do by heart...ทำทุกอย่างด้วยหัวใจ เคยไหม? ที่ทำทุกอย่างด้วยหนึ่งสมองและสองมือ แล้วไปไม่ถึงไหน...จึงอยากลองเปลี่ยนมา มาทำด้วยใจ ล้วนๆ
Group Blog
 
All blogs
 

My heart

p>ทดสอบค่ะSmileySmileySmiley






มือใหม่หัดทำบล็อกค่ะ 



SmileySmiley  Smiley






Free TextEditoret=_blank>Free TextEditor

รู้จักกันอีกสักนิด...พิชชนันช์ / ร้านดู บาย ฮาร์ท
Do by Heart… Handmade
ทำด้วยใจ...

สวัสดีค่ะ คุณผู้อ่าน
เหตุที่ดิฉันเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพียงเพื่ออยากจะแบ่งปันประสบการณ์ด้านวิชาชีพ ที่ตัวเองได้ค้นพบ และให้กำลังใจเพื่อนๆที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่ว่า อยากทำงานอะไร ที่ทำแล้วมีความสุขด้วย ประหยัดด้วย และมีรายได้เลี้ยงชีพได้ด้วย
มิใช่งาน...ที่เราต้องทนหวานอมขมกลืนไปตลอดชีวิต อย่าลืมว่า....เราต้องอยู่กับงานวันละกี่ชั่วโมง หากเราจำต้องทนทุกข์ขนาดนั้น นอกจากเสียสุขภาพจิตแล้ว ยังเครียด จนเสียสุขภาพกายด้วย...ความรู้สึกเหล่านี้ดิฉันเจอมาหมดแล้ว จนกระทั่งวันนี้...ที่ค้นพบงานที่ทำแล้วมีความสุข มีเกียรติ มีรายได้ อิสระ เป็นนายตัวเองมีเวลาดูแลลูกได้ จึงอยากเล่าสู่กันฟัง...
ก่อนหน้าที่จะมาลงเอยที่งานแฮนด์เมดไหมพรม ดิฉันก็เป็นมนุษย์กินเงินเดือนมาตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือ ปี2529 มาลาออกจากงานประจำเมื่อปลายปี2551 รวมเวลาการเป็นลูกจ้างก็ร่วม 22 ปี
ดิฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมาสร้างงานเป็นของตัวเอง เป็นเจ้าของกิจการเอง เนื่องจากตอนที่ทำงานประจำได้รับเงินเดือนค่อนข้างสูง อาจจะเป็นเพราะเรียนจบได้ 3 ปริญญา คือ ตรี 2 ใบ โท 1 ใบ จากม.ธรรมศาสตร์,ม.รามคำแหง และม.กรุงเทพฯ ตามลำดับ 2 แห่งหลังนี้ เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย
สมัยนั้น สำหรับตัวเองแล้วงานช่างหาง่าย เปลี่ยนงานก็บ่อย สมัครงานแต่ละครั้งจะมีคนต้องการตัวมากกว่า 1 แห่งเสมอ เปลี่ยนงานทีก็สามารถเรียกเงินเดือนเพิ่มได้มากๆ จากหลักพันถึงหมื่นในสมัยนั้นนับว่ามากอยู่ ทีเดียว
จนกระทั่งมาถึงที่ทำงานแห่งสุดท้ายนี่แหละ ที่จุดประกายให้ดิฉัน คิดว่า เราจะต้องสร้างความมั่นคงให้กับตัวเอง ด้วยตัวของเราเอง ถ้ายังเป็นลูกจ้าง ก็เหมือนกับต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจอยู่ร่ำไป ความมั่นคงของชีวิต ต้องมาแขวนอยู่กับคนอื่นแบบนี้ คงไม่ดีแน่
ดิฉันได้เห็นชะตากรรมของชีวิตลูกจ้างหลายๆคน บางคนมาจากสถานประกอบการที่ทั้งใหญ่โต มั่นคง มีชื่อเสียง มาในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงด้วยนะ แต่ถ้ายังเป็นลูกจ้างเขา ก็ต้องรอความเมตตาจากเจ้าของบริษัท ถ้าเขาไม่เมตตา อนาคตก็ไร้ความหวัง
ที่นี่...อนาคตมิได้ขึ้นอยู่กับผลงาน แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น ซึ่งดิฉันล่ะงงและแปลกใจยิ่ง
แต่ก็ช่างมันเถอะ งง+แปลกใจก็เสียเวลาเปล่า มาคิดหาทางสร้างอนาคตให้กับตัวเราเองดีกว่า ที่ผ่านมาดิฉันได้และเสียหลายอย่าง มาดู เรื่องที่ได้ ก่อนก็แล้วกันนะคะ
สิ่งที่ได้จากที่นี่เรื่องแรก ก็คือ เงินเดือนและตำแหน่งผู้บริหาร
ที่นี่ เป็นรง.อุตสาหกรรมปิโตรเคมีขนาดใหญ่ มีพนักงานทั้งหมดประมาณ 1,500คน ในปีที่ดิฉันเข้าไปทำงานที่นี่ คือ กันยายน 2539 (ตอนนั้น อายุ 32 ปี) ในตำแหน่ง รองผู้จัดการส่วนโฆษณาและประชาสัมพันธ์
ก่อนหน้านี้เคยทำงานอยู่บริษัทโฆษณา ด้านcreative เป็นcopy writer ทำหน้าที่ คิด และ เขียนข้อความโฆษณา ทำมานานก็นึกอยากจะเปลี่ยนมาทำด้านส่งเสริมการขาย จึงส่งใบสมัครไปยังบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่ง ดิฉันมาทราบตอนหลังว่า ผู้ใหญ่ของ 2 บริษัทนี้รู้จักกัน จึงส่งใบสมัครของผู้ที่มีคุณสมบัติตรงกับที่ต้องการไปยังบริษัทปิโตรเคมี
บจก.ปิโตรเคมีแห่งนี้ต้องการก่อตั้งแผนกใหม่ คือ โฆษณาและประชาสัมพันธ์ เพื่อเตรียมตัวจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เจ้าของบริษัทสัมภาษณ์เอง แล้วก็ให้คำตอบในวันนั้น ตกลงรับดิฉันเข้าทำงาน โดยมีเงื่อนไขหลักๆ คือ โบนัสอย่างต่ำ 2 เดือน ส่วนเงินเดือนขอต่อรองลงมา ดิฉันตกลง เพราะถึงอย่างไรก็ยังได้เพิ่มมากกว่าที่เก่าเป็นหลักหมื่น และตามระเบียบแล้ว ที่นี่ดูมีความเจริญก้าวหน้า เช่น ทำงานอีก 5-6 ปีแบบที่ผลงานไม่ต้องโดดเด่นมาก คือ ปรับตามเวลาก็จะได้เลื่อนตำแหน่งและมีรถประจำตำแหน่งให้ด้วย และยิ่งผลงานโดดเด่นก็จะได้รับการปรับเร็วกว่านั้น
ในที่สุด ดิฉันก็มาเริ่มงานที่นี่ ในเดือนต่อมา คือ กันยายน 2539 เพื่อนๆยังคงพอจำได้ วิกฤตเศรษฐกิจยุค IMF นั่นแหละค่ะ มันเกิดหลังจากที่ดิฉันเข้าทำงานที่นี่ได้ไม่นาน และส่งผลกระทบต่อรง.ที่ดิฉันทำอยู่อย่างมาก สิ่งที่กระทบกับดิฉันโดยตรง ก็คือ สิทธิประโยชน์ต่างๆที่ตกลงกันไว้ไม่สามารถเป็นไปตามข้อตกลงได้ เงินเดือนดิฉันและผู้บริหารถูกลดลง รถประจำตำแหน่งของผู้บริหารถูกขอคืน
ส่วนตัวดิฉันก็คือ โดนลดเงินเดือน 6,400 บาทแลกกับวันหยุดวันเสาร์ (เดิม ทำงาน 6 วัน/สัปดาห์)อันนี้เข้าใจและยอมรับได้ ดิฉันและเพื่อนๆที่เป็นเลือดใหม่ที่เข้ามาทำงานที่นี่พร้อมกัน จึงช่วยเหลือบริษัทอย่างเต็มที่
และไม่หนีไปไหน หรือทิ้งที่นี่ไปในยามที่เขาเดือดร้อน
หลังจากนั้นอีกหลายปีต่อมา บริษัทอื่นๆก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่ก็เช่นกัน แต่ยังคงทำเหมือนว่าบริษัทยังคงย่ำแย่อยู่ พนักงานดีๆหลายคนจึงเริ่มลาออกไป มีการแอบโปรโมท แอบขึ้นเงินเดือน ทำอะไรต่อมิอะไรที่พนักงานเริ่มยอมรับไม่ได้ จึงมีคนทยอยลาออกเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน ที่นี่ก็ไปทุ่มเงินซื้อตัวผู้บริหารจากที่อื่นมา อยู่ได้ไม่นานก็แขวนไว้ซะงั้น
เหตุการณ์เหล่านี้แหละที่ทำให้ดิฉันเริ่มคิดที่จะหาทางขยับขยาย ในขั้นต้นก็คิดเหมือนคนอื่น คือ หางานใหม่ แต่คิดไปคิดมาแล้ว คิดว่า...ที่ไหนก็มีปัญหาทั้งนั้น ต่างกันแค่ว่าเป็นปัญหาชนิดใด เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว จึงเบนเข็มมาคิดทำงานของตัวเอง จึงเริ่มศึกษาหาข้อมูลหลายอย่าง
ดิฉันถามตัวเองว่า...เราชอบทำอะไร
สิ่งที่ดิฉันชอบอย่างชัดเจน คือ
1.อ่านหนังสือ เคยทำงานเป็นกองบรรณาธิการพ็อคเก็ตบุ๊คมาก่อน อยากมีหนังสือเป็นของตัวเอง และค่าลิขสิทธิ์ก็เป็นมรดกตกทอดให้ลูกได้ด้วย มีแนวเรื่องที่จะเขียนเยอะแยะ แต่หลังจากได้คุยกับพี่ที่อยู่ในวงการนี้แล้ว เป็นไปได้ยากมากถ้าเราไม่ใช่คนดัง หนำซ้ำยังลงทุนสูงมากๆเป็นหลักแสนต่อหนังสือหนึ่งปก ความคิดนี้จึงพับไป
2.งานฝีมือ ดิฉันชอบงานฝีมือมาก ชอบทำงานhandmade ซึ่งงานแบบนี้ก็มีมากมายหลายแบบ ดิฉันได้มีโอกาสเรียนรู้หลายอย่างระหว่างที่ก็ยังทำงานประจำไปด้วย เช่น จัดดอกไม้สด ร้อยลูกปัด+หินสี คุกกี้ ฯลฯ ซึ่งที่ศึกษามา จะประสบปัญหาไม่ลงตัว เช่น
1.ต้องมีทำเลดีๆ ค่าใช้จ่ายก็สูงตามไปด้วย เสี่ยงเกินไปที่จะลงทุน
2.เวลา เราต้องลาออกมาทำเต็มตัวถึงจะแข่งกับคู่แข่งได้ ซึ่งดิฉันก็ยังไม่ต้องการลาออกมาเสี่ยง จนกว่าจะแน่ใจเสียก่อน
3.อายุสินค้า ถ้าขายไม่ได้ หรือเหลือก็เน่าเสีย เสี่ยงต่อการทิ้งของ
4.วัตถุดิบราคาสูง หลากหลาย ควบคุมคุณภาพลำบาก
5.จุดเด่น ยังไม่มีอะไรที่เหนือเจ้าตลาดเดิมที่ทำอยู่
และอีกหลายอย่างที่พบข้อจำกัดมากมาย ถ้าเทียบกับที่ทำงานประจำ ยังไม่ควรลาออกมาเสี่ยง
ดังนั้น ดิฉันจึงแสวงหาต่อไป จากนั้นมาอีกประมาณ7-8 ปีจนกระทั่งปี2549 ดิฉันได้รู้จักงานไหมพรมในรูปแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นคือ ตุ๊กตา กระเป๋า เครื่องประดับ ซึ่งดูน่ารักและเก๋ไก๋ ไม่เชยแบบที่เคยรู้จัก
ประกอบกับดิฉันเองพอจะมีพื้นฐานอยู่บ้างจึงเริ่มมุ่งศึกษาทางนี้อย่างจริงจัง
เริ่มจากฝึกทำชิ้นงาน ออกแบบชิ้นงานเอง จนถึงขั้นสอนให้แก่ผู้สนใจ และที่สำคัญที่สุด คือ ออกแบบแพทเทิร์นเอง นอกจากนี้ก็ศึกษาหาข้อมูลเรื่องวัตถุดิบ รวมทั้ง ความต้องการของลูกค้า สรุปได้ดังนี้
1.ต้นทุนวัตถุดิบหลัก คือ ไหมพรม , ใยสังเคราะห์ ราคาไม่สูง แต่ขายชิ้นงานสำเร็จรูปได้ราคาดีมาก เช่น ตุ๊กตาขนาดประมาณ 15 นิ้ว ต้นทุนวัตถุดิบประมาณไม่ถึงร้อยบาท แต่ขายได้3-500 บาท เพราะใช้เวลาทำนาน ซึ่งเวลาเป็นของเราเอง ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อหา และเป็นงานhandmade 100% จึงเป็นของชิ้นเดียวในโลก
2.วัตถุดิบหาง่าย หลากหลาย ไม่จำกัด เก็บไว้ได้นาน ไม่เน่า ไม่เสีย ไม่ต้องแช่เย็น ไม่ต้องอุ่นให้ร้อน ฯลฯ
3.ออกแบบได้ไม่รู้จบ ไม่มีทางตัน ยิ่งทำก็ยิ่งเกิดไอเดียใหม่ๆ ไม่ว่าจะมีคู่แข่งมากแค่ไหนถ้ารูปแบบเราโดนใจลูกค้า ลูกค้าก็เลือกเรา
4.ประยุกต์ให้ใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบ เช่น ทำเป็นกระเป๋า วางโทรศัพท์มือถือ นาฬิกา ฯลฯ
5.เก็บไว้ได้นาน ไม่เน่า ไม่เสีย ไม่ใหญ่โต ไม่เกะกะ ไม่หนัก เคยได้ยินว่ามีคนทำตุ๊กตาเก็บตุนไว้ พอถึงปลายปี ขายไม่กี่วันหมดเกลี้ยง บางคนไม่ได้เน้นขาย ก็ทำแจก ในโอกาสต่างๆ ประหยัดเงินในกระเป๋ามากมาย ผู้รับก็ดีใจมาก ได้ของที่มีคุณค่าทางใจ
6.เป็นสินค้าที่ให้กันได้ทั้งปี นอกเทศกาลสำคัญๆก็ยังมีวันเกิด รับปริญญา ขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ
7.ไม่ต้องใช้เครื่องจักรผลิต มีเพียง 1.เข็ม 2-3 อัน 2.ไหมพรม 3.ใยฯ 4.อุปกรณ์ตกแต่ง แค่นี้เท่านั้น
8.สร้างงานได้ทุกที่แม้บนรถ โดยพกอุปกรณ์ไปทำได้ทุกที่ เคยได้ยินบางคนเล่าว่านั่งถักทุกวันเช้าเย็นบนรถตู้ระหว่างนั่งกลับบ้าน-ทำงาน กลับมาเย็บประกอบที่บ้าน สัปดาห์หนึ่งได้หลายตัว
9.ขายได้ราคาดี วัตถุดิบราคาไม่สูง แต่บวกค่าไอเดียได้ หากคิดแพทเทิร์นเองได้ ก็สามารถขายแพทเทิร์นได้ด้วย ซึ่งมีราคา 100 บาทขึ้นไป/แบบ ตัวใหญ่สูงถึง 500 บาท/แบบ นอกจากนี้ยังรับสอนได้อีกต่อหนึ่ง
10.เพลิดเพลิน มีลุ้น ฝึกสมาธิ
11.ไม่มีวันตาย แม้คนรุ่นปัจจุบันอาจจะเบื่อแล้ว เด็กรุ่นใหม่ก็จะเข้ามาในตลาดอยู่เรื่อยๆ
12.สามารถทำควบคู่ไปกับงานประจำได้ หรือดูแลครอบครัวได้
ทั้งหมดนี้แหละที่ทำให้ดิฉันมุ่งมั่นที่จะพัฒนางานด้านนี้ จนกระทั่งลาออกจากงานประจำในปลายปี2551 และมีโครงการในอนาคต เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจอยากเป็นเจ้าของร้านอย่างdo by heartบ้าง เราก็จะฝึกอบรมและเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นพี่เลี้ยงให้ เป็นต้น
ปัจจุบัน ดิฉันเปิดร้านจำหน่ายอุปกรณ์ และรับสอนในราคาย่อมเยาว์ จึงใคร่ขอเชิญชวนทุกท่านแวะชมที่ร้าน หรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้ดังนี้ค่ะ
1.dobyheart.com(dobyheart@hotmail.com)
2.ร้านที่เพชรเกษม 81 เข้าไปประมาณ 2 กม. เลยปั๊มปตท. ไป 1ป้ายรถเมล์ ลงก่อนถึงสัญญาณไฟ แล้วข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม รถเมล์ที่ผ่าน สาย80,ปอ.80,80ก. และรถสองแถวจากปากทาง

ขอบคุณค่ะที่ให้ความสนใจ

พิชชนันช์(ต่าย)
โทร.081 450 1180




 

Create Date : 06 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 6 กันยายน 2553 9:05:55 น.
Counter : 150 Pageviews.  


do by heart
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีค่ะ...เพื่อนๆ
เรียกเราง่ายๆ ว่า "ต่าย" ก็ได้ค่ะ
ขอเชิญเพื่อนๆมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดีๆร่วมกันค่ะ
แต่เรายังเป็นมือใหม่หัดทำบล็อกอยู่
แนะนำด้วยนะคะ
Friends' blogs
[Add do by heart's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.