมาผสมกับน้ำใบเตย ได้สีเขียวสวยแล้วก็ยังได้รสอร่อยจากเปลือกฟักทองญี่ปุ่นด้วย
|
แป้งปั้นบัวลอยหลากสี คลุกแป้งนวลเพื่อไม่ให้ติดกัน |
มาปั้นแป้งบัวลอยกันก่อนนะคะ ฝันทดลองปั้นแป้งบัวลอยแบบข้าวเหนียวล้วนๆ แล้ว ลองแบบผสมแป้งมันเล็กน้อยแล้ว แต่ยังไม่เคยลองแบบผสมแป้งข้าวเจ้านิดหน่อยดูเลยค่ะ เลยไม่รู้ว่าแบบไหนจะอร่อยกว่า เคยอ่านในอินเตอร์เน็ตเห็นบางท่านว่าใช้แป้งข้าวเหนียวล้วนนั้นอร่อยกว่าผสมแป้งมัน ฝันก็ลองดูทั้งสองแบบแล้วนะคะ แบบผสมแป้งมันเล็กน้อยนั้นปั้นง่ายกว่า ส่วนรสชาตินั้น ยังไม่เห็นความแตกต่างค่ะ แต่ที่เห็นชัดคือ แป้งข้าวเหนียวที่ผสมสีอย่างเดียว ไม่ว่าจะสีผสมอาหาร หรือสีจากธรรมชาติอย่างดอกอัญชันหรือใบเตย กับแป้งข้าวเหนียวที่ผสมส่วนผสมจากธรรมชาติเช่นฟักทอง เผือก มันนั้นรสชาติต่างกันมากค่ะ แบบหลังอร่อยกว่ามากมายเพราะนุ่มลิ้นกว่า มีคุณค่ามากกว่าด้วย แถมปั้นง่ายกว่าด้วยนะคะ เพราะแป้งจะไม่ร่วนเหมือนแป้งข้าวเหนียวล้วน (คิดว่าถ้าใช้แป้งข้าวเหนียวล้วนต้องผสมน้ำอุ่นจัดถึงจะปั้นง่าย แต่ไม่แน่ใจว่ารสชาติจะดีขึ้นไหม แต่ว่าติดไว้ก่อนนะคะ คราวหน้าต้องลองแน่ๆ ค่ะ)
เอาเป็นว่าสำหรับวันนี้เราใช้แป้งบัวลอยสูตรนี้ไปก่อนละกัน
|
แป้งบัวลอยพร้อมปั้น |
|
แป้งบัวลอยปั้นเสร็จแล้วเก็บใส่ถุงแช่ตู้เย็น หรือแช่แข็งเก็บไว้ใช้ได้นาน |
เนื่องจากข้อมูลยาวเกินไป ขอต่อวิธีการทำไข่หวาน และน้ำกะทิบัวลอยในตอนต่อไปนะคะ
บัวลอยไข่หวาน กินอย่างไรให้อร่อยได้ประโยชน์ (2) - การทำไข่หวาน น้ำกะทิบัวลอย
มาอัพบล็อกช่วงเทศกาลกินเจจะผิดไหม แต่เมนูนี้ตัดไข่หวานไปก็เป็นเจได้แล้วนะคะ
ขออภัย...ยังไม่มีเวลาทำลายน้ำรูปใหม่ ขอก๊อปมาจากอีกบล็อกของตัวเองก่อนนะคะ