ผลกระทบการเปิดการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น
งานวิทยานิพนธ์เรื่อง"การเปิดเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่นที่มีผลกระทบต่อปัจจัยการวางแผนการจัดการของผู้แทนจัดจำหน่ายในอุตสาหกรรมเหล็ก วัตถุประสงค์ของการศึกษา เพื่อศึกษาการคาดการณ์ความได้เปรียบเชิงการแข่งขันจากผลกระทบการเปิดเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งได้มีการเซ็นข้อตกลงใน เดือนเมษายน 2550 และมีผลบังคับตั้งแต่ 1 พ.ย. 2550 เป็นต้นไป ที่มีต่อผู้แทนการจัดจำหน่ายเหล็ก รวมทั้งทำการศึกษาปัจจัยที่ใช้ในการวางแผนการจัดการ ของผู้แทนจัดจำหน่ายในอุตสาหกรรมเหล็กที่ได้รับผลกระทบ และปัจจัยในการวางแผนการจัดการที่ส่งผลว่าควรมีการวางแผนการจัดการและการนำแผนการจัดการไปปฏิบัติ จากการศึกษาพบว่า การคาดการณ์ความได้เปรียบเชิงการแข่งขันของผู้ประกอบการจัดจำหน่ายเหล็ก จะเห็นว่าผู้ประกอบการคาดการณ์ว่ามีผลกระทบแน่นอน โดยเฉพาะผลการะทบต่อประเภทการจัดจำหน่ายเหล็กแผ่นรีดร้อนรีดเย็น และมีอายุการดำเนินการมายาวนานคือ มากกว่า 15 ปี ในด้านราคาต้นทุนสินค้า ความสามารถในการทำกำไร และความพึงพอใจในคุณภาพของสินค้า ซึ่งนับว่าเป็นข้อสำคัญของความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน สาเหตุอาจจะเป็นเพราะ ตามข้อตกลงของการเปิดการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น มีการให้สิทธิทางภาษีศุลกากรกับเหล็กแผ่นรีดร้อนรีดเย็น ที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ทางญี่ปุ่นมีการลงทุนโดยตรงกับประเทศไทย อีกประการหนึ่งเหล็กแผ่นรีดร้อนรีดเย็นเป็นเหล็กที่อุตสาหกรรมต่อเนื่องมากมาย สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มาก จึงเป็นที่น่าสนใจของญี่ปุ่น จะเห็นว่าเมื่อมีการเสียเปรียบเชิงการแข่งขันมาก จะทำให้สินค้าคงคลังเหลือมากในส่วนที่ผู้บริโภคไม่ต้องการ และขาดตลาดในส่วนที่ผู้บริโภคต้องการใช้ ความสามารถในการทำกำไรก็ลดลง อุตสาหกรรมเหล็กก็จะได้รับความเสียหาย
ส่วนผู้ประกอบการที่มีเงินลงทุนสูงมีความเห็นว่าไม่มีผลกระทบเท่าไหร่ เพราะสินค้าเหล็กเป็นสินค้าที่มีความอ่อนไหวด้านราคา ผลกำไรจากเหล็กมักจะเป็นผลจากการเก็บสินค้าและเก็งกำไร ในแต่ละภาวะขึ้นลงของราคา ถ้าการเงินไม่มีปัญหาก็สามารถเก็บทำกำไรได้ ส่วนประเภทการจำหน่ายเหล็กลวดมีการคาดการณ์ว่าได้รับผลกระทบจากด้านความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับมากเป็นสิ่งที่น่าสนใจในการหาคำตอบในการวิจัยต่อไปในอนาคต ด้านผู้ประกอบการจำหน่ายเหล็กเส้น และเหล็กรูปพรรณ ได้รับผลกระทบจากการเปิดเขตการค้าเสรีน้อยมาก ในบางด้านอาจจะได้เปรียบเล็กน้อย ทั้งนี้อาจจะเป็นเหล็กเส้น และรูปพรรณที่ใช้ในงานก่อสร้างไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มาก และใช้เทคโนโลยีในการผลิตต่ำ มีการแข่งขันกันสูง จึงไม่เป็นที่สนใจของนักธุรกิจญี่ปุ่น จึงไม่มีในข้อตกลงหรือมีน้อยมากในการเปิดเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น ด้านการวางแผนการจัดการที่มีผลมาจากผลกระทบการเปิดเขตการค้าเสรี พบว่าโดยภาพรวมมีการวางแผนน้อยถึงปานกลาง โดยปัจจัยที่เป็นผลกระทบที่ทำให้เกิดการวางแผนคือ ความสามารถในการทำกำไรลดลง หรืออาจกล่าวได้ว่าถ้ากำไรไม่ลดลงก็จะไม่มีการวางแผน น่าเสียดายการวางแผนเป็นการวางแผนก่อให้เกิดความสามารถในการทำกำไร แทนที่จะเป็นการพัฒนาศักยภาพการทำธุรกิจ เครื่องมือที่ต้องการใช้ในการวางแผนการจัดการอีกมากคือ ด้านการริเริ่มของผู้นำ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านความรู้ความสามารถในการวางแผน เพราะจากการวิเคราะห์พบว่ามีศักยภาพไม่เพียงพอโดยอยู่ในระดับปานกลาง ด้านการนำแผนไปปฏิบัติพบว่า ควรมีการวางแผนการจัดการอย่างมาก แต่ทั้งนี้จะได้ผลตามวัตถุประสงค์หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้นำองค์กร แต่อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามหมายถึง การที่ผู้นำให้นโยบายในการวางแผนการจัดการเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องมอบอำนาจในการทำงานเป็นของผู้บริหาร ไม่ควรที่จะลงไปในรายละเอียด เพราะผู้นำจะกลายเป็นผู้ตาม บทบาทของผู้นำต้องขัดเจนหากไม่ชัดเจน จะทำให้ผู้ปฏิบัติไม่สามารถใช้อำนาจได้
Create Date : 27 พฤศจิกายน 2550 | | |
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2550 10:29:16 น. |
Counter : 734 Pageviews. |
| |
|
|
|