Group Blog
 
All blogs
 

DIY Cosmetics : Easy Hand Cream




     โดยปกติแล้วการจะทำ Cream ใช้เองที่บ้านนั้น จะต้องมีการใช้วัตถุดิบในการทำจำพวก Wax และน้ำมันต่างๆ เพื่อทำหน้าที่เป็นชั้นของน้ำมัน จากนั้นจึงนำมาผสมกับชั้นของน้ำ กลายเป็นครีมเกิดขึ้น ซึ่งวัตถุดิบก็มักจะต้องไปซื้อตามร้านเฉพาะ ทำให้บางคนถอดใจ ยอมเสียเงินซื้อเค้าใช้ดีกว่า

    สำหรับสาวๆ ของ Doctorskinhouse เราย่อมมีวิธีการทำครีมที่พิเศษ ที่ง่ายแสนง่าย ไม่ต้องหาวัตถุดิบยากเหมือนคนอื่น เพียงแค่เราใช้ผลิตภัณฑ์ที่ขายตามท้องตลาดมา mix ให้เข้ากัน ก็สามารถทำ Hand Cream ไว้ใช้เองที่บ้านอวดเพื่อนๆได้แล้ว โดยส่วนประกอบที่เราจะใช้ก็ได้แก่ Vaseline, Baby Lotion มาดูวิธีการทำกันดีกว่าค่ะ






Easy Hand Cream




DIY Cosmetics : Easy Hand Cream



1. Baby Lotion 2 ถ้วยตวง
     Baby lotion จะมีลักษณะนุ่มลื่น เป็นครีมที่มีส่วนผสมที่อ่อนโยนต่อผิวเนื่องจากถูกทำมาให้ใช้กับเด็ก การที่เรานำมาใช้กับผิวผู้ใหญ่นั้น จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และไม่ทำให้ผิวแห้งเหี่ยวด้วย



DIY Cosmetics : Easy Hand Cream



2. Vaseline 1 ถ้วยตวง
     มีส่วนประกอบของ Waxes และ Paraffin ช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำ ช่วยปกป้องไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น



DIY Cosmetics : Easy Hand Cream



3. Vitamin E Cream (จะใช้หรือไม่ก็ได้) 1 ถ้วยตวง
     จะช่วยบำรุงผิวมากยิ่งขึ้น ยังมีหน้าที่เป็น moisturizer ทำให้เซลล์ผิวหนังของเรามีความสามารถในการอุ้มน้ำได้ดีด้วย




วิธีทำ

     1. ผสมส่วนผสมของ Baby lotion, Vaseline และ Vitamin E Cream ลงไปในถ้วยผสม





     2. ปั่นผสมให้เข้ากัน ประมาณ 5 นาที




     3. จากนั้นนำไปบรรจุใส่ขวดบรรจุ





วิธีการนำไปใช้

     เทครีมลงบนฝ่ามือเล็กน้อย จากนั้นทาให้ทั่วฝ่ามือ สำหรับผลิตภัณฑ์ Easy Hand Cream ที่เราทำมานั้น สามารถใช้ได้หลายครั้ง






ข้อควรระวัง

     1. ระมัดระวังในผู้ที่มีอาการแพ้ส่วนประกอบในสูตรดังกล่าว และไม่ควรใช้กับบริเวณที่ผิวบอบบางหรือมีบาดแผล
     2. ในขณะที่เตรียมหรือใช้ผลิตภัณฑ์นี้ ไม่ควรที่จะสูบบุหรี่ เพราะ Vaseline ที่มีในสูตรตำรับนั้นเป็นสารไวไฟ




ราคา ราคาวัตถุดิบไม่เกิน 100 บาท
ระยะเวลา ไม่เกิน 15 นาที



     สำหรับ Easy Hand Cream นี้ นอกจากจะใช้ได้กับฝ่ามือแล้ว ยังสามารถใช้ได้กับลำตัว แขนขา ด้วย แต่สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย Doctorskinhouse ไม่แนะนำให้ใช้กับผิวหน้านะคะ และสำหรับผู้ที่ไม่มี Vitamin E Cream ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้นะคะ เพียงแค่ Baby lotion และ Vaseline ก็เพียงพอที่จะช่วยทำให้ผิวของคุณชุ่มชื้นและนุ่มขึ้นได้แล้วค่ะ




Columnist by Peepop
credit
Original content
credit




ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2554    
Last Update : 8 มิถุนายน 2554 14:52:04 น.
Counter : 2217 Pageviews.  

ลดรอยย่นบนจมูก ด้วยโบท็อกซ์




สาวๆ หลายคนเป็นกังวลกับรอยย่นๆ บนจมูก ที่อยู่ดีๆ มันก็มาเยี่ยมเยือนแบบไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่ามันมาตอนไหน มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และเกิดขึ้นได้อย่างไร พอรู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาที่สายไปซะแล้ว เมื่อส่องกระจกแล้วเห็นรอยย่นที่จมูกชัดเจนมาก แม้ไม่ได้ยิ้มหรือขยับส่วนไหนบนใบหน้าก็ตาม (กรี๊ด...!!)

สัญญาณดังกล่าว บ่งบอกได้ว่า... ถึงเวลาที่คุณต้องหันมาดูแลตัวเองบ้างแล้ว อย่าปล่อยให้รอยย่นบนจมูกมาทำลายความมั่นใจของเราเป็นอันขาด แต่ก่อนจะไปดูวิธีรักษา เราไปดูสาเหตุของการเกิดรอยย่นบนจมูกกันก่อน จะได้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดริ้วรอยได้ทัน
สาเหตุของการเกิดรอยย่นบนจมูกฒ
>> อายุที่เพิ่มขึ้นตามวัย
>> ความเครียด ความวิตกกังวลในเรื่องต่างๆ
>> ถูกแสงแดดบ่อยๆ
>> ผลข้างเคียงจากการใช้เครื่องสำอางเป็นเวลานานๆ
>> ชอบทำจมูกย่น ทำคิ้วขมวด รวมถึงการเลิกคิ้วบ่อยๆ

เอาล่ะ!! ทีนี้ก็มาดูวิธีรักษาทางการแพทย์ที่ได้ผลค่อนข้างแน่นอน นั่นคือ การใช้โบท็อกซ์ช่วยลดริ้วรอย เนื่องจากโบท็อกซ์เป็นสารโปรตีนชนิดหนึ่งที่สกัดขึ้นเพื่อใช้ในการรักษาให้ กล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอย ลดการหดตัวลง จึงทำให้รอยย่นต่างๆ ลบเลือนไปด้วย ซึ่งปัจจุบันการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอย กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก เพราะใช้เวลาในการรักษาน้อยและได้ผลค่อนข้างดี
ขั้นตอนในการรักษารอยย่นบนจมูกด้วยโบท็อกซ์
1. แพทย์จะประคบน้ำแข็ง หรือทายาชาบริเวณที่จะฉีดโบท็อกซ์
2. ฉีดโบท็อกซ์เข้าที่บริเวณรอยย่น โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที (ขึ้นอยู่กับจำนวนรอยย่นด้วย)
3. คนไข้สามารถนั่งพักสักครู่ ก็สามารถกลับบ้านได้เลย

ทั้งนี้ รอยย่นบนจมูกของคุณจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์ สำหรับการดูแลรักษาหลังการฉีดโบท็อกซ์ คือ คุณควรอยู่ในท่าตรง ไม่ว่าจะยืนหรือนั่ง และบริหารกล้ามเนื้อมัดที่ฉีดบ่อยๆ ภายใน 3 ชั่วโมงแรกหลังฉีด ตามคำแนะนำของแพทย์ และควรล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด ใช้วิธีซับหน้าเบาๆ แทนการเช็ดหรือถูใบหน้าแรงๆ ที่สำคัญ อย่าลืมมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งด้วยนะคะ เพื่อความสวยงามคงทนยาวนานค่ะ



ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2554    
Last Update : 6 มิถุนายน 2554 15:47:23 น.
Counter : 1017 Pageviews.  

นวดคอบ่อยๆ ช่วยชะลอเหนียงยาน




การนวดเบาๆ ที่ต้นคอ เป็นการผ่อนคลายที่ดีอย่างหนึ่ง นอกจากจะช่วยคลายความเมื่อยล้า ยังช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับ ไม่หย่อนยานได้ด้วย เพราะจากความตึงเครียดและการละเลยการดูแลคอของเรา ทำให้ผิวหนังเริ่มเกิดริ้วรอย และตามมาด้วยอาการผิวหนังหย่อนคล้อย หรือที่เราเรียกกันว่า "เหนียงยาน" นั่นเอง ซึ่งไม่น่าดูเอาเสียมากๆ นอกจากเสียบุคลิกภาพแล้ว ยังทำให้ดูแก่กว่าอายุไปอีกโข เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาเริ่มบริหารกล้ามเนื้อต้นคอที่ทำได้ด้วยตัวเองกันดี กว่า

อ๊ะ...แต่ก่อนจะเริ่มนวดคอ อย่าลืมหาน้ำมันสำหรับนวด อย่างน้ำมันมะกอก หรือน้ำมันมะพร้าวเอาไว้ด้วยนะคะ เพื่อช่วยให้การนวดเป็นไปอย่างราบรื่นไม่สะดุด นอกจากนี้ระหว่างการนวดน้ำมันที่ซึมซาบลงสู่ผิวจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ ผิวได้ด้วยค่ะ หรือหากสาวๆ ชอบกลิ่นหอมๆ จะเหยาะน้ำมันอโรมากลิ่นโปรดลงไปด้วยก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แถมยังเป็นการช่วยผ่อนคลายไปอีกทาง เอาล่ะ... เตรียมน้ำมันพร้อมแล้วก็เริ่มกันเลยค่ะ
1.หาท่านั่งสบายๆ
เริ่มจากขั้นตอนแรก หาท่านั่งที่สบายค่ะ เนื่องจากคราวนี้จะเป็นการนวดด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นจะนอนนวดคงไม่ถนัดสักเท่าไหร่ ให้คุณสาวๆ เลือกนั่งบนเก้าอี้มีพนัก แล้วหาท่านั่งที่ผ่อนคลาย สบายๆ ค่ะ
2. เอนศีรษะไปมาซ้าย-ขวา
สเต็ปนี้ให้ใช้อุ้งมือทั้งสองประคองศีรษะเอาไว้ จากนั้นค่อยๆ เอนศีรษะไปมาทางซ้ายและขวาสลับกัน ไม่ต้องเกร็งนะคะ ค่อยๆ ทำไปช้าๆ สบายๆ ระวังอย่าทำแรงหรือเร็วเกินไป ทำสลับไปมาเช่นนี้ 1-2 นาที
3. นวดคอ
เอนหลังพิงพนัก เชิดศีรษะขึ้นเล็กน้อย หากเก้าอี้ที่คุณนั่งอยู่เป็นแบบพนักพิงสูง คุณจะเอนศีรษะพิงพนักเลยก็ได้ค่ะ จากนั้น แตะน้ำมันที่มือทั้งสองข้างแล้วเริ่มนวด โดยการนวดจะใช้นิ้วทั้งสี่ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ เรียงสี่นิ้วตั้งแต่นิ้วชี้ถึงนิ้วก้อยชิดกัน ไล้เบาๆ ตั้งแต่คอขึ้นมาจนถึงคาง สลับกันด้วยมือทีละข้าง หากรู้สึกว่ายังไล้ขึ้นมาได้ไม่สะดวกนัก ลองแตะน้ำมันดูอีกนิดค่ะ ไล้สลับกันไปอย่างเบามือ
ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 5-6 นาที และถือว่าเป็นท่าสำคัญที่จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อ คืนความยืดหยุ่นให้ผิวหนังที่คอของเราด้วยค่ะ
4. นวดต้นคอ
นวดคอด้านหน้าไปแล้ว บริเวณคอด้านหลังหรือที่เราเรียกว่า ต้นคอ ก็ลืมไม่ได้เหมือนกันนะคะ การนวดใช้วิธีเดียวกับการนวดบริเวณด้านหน้า แต่สามารถนวดได้ทั้งแนวขึ้นและลง และเพิ่มน้ำหนักมือได้ค่ะ การนวดต้นคอจะช่วยคลายความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี

เห็นไหมคะว่า การนวดคอทำได้ง่ายๆ ทั้งนวดบริเวณด้านหน้าของคอ เพื่อกระชับกล้ามเนื้อ และนวดบริเวณต้นคอ เพื่อคลายความเมื่อยล้า ทั้งนี้อย่าลืมใช้น้ำมันด้วยทุกครั้งที่นวดนะคะ เพื่อช่วยลดแรงเสียดทานขณะนวด ถ้าไม่ใช้น้ำมันช่วยแล้วอาจทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นกว่าเดิมก็ได้ โดย ปริมาณของน้ำมันที่เหมาะสมในการนวดแต่ละครั้งอยู่ที่ 2 ช้อนชาค่ะ ซึ่งถ้าใช้น้ำมันน้อยเกินไปก็อาจทำให้การนวดสะดุดไม่ราบรื่น แต่ถ้าหากใช้มากเกินไปก็ทำให้รู้สึกเหนอะหนะไม่สบายผิวนั่นเอง

รู้วิธีนวดคอด้วยตัวเองอย่างนี้แล้วอย่า ลืมเอาไปใช้ดูนะคะ จะได้ช่วยคลายความเมื่อยล้า และมีกล้ามเนื้อคอที่กระชับ ไว้ใส่จี้สวยๆ โชว์คองามระหงได้อย่างมั่นใจค่ะ


ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2554    
Last Update : 3 มิถุนายน 2554 15:05:45 น.
Counter : 1043 Pageviews.  

ดวงตาสวยเด่น แม้ในวันที่อากาศแปรปรวน





ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ในหน้าร้อนแบบนี้ ฝนฟ้ามาเยือนให้ชุ่มฉ่ำใจ แต่ขอสายฝนโปรยปรายเอาแค่พอให้คลายร้อนก็พอ อย่ามากันทีแบบเททั่วฟ้า สำหรับหน้าร้อนแต่มีฝนมาเยือนในบางวันแบบไม่ตั้งตัวเช่นนี้ สาวๆ อย่าปล่อยให้ตัวเองหมดสวยไปกับสภาพอากาศที่แปรปรวน ในขั้นตอนการแต่งหน้านั้น นอกจากจะแต่งแต้มสีสันบนเรียวปากและแก้มแล้ว ดวงตาก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญอีกจุดหนึ่งบนใบหน้า ซึ่งอุปกรณ์ความงามสำหรับดวงตามีอยู่ด้วยกันหลายชิ้น หลายแบบ อาทิ อาย-ไลเนอร์ อายแชโดว์ มาสคาร่า เป็นต้น แต่จะทำให้ดวงตาของคุณแลดูสวยงามและมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมนั้น


สาวๆ ควรเริ่มจากการดูแลสุขภาพดวงตาก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยการดูแลดวงตาให้สดใสมีชีวิตชีวาโดยการรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงและซ่อมแซมดวงตาให้มีสุขภาพดี รวมถึงการดื่มน้ำมาก ๆ ซึ่งช่วยทำให้น้ำหล่อเลี้ยงภายในดวงตามีความสมดุล และเมื่อดวงตาของคุณมีสุขภาพดีอย่างเสมอต้นเสมอปลายแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเสริมเสน่ห์ ให้ดวงตาด้วยการเพิ่มสีสันลงบนเปลือกตาและขนตา นั่นก็คือการแต่งดวงตาเพื่อเนรมิตให้สวยงามได้อย่างทันใจทีเดียวค่ะ


มาพบเคล็ดลับที่ไม่ลับในการแต่งดวงตา และการระบายสีสันบนเปลือกตาในแต่ละโอกาส ที่จะช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับตัวคุณได้อย่างถูกกาลเทศะอีกด้วย



เริ่มต้นด้วยการใช้อายแชโดว์สีพื้น เช่น ส้ม ครีม เหลือง ลงบริเวณเปลือกตา แล้วเกลี่ยให้เรียบเนียน เสร็จแล้วก็เพิ่มสีสันอื่นๆ ลงไป แต่อย่าลืมที่จะเลือกเฉดสีของอายแชโดว์ให้เข้ากับสีของเสื้อผ้าที่สวมใส่ ด้วยนะคะ การลงเฉดสีบนเปลือกตา ควรเริ่มไล่สีตั้งแต่บริเวณหางตาแล้วลดความเข้มไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณใกล้ๆ จมูก


การปัดมาสคาร่าก็เป็นวิธีเพิ่มความโดดเด่นให้กับดวงตาของคุณ และเป็นสิ่งที่ไม่ควรลืม วิธีการปัดคาสมาร่าโดยหลีกเลี่ยงไม่ให้ขนตาติดกันเป็นแพ ควรปัดเป็นลักษณะซิกแซ็กเป็นรูปฟันปลา จะช่วยให้ขนตาแลดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีมาสคาร่าหลากหลายสูตรมาให้คุณเลือกใช้กัน ไม่ว่าจะเป็นสูตรเพิ่มความยาวของขนตา สูตรเพิ่มวอลุ่มให้ขนตาเป็นแพหนา หรือสูตรเพื่อขนตาโค้งงอน เป็นต้น



เคล็ดไม่ลับต่อไปคือการลองแต่งดวงตาตามแบบต่างๆ ในสไตล์ของผู้หญิงแต่ละคน



การแต่งตาแบบประกายเงิน อายแชโดว์สีเงินแวววาว

จะทำให้ตาของคุณดูสวยโดดเด่นขึ้น ทั้งยังดูเปรี้ยวแปลกตาในยามราตรีอีกด้วย ควรทาอายแชโดว์สีเงินตามแนวขอบตาล่าง และบนเปลือกตาจนถึงรอยพับบนเปลือกตา ทาให้เลยหางตาเล็กน้อย และทาอายแชโดว์สีขาวแวววาวบนโหนกคิ้ว เพื่อเน้นดวงตาให้สวยโดดเด่น ให้วาดขอบตาด้วยอายไลเนอร์ สีดำ การแต่งหน้าสไตล์นี้เหมาะกับปากสีซีดๆ อย่างสีพีช แล้วปิดท้ายด้วยการปัดแก้มด้วยบลัชออนสีลาเวนเดอร์อมชมพู การแต่งตาแบบนี้เหมาะสำหรับสาวๆ ที่เตรียมจะออกไปงานปาร์ตี้


แต่งตาในสไตล์สวยหวาน ด้วยการใช้อายแชโดว์โทนสีม่วง

ดวงตาสีโทนม่วงอ่อนจะทำให้ดูสดใสและมีชีวิตชีวา ทาอายแชโดว์สีขาวให้ทั่วเปลือกตาจนถึงโหนกคิ้ว แล้วลงสีอายแชโดว์สีม่วงอ่อน จากเปลือกตาบนไปจนถึงรอยพับของเปลือกตา แล้วเพิ่มสีให้เข้มขึ้นเล็กน้อยบริเวณแนวขนตาบน ปัดมาสคาร่าเพื่อให้ดวงตาดูหวานซึ้ง แล้วปัดแก้มด้วยบลัชออนสีชมพูจางๆ พร้อมกับแต่งแต้มริมฝีปากด้วยเฉดสีชมพูอมม่วง หรือจะระบายเปลือกตาด้วยอายแชโดว์สีชมพูจางๆ ให้ทั่วเปลือกตาบนจนถึงรอยพับของเปลือกตา แล้วแต้มอายแชโดว์สีขาวเป็นไฮไลท์บริเวณโหนกคิ้ว ปัดแก้มด้วยบลัชออนโทนสีชมพูสดใส และเพิ่มเสน่ห์ให้แก่เรียวปากด้วยลิปกลอสสีชมพูประกาย ซึ่งจะเหมาะกับแนวสาวหวาน ดูเรียบร้อย เตรียมพร้อมไปพบปะผู้ใหญ่ หรือจะออกไปเดทแรกกับชายหนุ่มก็ไม่ว่ากันค่ะ


และถ้าหากว่าคุณเป็นสาวทันสมัย สาวมั่นเกินร้อยละก็ สีสันที่ใช้บนเปลือกตาควรมีหลากหลาย ทั้งสีเข้ม สีสดใสเพื่อแสดงถึงความอ่อนโยน เน้นดวงตาให้กลมโตด้วยดินสอเขียนขอบตาสีน้ำตาลเข้ม โดยวาดทั้งขอบตาบนและล่าง ด้วยอายแชโดว์สีเทาเงินเป็นประกายให้ทั่วเปลือกตาแล้วเกลี่ยด้วยอายแชโดว์สี เงินให้ทั่วแนวขนตาและทาให้เลยหางตาเล็กน้อย ปัดแก้มด้วยบลัชออนสีชมพูบริเวณโหนกแก้มไปจนถึงไรผม แล้วเพิ่มความอวบอิ่มให้แก่ริมฝีปากด้วยลิปสติกสีชมพู


เห็นไหมคะเคล็ดลับง่ายๆ แค่นี้ก็ทำให้คุณกลายเป็นสาวมีเสน่ห์ในหลากหลายสไตล์ได้ และคราวนี้เลือกกันได้หรือยังคะว่า คุณเหมาะกับการแต่งหน้าสไตล์ไหน ที่พร้อมจะสวยแม้ในวันที่อากาศแปรปรวน



ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2554    
Last Update : 1 มิถุนายน 2554 13:32:47 น.
Counter : 468 Pageviews.  

ศัลยกรรมหน้าตึงด้วย การผ่าตัดดึงหน้า




เวลาอายุมากขึ้นผิวหนังและส่วนต่างๆ บริเวณใบหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน โดยจะแบ่งคร่าวๆ เป็น 4 ส่วน ของใบหน้า


1. บริเวณหน้าผากและคิ้ว จะมีรอยย่นชัดเจนมากขึ้น และคิ้วทั้งสองข้างจะตกลงมาต่ำกว่าปกติ ทำให้หนังตาบนย้อยลงมาปิดขนตา


2. บริเวณรอบดวงตาและแก้มจะมีหนังตาหย่อนทั้งบนและล่าง หนังตาล่างก็จะมีบวมจากไขมัน และมีรอยย่นตีนกาบริเวณด้านข้างของตา บริเวณแก้มก็จะมีร่องชัดเจนขึ้น


3. บริเวณคางและแก้มส่วนล่าง โดยเฉพาะตรงบริเวณทางด้านข้างจะมีผิวหนังย้อยลงมาเลยขอบกระดูกของขากรรไกร ล่าง และจะมีผิวหนังส่วนเกินบริเวณข้างมุมปากชัดเจนขึ้น และใต้คางจะมีผิวหนังและไขมันย้อย


4. ผิวหนังบริเวณลำคอจะย่นและเป็นสันดูเหมือนย้อยมากขึ้น


การรักษารอยย่นบริเวณใบหน้ารอบตาและ แก้มมีหลายวิธี การใช้ยาลอกผิว (Chemical Peeling) ด้วยยาชนิดต่างๆ มักเป็นกรดอ่อนๆ จะทำให้ผิวหนังดูเรียบขึ้นก็จริง แต่ส่วนผิวหนังส่วนเกินและไขมันใต้ผิวหนังก็ยังมีอยู่ ทำให้คิ้วและแก้มยังย้อยอยู่ ส่วนการใช้เลเซอร์ขัดผิวก็ได้ผลคล้ายๆ กัน การผ่าตัดดึงหน้าและคอจะช่วยให้ไขมันส่วนเกินและผิวหนังที่ย้อย โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและคิ้ว และคางด้านตรงและด้านข้างจะดีขึ้นชัดเจน อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถหยุดความแก่ชราลงได้ ในระยะยาวอาจจะต้องทำการผ่าตัดเพิ่มเติมได้


ส่วนรายละเอียดของการผ่าตัดจะแบ่งเป็น 4 ส่วนของใบหน้าและการผ่าตัดดึงหน้าอาจจะทำเป็นบางส่วนก็ได้ไม่จำเป็นต้องทั้ง 4 ส่วนพร้อมกัน ขึ้นกับว่าส่วนไหนมีการหย่อนยานมาก


1. ส่วนหน้าผากและคิ้ว การผ่าตัดมีจุดประสงค์ที่จะดึงบริเวณผิวหนังส่วนหน้าผากให้ตึงขึ้นไปด้านบน จะทำให้คิ้วกลับสู่สภาพที่ยังเยาว์วัย และลดรอยย่นตามขวางบริเวณหน้าผากและรอยย่นบริเวณหัวคิ้ว โดยการตัดกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดรอยย่น ส่วนผิวหนังส่วนเกินจะตัดออกโดยซ่อนแผลไว้ในบริเวณที่มีผม


2. ส่วนรอบตาและโหนกแก้ม และแก้มข้างมุมปาก เรามักจะผ่าตัดหนังตาบนและหนังตาล่างไปพร้อมกัน โดยตัดหนังและไขมัส่วนเกินออกจากบริเวณรอบตา ส่วนรอยตีนกาทางด้านข้างของตาและโหนกแก้มก็จะผ่าตัดโดยดึงส่วนของผิวหนังและ กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังออกไปทางด้านข้างโดยการผ่าตัดอยู่บริเวณขมับในบริเวณ ที่มีผมเพื่อซ่อนรอยผ่าตัด ส่วนแก้มด้านข้างก็จะดึงออกไปบริเวณขมับเหนือใบหู ผิวหนังส่วนเกินก็จะตัดออกโดยมีแผลบริเวณร่องหน้าหู ซึ่งจะซ่อนรอยได้


3. คางส่วนกลางบริเวณใต้คางซึ่งมีไขมันย้อยอยู่ก็จะเอาออกได้โดย มีแผลเล็กๆ ใต้คาง และเย็บกระชับกล้ามเนื้อเพื่อไม่ให้มีสันย้อยใต้คาง นอกจากนี้อาจใช้การดูดไขมันร่วมด้วยได้ ส่วนคางด้านข้างก็จะดึงออกให้ตึงโดยแผลอยู่ที่หลังใบหู ร่วมกับการดึงคอ


4. การดึงผิวหนังบริเวณคอก็จะมีรอยผ่าตัดบริเวณไรผมทางด้านหลังหู และด้านข้าง จะซ่อนรอยผ่าตัดไว้ได้ โดยจะตัดหนังส่วนเกินออก


การผ่าตัดดึงหน้าเป็นการผ่าตัดที่ละเอียดอ่อน ต้องใช้เวลานาน 3-6 ชั่วโมง ถ้าต้องทำทุกส่วนทั้ง 4 ส่วน ผู้ป่วยมักต้องใช้ยาช่วยให้หลับหรือการดมยาสลบระหว่างผ่าตัดร่วมกับการฉีดยา ชาเฉพาะที่ ผู้ป่วยจึงต้องมีสุขภาพที่แข็งแรง และควรได้รับการตรวจร่างกายและเช็คเลือด รวมทั้งเอ็กซเรย์ปอดก่อนทำการผ่าตัด และต้องไม่มีปัญหาเรื่องเลือดหยุดยาก และควรหยุดทานยาที่ทำให้เกร็ดเลือดทำงานผิดปกติ ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องเลือดออกมากกว่าธรรมดา เช่น ยาแอสไพริน หรือยาแก้อักเสบอีกหลายชนิด


คนไข้ที่สูบบุหรี่ก็ควรหยุดบุหรี่ ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ เพราะผลจากการสูบบุหรี่จะทำให้ผิวหนังช้ำง่าย และเส้นเลือดที่มาเลี้ยงผิวหนังมักจะไม่ดีเท่าคนปกติทำให้แผลหายช้า ถ้าเป็นเบาหวานหรือความดันสูงก็ต้องได้รับการควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติก่อน นอกจากนี้ควรอดอาหารก่อนผ่าตัด 4-6 ชั่วโมง


การผ่าตัดไม่จำเป็นต้องโกนผมมักจะให้ผู้ป่วยสระผมและล้างหน้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนผ่าตัด


หลังผ่าตัดจะมีใบหน้าบวมและมีรอยช้ำประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่ผู้ป่วยสามารถล้างหน้า สระผม แปรงฟัน ได้ตามปกติ ในวันรุ่งขึ้นหลังการผ่าตัด และจะมีการตัดไหมประมาณ 5-7 วันหลังผ่าตัด โดยทั่วไปใบหน้าจะกลับสู่สภาพปกติระหว่าง 1-3 เดือน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวแพทย์จะนัดผู้ป่วยมาเช็คเป็นระยะๆ ในช่วงที่มีบวมของใบหน้า ส่วนต่างๆ ของใบหน้าอาจจะยังดูไม่เท่ากัน แต่ทุกอย่างจะกลับสู่ปกติเมื่อยุบบวมแล้ว โดยทั่วไปผู้ป่วยควรจะพักอยู่ภายในบ้านในสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด และอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 1-3 วันหลังการผ่าตัด


ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน มักจะเป็นผลจากการใช้ยาให้หลับหรือยาสลบ ในช่วงวันสองวันแรก อาจจะมีบริเวณใต้ผิวหนังซึ่งมีเลือดค้างอยู่ มักจะดีขึ้นเอง มีบางรายที่อาจต้องดูดออก อาจจะมีกล้ามเนื้อบางส่วนของใบหน้ายังทำงานไม่ได้ปกติ เช่น เวลายิ้ม หรือยักคิ้ว อาจจะไม่เท่ากัน มักจะดีขึ้นเองเมื่อเส้นประสาทและกล้ามเนื้อหายช้ำประมาณ 1-2 เดือน หลังผ่าตัด นอกจากนี้จะมีแผลเป็นบริเวณหลังหูอยู่นานหรือนูนได้ ซึ่งสามารถรักษาได้โดยการทายาหรือฉีดยาเฉพาะที่ ส่วนในบริเวณผมอาจจะมีผมร่วงบริเวณผ่าตัดได้ แต่มักจะงอกขึ้นมาใหม่ในระยะ 2-3 เดือนหลังผ่าตัด


มักจะมีคำถามว่าควรจะดึงหน้าเมื่ออายุเท่าไร โดยทั่วไปขึ้นกับลักษณะของผิวหนังของแต่ละคนมากกว่าอายุ ถ้าผิวหนังหย่อนเร็ว อายุ 40 ต้นๆ ก็สามารถผ่าตัดแก้ไขได้ และคำถามที่ว่าการผ่าตัดดึงหน้าแต่ละครั้งจะให้ผลนานเท่าใด ก็เช่นกัน การผ่าตัดไม่สามารถหยุดยั้งขบวนการแก่ชราลงได้ แต่จะทำให้ดูใบหน้าสดชื่น อ่อนเยาว์กว่าผู้ที่มีอายุใกล้เคียงกัน หรือดีกว่า ก่อนทำการผ่าตัด

ที่มา : www.doctorskinhouse.com




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2554 16:26:21 น.
Counter : 909 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

YangJing
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







Friends' blogs
[Add YangJing's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.