Group Blog
 
All blogs
 
[Diet] The Fast-5 Diet

ที่มา : [บทความ] แนะนำวิธีลดและควบคุมน้ำหนักทางเลือกใหม่ The Fast-5 Diet โดย คุณ เอ

------------------------------------------------------------------

The Fast-5 Diet




ฟาสต์ไฟว์ (The Fast-5 Diet) และวิถีชีวิตแบบฟาสต์ไฟว์ (The Fast-5 Lifestyle) คือวิธีการลดและควบคุมน้ำหนักทางเลือกใหม่ที่ทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก ฟาสต์ไฟว์ใช้หลักการพื้นฐานเดียวกับ Atkins และ South Beach คือ ควบคุมระดับฮอร์โมนอินซูลินเพื่อให้ร่างกายนำไขมันที่เก็บสะสมไว้ไปเผาผลาญใช้เป็นพลังงานหลักในการดำรงชีวิตประจำวัน แต่ต่างกันที่ฟาสต์ไฟว์ไม่ใช้วิธีจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตแบบรุนแรง แต่ใช้วิธีที่ง่ายกว่าโดยการขยายช่วงเวลาการอดอาหารประจำวันของเราออกไปแทน วิธีปฏิบัติของฟาสต์ไฟว์นั้นง่ายมาก ง่ายจนคุณสามาถทำได้ไปตลอดชีวิตเพื่อการควบคุมน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพ ฟาสต์ไฟว์ไม่มีการจำกัดปริมาณและประเภทของอาหาร คุณสามารถกินอะไรก็ได้ที่ต้องการจนอิ่มเต็มที่ ไม่มีการนับแคลอรี ไม่มีการชั่งตวงวัดปริมาณอาหาร ไม่มีการใช้ยา ไม่ต้องเสียเงินค่าสมาชิก ไม่ต้องซื้ออาหารเสริม ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างหักโหม

แนวคิดของฟาสต์ไฟว์มาจากหลักการพื้นฐานง่ายๆ นั่นก็คือ หากเราต้องการให้เซลล์ไขมันปลดปล่อยไขมันที่เก็บสะสมไว้เพื่อให้ร่างกายนำไปเผาผลาญใช้เป็นพลังงาน เราก็จำเป็นต้องปิดสัญญาณพื้นฐานที่บอกให้เซลล์ไขมันเก็บสะสมไขมัน สัญญาณที่ว่านั้นก็คือฮอร์โมนอินซูลินนั่นเอง วิธีการลดและควบคุมน้ำหนักอย่าง Atkins และ South Beach ลดระดับอินซูลินโดยการจำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหารอย่างรุนแรง แต่ฟาสต์ไฟว์ทำได้โดยการขยายช่วงเวลาการอดอาหารประจำวันออกไปด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพ ทำได้ง่ายและสะดวกอย่างไม่น่าเชื่อ ฟาสต์ไฟว์แก้ไขที่ต้นตอของปัญหาอย่างแท้จริง นั่นก็คือ การช่วยฟื้นฟูและนำระบบพลังงานสมดุลย์ตามธรรมชาติของร่างกายกลับมาใช้ใหม่ ทำให้กลไกการเผาผลาญไขมันของร่างกายเพื่อนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานหลักได้ทำงานและยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง

วิธีปฏิบัติ

เรื่องใหญ่เรื่องเดียวที่ฟาสต์ไฟว์ขอให้คุณทำก็คือ ให้ขยายช่วงเวลาการอดอาหารประจำวันออกไปเป็นเวลา 19 ชั่วโมง คุณอย่าเพิ่งตกใจเมื่อเห็นคำว่าต้องอดอาหารเป็นเวลานานถึง 19 ชั่วโมง เพราะโดยปกติคนเราจะมีช่วงเวลาการอดอาหารประจำวันกันทุกคนอยู่แล้ว ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นช่วงเวลากลางคืน โดยเริ่มนับตั้งแต่เวลาที่อาหารเย็นที่มีแคลอรีคำสุดท้ายตกถึงท้อง บวกกับเวลาที่นอนหลับ และไปสิ้นสุดเมื่อเวลาที่อาหารเช้าที่มีแคลอรีคำแรกตกถึงท้องในเช้าวันรุ่งขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคุณกินอาหารเย็นที่มีแคลอรีคำสุดท้ายตอน 1 ทุ่ม แล้วหลังจากนั้นคุณก็ไม่ได้กินอาหารที่มีแคลอรีอีกเลยจนเข้านอน (ยกเว้นน้ำเปล่าและเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรี) และเมื่อตื่นนอนในเช้าวันรุ่งขึ้น คุณกินอาหารเช้าที่มีแคลอรีคำแรกตอน 7 โมงเช้า รวมช่วงเวลาการอดอาหารประจำวันได้ 12 ชั่วโมง ฟาสต์ไฟว์ขอให้คุณขยายช่วงเวลาการอดอาหารดังกล่าวออกไปเป็น 19 ชั่วโมง ซึ่งก็หมายความว่า คุณจะสามารถกินอาหารเช้าที่มีแคลอรีคำแรกได้ตอนบ่าย 2 โมงของวันรุ่งขึ้น โดยช่วงเวลาการอดอาหาร 19 ชั่วโมงนี้ยาวนานเพียงพอที่จะทำให้กลไกการเผาผลาญไขมันของร่างกายเพื่อนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานหลักในการดำรงชีวิตประจำวันได้ทำงานและยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันช่วงเวลา 19 โมงนี้ก็ไม่ยาวนานเกินไปจนเข้าขั้นสุดโต่ง

เมื่อนำเอาหลักการที่กล่าวไปมาสร้างเป็นตารางเวลาที่แน่นอนเพื่อให้ง่ายต่อการปฏิบัติ เราก็จะได้สูตรฟาสต์ไฟว์ที่ทำได้ง่าย 2 ข้อดังนี้

1. ใน 1 วันที่มี 24 ชั่วโมง ให้คุณกินอาหารได้แค่ช่วงเวลาเดียวเท่านั้น เริ่มตั้งแต่ 5 โมงเย็นจนถึง 4 ทุ่ม เป็นเวลา 5 ชั่วโมง
2. อีก 19 ชั่วโมงที่เหลือ เริ่มตั้งแต่ 4 ทุ่มของวันนี้จนถึง 5 โมงเย็นของวันพรุ่งนี้ ให้คุณงดอาหารทุกชนิดโดยเด็ดขาด ดื่มได้แค่เฉพาะน้ำเปล่าและเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรีเช่น ชา กาแฟดำ เท่านั้น


ถามว่าทำไมต้องกินอาหารเฉพาะตอน 5 โมงเย็นจนถึง 4 ทุ่ม คำตอบคือ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษในช่วง 5 ชั่วโมงนี้ แต่เนื่องจากเวลาตั้งแต่ 5 โมงเย็นจนถึง 4 ทุ่มเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่เลิกงาน เลิกเรียน หมดสิ้นจากภาระหน้าที่การงานประจำวัน ดังนั้นนี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีในการกินอาหาร การพักผ่อนกับครอบครัวและเพื่อนฝูง แต่สิ่งสำคัญที่สุดของฟาสต์ไฟว์ก็คือ ช่วงเวลาการอดอาหาร 19 ชั่วโมงที่คุณต้องอดจริงๆ ห้ามกินอาหารที่มีแคลอรีอย่างเด็ดขาด จึงจะได้ผล

อนึ่ง เมื่อพูดถึงการอดอาหาร (Fasting) เราก็มักจะคิดไปถึงการทรมานตนและความสุดโต่งรุนแรง แต่การอดอาหารแบบฟาสต์ไฟว์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการทรมานตนและความสุดโต่งรุนแรง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความเชื่อในเรื่องศาสนาและจิตวิญญาณ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิธีลดน้ำหนักที่เน้นให้อดแต่อาหาร (Starvation Diet) เพราะเมื่อถึงเวลากิน คุณก็สามารถกินอาหารได้จนอิ่มเต็มที่ แต่หากการอดอาหารแบบฟาสต์ไฟว์มีพื้นฐานมาจากผลการทดลองของวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ในเรื่อง Calorie Restriction (CR) และ Intermittent Fasting (IF) และความรู้ทางด้านมานุษยวิทยา เมื่อร่างกายคุณเริ่มปรับตัวได้และกลไกการเผาผลาญไขมันของร่างกาย (Fat-Burning Machinery) เริ่มทำงานและยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของคุณจะได้รับพลังงานจากไขมันอย่างสม่ำเสมอ ช่วยบรรเทาความรู้สึกหิวให้น้อยลงๆ จนปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตแบบฟาสต์ไฟว์ได้อย่างสมบูรณ์ในที่สุด

เมื่อคุณใช้วิธีอดอาหารแบบฟาสต์ไฟว์เป็นเวลา 19 ชั่วโมงแล้ว คุณจะไม่มีคำถามว่า คุณควรจะกินอาหารอะไรและในปริมาณเท่าใดในช่วงอด คุณไม่ต้องใช้การตัดสินใจแบบวินาทีต่อวินาทีในการกะเพื่อจำกัดปริมาณอาหารที่จะกิน คุณไม่ต้องรู้สึกผิดเมื่อคุณคิดว่าคุณกินมากไป เพราะเมื่อคุณจำกัดแคลอรีอยู่ที่ “ศูนย์” ในการอดแบบฟาสต์ไฟว์แล้ว คุณไม่ต้องตัดสินใจว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุดกินเพราะคุณยังไม่ได้เริ่มกิน คุณไม่ต้องตัดสินว่า กินเท่าไหร่คือปริมาณน้อย กินเท่าไหร่คือพอดี กินเท่าไหร่คือมากเกินไป เพราะคุณยังไม่ได้กิน การจำกัดแคลอรีอยู่ที่ “ศูนย์” ช่วยให้คุณสามารถเข้าควบคุมพฤติกรรมการกินของตัวคุณเองในช่วงอดได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์

สำหรับการออกกำลังกาย ฟาสต์ไฟว์แนะนำให้ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยเพื่อเร่งการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ช่วยรักษาและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ แต่สำหรับคนที่ไม่สะดวกที่จะออกกำลังกาย เช่นคนที่น้ำหนักเกินมากๆ ที่ไม่เคยออกกำลังกายเลยก็ยังไม่จำเป็นต้องทำในช่วงแรก แต่ให้ค่อยๆ เริ่มออกกำลังกายเบาๆ เช่นการเดินเร็ว และค่อยๆ พัฒนาไปสู่การออกกำลังกายแบบอื่นๆ ที่เข้มข้นขึ้นเมื่อน้ำหนักเริ่มลดและร่างกายแข็งแรงขึ้น



ประวัติของฟาสต์ไฟว์

ฟาสต์ไฟว์ถูกคิดค้นโดย นายแพทย์ Bert Herring (M.D.) ชาวสหรัฐอเมริกา เขาค้นพบและใช้เทคนิคนี้กับตัวเองในปี 1995 ทำให้สามารถลดน้ำหนักได้ 20 ปอนด์ แต่หลังจากที่เขาก็กลับไปกินอาหารตามแบบวิถีชีวิตชาวอเมริกันทั่วไป ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น 20 ปอนด์เท่าเดิม จากนั้นในอีก 10 ปีต่อมา คือในปี 2005 เขาก็ได้ใช้เทคนิคนี้กับตัวเองอีกครั้งและสามารถลดน้ำหนักได้ 20 ปอนด์ภายใน 20 สัปดาห์ และจากจุดนี้เอง คุณหมอ Bert Herring ได้เริ่มศึกษากลไกลการทำงานที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเทคนิคนี้อย่างจริงจัง ซึ่งเมื่อศึกษาและรู้ว่าเทคนิคนี้คงจะสามารถใช้ได้กับคนอื่นๆ เช่นกัน เขาก็ได้ตั้งชื่อเทคนิคนี้ว่า ฟาสต์ไฟว์ (The Fast-5 Diet) และเขียนหนังสือชื่อ The Fast-5 Diet and the Fast-5 Lifestyle และเริ่มเผยแพร่ให้กับสาธารณชนนับแต่นั้นเป็นต้นมา


..................................................................................................

ทั้งหมดนี้ได้เรียบเรียงและเขียนขึ้นมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองที่ลองใช้ฟาสต์ไฟว์มาได้ 4 เดือนกว่าแล้วนะครับ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้อ้วนและไม่เคยอ้วน เพียงแต่มีไขมันส่วนเกินอยู่ตามรอบเอวหน้าท้องบ้าง ถึงแม้จะออกกำลังกายยังไงก็เอาเจ้าไขมันพวกนี้ออกไม่หมดอย่างที่ต้องการ แต่หลังจากใช้ฟาสต์ไฟว์ได้ประมาณ 3 เดือน น้ำหนักผมลดลงไปเกือบ 4 กิโล คิดว่าส่วนใหญ่มันก็คือไขมันส่วนเกินที่อยู่ตามหน้าท้องและรอบเอวนั่นเอง เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆปีที่ผมสามารถเห็นกล้ามหน้าท้อง (ซิกแพ็ค) ของตัวเองได้อย่างชัดเจน

ตอนนี้ผมสามารถเล่นเวทเทนนิ่งจนสามารถเพิ่มน้ำหนักที่เป็น lean muscle ไ้ด้เกือบ 3 กิโลแล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะจากความรู้ของศาสตร์ด้านการเพาะกายที่ผมเคยใช้มาตลอด เช่น อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญของวัน ร่างกายของคนทั่วไปสามาถดูดซึมโปรตีนได้ไม่เกินมื้อละ 25-30 กรัม ต้องแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ 6-8 มื้อต่อวันเพื่อไม่ให้แคลอรีส่วนเกินสะสมเป็นไขมัน ห้ามกินอาหารมื้อเย็นมากเกินไปเพราะเหลือสะสมเป็นไขมัน ฯลฯ อะไรต่างๆเหล่านี้เหมือนจะใช้ไม่ได้เลยกับแนวทางของฟาสต์ไฟว์ เพราะผมเล่นอดอาหารแบบฟาสต์ไฟว์ทั้งวันตั้งแต่ประมาณ 3-4 ทุ่มของวันนี้ จนไปถึงประมาณ 6 โมงเย็นหรือ 1 ทุ่มของวันพรุ่งนี้ ผมกินแค่กาแฟดำและน้ำเปล่า ผมออกกำลังกายตอน 5 โมงเย็นโดยที่ไม่รู้สึกเพลียหรือหมดแรงจากการอดอาหาร หลังจากนั้นผมก็กินอาหารมื้อใหญ่มื้อเดียวของวัน โดยกินเข้าไปทีเดียวประมาณ 1,500 - 2,500 กิโลแคลอรี กินโปรตีนประมาณ 80-100 กรัมในมื้อเดีียว แล้วอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เข้านอน แต่น้ำหนักผมกลับลดลง สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินจอมดื้อออกไปได้ และออกกำลังกายจนสามารถเพิ่ม lean muscle ได้เกือบ 3 กิโล

ตอนนี้ผมปรับตัวได้แล้ว ไม่รู้สึกหิวอย่างรุนแรงในระหว่างวันอีกเลย ผมรู้สึกเป็นอิสระ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องขวนขวายหาอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากินตอนที่อยู่นอกบ้าน ที่ทำงาน (เพราะมันหากินยาก) พอถึงเย็นผมก็สามารถกินอาหารได้มากเท่าที่ต้องการโดยไม่ต้องกำจัด ไม่ต้องทนแบกรับความรู้สึกผิดถ้าเผลอกินเยอะอีกต่อไป รู้สึกว่าได้ผ่อนคลายจากการทำงานมาทั้งวันอย่างแท้จริง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ


ถ้าพี่ๆ น้องๆ คนไหนสนใจฟาสต์ไฟว์ ก็ขอให้ดาวน์โหลดหนังสือ The Fast-5 Diet and the Fast-5 Lifestyle (ไฟล์ pdf) ไปศึกษา ดาวน์โหลดได้ฟรีครับ เมื่อโหลดไปแล้วก็ขอให้อ่านและศึกษาอย่างจริงจัง เพราะผมชื่อว่า หลายๆคนคงจะรู้สึกต่อต้าน รู้สึกสงสัย รู้สึกไม่ดี เพราะวิธีของฟาสต์ไฟว์นั้นแปลกประหลาด เป็นปฏิปักษ์ ์และสวนทางกับความรู้ ความเชื่อ เดิมๆ เกี่ยวกับการกินอาหารและการลดน้ำหนักที่พวกเรารู้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นขอให้อ่านและศึกษาอย่างจริงจัง ผมคิดว่าคำตอบของคำถามส่วนใหญ่มีอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว

ดาวน์โหลดหนังสือได้ที่นี่ ทุกอย่างฟรี://www.fast-5.com

ผมว่าสิ่งที่ยากที่สุดเกี่ยวกับฟาสต์ไฟว์ก็คือ เราจำเป็นต้องทำลายความเชื่อที่ว่า เราต้องกินอาหารวันละ 3 มื้อตามตารางเวลาที่แน่นอนที่เราถูกสอนให้เชื่อแบบฝังหัวกันมาตั้งแต่เกิดเสียก่อน อีกอย่างคือ ความกดดันจากผู้คนรอบข้าง คุณต้องหาทางตอบคำถามจากครอบครัว เพื่อนฝูงให้ได้ว่า ทำไมคุณถึงไม่กินอาหารเช้า ทำไมไม่กินอาหารกลางวัน ทำไมสวาปามอาหารเย็นเยอะจัง ไม่กลัวอ้วนเหรอ ฯลฯ คุณต้องพยายามบังคับตัวเองไม่ให้เผลอกินอาหารในระหว่างวันตามแรงชักชวนจากครอบครัวและเพื่อนฝูง


จริงๆแล้วยังมีรายละเอียดอีกมากที่ผมอยากจะเขีัยนเกี่ยวกับฟาสต์ไฟว์ แต่ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน ถ้าหากใครมีข้อสงสัยก็ถามได้นะครับ หวังว่าหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มนี้อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับชีวิตของใครหลายๆคน โดยเฉพาะคนที่อ้วน แต่มีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง มีความตั้งใจจริงที่จะลดน้ำหนักให้ได้

หมายเหตุ: ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้คนเขียนจะเป็นแพทย์ แต่เนื้อหาในหนังสือไม่ถือว่าเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ แต่ขอให้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับวิจารณญาณส่วนตัวของผู้อ่านแต่ละคน



รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติของฟาสต์ไฟว์

1. ใน 1 วันที่มี 24 ชั่วโมง ให้คุณกินอาหารได้แค่ช่วงเวลาเดียวเท่านั้น เริ่มตั้งแต่ 5 โมงเย็นจนถึง 4 ทุ่ม เป็นเวลา 5 ชั่วโมง โดยภายใน 5 ชั่วโมงนี้คุณสามารถกินอะไรก็ได้ที่ต้องการ ไม่มีการจำกัดประเภทของอาหาร กินได้มากจนอิ่มเต็มที่ ไม่ต้องนับแคลอรี ไม่ต้องชั่งตวงวัดปริมาณของอาหารใดๆ ทั้งสิ้น

ประโยคที่ว่า “สามารถกินอะไรก็ได้ที่ต้องการ” นั้นหมายถึง คุณสามารถกินแต่อาหารขยะของโปรดที่ไม่ค่อยมีคุณค่าทางอาหารเช่น ไอศกรีม เค้ก คุกกี้ พาย พิซซ่า ขนมขบเคี้ยว อาหารฟาสต์ฟู๊ด อาหารที่มีไขมันสูง มีแป้งขัดขาวมาก มีน้ำตาลมาก ฯลฯ ได้ในปริมาณมากๆ ทุกวันใช่หรือไม่ คำตอบคือ “ไม่ใช่” เพราะทุกอย่างควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสมดุลย์ หากคุณกินแต่อาหารขยะที่ไม่ค่อยมีคุณค่าทางอาหารในปริมาณมากๆ เป็นอาหารหลักทุกวัน คุณก็คงจะเดาผลลัพธ์แย่ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้เลย เพราะนอกจากน้ำหนักส่วนเกินไปลดได้ช้าหรืออาจจะไม่ลดเลยแล้ว สุขภาพโดยรวมของคุณก็จะแย่ตามไปด้วย ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำคือ เปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารเสียใหม่ โดยให้ความสำคัญกับอาหารที่ดีมีประโยชน์กับร่างกายก่อนเป็นอันดับแรก ก็ในเมื่อคุณกินอาหารได้แค่ช่วงเวลาเดียวในหนึ่งวันเท่านั้น ดังนั้นคุณจึงจำเป็นต้องสรรหาสิ่งที่มีคุณค่าทางอาหารมากที่สุดเท่าที่คุณจะหาได้ กินให้อิ่มเต็มที่ กินให้มากเท่าที่อยากกิน เพื่อนำมาหล่อเลี้ยงชีวิตและบำรุงร่างกายของคุณ เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบที่มีต่อชีวิตของคุณเอง ไม่มีใครช่วยคุณได้

แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิต การได้กินของโปรดที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นอาหารขยะหรือขนมที่ไม่ค่อยมีคุณค่าทางอาหารในตอนเย็นกับครอบครัวและเพื่อนฝูงก็เป็นความสุข เป็นรางวัลของชีวิตจากการทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ซึ่งหากอยากกินจริงๆ คุณก็สามารถกินอาหารขยะได้ที่ชอบได้ แต่คุณต้องจัดลำดับความสำคัญให้เป็น โดยให้กินอาหารหลักซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ให้ได้ประมาณ 90%-95% ของปริมาณอาหารทั้งหมดที่กินในช่วง 5 ชั่วโมงก่อน จากนั้นที่เหลืออีก 10%-5% ก็ค่อยเป็นอาหารขยะของโปรดที่คุณอยากกิน แต่อย่างไรก็ตาม การกินอาหารขยะที่คุณชอบเช่น ไอศกรีม เค้ก คุกกี้ พาย พิซซ่า ขนมขบเคี้ยว อาหารฟาสต์ฟู๊ด ฯลฯ ในปริมาณมากๆ แต่นานๆ ครั้งกินที ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ในฟาสต์ไฟว์

คุณไม่จำเป็นต้องเริ่มกินอาหารมื้อหลักทันทีเมื่อถึงเวลา 5 โมงเย็นและก็ไม่จำเป็นต้องกินไปจนถึง 4 ทุ่ม แต่ให้กินเมื่อไหร่ก็ได้ในช่วง 5 โมงเย็นจนถึง 4 ทุ่ม เช่นเมื่อถึงเวลา 5 โมงเย็นคุณก็อาจจะเริ่มจากของกินเล่นที่มีคุณค่าทางอาหารสูงเช่น ผัก ผลไม้ สลัดผัก ถั่ว น้ำผลไม้ นม ฯลฯ เพื่อรองท้องก่อน แล้วก็ค่อยกินอาหารมื้อใหญ่มื้อหลักในช่วงเวลาใดก็ได้จนถึง 4 ทุ่ม คุณอาจจะกินตอน 6 โมงเย็นแล้วหยุดตอน 1 ทุ่ม แล้วไม่กินอะไรอีกเลย หรือจะกินอีกทีตอน 3 ทุ่มแล้วหยุดตอน 4 ทุ่มตรงก็ได้ ซึ่งในช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวจากวิธีการกินอาหารแบบเดิมๆ วันละ 3 มื้อ 6 มื้อ มาสู่วิถีชีวิตแบบฟาสต์ไฟว์นั้น คุณอาจจะกินอาหารในช่วง 5 ชั่วโมงดังกล่าวรวมเป็นปริมาณมากเท่ากับ หรือมากกว่าปริมาณอาหารโดยรวมทั้งวันที่คุณเคยกินวันละ 3 มื้อ 6 มื้อ พฤติกรรมแบบนี้ไม่เป็นปัญหาและไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มันเป็นกลไกการเอาชีวิตรอดตามธรรมชาติของมนุษย์ (Limbic Hunger) เนื่องจากคุณอดอาหารมาทั้งวัน และเมื่อมีโอกาสได้กิน สมองก็จะสั่งให้คุณกินแบบสวาปามเข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ พฤติกรรมการกินแบบนี้เป็นสัญชาตญาณพื้นฐานในการเอาชีวิตรอดของมนุษย์และสัตว์ แต่เมื่อร่างกายและจิตใจของคุณสามารถปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตแบบฟาสต์ไฟว์ได้แล้ว คุณจะกินน้อยลง แต่ก็เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เฉลี่ยแล้วน้อยลงกว่าการกินแบบปกติวันละ 3 มื้อ 6 มื้อ ประมาณ 500 กิโลแคลอรีต่อวัน ซึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้คุณลดน้ำหนักได้ประมาณ 0.45 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ รวมแล้วก็ประมาณ 20 กิโลกรัมใน 1 ปี

2. อีก 19 ชั่วโมงที่เหลือ เริ่มตั้งแต่ 4 ทุ่มของวันนี้จนถึง 5 โมงเย็นของวันพรุ่งนี้ ให้คุณงดอาหารที่มีแคลอรีทุกชนิดโดยเด็ดขาด ห้ามแตะห้ามกินแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ห้ามกินแม้กระทั่ง ลูกอม หมากฝรั่ง ห้ามดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลอรีทุกชนิด เช่น นม น้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ กาแฟใส่ครีมและน้ำตาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฯลฯ แต่ให้คุณดื่มได้แค่เฉพาะน้ำเปล่าและเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรี หรือมีแคลอรีน้อยมากๆ จนไม่มีผลต่อระดับอินซูลิน เช่น กาแฟดำ ชาทั่วไปหรือชาสมุนไพรที่ไม่ใส่นมและน้ำตาล (แต่ต้องแน่ใจว่าตัวชาเองต้องไม่มีแคลอรี) คุณสามารถดื่มน้ำเปล่าและเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรีได้มากเท่าที่ต้องการ

คุณอาจจะคิดว่าการอดอาหารอย่างเด็ดขาดวันละ 19 ชั่วโมงเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อคุณเริ่มปรับตัวได้ มันจะกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ทำได้ง่ายกว่าวิธีการลดและควบคุมน้ำหนักแบบเดิมๆ ที่กินอาหารวันละ 3 มื้อใหญ่หรือแบ่งเป็น 6 มื้อย่อยและวิธีนี้ก็จะบอกให้คุณกินแต่พออิ่ม กินแบบพอดี บอกให้คุณนับและจำกัดปริมาณแคลอรีในอาหาร แต่พอเอาเข้าจริงคุณก็มักจะทำไม่ได้ตลอด เพราะผลของ Limbic Hunger (ศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือ) ที่ทำให้คุณกินจนเพลิน กินจนหยุดไม่ได้

แต่เมื่อคุณใช้วิธีอดอาหารอย่างเด็ดขาดแบบฟาสต์ไฟว์เป็นเวลา 19 ชั่วโมงแล้ว คุณจะไม่มีคำถามว่า คุณควรจะกินอาหารในปริมาณเท่าใดในช่วงอด คุณไม่ต้องใช้การตัดสินใจแบบวินาทีต่อวินาทีในการกะเพื่อจำกัดปริมาณอาหารที่จะกิน คุณไม่ต้องรู้สึกผิดเมื่อคุณคิดว่าคุณกินมากไป เพราะเมื่อคุณจำกัดแคลอรีอยู่ที่ “ศูนย์” ในการอดแบบฟาสต์ไฟว์แล้ว คุณไม่ต้องตัดสินใจว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุดกินเพราะคุณยังไม่ได้เริ่มกิน คุณไม่ต้องตัดสินว่า กินเท่าไหร่คือปริมาณน้อย กินเท่าไหร่คือพอดี กินเท่าไหร่คือมากเกินไป เพราะคุณยังไม่ได้กิน การจำกัดแคลอรีอยู่ที่ “ศูนย์” ในการอดแบบฟาสต์ไฟว์ช่วยให้คุณคำนวณปริมาณแคลอรีในอาหารได้ง่ายขึ้นเพราะคุณไม่ต้องคำนวณ อีกทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้ Limbic Hunger ทำงานเพราะคุณยังไม่ได้เริ่มกิน ช่วยให้คุณสามารถเข้าควบคุมพฤติกรรมการกินชองตัวคุณเองในช่วงอดได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์

.........................

ถ้ามีเวลาจะเขียนต่อนะครับ



เพิ่มเติม อันนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญมากของฟาสต์ไฟว์

ที่บอกว่าอดอาหารแบบฟาสต์ไฟว์มีพื้นฐานมาจากผลการทดลองของวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ในเรื่อง Calorie Restriction (CR) และ Intermittent Fasting (IF) และความรู้ทางด้านมานุษยวิทยานั้น ถ้าใครอยากรู้ว่า CR และ IF คืออะไร ผมแนะนำให้อ่านที่นี่ คุณหมอ Michael R. Eades เขียนได้ง่ายอ่านและชัดเจนดี

//www.proteinpower.com/drmike/?p=278

สรุปง่ายๆ ก็จะได้ว่า

Calorie Restriction (CR) คือการลดปริมาณแคลอรีในอาหารให้น้อยกว่าปกติ

Intermittent Fasting (IF) คือการอดอาหารเป็นช่วงๆ เช่น กินวันละครั้ง กินแบบวันเว้นวัน แต่ไม่มีการจำกัดแคลอรีในอาหาร กินได้มากที่สุดเท่าที่ต้องการ

ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มีการศึกษาและทดลองเกี่ยวกับ CR และ IF มานานกว่า 70 ปี จากการทดลองพบว่า สัตว์ทดลองมีอายุยืนขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้น มีความต้านตานต่อโรคมากขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ทั้ง CR และ IF ให้ผลเหมือนกัน แต่บางอย่าง IF ให้ผลดีกว่า สำหรับในมนุษย์ก็ได้มีการทดลองแล้ว หลายอย่างก็ให้ผลเช่นเดียวกับในสัตว์ทดลอง แต่หลายอย่างก็ต้องศึกษาและทดลองกันต่อไป สำหรับมนุษย์นั้น ดูเหมือนกว่า IF จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติได้ง่ายกว่า CR ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Fast-5 นั่นเอง

ลองศึกษาเพิ่มเติมจากที่นี่

The Calorie Restriction Society
//www.calorierestriction.org

Skipping Meals Regularly May
Be Good for Your Health
//www.life-enhancement.com/article_template.asp?ID=851

Every Other Day Fasting May Reduce Cancer Risk
//www.worldhealth.net/p/243,6712.html

สำหรับด้านความรู้ทางด้านมานุษยวิทยานั้น มีหลักฐานหลายอย่างที่ทำให้เชื่อได้ว่า ระบบต่างๆใน ร่างกายของมนุษย์จะทำงานได้ดีที่สุด อยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ต่อเมื่อมนุษย์มีชีวิตแบบอดๆอยากๆ อดมื้อ กินมื้อ แบบกินวันละครั้ง หรือกินวันเว้นวันครั้ง อะไรแบบนี้ ไม่ใช่การกินวันละ 3 มื้อ 6 มื้อ กินกันแบบล้นเกินแบบที่พวกเราเป็นๆกันอยู่

เนื่องจากวิถีชีวิตมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เมื่อหลายล้านหลายแสนปีก่อน โดยมนุษย์ในยุคนั้นดำรงชีพด้วยการเป็นนักล่า-นักเก็บของป่า (Hunter-Gatherer) ซึ่งเป็นชีวิตที่ยากลำบาก เพราะพลังงานและเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตหมดไปกับการดิ้นรนต่อสู้เพื่อหาอาหาร ทั้งล่าสัตว์ หาของป่า การหนีศัตรูซึ่งเป็นสัตว์นักล่าชนิดอื่น ชีวิตของมนุษย์ในยุคนั้นไม่มีความแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องอาหาร ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสามารถในการล่าสัตว์และการหาของป่า หากวันไหนโชคไม่ดี ล่าสัตว์ไม่ได้ หรือเป็นช่วงฤดูกาลที่แห้งแล้งทำให้ขาดแคลนอาหาร มนุษย์ก็ต้องอดอยาก

จากวิถีชีวิตแบบนักล่า-นักเก็บของป่านี้เอง ทำให้เชื่อได้ว่า มนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ไม่ได้กินอาหารบ่อยๆ ไม่ได้กินอาหารวันละ 3 มื้อ 6 มื้อเหมือนมนุษย์สมัยใหม่อย่างพวกเรา เพราะการหาอาหารทั้งล่าสัตว์และเก็บของป่าต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ใช้เวลาเป็นวัน หรืออาจจะหลายวัน พวกเขาจะกินอาหารก็เฉพาะตอนที่ล่าสัตว์ได้หรือเก็บของป่าได้มากพอ
โดยอาจจะกินวันละครั้งหากอยู่ในช่วงอุดมสมบูรณ์ หรือกิน 2-3 วันครั้ง หรืออาจจะนานกว่า หากอยู่ในช่วงขาดแคลนอาหาร และเมื่อมีโอกาสได้กิน พวกเขาก็จะกินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะยังไม่มีวิถีถนอมอาหารและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้กินอีก

ด้วยเหตุนี้ธรรมชาติจึงได้ออกให้ร่างกายมนุษย์และสัตว์มีความยืดหยุ่นต่อการขาดแคลนอาหาร สร้างกลไกการเอาชีวิตรอดเมื่อร่างกายตกอยู่ในสภาวะลำบาก (เช่นขาดแคลนอาหาร ตอนต่อสู้หรือหนีศัตรู ฯลฯ) ทำให้ร่างกายสามารถเก็บสะสมพลังงานส่วนเกินจากอาหารไว้ในรูปของไขมันเพื่อนำมาใช้ดำรงชีวิตประจำวันและใช้ประทังให้ชีวิตอยู่รอดในช่วงที่อาหารขาดแคลน ระบบเก็บสะสมพลังงานนี้อยู่คู่กับมนุษย์นับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นวิวัฒนาการเมื่อหลายล้านหลายแสนปีก่อนและยังคงอยู่ในร่างกายมนุษย์สมัยใหม่อย่างพวกเรา

------------------------------------------------------------------

อ่านเพิ่มเติมที่ : [บทความ] แนะนำวิธีลดและควบคุมน้ำหนักทางเลือกใหม่ The Fast-5 Diet โดย คุณ เอ

^-^

[Date : 10-11-2007]


Create Date : 11 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2550 13:09:08 น. 0 comments
Counter : 2640 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

dorapanda
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




^-^
Friends' blogs
[Add dorapanda's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.