Dinner31
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Dinner31's blog to your web]
Links
 

 

เสียงนาฬิกา

ตี 3.50 น.
เลขนาทีลงท้ายที่จำนวนเต็มสิบโดยไม่ได้ตั้งใจ
ผมเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับปฏิทินมายา หรือเลขเวลา, วันที่ ที่โคจรมาตรงกันด้วยเลขหลักสวยๆ เช่น 11.11 น. ของวันที่ 11 เดือน 11 บางคนบอกว่าช่วงเวลานี้ขอพรได้ สำหรับคนที่ดูแล้วว่าคงห่างไกลเกินตัวเองไปหน่อยที่จะรอขอพรกับเลขตัวสองตัวโคจรมาชนกันโดยที่ใช้เวลาหลายปี ก็เลยอนุโลมเหลือแค่เวลาในแต่ละวันที่ไล่เรียงกัน ซ้ำๆ สวยๆ อย่างเช่น 12.34 น. 11.11น. 22.22น. เลขของใครของมัน อย่างไหนสวย เบอร์ไหนถูกใจ ก็หลับตาขอพรกับนาฬิกากันไป ใครที่ใช้นาฬิกาดิจิตอลก็ได้เปรียบ ส่วนใครที่ใช้นาฬิกาที่ยังบอกเวลาผ่านเข็มสั้น-ยาว ก็คงต้องแม่นในองศาบนหน้าปัดกันหน่อย---ด้วยตัวเลขสวยๆ แบบนี้ ทำให้เราขอพรได้อย่างน้อย 3 ข้อต่อวัน ขอได้อย่างที่ไม่ต้องออกตระเวนรวบรวมดราก้อนบอลให้ครบ 7 ลูก หรือแหงนคอรอดาวตกยามค่ำคืนแต่อย่างใด

ถึงจะเชื่อยาก แต่เงื่อนไขง่ายๆ แบบนี้ หลับตาขอพรสักสองวินาทีคงไม่เสียเวลาเกินไป
ผมถึงได้แอบหวังขอโน่นนี่เป็นประจำเมื่อตาขวาแอบเหลือบไปเห็นว่าตอนนี้มัน สี่ทุ่มยี่สิบสองนาที หรือ เที่ยงคืนศูนย์นาที

ตี 4.00 น.
นาฬิกาข้อมือของผมเพิ่งดัง ติ๊ดๆ เตือนว่าตอนนี้มันเลยเวลานอนของแกไปหลายชั่วโมง
เมื่อก่อนนี้นาฬิกาข้อมือของผมไร้บทบาทในชีวิตของผมแทบสิ้นเชิง แต่เวลาผ่านไปไม่นานมันกลับทำตัวกลมกลืนและเริ่มปีนเกลียวมาสั่งสอนว่าผมต้องทำโน่นนี่ตามเข็มสั้นๆ ยาวๆ ของมัน โดยเฉพาะเรือนที่อยู่คู่ข้อมือซ้ายของผมทุกวันนี้ มันลามปามชีวิตผมไปถึงขนาดไม่กล้ามองนาฬิกาเรือนใหม่ในร้านขายนาฬิกา แม้ว่าเจ้าเรือนที่อยู่ในร้านนั้นจะสวยกว่าและราคายั่วใจแค่ไหนก็ตาม ไม่รู้ว่าพ่อผมกำชับมันมาก่อนหน้าที่ท่านจะมอบให้ผมหรือเปล่า

จำได้ว่าตอนมัธยม ผมไม่ต้องใส่นาฬิกาข้อมือไปโรงเรียน และก็ไม่มีสิ่งใดดูต่างหน้านาฬิกาได้ ไม่รู้ว่าเป็นการดิสเครดิตตัวเองหรือเปล่า แต่เท่าที่รู้การใส่นาฬิกาเป็นเครื่องยืนยันว่า "ฉันเป็นคนที่เห็นคุณค่าของเวลา ตรงเวลา และเข้าใจในเวลา" สำหรับคนที่ต้องอาศัยอยู่ในสังคม
แต่ความจำเป็นของนาฬิกาสำหรับเด็กมัธยมอย่างผมในตอนนั้นคือ มีไว้เพื่อไว้ดูเวลาเลิกเรียน
แต่ผมมักจะอยู่โรงเรียนยันเย็น ยันค่ำเสมอ เวลาเลิกเรียนถึงไม่จำเป็นต่อชีวิตของผม แสงสว่างต่างหากคือตัวกำหนดเวลา เหมือนนกที่เริ่มบินกลับรังหลังแสงเริ่มซาจากฟ้า-นาฬิกาจึงไม่จำเป็น

ถัดมา, ความสำคัญของเจ้านาฬิกาเริ่มพัฒนาตัวขึ้นอย่างที่ผมไม่รู้ตัว ในการเรียนมหาวิทยาลัยที่ตารางเรียนต่างแปรรูปตามวิชาลงและเวลาว่าง-ความพอใจของอาจารย์ผู้สอน ทำให้ผมห่างหายจากการไปโรงเรียนตรงเวลา และมีเสียงดนตรีโมโนโพลีไล่โน้ตไพเราะปนหนวกหูคอยกำกับเวลาอย่างถาวร-นาฬิกาจึงจำเป็น

จนกระทั่งเริ่มจับงานโน่นนี่ นาฬิกาเริ่มสำคัญพอๆ กับกระเป๋าสตางค์ ที่คอยตัดสินชีวิตรายวันได้ง่ายๆ ส่งงานสาย, ไปนัดเลท, โทรหาแหล่งสัมภาษณ์ไม่ตรงเวลา ฯลฯ จนผมเคยนึกเคืองไอ้หน้ากลมๆ แบนๆ นี่อยู่พอสมควร แต่เคืองได้ไม่นานก็เริ่มอิจฉาตัวเอง ที่วันๆ ไม่ต้องทำอะไรมากมาย แค่นั่งคุยกับเพื่อนรอพระอาทิตย์ตกดิน แล้วก็โบกมือลากันกลับบ้าน ตอนกลางคืนก็หลับรอพระอาทิตย์ปลุก ก่อนที่จะเดินสายไปเรียนไปหลับตามเดิม

ตี 4.15 น.-ลงที่จำนวนสิบโดยไม่ตั้งใจอีกครั้ง
ผมนั่งมองหน้านาฬิกาสายเหล็กหน้าปัดน้ำเงินเรือนเดิม ผมว่ามันเย็นชาน่าดู ที่ไม่สนใจใครและตั้งหน้าตั้งตาเดินหน้าติ๊กๆๆ ไม่หยุด หนำซ้ำยังไม่รู้บุญคุณอีกที่ผมพามันไปชุปชีวิตมาหลังจากที่มันเกิดป่วยจนเข็มนิ่ง แถมหน้าจอดิจิตอลยังดับไปอีกต่างหาก-หรือผมจะผิดเองที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันอยากเดิน หรืออยากอยู่นิ่งๆ?

ตี 4.20 น.-คราวนี้ผมตั้งใจรอห้านาทีวิ่งผ่านไปอย่างตั้งใจ
นาฬิกายังนิ่งเฉย ไม่มีการชักสีหน้าใดๆ คือมาแสดง เห็นท่าจะจริงที่มันอยากจะอยู่นิ่งๆ
หรือเลขสวยๆ ที่บอกเวลาบนหน้าปัดของมัน ทำให้มันต้องหยุดนิ่งขอพรตลอดเวลา?

ตี 4.22 น.
ถึงเลขเวลานี้จะไม่สวยสำหรับผมแต่สำหรับใครสักคนบนโลกนี้อาจจะสวยงามยากจะลืม
นาฬิกายังนิ่งเงียบอยู่-ผมหลับตาขอพรแข่งกับมันบ้าง
ผมขออย่างที่เคยขอทุกวัน, ขอให้เวลาหยุดเดินเสียหน่อย ขอเวลาให้ผมพักความคิดหรือช่วงชีวิตดี-ร้ายนี้สักนิด

หูไม่ฝาด, ผมได้ยินเสียงนาฬิกาบอกผมพลางหัวเราะติ๊กๆ ว่า
"ขอเหมือนกันเลย"

ตี 4.25 น.
เลขนาทีลงท้ายที่จำนวนเต็มสิบโดยไม่ได้ตั้งใจอีกครั้ง
ผมหัวเราะติ๊กๆ-
ตามเสียงเข็มนาฬิกา

-------------------
บล๊อกชิ้นนี้ผมเขียนเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2550 ผ่าน space.live.com




 

Create Date : 27 เมษายน 2551    
Last Update : 27 เมษายน 2551 11:41:20 น.
Counter : 635 Pageviews.  

ความสุกในหม้อสุข-กี้

1.
วันนี้เป็นวันพิเศษของสมาชิกครอบครัวของผม และเป็นโอกาสดีที่มีไม่กี่วันในรอบปี
ซึ่งวันพิเศษของผมมันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปมากกว่าการได้ออกไปกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างที่ครอบครัวอื่นเขาทำเป็นประจำ เวลาผมไปกินอะไรกับเพื่อนแล้วได้เห็นครอบครัวอื่นที่เขามากินอะไรกันยกครอบครัวแบบนี้ก็อดอิจฉาไม่ได้ ยิ่งไปต่างจังหวัดแล้วเห็นพ่อแม่ลูกเขาจูงมือกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนั้นแค่ผมขยี้ตามือก็พองแล้วล่ะครับ

ได้รับโทรศัพท์ตอนเกือบห้าโมงเย็น ว่าให้ไปเจอกันที่ร้านชาบู-ชาบู ท็อปส์โชคชัยสี่ ห่างจากบ้านผมไม่ถึง 5 นาที และห่างจากที่ทำงานไม่ถึง 15 นาที เจ้าของวันเกิดปลายสายบอกว่าร้านนี้เพิ่งเปิดใหม่ หมายความว่าผมยังไม่เคยไป และเท่าที่จำได้ผมไม่เคยกินชาบู-ชาบู

ความแตกต่างของชาบู-ชาบูที่นี่ผมไม่รู้จะเอาไปเปรียบเทียบกับที่ไหน เพราะประสบการณ์กินอาหารต้มๆ แบบนี้ของผมมีแต่สุกี้หรือหมูกะทะเท่านั้น
แต่โต๊ะที่นี่แยกหม้อต้มเป็นของใครของมัน แทนที่จะให้ทุกคนแย่งกันต้ม แย่งกันตัก แว๊ปแรกที่เห็นผมตื่นเต้นเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน แถมใต้โต๊ะยังมีปุ่มบังคับความร้อนของหม้อส่วนตัวด้วย จะเปิดปิดเร่งหรี่ความร้อนเท่าไหร่ก็ไม่ต้องเกรงใจใคร ผมเดินไปหยิบเนื้อโน่นนี่มาต้มอย่างส่วนตัวสบายไปเฉิบ

แต่พอจะตักเริ่มลงมือกินเท่านั้นแหละครับ ผมก็รู้สึกขึ้นมาเฉยๆ ว่าการกินสุกี้แบบนี้มันเหงาชะมัด

มันช่างต่างกับขณะที่กินจากหม้อรวมกันหลายๆ คนที่อย่างผมคุ้นเคย ที่เราได้กินน้ำซุปจากสิ่งที่หลายคนชอบ ใครสั่งเห็ดมาก็ใส่เห็ดลงไป ใครชอบเนื้อหมู เนื้อไก่ คลุกไข่อีกนิด หรือใครรักผักก็โยนผักลงหม้อกันอย่างมันส์มือ ทำให้ผมบุคคลซึ่งไม่กินผักพลอยได้กินน้ำผักไปด้วย

หรือในร้านหมูกะทะเวลาที่แข่งกันปิ้งย่างเนื้อกัน ชิ้นไหนที่เริ่มสุก ผมจำได้ว่าผมที่ไม่ค่อยเป็นฝ่ายปิ้งก่อนมักจะถูกเพื่อนเอามาโยนให้ถึงชามเสมอ ครอบครัวผมก็เหมือนกัน โดยเฉพาะย่าที่มักจะห่วงและกลัวว่าผมจะกินไม่อิ่ม ก็จะคีบเนื้อชิ้นโตมาโยนให้ก่อนตัวเองเสมอ

ถึงวันนี้ผมมีโอกาสได้ครอบครองหลุมนั้นเพียงผู้เดียว ได้ปรุงรสชาตอย่างที่ตัวเองชอบด้วยตัวเอง เพื่อตัวเอง แต่ก็ยังรู้สึกว่า เนื้อชิ้นนั้น และซุปในหม้อเดิมๆ อร่อยกว่าเป็นไหนๆ..

เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่มีรสชาติเหงาแบบนี้

2.
หลายเดือนก่อน, ผมอยู่ในภาวะที่สูญเสียญาติและคนรอบข้างไปหลายคน จนเริ่มกังวลว่าใครสักคนใกล้ตัวจะหลบหน้าหนีหายตายจากไปขึ้นมาจับใจ
จนกระทั่งผมต้องเอ่ยกับย่า ว่าเขาต้องการให้ผมทำอะไรให้เขาหลังจากที่เขาไม่อยู่-ไม่ได้ตั้งใจแช่งหรือพูดจาเป็นลาง--ผมแค่ไม่อยากขัดใจท่านแม้ในวาระสุดท้าย
แม่บุญธรรมของผมตอบแทนย่า, ผมถึงได้รู้ว่าย่าได้จัดแจงทุกอย่างไว้แล้ว เขาต้องการให้ฝัง--ฝังอยู่ที่เดียวกัน กับคุณปู่ของผม

ก่อนหน้านี้ผมเคยได้ยินย่าพูดกับญาติคนนึงที่สูญเสียคนที่รัก
ย่าพูดว่า "ฉันก็เคยเสียป๋าไปแล้วเหมือนกัน" ท่านหมายถึงคุณปู่ของผม
ผมรู้จักย่าดี รู้ว่าท่านใจแข็งและเข้มแข็งขนาดไหนในยามที่พบเจอสถานการณ์เลวร้าย เท่าที่ผมเคยได้ยินมา มนุษย์จะเข้มแข็งที่สุดเมื่อได้พบเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตมาแล้ว
ผมก็พอเดาได้ว่าท่านเริ่มเข้มแข็งมาจากเหตุการณ์ไหน และรู้ว่าย่าน่าจะเก็บน้ำตาไว้ร้องไห้กับอกอุ่นๆ ของคุณปู่

3.
ผมนั่งคนผักในหม้อเล่น การลงมือกินแบบหม้อใครหม้อมันแบบนี้ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะกินกันอย่างอิสระ-ตามใจตัวเองมากเกินไป ผมเองก็ไม่ต้องเขี่ยผักออกจากช้อน รวมถึงไม่ต้องคอยตักหมูมาลงใหม่เมื่อโดนใครสักคนชุปตะเกียบเปิปไป

วันครบรอบวันเกิดแบบนี้ ร้านอาหารหลายร้านมักจะมีบริการถ่ายรูปและร้องเพลง Happy BirthDay ให้เจ้าของวันเกิด อย่างที่สเวนเซนส์ผมก็เคยโดนอยู่หนนึง บอกกันตามตรงว่าอายเป็นบ้า แต่ก็รู้สึกดีชะมัด ที่ใครก็ไม่รู้มาร้องเพลงอวยพรให้--มันเปลี่ยนบรรยากาศได้เป็นอย่างดี และทำให้โลกมนุษย์เราสำหรับผมดูสนิทกันขึ้น วันนั้นผมไม่ได้ถ่ายรูปคนเดียว มีเพื่อนหลายคนร่วมเฟรมกล้องโพลารอยน์ด้วย จนวันนี้รูปเดิมใบนั้นตะโกนเตือนความทรงจำของผมว่าวันนั้นผมไม่เหงา ต่างจากรูปอีกใบที่ผมถ่ายเองกับมือ---ไม่ครับ รูปใบนั้นไม่มีเพื่อนคนไหนอยู่ในเฟรม ผมไม่ได้ถ่ายคนอื่น ผมถ่ายตัวเอง เวลาผ่านไป, รูปใบนั้นกระซิบบอกผมได้ไม่ชัดเลยว่าวันนั้นผมเหงาอยู่ หรือสุขแค่ไหน

ถึงวันนี้-เวลานี้จะไม่ใช่ช่วงเวลาของปฏิทินมายาเรียงเวลาด้วยเลขสวย
ผมก็ขอภาวนาว่า สักวันตัวเองจะมีรูปสักใบที่บันทึกว่ากำลังนั่งกินสุกี้ร่วมกับใครสักคน

และสุกี้ร้านนั้นต้องไม่แยกหม้อ

--------
บล๊อกชิ้นนี้ผมเขียนเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2550 ผ่าน space.live.com




 

Create Date : 27 เมษายน 2551    
Last Update : 27 เมษายน 2551 11:41:44 น.
Counter : 502 Pageviews.  

เมื่อเศร้าเข้าปาก

เหล้า
ผมไม่กินเหล้า
แต่ก็เคยลิ้มรสทดลองมาบ้างในช่วงสมัยมัธยม
รวมถึงการไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างเป็นครั้งคราว
แต่จำนวนหนก็นับด้วยนิ้วได้ไม่ยากเย็น

ที่ไม่กินก็ไม่รู้สาเหตุ เหมือนกับที่ผมไม่รู้สาเหตุว่าทำไมต้องกิน
แต่ถ้ากินแล้วไม่ทำใครเดือดร้อนมันก็ไม่เสียหาย - ผมทราบดี

เย็นวันหนึ่งเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา
ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสาวคนหนึ่ง ว่าให้เข้าไปที่บ้านหน่อย
มีเพื่อนหลายคนมารวมตัวกัน ขอให้ไปนั่งคุยกัน
มีเบียร์ - เธอเอามาล่อผม
ผมไม่ติดกับ แต่ก็ตกลงใจไปหาเพื่อน

การกินเหล้าเข้าสังคม เป็นสิ่งแท้จริงจีรังปฏิเสธไม่ได้
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือเพื่อน
ประโยคที่ว่า "เพื่อเพื่อน" ช่างเป็นประโยคยอดฮิตในการขอให้เพื่อน 'ดื่ม'
คืนนั้นก็เช่นกัน ผมเจอวลีที่พยายามหนีมาตลอดนี่
แต่ก็หนีไม่พ้น จึงต้องเลยตามเลย

เบียร์สิงห์รินลงแก้ว ไหลลงคอผมไป

ว่าผมคออ่อนก็ได้
แต่เชื่อเถอะว่าไม่ถึงแก้วที่สองร่างกายของผมก็เริ่มต่อต้านแอลกอฮอล์แล้ว
เขาว่ากันว่าร่างกายเป็นระบบที่พร้อมต่อต้านบางสิ่งที่ไม่จำเป็น
อาการพะอืดพะอมอยากอ้วกเป็นหนึ่งในกระบวนการนั้น
เพราะมันต้องการบีบสารพิษ หรือสิ่งผิดปกติออกไปให้ไกลพ้น

ถึงแม้จะน้อยนิด แต่ร่างกายก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งผิดปกติ
เป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกร่างกาย ไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต
หรือเป็นสิ่งที่ร่างกายไม่คุ้นเคย มันก็พร้อมจะบีบออกมา
ถึงแม้ว่าเราอยากให้มันเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเราแค่ไหนก็ตาม
เราหนีความจริงไม่พ้น...

เหล้า-เป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับผม

เศร้า
อย่างที่ทราบหากอ่านบล็อกของผมชิ้นก่อนหน้านี้
ผมเพิ่งผ่านพ้น (ไม่แน่ใจว่าพ้นรึยัง) ช่วงชีวิตที่ไม่สู้ดีนัก
จนทำให้ความคิดจมไปกับความเศร้าเคล้าน้ำตา
กลางคืนนอนไม่หลับ กลางวันทำอะไรไม่เป็น
อาหารก็ยังกินไม่ค่อยลง จนพ่อต้องต่อว่าต่อขาน

ตื่นขึ้นมาตอนเช้า เพื่อบอกตัวเองว่าวันต่อไปจะดีขึ้น
นับถอยหลังวันเหล่านั้น รอให้ลืมสิ่งเลวร้าย

จนเข้าวันหนึ่ง เริ่มดีขึ้น
ที่หน้าออฟฟิศ, ผมนั่งคุยกับเพื่อนและรุ่นพี่สองคน
เป็นบุคคลที่ตลกอย่างเหลือร้ายทั้งคู่
อารมณ์ดีเป็นโรคติดต่อ เมื่ออยู่ใกล้คนประเภทนี้แล้วก็อดยิ้มไม่ได้

เรื่องตลก เสียงหัวเราะถูกส่งออกมาไม่ขาดสาย
แต่ผมจะอ้วก...

รอยยิ้มที่ปริออกเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมต่อกล้ามเนื้อใบหน้า
ต้องพยายามหุบยิ้มก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนแปลง
ภายในท้องเริ่มมวนก่อนส่งอาการไปที่คอ
จนทำให้ผมต้องพยายามไม่สนใจกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้า

อาการมันเหมือนเมื่อผมกินเหล้า
เหล้าที่เป็นสิ่งแปลกปลอมต่อร่างกาย

แต่ตอนนี้เป็นความสุข เป็นช่วงเวลาที่ผมจะลืมเรื่องเลวร้ายได้
เป็นวินาทีที่สามารถปล่อยเสียงหัวเราะแทนเสียงโฮ

ร่างกายของผมต่อต้านมัน?
ความสุขกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมต่อร่างกาย???

เคยได้ยินว่าพระที่ถ้ำกระบอก สถานบำบัดผู้ที่ติดยาเสพติด
เขาใช้น้ำเปล่าบริสุทธิ์เป็นส่วนหนึ่งในการบำบัด
กินน้ำบริสุทธิ์เข้าไปเยอะๆ สิ่งสกปรกที่เป็นพิษจะออกมาตามน้ำเหล่านั้น
ในรูปแบบน้ำหู น้ำตา น้ำอ้วก...

ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองอยู่ในภาวะนี้รึเปล่า
ภาวะแห่งความเศร้า จนมันซึบซับเข้าสู่เม็ดเลือด กลายเป็นหนึ่งเดียวกับร่าง
บีบความสุขทั้งหลายออกพ้น แทรกกายเข้าแทนที่
ร่างกายจึงเต็มไปด้วยความเศร้า

เมื่อความสุขผ่านเข้ามาอีกครั้ง
มันถึงได้ต่อต้านด้วยอาการเดียวกับเหล้า
พะอืดพะอม พร้อมต้านออกด้วยร่างกายทุกส่วน
ไม่ว่าเป็นสมอง หัวใจ ลมหายใจ อวัยวะทุกส่วน

หรือว่าอาจเข้าใจผิดอีกครั้ง
เหล้า = ความสุข ได้รึเปล่า?
การเสพเหล้าสำหรับคนที่ทุกข์ใจก็ทำให้ลืมเรื่องราวในชีวิตที่กลุ้มได้จริง
การเสพความสุขจนเมามาย ก็ทำให้ลืมเรื่องทุกข์ไปได้เช่นเดียวกัน

มนุษย์เกิดมาด้วยความเศร้าโศกรึ?
หรือมนุษย์คือความสุข แต่โลกนี้มันเศร้าจนทำให้เขากลายพันธุ์?
แต่ก็น่าจะมีอยู่, คนที่ต่อต้านความเศร้าด้วยร่างกายตัวเอง
เมื่อความเศร้าเข้าปาก ก็ทำให้เขาอ้วกจนไม่เหลือสิ่งร้ายๆ
อยู่ต่อไปในร่างที่เต็มไปด้วยความสุข

สำหรับผมตอนนี้
ไม่ว่า 'เหล้า' หรือ 'เศร้า' มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ใคร่จะเสพ
แต่ถ้าเพื่อนชื่อ 'ความเป็นจริง' เอ่ยปาก
ยามนั้น ก็ยากจะปฏิเสธ
ใจแข็งแค่ไหน..ก็คงต้องยอมให้เศร้าเข้าปากได้อยู่ดี

แต่เมื่อกินจนกรึ่ม ผมอาจจะอ้วกออกมาจนหมดก็ได้
และเมื่อสร่างเศร้า ฟ้าก็คงสว่าง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน




 

Create Date : 26 เมษายน 2551    
Last Update : 26 เมษายน 2551 15:49:49 น.
Counter : 447 Pageviews.  

ม้า..

1.
บ้า่นของผมเป็นครอบครัวคนจีน เวลาจะเรียกกันก็จะใช้คำจีนๆ
อย่างเช่น เหล่าเจ้ก เหล่าม่า อาอี๊ ฯลฯ
วุ่นวาย และมากมายจนเรียงลำดับขั้นไม่ถูกถึงแม้จะลองพยายามหลายรอบ
สำหรับผม ท้ายสุดคือต้องถามย่าว่าต้องเรียกเขาผู้นั้นว่าอะไร
(แปลก-ที่ผมเรียกคนที่บ้านเป็นภาษาไทยหมด ทั้งย่า พ่อ แม่)

แต่พ่อผมเรียกย่าว่า 'ม้า' กร่อนมาจากคำว่า 'หมะม้า'

2.
ผมถูกชุบเลี้ยงผูกพันธ์มากับม้า เนื่องจากปู่เองก็เคยทำคอกม้าแข่ง
รูปของปู่มากมายอยู่ภายใต้ชุดสูทที่กำลังจูงม้าลงสนาม
พ่อก็เหมือนกัน ท่านเคยไปทำคอกม้าแข่งที่จังหวัดขอนแก่น
รูปของพ่อที่ผมเคยเห็นกว่าครึ่งก็เป็นรูปในฉากคล้ายอย่างปู่
เป็นอีกภาพหนึ่งที่คุ้นหูคุ้นตาผม อย่างที่ครอบครัวอื่นไม่มี

พ่อของผมเคยตั้งชื่อม้าตัวหนึ่งว่า 'ณัฐชนน' ด้วย-ชื่อจริงของผม
ม้าตัวนั้นแข่งมาชนะบ่อยครั้งจนลืมแพ้ พ่อบอกอย่างเกินจริงว่าเป็นเพราะชื่อ!

พ่อของผมเป็นนักดูม้ามือฉมัง ทั้งเรื่องการดูแล และการดูใจ
หลังจากใช้ชีวิตขลุกอยู่กับสิ่งมีชีวิตที่สูงกว่าคนชนิดนี้นับสิบปี
ท่านก็ส่งต่อความรู้และปรัชญาการดำเนินชีวิตที่ได้จากม้านี่อยู่บ่อยครั้ง

นอกจากสง่างามในท่วงท่าการเคลื่อนไหว
สายตาที่อ่อนหวานอย่างทรนง หางที่พริ้วปลิวสไวสบายตา
เสียงร้องที่ฟังฮึกเฮิม ราวเสียงแม่ทัพกู่ก้องเรียกวิญญาณนักรบของเหล่าทหารหาญ

ท่านว่าม้าเปนสัตว์ที่ไม่รู้จักคำว่า 'แพ้'
หลักฐานก็คือสี่เท้าที่ควบไปข้างหน้าไม่หยุดหย่อน
ทั้งในเรื่องการเป็นพาหนะ และเป็นตัวชูเชิดชีวิตแห่งความสำเร็จของเจ้าของคอก หรือเรื่องการนำพาชีวิตที่มีภาวะฉุกเฉินให้คลื่คลายลงได้

ยามแข่งขัน ม้าตัวที่เข้าเส้นชัยท้ายสุด
พ่อไม่เคยมองมาม้าตัวนั้นพ่าย ทุกตัวล้วนใช้ใจวิ่งอย่างสุดชีวิต
มีแต่เข้าเส้นชัยได้ช้ากว่ากันเพียงช่วงวินาที
ม้าหลายตัวถูกทำร้ายเพราะความช้าในช่วงวินาทีเหล่านั้น
มันเสียน้ำตา.. ม้าร้องไห้ได้ครับ มันรู้สึกได้จริง

ฉลาด หลักแหลม และมีความรู้สึกอ่อนไหว

พ่อเคยเล่าว่ามีม้าอยู่ตัวหนึ่ง ขาหัก
ท่านจ้องมองมันด้วยน้ำตา ไม่ใช่เพราะเจ็บแทนที่มันปวดรวดร้าว
แต่ที่เห็นว่ามันกำลังพยายามยืนขึ้นอย่างสุดความสามารถ
แม้จะล้มไปแล้วกี่สิบครั้งก็ตามแต่ มันก็ยังพยายามใช้ขาที่เหลือประคองตัวให้ยืนขึ้นมาสู้โลกได้

ครั้งแล้ว ครั้งเล่า...

ผมไม่รู้ว่าม้าตัวนั้นเป็นอย่างไรต่อไปหลังจากคืนที่พ่อผมรินน้ำตา

3.
ย่าผมป่วยด้วยเส้นเลือดในสมองตีบเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ซึ่งตรงกับวันที่น้ำตาผมรินไหลมากมายที่สุดในชีวิต

ใจผมป่วยหนัก ในวันที่ย่าป่วย...

ซ้ำร้ายกว่านั้นยังมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดมาย่ำยีอีกระลอก
ผมแทบลุกขึ้นยืนไม่ไหว อย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยได้พบ
ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าพ่อ บ่ายวันนั้นผมก้มหน้าก้มตาอย่างคนพ่าย
ปล่อยน้ำตาไหลลงไปไม่อายใครอีกต่อไป

ถึงได้รู้...ว่าที่อยู่ของผมที่เคยคิดว่าไม่มี มันอยู่ที่ไหน
ไม่ใช่ที่นั่น หรือที่ใดที่ผมจินตนาการ

เส้นเลือดในสมองของย่าที่ตีบ
ส่งผลให้ท่านขยับร่างกายซีกซ้ายไม่ได้

บ่ายวันนั้น หลังจากใช้เวลาอยู่บนรถกับพ่อนานอย่างที่ไม่เคยเป็น
เราเดินทางไปหาย่าที่โรงพยาบาล.. (ผมไม่อยากใช้คำว่าไปเยี่ยม)

ผมสะกดตาที่แห้งผาก แต่บวมเป่งเข้าไปยิ้มให้ท่าน
กระซิบข้างหู บอกว่า "ย่า...แบงค์มาแล้วนะ"

ย่าตอบด้วยเสียงที่อ้อแอ้แทบฟังไม่ออก
ซึ่งเป็นผลกระทบจากเส้นประสาทบริเวณลิ้น ทำให้ลิ้นแข็งและปากเบี้ยว

ท่านชูมือขวาที่ยังมีแรง และขยับนิ้วทั้งห้าเป็นระลอกคลื่น

"นักกีฬา ห้าคน กำลังแข่งกัน" ผมฟังแล้วไม่เข้าใจ
"ตอนนี้ ยังไม่รู้ว่าใครจะชนะ...
"ทุกคนพยายามหมด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใครจะชนะ"
ผมจับข้อมือของท่าน มาซุกไว้ตรงแก้ม

มือขวาที่คุ้นเคย เอื้อมทางมือซ้ายที่นอนแช่แน่นิ่ง
"ห้าคนนี้ ยังขี้เกียจอยู่ ยังไม่ขยัน.. ถึงไม่ยอมวิ่ง" ท่านว่า
"ต้องให้ข้าว ให้น้ำ ให้หายขี้เกียจ แล้วก็จะวิ่งได้เหมือนเดิม"

ผมสะกดน้ำตาอีกต่อไปไม่ไหว
หลบสายตา แนบเตียง กระซิบข้างหูท่าน
"แบงค์รู้ ว่าแบงค์ต้องสู้ แบงค์จะกลับมาวิ่งได้อีกครั้ง"

ย่าบอกเสียงสั่น
"ใช่...
"ลูกต้องสู้"

ถึงได้รู้...ว่าที่อยู่ของผมที่เคยคิดว่าไม่มี มันอยู่ที่ไหน
ไม่ใช่ที่นั่น หรือที่ใดที่ผมจินตนาการ

4.
ที่บ้านผมเป็นครอบครัวคนจีน
เวลาจะเรียกกันก็ต้องใช้คำจีน ที่ผมพยายามลองอยู่หลายครั้งหลายครา ก็ยังเรียงลำดับญาติด้วยภาษาบรรพบุรุษไม่ได้

ผมเรียกย่าว่า 'ย่า' พ่อว่า 'พ่อ'

แต่พ่อของผม เรียกย่าว่า 'ม้า'

บ่ายเมื่อวาน
ผมเห็นย่ายกแขนขา พยายามสู้กับร่างกายที่ขยับไม่ได้
สั่งสอนผมในสิ่งที่ผมเคยได้ยินมาเป็นพันครั้ง
แม้ตาจะเปิดแทบไม่ไหว ย่ายังลืมตาขึ้นมาดูนามบัตรใบแรกของผม

นักกีฬาห้าคนนั้นก็ยังวิ่งอยู่

พ่อของผมเรียกย่าว่า 'ม้า'

ผมนั่งยิ้ม
แล้วคิดว่า..
เหมาะแล้ว




 

Create Date : 20 เมษายน 2551    
Last Update : 20 เมษายน 2551 12:05:32 น.
Counter : 478 Pageviews.  

ลุก อิน ทู มาย อาย!

ผมเคย 'แมน' เสมอเมื่้อเจอผู้หญิงคนใดก็ตามที่ขึ้นรถเมล์มาแล้วไม่มีที่นั่ง
หากผมนั่งอยู่ ก็พร้อมที่จะลุกขึ้นอย่างไม่เขิน และถ้ายืนอยู่ก็ยอมเดินไปสะกิดให้เธอลงมานั่ง
เป็นเรื่องน่าภูมิใจอย่างหนึ่งที่ได้ทำ ถึงแม้จะดูสร้างภาพนิดๆ ชีกอหน่อยๆ ถ้าเธอคนนั้นเกิดเป็นนักศึกษาแต่งตัวฟิตเปรี้ยะ

แต่พักหลังนี้ผมได้ฟังเพื่อนสองคนพูดพร้อมกันตรงกัน
ว่ามันไม่ยอมลุกให้ผู้หญิงวัยรุ่น หรือผู้หญิงที่แข็งแรงดีอยู่นั่งเด็ดขาด
เหตุผลก็ไม่ยาก เพราะผู้หญิงหลายคนบอกว่าเธอกับ 'เขา' ต้องเท่าเทียมกัน
ทีอย่างนี้จะมาเรียกร้องให้ผู้ชายแมนๆ หน่อยได้อย่างไร?
บางคนเสียอีกที่พอได้รับความเห็นใจอย่างอื่น ก็ไม่ยอมรับว่าตนเป็นหญิง
ตัวเองเข้มแข็ง ทั้งยังหาว่าผู้ชายชอบดูถูกและมองผู้หญิงผิดไป
พวกมันก็เลยคิดว่า...
มีแขน มีขา ก็ยืนไปหน่อย ไม่เมื่อยมาก ไม่ทรมาน

ผมไม่เห็นด้วย แต่คล้อยตาม
เรื่องที่ว่าผู้หญิงหลายคนก็ไม่ได้มีร่างกายแคระแกน หรือจะลำบากอะไรมากมาย
หากระยะทางมันไม่ยาวไกลจนต้องใช้ร่างกายกำยำเข้าสู้ ก็น่าจะอยู่ได้สบาย
ที่เธอจะลำบากก็เพราะส้นสูงที่เลือกจะใส่เองมากกว่า
ผมมองข้ามเรื่องผู้ชาย/ผู้หญิงไป และหันไปมองแค่ คนชรา เด็ก พระ และคนท้อง (ถ้าคนท้องเป็นผู้ชายผมก็ยินดี)

ผลที่ได้คือต้องนั่งทนกับสายตาหยามเหยียดอย่างคิดไปเอง
เชื่อว่าสตรีเพศทั้งหลายก็ไม่ใจร้ายและจับจ้องว่าต้องมีสุภาพบุรุษลุกให้เธอนั่งเสมอไป
จนเริ่มเชื่อว่า ผู้ชายที่ลุกให้เธอเหล่านั้นนั่งลง เป็นเพราะเขากลัว?
กลัวสายตาหยามเหยียด กลัวโดนว่าในใจ กลัวอย่างนั้น กลัวอย่างนี้
ทำดีเพราะความกลัว ไม่ได้ทำเพราะไม่อยากให้เธอคนนั้นต้องลำบาก!

จริงแล้วผมเองก็ตกอยู่ภายใต้ความกลัวนั่น
แต่ก็ข่มมันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
ปัญหาไม่ได้อยู่แค่นี้ เพราะบางครั้งรถเมล์หรือรถไฟฟ้าจอดสถานีหนึ่งๆ มีผู้หญิงขึ้นคนเดียวสักที่ไหน?
บางครั้งขึ้น 3 ขึ้น 5 นับไม่ทันก็มีบ่อย

จะลุกให้ใครนั่ง ใครที่ตรงใจ ถ้าเป็นคุณป้าสูงอายุที่อยู่ถัดจากสาวน้อย 4 คนล่ะ? ทำยังไง?
ครั้นจะลุกแหวกคุณเธอทั้งหลายไปสะกิดป้าแก่และชี้ให้นั่งก็คงจะผิดโมเมนต์ไปหน่อย
คงทนกับรอยยิ้มหวานๆ ที่ใครสักคนมอบให้เพราะเข้าใจผิดว่าผมลุกให้เธอไปเสียก่อน
ขืนเธออายขึ้นมาก็คงจะไม่ดี อาจนั่งลงไปอย่างดื้อๆ กลายเป็นว่าไอ้ผู้ชายที่เพิ่งลุกเมื่อกี้ชีกอไปเสียอีก
ที่ลุกใ้ห้ผู้หญิงสาวๆ นั่ง แต่ปล่อยให้ป้าสูงอายุนั่นยืน!!

หรือบางครั้งที่ต้องยอมให้ผู้หญิง 2-3 คนยืนโหนราวเหล็กยาวนาน 2-3 ป้ายรถเมล์
ทนให้พวกเธอคิดว่า "ผู้ชายสมัยนี้มันไม่มีน้ำใจกันแล้วรึไง" ร่วมกันบุรุษเพศร่วมคันกันถ้วนหน้า
เมื่อรถเทียบป้าย เกิดมีผู้หญิง 4-5 คนขึ้นมา เป็นคนแก่ 1 คน สาวๆ 4 คน
คนแก่อยู่ไกล อยากจูงให้มานั่งใจจะขาด จะทำยังไง?
ลุกเลยก็คงจะเป็นจังหวะที่สุภาพสตรีทั้งหลายกำลังเมื่อยน่อง อยากจะนั่งทันที อาจต้องวิ่งสวนชนิดไหล่ชนกัน
ยิ่งถ้าหากผู้หญิงที่แย่งเก้าอี้ดนตรีมาได้..
ผู้ชายคนนั้นก็ต้องทนสายตาอย่างน้อย 3 ชนิด
1. ไอ้ห่า! กูืยืนอยู่ตั้งนาน ไม่ให้กูนั่ง พอหญิงหน้าตาดีขึ้นมาหน่อยไม่ได้ ลุกเชียว ไอ้!##%@
2. คนแก่ก็มีไม่ยอมให้นั่ง เห็นสาวๆ ไม่ได้ ผู้ชายสมัยนี้ ป้าล่ะเบื่อ
3. เลือกคนเหรอมึง? ใช่นี่ กูมันหน้าตาไม่ดี

มันน่าหนักใจอย่างนี้! ผมเคยอยู่ในสถานการณ์ที่คาบเกี่ยวแบบนี้หลายต่อหลายครั้ง
เข้าใจหรอกว่าผู้หญิงทุกคนก็มีวุฒิภาวะพอที่จะหลีกทางให้คนสูงอายุแทรกมานั่ง
แต่ถ้าเธอๆ ทั้งหลายมองไม่เห็นเล่า ก็เล่นตัวเล็กๆ กันทั้งนั้น
คนเป็นแพะไม่ใช่เธอ แต่เป็นชายผู้หวังดีคนนี้

เชื่อว่าผู้ชายส่วนใหญ่อยากใ้ห้ผู้หญิงมองในด้านดี
การลุกให้นั่งเป็นหนึ่งในความสามารถที่ 'โคตรแมน'

ผู้หญิงที่คิดว่าโลกนี้ขาดซึ่งน้ำใจของชายหนุ่ม
พึงเข้าใจเถิดว่า สิ่งที่เขาทำอยู่ บางครั้งเขาก็ไม่อยากให้โดนมองเป็นด้านลบ
'หน้าม่อ', 'หื่น', 'ชีกอเป๊าะแป๊ะ', ฯลฯ---เช่นคำพวกนี้

เหตุการณ์บนรถเมล์แบบนี้ ทำให้ผู้ชายหลายคน (โดยเฉพาะผม)ได้ประจักษ์ถึง..
ระหว่างคำว่า "ทำตัวไม่ถูก" กับ "ทำตัวไม่ถูก"
มันก็เหมือนกันจนแยกไม่ออกเลย




 

Create Date : 10 เมษายน 2551    
Last Update : 15 เมษายน 2551 5:17:28 น.
Counter : 563 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.