การแท้งและการทำแท้ง








อุบัติการของการแท้งและการทำแท้ง โดย นายแพทย์สมหมาย ถุงสุวรรณ
          การแท้งเอง

          จากสถิติทางการแพทย์พบว่า การแท้งเองเกิดขึ้นร้อยละ ๑๐
ของการตั้งครรภ์ หมายถึงว่าการตั้งครรภ์๑๐ ครั้งจะเกิดการแท้งเอง ๑ ครั้ง
แต่ผู้เขียนคิดว่าตัวเลขที่แท้จริงน่าจะมากกว่านี้
ทั้งนี้เนื่องจากการแท้งเองในระยะที่พึ่งเริ่มตั้งครรภ์ใหม่ๆ
อาจเกิดขึ้นโดยผู้ตั้งครรภ์ไม่ทราบว่าตนเองแท้ง
อาจคิดว่ามีประจำเดือนล่าช้ากว่ากำหนดก็ได้


          การทำแท้งเพื่อการรักษา


         
อุบัติการของการทำแท้งเพื่อการรักษานั้นมีน้อยที่โรงพยาบาลศิริราช
มีการทำแท้งเพื่อการรักษาปีละ ๓๐-๔๐ รายเท่านั้น
ช่วงเวลาที่มีการระบาดของหัดเยอรมัน จำนวนการทำแท้งเพื่อการรักษาก็มากขึ้น

การทำแท้งที่ผิดกฎหมาย

          การลักลอบทำแท้งที่ผิดกฎหมายมีอุบัติการสูงมาก
เท่าที่เผยแพร่ตัวเลขเพื่อประกอบการพิจารณาแก้ไขกฎหมายทำแท้งในปี พ.ศ. ๒๕๒๔
นั้น อ้างว่ามีการทำแท้งทั่วประเทศปีละ ๒๐๐,๐๐๐-๔๐๐,๐๐๐ ราย
ตัวเลขนี้ผู้ที่คัดค้านการแก้กฎหมายทำแท้งให้ความเห็นว่ามากเกินความเป็น
จริง
แต่สำหรับผู้สนับสนุนให้แก้กฎหมายกลับคิดว่าเป็นตัวเลขที่น้อยไปด้วยซ้ำ

           ตารางแสดงอัตราการแท้งแต่ละประเภทระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๔-๒๕๒๑























ปี พ.ศ.


ชนิดของการทำแท้ง


รวม จำนวน %


แท้งเพื่อการรักษา


แท้งผิดกฎหมาย


แท้งเอง


๒๕๑๔

๒๕๑๕

๒๕๑๖

๒๕๑๗

๒๕๑๘

๒๕๑๙

๒๕๒๐

๒๕๒๑


๖ ๐.๓

๗ ๐.๔

๑๘ ๐.๙

๒๑ ๐.๙

๑๒ ๑.๕

๓๒ ๑.๔

๒๕ ๑.๑

๓๕ ๑.๕


๒๔๖ ๑๔.๑

๓๒๘ ๑๗.๘

๔๑๕ ๒๑.๗

๔๘๙ ๒๑.๔

๕๔๑ ๒๔.๔

๖๒๔ ๒๘.๕

๖๖๑ ๒๙.๙

๖๔๘ ๒๘.๕


๑,๔๙๔ ๘๕.๖

๑,๕๐๗ ๘๑.๘

๑,๔๗๗ ๗๗.๓

๑,๗๗๐ ๗๗.๖

๑,๖๖๒ ๗๕.๐

๑,๕๓๖ ๗๐.๑

๑,๕๒๔ ๖๘.๙

๑,๕๘๘ ๖๙.๙


๑,๗๔๖ ๑๐๐

๑,๘๔๒ ๑๐๐

๑,๙๑๐ ๑๐๐

๒,๒๘๐ ๑๐๐

๒,๒๑๕ ๑๐๐

๒,๑๙๒ ๑๐๐

๒,๒๑๐ ๑๐๐

๒,๒๗๑ ๑๐๐


จากหนังสือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำแท้งในประเทศไทย ของสุพร เกิดสว่าง







หัวข้อ










สาเหตุของการทำแท้งผิดกฎหมาย
         
ถึงแม้การตั้งครรภ์จะเป็นเรื่องธรรมชาติของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายก็ตาม
สำหรับมนุษย์นั้นมีเพียงร้อยละ ๒๐  เท่านั้นที่จงใจ   ตั้งใจ
หรือมีแผนการจะให้ตั้งครรภ์เพื่อจะได้ลูกไว้สืบตระกูล 
นอกนั้นเป็นการตั้งครรภ์โดยบังเอิญ  แบบที่เรียกว่ามีก็ได้ ไม่มีก็ได้ 
ที่ร้ายแรงและเป็นปัญหาที่สุด  ได้แก่การตั้งครรภ์ในคนที่ไม่ต้องการลูก
กลุ่มที่ตั้งครรภ์โดยบังเอิญนี้ นอกจากจะไม่ยอมรับการตั้งครรภ์แล้ว
ยังพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลง

         
ปฏิกิริยาที่เกิดกับผู้ตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจเกิดได้หลายแบบอย่างด้วยกัน
บางคนเมื่อประจำเดือนเกินกำหนดก็กินยาชุดขับประจำเดือน  
ความจริงยาขับประจำเดือนจะได้ผลก็ต่อเมื่อหญิงผู้นั้นมิได้ตั้งครรภ์เท่า
นั้น ถ้าตั้งครรภ์จริง แม้จะรับประทานยานี้หลายๆ ชุดก็มักจะไม่ได้ผล
บางคนนำปัสสาวะไปตรวจ เพื่อทดสอบการตั้งครรภ์
บางคนเพียงแต่เล่าอาการให้เพื่อนๆ ฟัง
บางคนก็รอจนท้องโตคลำมดลูกได้ทางหน้าท้อง  รายที่น่าระอาที่สุด
คือรายที่ปล่อยตัวไว้จนรู้สึกเด็กดิ้นจึงรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์

          เมื่อทราบแน่ชัดว่าตนเองตั้งครรภ์
บางคนจะปรึกษาแพทย์ตามโรงพยาบาลหรือคลินิก เพื่อขอให้แพทย์ทำแท้งให้
ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับการปฏิเสธ นอกจากจะปฏิเสธการทำแท้งแล้ว
แพทย์มักจะอธิบายชี้แนะให้ตระหนักถึงอันตรายของการทำแท้ง
เนื่องจากผู้ตั้งครรภ์และผู้เกี่ยวข้องคิดว่า
ผลเสียของการตั้งครรภ์มีมากกว่าอันตรายจากการทำแท้ง
ในที่สุดจึงเลือกสถานที่ลักลอบทำแท้งที่มีอยู่มากมายทั้งในกรุงเทพมหานครและ
ต่างจังหวัด
สถานที่ดังกล่าวนี้มักจะอยู่ลึกลับไม่เปิดเผยหรือไม่ก็อาศัยการทำคลินิก
บังหน้า  ราคาค่าบริการก็แตกต่างกัน แทบทุกแห่งอาจจะต่อรองราคากันได้

          สาเหตุของการทำแท้งเท่าที่รวบรวมจากโรงพยาบาลศิริราช
และวชิรพยาบาล พอจะแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ หญิงโสด กับ หญิงที่แต่งงานแล้ว

          หญิงโสดมักจะทำแท้งเนื่องจากตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน
และมีอุปสรรคขัดข้อง  ทำให้ไม่สามารถแต่งงานกับชายที่เป็นบิดาของเด็กได้
อาจเป็นเพราะทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังเป็นนักเรียน
ฝ่ายชายไม่ยอมรับพ่อแม่ไม่ยอมรับ  บางรายก็ขัดกับอาชีพ เช่น อาชีพหญิงบำเรอ
หญิงบริการอาบอบนวด พาร์ตเนอร์ตามไนต์คลับหรือสถานเริงรมย์ เป็นต้น

          สำหรับหญิงที่แต่งงานแล้วอ้างเหตุผลหลายประการ 
ประการที่สำคัญที่สุดคือ ปัญหาทางเศรษฐกิจ
รายได้ไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูบุตร ประการที่ ๒ 
เกี่ยวกับความไม่พร้อมที่จะมีบุตรหรือมีบุตรมากเกินไป 
เท่าที่พบเห็นมักจะทั้งสองอย่างประกอบกัน  คือ ทั้งยากจนและมีบุตรมาก
อาศัยอยู่ตามชุมชนแออัด ประการที่ ๓  คือ ความแตกร้าวภายในครอบครัว  เช่น 
มีสามีที่ขาดความรับผิดชอบ  เป็นภรรยาน้อยหรือภรรยาลับ เลิกกับสามี ฯลฯ
นอกนั้นเป็นเหตุผลย่อย  เช่น  ขัดต่ออาชีพของนักร้องนักแสดง  หญิงบริการ
บางคนกลัวการคลอดเพราะเคยคลอดยากมาก่อนก็มี










วิธีทำแท้ง
         
วิธีทำแท้งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน
การเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งก็โดยอาศัยอายุครรภ์หรือขนาดของมดลูกเป็นหลัก 
ถ้าเป็นวิธีทำแท้งเพื่อการรักษาที่กระทำโดยแพทย์ก็พอจะแบ่งได้ ๖ วิธีใหญ่ๆ
คือ
๑. การปรับประจำเดือน
เป็นวิธีที่ใช้ในครรภ์ไม่เกิน ๖ สัปดาห์ หรือคิดง่ายๆ แบบชาวบ้านก็คือ
ทำเมื่อประจำเดือนเกินกำหนดไป ๒ สัปดาห์
วิธีนี้ใช้กันมากในกลุ่มของนักวางแผนครอบครัว

          วิธีนี้กระทำโดยสอดส่องท่อพลาสติกเล็กขนาดเส้นรอบวง  ๔-๘ 
มิลลิเมตร เข้าไปในโพรงมดลูกโดยผ่านทางช่องคลอดและปากมดลูกตามลำดับ
ต่อปลายท่อพลาสติกด้านนอกเข้ากับกระบอกฉีดยาชนิดใหญ่พิเศษเมื่อปล่อยล็อค
แรงดูดจะดูดเอารกและเด็กออกหมดเป็นวิธีที่ทำได้ง่าย ใช้เวลาไม่เกิน ๕ นาที
๒. การขูดมดลูก
เป็นวิธีเก่าแก่ดึกดำบรรพ์แต่ก็ยังใช้แพร่หลายและได้ผลดี
แต่ควรเลือกทำในรายที่มดลูกมีขนาดโตไม่เกินอายุครรภ์ ๑๔
สัปดาห์จำเป็นต้องใช้เครื่องมือถ่างขยายปากมดลูกก่อนการขูด
 ดังนั้นผู้ป่วยจะเจ็บปวดมากถ้าไม่ฉีดยาชา หรือได้รับยาสลบก่อนการขูด
๓. การใช้เครื่องดูดสุญญากาศ 
ใช้ทำแท้งในอายุครรภ์ไม่เกิน  ๑๒  สัปดาห์ เป็นที่น่าสังเกตว่า
ขณะที่โรงพยาบาลรัฐบาลหลายแห่งยังไม่มีเครื่องมือทำแท้งชนิดนี้
เครื่องมือนี้กลับไปแพร่หลายอยู่ตามคลินิกทำแท้งเถื่อนเกือบทุกแห่ง
ทั้งนี้เพราะความง่าย สะดวกรวดเร็ว และปราศจากความเจ็บปวดนั่นเอง

          เครื่องดูดสุญญากาศนี้มีลักษณะคล้ายกับเครื่องมือปรับประจำเดือน
ใช้ท่อพลาสติกสอดผ่านช่องคลอดเข้าโพรงมดลูกเหมือนกัน
แต่ท่อพลาสติกด้านนอกนั้นยาวกว่า
เมื่อต่อกับเครื่องดูดสุญญากาศไฟฟ้าแล้วก็จะดูดสิ่งต่างๆ ในโพรงมดลูกออกหมด
๔. การฉีดน้ำเกลือเข้มข้นเข้าถุงน้ำหล่อเด็ก เป็น
วิธีที่เหมาะสำหรับรายที่มดลูกโต จนคลำได้ชัดเจนทางหน้าท้องแล้ว
คือเมื่ออายุครรภ์ประมาณ  ๑๖  สัปดาห์ขึ้นไป ใช้น้ำเกลือเข้มข้น ๒๐%
ที่ผลิตใหม่ๆจำนวนประมาณ  ๑๕๐-๒๐๐  มิลลิลิตร ฉีดเข้าไปในถุงน้ำหล่อเด็ก
โดยใช้เข็มขนาดใหญ่เจาะผ่านผนังหน้าท้องเด็กก็จะแท้งออกเองภายหลังให้น้ำ
เกลือ ๖-๔๘ ชั่วโมง
๕. การผ่าเอาเด็กออกทางหน้าท้อง
ปัจจุบันไม่นิยมทำกันเพราะมีวิธีอื่นที่สะดวกและปลอดภัยกว่าแต่ก็ยังคงมีทำ
ในบางราย  เช่น ผู้ป่วยปัญญาอ่อน ที่ต้องการตัดมดลูกออกด้วย
เพื่อตัดปัญหายุ่งยากขณะมีประจำเดือน
หรือในผู้ป่วยบางรายที่ต้องการผ่าตัดทำหมันด้วย
๖. การใช้ยาพวกพรอสตาแกลนดินส์ (prostaglandins)
ยาประเภทนี้มีฤทธิ์ทำให้มดลูกบีบรัดตัวและเกิดการแท้ง  ตัวยามีหลายชนิด
คือ ชนิดเหน็บช่องคลอดชนิดรับประทาน  ชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพทำให้เกิดการแท้งได้แน่นอน โดยเฉพาะในครรภ์อ่อนๆ
แต่อาการแทรกซ้อนของยานี้มีมาก  เช่น อาการอาเจียนและท้องเดิน
รวมทั้งอาการเจ็บปวดมดลูกอย่างรุนแรงด้วย
ขณะนี้กำลังคันคว้าวิจัยเพื่อสกัดตัวยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะตัวมดลูกเท่านั้น
คาดว่าอีกไม่นานวิธีนี้จะเป็นที่นิยมแพร่หลายเพราะไม่ต้องใช้เครื่องมือช่วย


          สำหรับวิธีทำแท้งตามวิธีของหมอเถื่อนมีหลายวิธี ตามความนิยมมากน้อยดังนี้
๑. การสวนน้ำยาเข้าโพรงมดลูก 
โดยผ่านท่อยางเล็กๆ เข้าทางปากมดลูก แล้วฉีดสารเหลวบางชนิดสารเคมี น้ำสบู่
ด่างทับทิม แอลกอฮอล์
น้ำมันเบนซินสารเหลวเหล่านี้เป็นของแปลกปลอมที่ค่อนข้างสกปรกมีผลให้เด็กตาย
พร้อมๆ กับมีการอักเสบติดเชื้อ มดลูกจึงบีบรัดตัว เกิดการตกเลือด
และมีการแท้งติดตามมา

          ขบวนการแท้งโดยวิธีนี้ค่อยเป็นค่อยไป เลือดออกไม่มาก
แต่กลไกที่ทำให้เกิดการแท้งอาจเป็นเพราะความสกปรกหรือสารเคมี ทำให้เด็กตาย
และทำให้แท้งโดยทั่วไปเด็กจะตายจากการอักเสบติดเชื้อ 
ซึ่งเชื้อโรคนี้ค่อนข้างรุนแรง ถ้ารักษาไม่ทัน
ตัวผู้ถูกทำแท้งเองมักจะตายก่อนที่จะมีการแท้งด้วยซ้ำไป
  ๒. การทำให้ถุงน้ำหล่อเด็กแตก
กระทำโดยสอดท่อโลหะขนาดเล็กๆ 
อาจจะเป็นท่อสวนปัสสาวะหรือเครื่องมือที่ใช้วัดความลึกของโพรงมดลูก
สอดเข้าทางปากมดลูก  ผ่านทะลุถุงน้ำหล่อเด็ก  จนถุงน้ำหล่อเด็กแตก
เมื่อขาดน้ำหล่อเลี้ยง  เด็กก็จะตาย  เกิดปฏิกิริยาของการแท้ง
ซึ่งก็มีโอกาสจะเกิดการอักเสบติดเชื้อเช่นเดียวกับวิธีแรก
เพราะขบวนการแท้งของวิธีนี้ค่อนข้างช้า
  ๓. การสอดใส่วัสดุแปลกปลอมไว้ในโพรงมดลูก
ที่พบบ่อย ได้แก่ สอดสายยางสำหรับสวนปัสสาวะเข้าไปขดงออยู่ในโพรงมดลูก
บางแห่งอัตคัตสายยางถึงกับใช้กิ่งไม้ขนาดเล็ก หรือหญ้าปล้องแทน 
ระยะเวลาที่มดลูกหดรัดตัวเพื่อขับไล่วัสดุแปลกปลอมออกจากโพรงมดลูกนั้นใช้
เวลานาน จึงทำให้เกิดการแท้งค้างแต่อันตรายที่สำคัญก็คือ
การอักเสบติดเชื้อเช่นเดียวกัน
   ๔. การกระตุ้นเชิงกลอย่างรุนแรงที่มดลูก
การบีบนวดเป็นวิธีทำแท้งที่แพร่หลายในทุกภาคของประเทศไทย 
โดยเฉพาะในภาคเหนือ เริ่มด้วยการให้ผู้ป่วยนอนหงายชันเข่า  หนุนก้นให้สูง 
ใช้มือยกมดลูกให้ลอยขึ้นและบีบให้ "ก้อนเลือด" แตก
บางรายใช้ส้นเท้ายันบริเวณปากช่องคลอดด้วย
โดยอ้างว่าจะช่วยให้มดลูกลอยตัวขึ้น วิธีนี้เลือดอาจจะออกภายในวันแรก
หรือบางรายก็อาจต้องทำซ้ำหลายๆ ครั้ง
๕. การใช้ยาบีบมดลูก
โดยฉีดหรือรับประทานยาพวกเออร์กอต (ergot) ขนาดมากและติดต่อกันหลายวัน
วิธีนี้มีอัตราล้มเหลวมากกว่าวิธีอื่น  ที่จังหวัดทางภาคใต้
บางแห่งมีวิธีเสกหมากให้หญิงตั้งครรภ์เคี้ยวและกลืนลงไปเลย
เล่ากันว่าจะแท้งภายใน ๑-๗ วันเป็นส่วนใหญ่

ตารางคุณวุฒิของผู้ประกอบการทำแท้ง (พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๒๑)













วุฒิ (ตามความเข้าใจของคนไข้)


% ของทั้งหมด (๒,๔๗๔)



                                        แพทย์

                                        พยาบาล

                                        บุรุษพยาบาล

                                        หมอเถื่อน

                                        อาชีพอื่น

                                        คนไข้ทำเอง

                                        ไม่ได้ข้อมูล



๔.๗

๒๐.๓

   ๗.๖

๕๘.๑

   ๒.๖

   ๐.๒

  ๖.๔



ตารางแสดงวิธีลักลอบทำแท้ง (พ.ศ. ๒๕๑๑-๒๕๒๑)













วิธีทำแท้ง



% ของทั้งหมด (๔,๔๙๗)


                ฉีดของเหลวเข้ามดลูก

                ขูดมดลูกหรือใช้เครื่องดูดสุญญากาศ

                บีบนวดจากภายนอก

                กินยาหรือฉีดยา

                ไม่ได้ข้อมูล

๘๗.๕

  ๑.๗

  ๔.๓

  ๔.๕

  ๒.๐


จากหนังสือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำแท้งในประเทศไทย ของสุพร เกิดสว่าง













อันตรายจากการแท้ง
         
การทำแท้งโดยวิธีที่ถูกต้อง โดยแพทย์ที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์ 
ที่เรียกว่าทำแท้งเพื่อการรักษานั้นมีอันตรายน้อย
ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ด้วย  
ด้วยเหตุที่กฎหมายอนุญาตให้ทำแท้งได้ในวงแคบมาก
โดยมารยาททางการแพทย์จึงไม่มีแพทย์คนใดยอมรับทำแท้งให้โดยหวังอามิสสินจ้าง
ที่ผิดกฎหมาย  อย่างไรก็ตาม 
อาจจะมีแพทย์ที่กล้าหาญบางคนกระทำโดยไม่คำนึงถึงจรรยาบรรณและกฎหมายบ้าน
เมือง

         
การทำแท้งที่นอกเหนือจากการกระทำเพื่อการรักษาแล้วถือว่าผิดกฎหมาย
และเป็นความผิดทางอาญาทั้งผู้ทำและผู้ถูกกระทำ 
สถิติผู้ป่วยทำแท้งผิดกฎหมายที่รับไว้รักษาตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ
มีจำนวนมากในแต่ละปี แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมายทำแท้งนัก

คดีฟ้องร้องเกี่ยวกับการทำแท้งที่ถึงกับต้องขึ้นพิจารณาในศาลนั้นนับว่าน้อย
ไม่ถึง ๑ ใน ๑,๐๐๐ ของจำนวนผู้ป่วยที่ถูกทำแท้ง
แม้แต่รายที่เกิดโรคแทรกซ้อนของการทำแท้งจนถึงแก่กรรมในโรงพยาบาล
ก็แทบจะไม่มีการดำเนินคดีกันเลย

          อันตรายที่เกิดกับผู้ทำแท้ง แบ่งได้เป็น ๓ ระยะ  คือ
๑. ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดทันที
เป็นอันตรายที่เกิดขึ้นขณะทำแท้งหรือเกิดภายใน ๓
ชั่วโมงหลังทำแท้งมีการตกเลือด มดลูกทะลุ ปากมดลูกฉีกขาด 
อันตรายจากยาชาและยาสลบ ภาวะเลือดไม่แข็งตัวทำให้ตกเลือดมาก
ภาวะโซเดียมคั่งในเลือด  ภาวะเป็นพิษจากสารน้ำ
และหลอดเลือดอุดตันจากฟองอากาศ อุดตันจากลิ่มเลือดหรืออุดตันจากน้ำคร่ำ
ภาวะแทรกซ้อนที่กล่าวถึงทั้งหมดนี้ อาจจะมีความรุนแรง
จนทำให้ผู้ป่วยถึงแก่กรรมได้
๒. ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดล่า
เป็นอันตรายที่เกิดขึ้นหลังการทำแท้ง ๓ ชั่วโมงไปจนถึง ๒๘  วัน
ได้แก่ภาวะแท้งไม่ครบหรือแท้งค้าง
และการอักเสบติดเชื้อทั้งสองภาวะนี้เป็นอาการสำคัญที่นำผู้ทำแท้งผิดกฎหมาย
เข้ารักษาต่อในโรงพยาบาล

          การอักเสบติดเชื้อนั้นพบเกือบทุกราย
รายที่อักเสบรุนแรงอาจจะถูกตัดมดลูกทิ้ง แม้ผู้ป่วยจะยังอายุเพียง ๑๕ - ๑๖
ปีก็ตาม รายที่รุนแรงกว่านั้นอาจจะถึงแก่กรรมก่อนตัดมดลูก
หรือแม้แต่ตัดมดลูกออกแล้วก็ช่วยชีวิตไม่ได้
๓. ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดในระยะหลัง
เป็นอันตรายที่เกิดหลังการทำแท้ง ๒๘ วันไปแล้ว ได้แก่
การอักเสบเรื้อรังในอุ้งเชิงกราน ปวดประจำเดือน ปวดขณะร่วมเพศ 
หรือบางรายปวดมากจนไม่สามารถจะร่วมเพศได้
บางรายเป็นหมันเพราะโพรงมดลูกติดกันจนตัน 
หรือเป็นหมันเพราะท่อนำไข่อุดตันจากการอักเสบ 
และผลของการอักเสบของท่อนำไข่อาจทำให้มีการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ 
นอกจากนี้ยังพบอุบัติการของการแท้งซ้ำในครรภ์หลังๆค่อนข้างบ่อย


ขอขอบคุณ นายแพทย์สมหมาย ถุงสุวรรณ


















อันตรายที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนของการขูดมดลูก : ผนังหน้าของปากมดลูกทะลุจากเครื่องมือขยายปากมดลูก มักพบในรายมดลูกคว่ำหลัง


















อันตรายที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนของการขูดมดลูก : มดลูกทะลุ พบบ่อยเพราะความอ่อนนุ่นของผนังมดลูกขณะตั้งครรภ์







 

Create Date : 07 ตุลาคม 2553   
Last Update : 7 ตุลาคม 2553 15:17:39 น.   
Counter : 441 Pageviews.  


ไขปมสงสัยเรื่องประจำเดือน

ไขปมสงสัยเรื่องประจำเดือน

Q : ประจำเดือนคือเลือดเสียใช่หรือไม่

A : ประจำเดือนของผู้หญิงนั้นไม่ใช่เลือดเสียอย่างที่เข้าใจ แต่เลือดประจำเดือนเกิดจากเยื่อบุผนังมดลูกที่หลุดปนออกมากับเลือดที่ออกจาก เส้นเลือดฝอย ที่เลี้ยงเยื่อบุผนังมดลูก

ปกติประจำเดือนจะเป็นน้ำเลือดจะไม่เป็นก้อนหรือลิ่มเลือด นอกจากในกรณีที่เลือดออกมามาก แต่บางครั้งเป็นสีดำคล้ำ เนื่องจากเลือดออกน้อย และมาตกค้างอยู่ในช่องคลอด ก่อนไหลออกสู่ภายนอก

Q : อันตรายหรือไม่เล่น กีฬาขณะมีประจำเดือน

A : เพื่อนๆ สามารถเล่นกีฬาได้ปกติ แต่ไม่ควรหักโหมจนเกินไปนัก เพราะในช่วงมีประจำเดือนมักมีอาการปวดท้องร่วมด้วยบ่อยครั้ง ทางที่ดีไม่ควรใช้ยาแก้ปวดรอบเดือนเป็นประจำหรือเป็นเวลานานเพื่อบรรเทาอาการ

ควรลดกิจกรรมบางอย่างลงออกกำลังกายให้พอเหมาะแล้วพักผ่อนให้เพียงพอกินอาหาร ที่มีประโยชน์ก็เป็นทางหนึ่งในการบรรเทาอาการปวดประจำเดือน

 สำหรับนักกีฬาสารมารถปรับเลื่อนประจำเดือนได้โดยวางแผนล่วงหน้าพร้อมทั้ง ปรึกษาแพทย์เสียแต่เนิ่นๆ 




Free TextEditor




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2553   
Last Update : 7 ตุลาคม 2553 15:13:03 น.   
Counter : 306 Pageviews.  


เมื่อไฟฟ้าลัดวงจร (ในหัวใจ)


ในหัวใจปกติจะมีการนำสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจเพื่อให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบ
ตัวพร้อมๆกัน  โดยจะเริ่มจากหัวใจห้องบนขวา
แล้วบีบตัวไล่ลงไปจนถึงหัวใจห้องล่างทั้งสองห้อง 
เพื่อให้หัวใจบีบตัวพร้อมกัน


แล้ว Wolff Parkinson White Syndrome คืออะไร


ถ้ามีการนำสัญญาณไฟฟ้าไปยังหัวใจห้องล่างเร็วเกินไปก็จะเรียกว่า Wolff
Parkinson White Syndrome ครับ
ซึ่งเป็นความผิดปกติของการนำสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจ


ซึ่งจะสามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ซึ่งจะพบว่ามีการนำไฟฟ้าที่ลัดระหว่างหัวใจห้องบนสู่หัวใจห้องล่างเพิ่มอีก
ช่องทางหนึ่ง แล้วทำให้


WPW



ภาพซ้ายเป็นภาพการนำไฟฟ้าที่ปกติ ซึ่งเริ่มจากจุด SA
ที่บนซ้ายของรูป (อยู่ในตำแหน่งของหัวใจห้องบนขวาครับ)
แล้วสัญญาณก็จะถูกส่งไปที่หัวใจห้องบนซ้าย และ จุด AV
ก่อนที่จะส่งไปยังหัวใจห้องล่างทั้งสองห้อง


แต่ในภาพขวาที่เป็น Wolff Parkinson White Syndrome จะมีช่องทางลัดวงจรเพิ่มอีกหนึ่งช่องทาง แล้วทำให้หัวใจบีบตัวผิดจังหวะ



ผู้ป่วยจะพบว่ามีอาการหัวใจบีบตัวเร็ว  อาจมีอาการมึนงง  ใจสั่น 
หน้ามืดหรือเป็นลมได้ 
บางครั้งก็ทำให้หัวใจบีบตัวนำเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้ไม่เพียงพอครับ


การรักษา


ส่วนใหญ่ที่ไม่มีอาการ อาจไม่จำเป็นต้องรักษา  แต่ถ้ามีหัวใจบีบตัวเร็ว
ก็อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยยา  แต่บางครั้งการใช้ยาก็อาจไม่ได้ผลครับ   
และอาจจำเป็นต้องได้รับการตรวจการนำไฟฟ้าของหัวใจอื่นๆอีก


มีวิธีการรักษาโดยการใช้สายสวนครับซึ่งจะไปทำลายช่องทางลัดของการนำไฟฟ้า
ครับ  เพื่อป้งกันความเสี่ยงของภาวะหัวใจบีบตัวผิดจังหวะ 
แต่ผลของการรักษาก็มีได้หลายปัจจัยด้วยครับ







Free TextEditor

ขอบขอบคุณ //www.mayoclinic.org




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2553   
Last Update : 6 ตุลาคม 2553 16:39:47 น.   
Counter : 529 Pageviews.  


กินไข่ทุกวัน อันตราย หรือปลอดภัย

















 มีข้อกล่าวถึงไข่ แหล่งโปรตีนราคาถูกไปในทางดีและทางร้ายอยู่ตลอดเวลา
อะไรคือข้อเท็จจริง

ไข่เจียวร้อน ๆ กับพริกขี้หนูสด ฟาสต์ฟู้ดคนไทยที่อร่อยสุดยอด
หรือไข่ออมเลตแบบอเมริกันเบรกฟาสท์ กินไข่ปลอดภัยหรือทำร้ายหัวใจของเรา

ผู้ที่รักสุขภาพมากมายเริ่มรังเกียจความอร่อยของไข่ เพราะกลัวโคเลสเตอรอลที่มากับไข่แดง บางคนถึงกับแยกกินเฉพาะไข่ขาวปราศจากไข่แดง
น่าเสียดาย เรากำลังโยนทิ้งคุณค่าอาหารที่ดีที่สุดในไข่แดงเหมือนกับเรากินข้าวขัดสีสวยงามที่ขัดเอาวิตามินออกไปเสียหมด


   
   ไข่แดงมีโคเลสเตอรอลสูง เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
แต่ร่างกายเราจำเป็นต้องมีโคเลสเตอรอลที่เหมาะสมในกระบวนการเผาผลาญอาหาร
หล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
หากเรากินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลต่ำตลอดเวลา
ร่างกายก็ต้องผลิตออกมาเพื่อสร้างความสมดุล

       ถ้าคุณมีโคเลสเตอรอลสูงกว่าปกติอยู่แล้ว ไข่แดงก็ควรจะหลีกเลี่ยง
แต่ทว่าขอให้ระลึกไว้ด้วยว่า ภาวะโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด
โคเลสเตอรอลไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ก่อให้เกิดปัญหา(ส่วนใหญ่เกิดจากความ
เครียด ไม่ออกกำลังกายหรือกินมากไป)


การเลือกกินเฉพาะไข่ขาวเพราะกลัวโคเลสเตอรอล
ทำให้คุณพลาดคุณค่าที่ดีของไข่แดง
เพราะในไข่แดงมีสารอาหารมากมายไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี วิตามินเอ โฟเลต
โคลีน และบรรดาเกลือแร่ต่าง ๆ แคลเซี่ยม เหล็ก


กินไข่ไขมันดีเพิ่ม
       มหาวิทยาลัย North Carolina สหรัฐอเมริกา
สนับสนุนให้กินไข่ทุกวันเพราะเป็นแหล่งสารอาหารที่ถูกมากโดยเฉพาะโคลีนที่มี
มากในไข่แดง ซึ่งช่วยให้ระบบเซลล์สื่อประสาททำงานได้ดี ช่วยเรื่องความจำ
เด็ก ๆ ควรกินสม่ำเสมอเพราะไม่ต้องห่วงเรื่องโคเลสเตอรอล

กินไข่ทำให้
โคเลสเตอรอลตัวดี HDL เพิ่มมากขึ้น การมี HDL
เพิ่มมากขึ้นทำให้อัตราส่วนโคเลสเตอรอลรวมกับHDL ดีขึ้น
สัดส่วนที่ดีหมายถึงเอาโคเลสเตอรอลรวมหารด้วย HDL ค่าที่ดีควรอยู่ที่ 2-3
ในผู้หญิง และ 3-4 ในผู้ชาย


กินไข่ไม่ทำให้อ้วน
     
 จากการติดตามศึกษากลุ่มคนที่รับประทานอาหารเช้าเป็นไข่เทียบกับกลุ่มที่ทาน
ซีเรียลและขนมปัง
เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่กินไข่เป็นอาหารเช้าจะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยต่ำกว่า
อีกกลุ่ม เป็นเพราะโปรตีนจากไข่ร่างกายจะค่อย ๆ ย่อยเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ
ไม่เหมือนกับการกินคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันที่จะย่อยเร็วกว่า
จึงทำให้หิวเร็วกว่าและทานซ้ำมากกว่า

       แม้ว่าไข่จะมีโคเลสเตอรอลสูงถึง 200
มิลลิกรัมซึ่งสมาคมโรคหัวใจของอเมริกา (American Heart Association)
ได้ให้ข้อกำหนดว่าเราควรกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลไม่เกิน 300
มิลลิกรัมต่อวัน


     
 มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ทำการศึกษาว่าการกินไข่มากกว่าวันละฟองไม่ทำให้
ความเสี่ยงของโรคหัวใจเพิ่มขึ้น
แต่การปฏิเสธไม่กินไข่เลยหรือเลือกกินเฉพาะไข่ขาวไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเพราะ
ร่างกายหากได้โคเลสเตอรอลไม่เพียงพอร่างกายเราก็จะพยายามผลิตออกมาเอง
ซึ่งอาจจะมากกว่าการกินเข้าไป


       การกินแบบพอดี ไข่วันละฟองหรือสัปดาห์หนึ่ง 3-4 ฟอง
ไม่ก่อปัญหาให้มากแต่ที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการได้ไขมันส่วนเกินจาก
เครื่องเคียงเสียมากกว่า เช่น ไส้กรอกทอดที่อุดมด้วยน้ำมันทั้งนอกและใน
ไข่เจียวอมน้ำมัน หรือขนมปังทาเนยจริงหรือเทียม
ล้วนเป็นตัวสร้างปัญหาให้มากกว่าตัวไข่เอง


     
 กินไข่ต้มรับรองว่าคุณได้สารอาหารที่ครบคุณค่าและปลอดภัยจากไขมันที่มาจาก
การปรุง สำหรับผู้ใหญ่ที่มีปัญหาสุขภาพก็ควรระมัดระวัง แต่สำหรับเด็ก ๆ
ไข่คืออาหารที่วิเศษที่คุ้มค่าราคาเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับ



//www.never-age.com





Free TextEditor




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2553   
Last Update : 6 ตุลาคม 2553 15:11:10 น.   
Counter : 374 Pageviews.  


ปัสสาวะบอกโรค

ปัสสาวะเป็นสิ่งที่ช่วยบ่งบอกโรคได้หลายชนิด เช่น โรคไต โรคเบาหวาน โรคตับ โรคกระเพาะ ปัสสาวะอักเสบ โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
การสังเกตปัสสาวะของตนเอง โดยดูจาก จำนวน สี ความขุ่น และกลิ่นของปัสสาวะ ก็จะทำให้ทราบถึงความผิดปกติหลาย ๆ อย่างของร่างกายได้เช่น


-->จำนวนของปัสสาวะ


    คนปกติจะถ่ายปัสสาวะวันละ 3 - 5 ครั้ง (ควรถ่ายปัสสาวะส่วนใหญ่ในเวลากลางวัน) ตั้งแต่ตื่นนอนเช้าถึงก่อนเข้านอน
ในส่วนกลางคืนหลังเข้านอนแล้วไม่ควรถ่ายปัสสาวะอีกจนถึงเช้า
นอกจากจะดื่มน้ำมากหรือในเด็กเล็ก หรือคิดมาก นอนไม่หลับ
อาจถ่ายปัสสาวะในเวลากลางคืนได้อีก



การถ่ายปัสสาวะบ่อยๆ
อาจเป็นเพราะ ความวิตกกังวลซึ่งกระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะอยู่เรื่อย ๆ
โดยไม่ได้เป็นโรคไต หรือโรคของทางเดินปัสสาวะก็ได้


ถ้าปัสสาวะบ่อยเป็นประจำกะปริบกะปรอย อาจเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเฉียบพลัน หรือเป็นโรคไตพิการเรื้อรัง

ปกติเด็กอายุ 1 ถึง 6 ขวบ จะถ่ายปัสสาวะวันหนึ่งไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามส่วนของหนึ่งลิตร (ประมาณ 1 แก้วครึ่ง) และไม่ควรมากกว่าหนึ่งลิตร เด็กอายุ 6 ถึง 12 ขวบ ควรถ่ายปัสสาวะวันหนึ่งไม่น้อยกว่าครึ่งลิตรและไม่ควรเกินสองลิตร
ผู้ใหญ่ควรถ่ายปัสสาวะวันละเกือบลิตร และไม่ควรเกินสองลิตร



  ถ้าถ่ายปัสสาวะน้อยไปส่วนใหญ่เกิดจาการดื่มน้ำน้อย หรือเกิดจากการเสียน้ำทางอื่นเช่น เหงื่อออกมาก ท้องเดินท้องร่วง อาเจียนมาก เป็นต้น ส่วนน้อยเกิดจากโรคไต โรคหัวใจ และอื่น ๆ



  ถ้าถ่ายปัสสาวะมากไปส่วนใหญ่มักเกิดจากาการดื่มน้ำมาก หรือพบในโรคเบาหวาน เบาจืด โรคเกี่ยวกับระบบประสาท โรคไตพิการเรื้อรังบางระยะ การกินยาขับปัสสาวะ

บางครั้งพบว่าไม่มีปัสสาวะเลยหรือทั้งวันถ่ายปัสสาวะได้น้อยกว่า 1 ใน 10 ส่วนของลิตร (น้อยกว่า 1 ถ้วยแก้ว) ซึ่งอาจเกิดจากการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ, โรคเป็นพิษเนื่องจากปรอท, โรคไตอักเสบอย่างรุนแรง, ภาวะช็อค (เลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่พอ)



สำหรับ
อาการผิดปกติในการขับปัสสาวะ เช่น ปวดท้องน้อยในขณะถ่ายปัสสาวะ
แสบที่ช่องถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะแล้วรู้สึกไม่สุดอยากจะถ่ายอีกทั้ง
ๆที่ไม่มีปัสสาวะ ปัสสาวะขัด อาจมีการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ


-->สีของปัสสาวะ
     ปัสสาวะปกติมีสีเหลืองอ่อนเหมือนฟางข้าว ถ้าดื่มน้ำน้อย ปัสสาวะก็น้อยทำให้สีเข้มขึ้นถึงสีเหลืองอำพัน ถ้าดื่มน้ำมากปัสสาวะก็มากทำให้สีอ่อนลง จนเหมือนไม่มีสีได้

   ถ้าปัสสาวะมีสีผิดปกติไปจากนี้ เช่น
-สีเหลืองอำพันแดง อาจเกิดจากสีของยูโรบิลิน ซึ่งเกิดจากการที่เม็ดเลือดแดงในเส้นเลือดแตกมากกว่าปกติ

-สีเหลืองน้ำตาลหรือเหลืองเขียว มีฟองสีเดียวกับน้ำปัสสาวะ อาจเป็นสีของน้ำดี จะพบในภาวะดีซ่านของโรคตับหรือท่อน้ำดี

-สีแดงหรือสีน้ำล้างเนื้อ
อาจเป็นสีของเลือดซึ่งออกมาจากบาดแผลส่วนใดส่วนหนึ่งของทางเดินปัสสาวะ
อาจเกิดจากนิ่วหรือเกิดจากการอักเสบหรืออาจปนเปื้อนมาจากปากช่องคลอดซึ่ง
เป็นรอบเดือนของผู้หญิงก็ได้

-สีคล้ายน้ำนมอาจเป็นสีของหนอง ซึ่งเกิดจากการอักเสบของทางเดินปัสสาวะหรืออาจเป็นสีของไขมัน ซึ่งเกิดจากการที่ท่อน้ำเหลืองอุดตัน เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเท้าช้าง

-อาหารและยาบางอย่างทำให้สีปัสสาวะเปลี่ยนไป แบบนี้ไม่เรียกว่าเป็นสีที่เป็นโรค
เช่นกินมะละกอสุกจำนวนมาก
หรือยาขับปัสสาวะบางอย่างจะทำให้ปัสสาวะเป็นสีเหลืองส้ม
ยาที่มีส่วนผสมเมทิลีนบลู จะทำให้ปัสสาวะเป็นสีน้ำเงิน
เมื่อผสมกับสีเหลืองของปัสสาวะอาจเพี้ยนไปเป็นสีเขียวได้
ยาบางอย่างทำให้ปัสสาวะเป็นสีแดงแต่ไม่ขุ่น หรือกินอาหารที่ผสมสีเช่น
ไส้กรอก ขนมใส่สีบางอย่าง ทำให้ถ่ายปัสสาวะมีสีต่างๆ ได้เช่นเดียวกัน


-->ความขุ่นของปัสสาวะ
ปัสสาวะที่ถ่ายใหม่ ๆจะใส ถ้าตั้งทิ้งไว้จะขุ่นได้

เนื่องจากปัสสาวะเป็นอาหารที่ดีสำหรับแบคทีเรีย
แบคทีเรียจึงเจริญเติบโตขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นมากมายอย่างรวดเร็ว
ทำให้ปัสสาวะขุ่นได้



สาเหตุความขุ่นอีกอย่างหนึ่งคือแบคทีเรียจะเปลี่ยน
ยูเรียในปัสสาวะให้เป็นแอมโมเนีย แอมโมเนียจะทำให้ปัสสาวะมีฤทธิ์เป็นด่าง
ด่างก็จะช่วยตกตะกอนของสารบางอย่าง เช่น พวกฟอสเฟท ยูเรท
ทำให้ปัสสาวะขุ่นได้ เช่นเดียวกัน ถ้าปัสสาวะที่ถ่ายใหม่ขุ่น เช่น
ขุ่นและมีสีแดง
ปัสสาวะอาจมีเลือดปนปัสสาวะขุ่นคล้ายนมอาจเกิดจากหนองหรือไขมัน

บางครั้งความขุ่นของปัสสาวะเกิดจากอาหารและยา
ซึ่งเป็นสาเหตุของการตกตะกอนของสารบางชนิดได้เช่นเดียวกัน เช่น ยาซัลฟา
กินแล้วไม่ได้ดื่มน้ำมาก ๆ อาจจะตกตะกอนเป็นผงหรือผลึก ทำให้ปัสสาวะขุ่น
ถ้าอาการปวดท้อง ปวดดื้อ จนถึงปวดรุนแรงเป็นพัก ๆ จนบิด ปัสสาวะน้อยและขุ่น
จำทำให้นึกถึงโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ


-->กลิ่นของปัสสาวะ
ปกติปัสสาวะเมื่อถ่ายออกมาสด ๆ จะมีกลิ่นหอมกำยาน และถ้าตั้งทิ้งไว้ค้างคืน จะมีกลิ่นแอมโมเนีย
อาหารและยาทำให้กลิ่นปัสสาวะเปลี่ยนแปลงได้ เช่น สะตอ สตือ ทำให้ปัสสาวะมีกลิ่นฉุน

กลิ่นปัสสาวะใหม่ ๆสด ๆ บางกลิ่นสามารถเดาได้ว่าเป็นปัสสาวะของโรคอะไร เช่น
กลิ่นน้ำนมแมวมักจะพบในปัสสาวะของคนที่เป็นเบาหวานที่เป็นมากและไม่ได้รักษา
กลิ่นเหม็นเน่าเกิดจากการติดเชื้อมักจะพบปัสสาวะขุ่นเป็นหนองด้วย
กลิ่นแอมโมเนียของปัสสาวะใหม่สด แสดงถึงการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น


-->ถ้าปัสสาวะผิดปกติจะเก็บไปตรวจทำอย่างไร
1.ก่อนที่จะเก็บปัสสาวะ ควรจะต้องทราบเสียก่อนว่า จะเก็บเพื่อตรวจหาอะไร เช่น
ต้องการดูสีควรงดอาหารและยาที่ทำให้เกิดสีก่อนสักวันสองวัน เป็นต้น

2.ก่อนถ่ายปัสสาวะเพื่อเก็บตรวจ ควรล้างปากช่องอวัยวะที่จะถ่ายให้สะอาด
หรือจะใช้สำลีชุบน้ำเช็ค
ถ้าเป็นหญิงต้องเช็ดจากหน้าไปหลังเพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากช่องคลอดหรือ
ทวารหนัก

3.ควรเก็บปัสสาวะครั้งแรกที่ตื่นนอนเช้า ก่อนกินอาหารหรือน้ำใด ๆ เพราะมีความเข้มข้นมากที่สุด

4.ควรเก็บปัสสาวะระยะกลาง ๆ ของการถ่ายมาดู
ระยะนี้ปัสสาวะออกมาจากกระเพาะปัสสาวะ
ส่วนระยะเริ่มแรกถ่ายกับตอนสุดท้ายที่ขมิบ
ควรจะใช้ภาชนะแยกอีกใบหนึ่งหรือสองใบรองไว้ สังเกตการขุ่น
ซึ่งอาจจะปนเปื้อนมาจากช่องคลอด ไม่ได้เกิดจากความขุ่นของปัสสาวะก็ได้

5.ควรส่งตรวจทันทีเมื่อถ่ายใหม่ ๆ ภายใน 3 ชั่วโมง


-->มาหนีห่างจากโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะกัน<--


1.อย่ากลั้นปัสสาวะเมื่อเวลาปวด ถ้ากลั้นบ่อย ๆ
จะทำให้เกิดการอักเสบในกระเพาะปัสสาวะและถ้ากลั้นต่อไปอาจทำให้เกิดการ
อักเสบถึงกรวยไตและในที่สุดถึงไตได้



2.การกินยาที่อาจเป็นพิษต่อไต ต้องรู้วิธีแก้ไข เช่น ยาซัลฟา
ถ้ากินยานี้แล้วดื่มน้ำน้อยไป จะทำให้ยานี้ตกตะกอนในไต หรือในส่วนต่าง ๆ
ของทางเดินปัสสาวะได้ เมื่อจะกินยาเหล่านี้ ต้องดื่มน้ำมาก ๆ
เพื่อละลายยาไม่ให้ตกตะกอน
แต่ถ้าผู้ป่วยโรคไตที่มีปัสสาวะน้อยและห้ามดื่มน้ำมาก ก็ไม่ควรใช้ยานี้


3.หญิง
ที่ใช้กระดาษเช็ดเมื่อปัสสาวะเสร็จ
อย่าเช็ดช่องถ่ายปัสสาวะด้วยกระดาษที่ไม่สะอาด และต้องเช็ดจากหน้าไปหลัง
มิฉะนั้นอาจจะติดเชื้อแบคทีเรียจากช่องคลอดหรือทวารหนักได้


4.อย่ากินอาหารเค็มจัดเสมอ ๆ


5.พยายามทำความสะอาดบริเวณขับถ่ายปัสสาวะอยู่เสมอ (โดยใช้น้ำสะอาดทั่วไป) ถ้าปล่อยให้สกปรกแล้ว อาจมีเชื้อโรคเข้าไปทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และอาจลุกลามไปถึงไตได้.


ขอขอบคุณ



นิตยสารหมอชาวบ้านเล่ม :39



นักเขียนรับเชิญ :ผศ.รัตนา ฤทธิมัต









Free TextEditor




 

Create Date : 04 ตุลาคม 2553   
Last Update : 4 ตุลาคม 2553 14:30:50 น.   
Counter : 319 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  

dinshay
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ออกกำลัยกันเถอะ
[Add dinshay's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com