Dinner31
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Dinner31's blog to your web]
Links
 

 

ใฟล์หาย

ก่อนหน้านี้สักชั่วโมง ผมนั่งพิมพ์เรื่องสำหรับอัพบล็อกวันนี้อยู่อย่างสบายใจ
กะว่ากลับถึงบ้านจะรีไรท์ใหม่แล้วอัพขึ้นบล็อกให้ทันเที่ยงคืน

โยนไฟล์ใส่แฟลชไดร์ฟไว้ แล้วก็จัดแจงลบไฟล์ในเครื่องทิ้งไปจะได้ไม่รก
2 นาทีต่อมาเปิดแฟลชไดร์ฟดูอีกรอบ...หายซะงั้น

....

ขอบ่นเรื่องนี้แทนเรื่องที่หายไปก็แล้วกันครับ

ผมเคยอ่านเจอบทความหนึ่งใน 'ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน เล่ม 1'
วินทร์ เลียววาริณ บอกว่า ต้องพิมพ์บทความในยาวราว 3-4 หน้าบทนี้ใหม่เพราะว่าเผลอกดลบไปหมด
เขาใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมงกอบกู้ข้อมูลออกจากร่องรอยความจำในสมอง

ผมจินตนาการตามว่าถ้าต้องเจอกับตัวเองจะทำยังไง เพราะการเขียนอะไรแต่ละครั้งมันใช้พลังเยอะไม่ใช่เล่น
แต่มั่นใจว่าต้องเซ็งโคตรโคตรแน่ ส่วนก่อนจะมานั่งเขียนใหม่หมด เขาคงต้องกระโดดข้ามเส้นความเซ็งเส้นใหญ่ไปก่อน
ซึ่งก็ใช้พลังเยอะพอพอกัน...

เพราะว่าเคยเห็นคนอื่นมีปัญหา 'ไฟล์หาย' มามาก ผมถึงรอบคอบเสมอเวลาทำงานในคอมพิวเตอร์ ต้องกด Ctrl+S ตลอดเวลา
บางครั้งเลยเถิดเอื้อมมือไปกดให้เพื่อนที่เครื่องข้างข้างด้วย-บ้ามากไปใช่ไหมครับ?

แต่ความ 'มึน' ไม่เข้าใครออกใคร จนตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าทำไฟล์นั้นหายไปได้ยังไง
ไม่รู้ว่ากด Copy แล้ว Paste ไปรึเปล่า? หรือสับสนระหว่างเครื่องคอมฯ และแฟลชไดร์ฟ?
แล้วดันมีพื้นเพเป็นคนทำอะไรเร็วเร็วอีก ก็เลยทำให้มองข้ามรายละเอียดบางอย่างไปได้ง่ายดาย
บางทีอะไรที่มันเร็วจนเกินเหตุก็ทำให้เกิดเหตุได้เหมือนกันนะนี่

อาจารย์คนหนึ่งบอกเอาไว้ สำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ มีคนแค่ 2 ประเภท
คือ 'คนที่สูญเสียไฟล์ไปแล้ว' กับ 'คนที่กำลังจะสูญเสียไฟล์'
ไม่รู้ว่าแกกล่าวไว้เพื่อเตือนใจใครรึเปล่า แต่ผมว่ามันเป็นโคตรสัจธรรมที่เห็นแจ้งได้จริง
ซึ่งอาจารย์แกน่าจะพบประสบการณ์มาก่อน ถึงได้เข้าใจดีขนาดนั้น

ครับ เมื่อไฟล์มันอันตธานไป จะพยายามไปทวงคืนจากไอ้คอมพิวเตอร์หน้าเหลี่ยมสามัญชนนี่ก็ไม่ได้

บริษัท apple ผู้ผลิตเครื่อง Macintosh เขามีอุปกรณ์ตัวหนึ่งชื่อ Time Capsule มีหน้าที่สำรองข้อมูลเก่าเก่า
หรืออีกนัยหนึ่งคือมีไว้เพื่อกู้ข้อมูลสำหรับคนที่เผลอลบไปอย่างโง่โง่ (อย่างผม)
มันสะดวกสบายขนาดที่ว่าสามารถเลือกวัน-เวลาที่ต้องการจะกลับไปดูว่าขณะนั้นเครื่องเรากำลังทำอะไรอยู่
และสามารถหาสิ่งที่หายไปได้อย่างง่ายดาย เมื่อเจอไฟล์ที่ต้องการก็ดึงคืนมาได้สบายบรื๋อ เหมือนดึงเพลงลง iPod

ผมเคยนึกอิจฉาคอมพิวเตอร์บางเครื่อง หรือคนบางคนที่ความจำดีมากมาก
ในซีรี่ยส์เรื่อง Heroes ก็มีคนที่ครองความสามารถพิเศษเกี่ยวกับสมอง เขาความจำดีมาก แบบอ่านอะไรก็จำได้หมด
เรียนภาษายากยากภายในข้ามวัน จำรายละเอียดเล็กน้อยได้ทั้งที่ไม่อยากจำ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกป้อนลงสมองโดยอัตโนมัติ
และก็ฝังตัวอยู่อย่างทนทาน-เป็นความสามารถพิเศษที่ผมว่าถ้าตัวเองมีก็คงสะดวกน่าดู

เหมือนเครื่อง Time Capsule ที่ผมบอก เมื่อไรอยากเรียกความทรงจำตรงไหนออกมาดูก็สามารถทำได้แค่ช่วงพริบสมอง
นึกถึงเมื่อไรก็ได้เห็น คิดถึงเมื่อไรก็ได้สัมผัส ได้เห็นสิ่งต่างต่างเหมือนเดิมเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่สดสดร้อนร้อน

แต่จะว่าไปก็ชักไม่มั่นใจว่ามันจะดีจริงรึเปล่า เพราะความจริงคือเราจะรู้สึกดีหรือไม่ดีก็เพราะเจ้าความทรงจำนี่นี่นา
แล้วไอ้ที่หายทุกข์ได้บางครั้งมันก็มาจากการ 'ลืม' เหมือนความทรงจำที่เลือนลางมันละลายแทรกซึมไปมันเยียวยารอยแผล
แถมบางทีเราเองต่างหากที่อุตส่าห์ขุดเรื่องราวเก่าเก่ามาบั่นทอนให้ใจตัวเองบอบช้ำ...

คิดอย่างนี้แล้วก็อิจฉาคนสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ หรืออะไรทำนองนั้น
การจำอะไรไม่ได้เลยน่าจะทำให้โลกส่วนตัวสงบยิ่งกว่าสงบ

ถ้าเราคิดว่าคนสมองเสื่อมน่าสงสาร รู้สึกแย่ เสียใจ บางทีผมว่าคงเป็นเพราะเราเห็นแก่ตัวกระมังครับ
ด้วยความที่อยากให้เขาจดจำเราได้ อยากให้เขาเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น-ทั้งหมดเพื่อตัวเราเอง
ถ้าอย่างนั้นแล้ว...การที่เราต้องพยายาม 'จำ' ทุกอย่างอย่างทุกวันนี้ ก็เพื่อคนอื่นไม่ใช่เพื่อตัวเอง
เรามีชีวิตเพื่อคนอื่นจริงจริงอย่างที่ใครว่าจริงรึเปล่า เราจำคนอื่น เพื่อคนอื่น...??

จนสุดท้ายผมเริ่มจะคิดว่า ความทรงจำเราดูไปก็คล้ายกับไฟล์ในคอมพิวเตอร์
'ไฟล์' ที่วางตัวอยู่นิ่งนิ่งในเครื่องคอมพิวเตอร์รอวันเวลาที่ 'ไฟล์ใหม่' ซึ่งอาจเป็นไฟล์ที่มีไวรัส ที่อาจก่อตัวเป็นโทรจัน
จนทำให้ไฟล์เดิมของเราต้องติดเชื้อจนกลายสภาพเป็นไวรัสไปด้วย
สุดท้ายเมื่อเรากดคลิกไปที่ไฟล์ใดไฟล์หนึ่ง-ระบบของคอมพิวเตอร์ของเราก็ต้องสั่นคลอน
และใจของเราเองก็หวั่นไหวกระทั่งเสียหาย

สรุปกับตัวเองอย่างเงียบเงียบ ว่า
ชีวิตของเรา เรื่องบางเรื่องที่ไม่ควรค่าแก่การจดจำก็น่าจะมองข้ามมันไป
เพราะหากติดโทรจันขึ้นมาก็จะพานทำให้ทุกอย่างมันช้า-ขัดข้อง-ถึงขั้นค้าง-พัง-เสียหายไปเลยก็ได้

ไฟล์บางไฟล์ที่ไม่ได้ใช้ก็ควรจะลบไปเสียบ้าง
ไม่ยาก แค่กลั้นใจ กด Shift+Delete


ปล. ถึงจะคิดอย่างนี้ แต่ผมยังเสียดายไฟล์อันเก่าอยู่ดีนั่นแหละครับ พิมพ์เป็นชั่วโมงเลย ฮือ T_T




 

Create Date : 13 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2551 0:03:21 น.
Counter : 741 Pageviews.  

ระวังระยะระยิบระยับ

เคยมีใครสักคนที่เป็นแรงบันดาลใจเพื่อทำอะไรสักอย่างไหมครับ?

ผมไม่ค่อยมีวีรบุรุษในดวงใจที่นิยมชมชอบขนาดอยากเดินตามรอยเท้าเท่าไรนัก ซึ่งความไม่มีนั่นเกิดขึ้นโดยธรรมชาติเอง
คือ มันไม่มีของมันเอง อาจเพราะยังไม่มีใครที่เข้าตาขั้นประทับใจขนาดนั้น
หรือมันไม่มีเองเพราะผมเองก็ไม่อยากเดินตามใคร ถึงแม้จะมีใครดีเข้าขั้นเรียกได้ว่าเป็น “ฮีโร่” ก็ตาม

แต่บ่อยครั้งที่ผมเดินเห็นการกระทำของคนบางคน จนทำให้เกิดแรงบันดาลใจลุกขึ้นมาทำโน่นนี่ได้
แล้วก็บ่อยครั้งนั่นเองที่คนคนเดียวกันทำให้ผมต้องชะงักเพราะคนคนเดียวกันนั้นทำในสิ่งที่ผมคิดว่ามันช่างน่าเกลียด ไม่น่านิยม และห้ามไปนิยม

ผู้ใหญ่หลายต่อหลายคนสอนถ้อยคำคลาสสิกที่ว่า เลือกมองแต่สิ่งที่ดีของแต่ละคนเพื่อนำมา ‘สร้าง’ บางสิ่งให้แก่ตัวเอง
ส่วนสิ่งที่ไม่ดีนั้นก็พยายามอย่าไปมอง ถึงจะมองก็ขอให้ไปสร้างเสริมสิ่งที่ดีที่งามให้แก่ตัวเอง

แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถ้าเราจะพบว่าผู้กำกับที่เราชื่นชอบนั้นเคยกำกับหนังโป๊มาก่อน
หรือตำรวจที่เราชื่นชอบในความฉลาดหลักแหลมเป็นหุ้นส่วนสำคัญของกลุ่มค้ายาเสพติดข้ามชาติ
นักธุรกิจที่ขึ้นชื่อว่ามือสะอาดคดโกงประชาชนด้วยการเอารัดเอาเปรียบสารพัด
พระอาจารย์ชื่อดังที่เราเลื่อมใสนับถือดันมีข่าวว่าลากสีกาเข้ากุฏิกลางดึก
หรืออะไรก็ตามที่เรามีไว้เหมือนต้นไม้รากใหญ่ที่เคยยึดเหนี่ยวใจ เฝ้าเติมรากฐานของตัวเองให้ขยายได้เท่า แต่ดันต้องสะบั้นลงด้วยกิ่งที่หัก ก้านที่ไม่สวย

สีดำเมื่ออยู่ในพื้นขาวมันช่างเด่นเหลือเกินนี่น่า

สิ่งที่ตามมา ความประทับใจในตัวคนคนนั้นของผมเริ่มถูกบั่นทอนลงช้าช้า ความรัก เลื่อมใส เริ่มถดถอยลง
จนสุดท้ายก็กลายเป็นว่าคือความว่างเปล่า
ซ้ำร้ายกว่านั้นคืออคติที่ถูกสร้างขึ้นอย่างช้าช้าเข้าแทนที่จนเต็มในที่สุด-จะว่าผมใจแคบก็คงไม่ผิด ทั้งที่รู้ว่าทุกอย่างบนโลกนี้ย่อมมีขาว-มีดำ
แล้วเราก็เห็นมิติได้ด้วยแสงที่สะท้อนความสว่าง-ความมืดของแต่ละสิ่ง เช่นเดียวกับความสวยงามของต้นไม้ใบหญ้าที่กวีวาดทั่วโลก
มีรูปไหนบ้างที่ขาดเงาสะท้อนหรือแสงขาวดำ

เราเลี่ยงความจริงไม่ได้ เหมือนกับบางทีที่เราเลี่ยงความเป็นตัวเองไม่ได้

เป็นฮีโร่มันช่างลำบากนักครับ
ผมเคยตั้งคำถามเล่นเล่นกับตัวเอง ว่าคนที่เป็น ฮีโร่ ไอดอล หรือผู้นำความคิดระดับที่มีคนนับถือมากมาย พวกเขาใช้ชีวิตกันยังไง
คิดอะไรตามหลังจากความคิดซุกซนอย่างที่ปกติตัวเองเป็นโดยไม่มีคำว่าฮีโร่ของคนอื่นห้อยท้ายตามหลัง

ผมว่ามันต้องใช้ชีวิตลำบากขึ้นแน่แน่…แต่เมื่อได้พูดคุยกับนักร้อง-ดารา หรือคนที่อยู่ในระดับนั้นจริง
เขาบอกว่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป และก็ต่างใช้ชีวิตเหมือนเดิม
หมายความว่าความเป็นตัวเองของพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นของจริงแท้ชัดเจนเที่ยงตรงอย่างที่ไม่มีอะไรบิดเพี้ยนเลยว่างั้น
ไม่มีแสงเงาในตัวเองเลยว่างั้น แล้วก็ทุกอย่างสะท้อนราบเรียบราวกระจกเงาที่ไม่มีรอยขีดข่วนเลยว่างั้น

ตอแหล

ค่อนข้างเป็นการมองโลกในแง่ร้ายและใจแคบแบบสุดโต่งไปเสียหน่อย แต่ผมสะอิดสะเอียนเจียนอ้วกทุกครั้งที่ได้รับคำตอบประมาณนี้จากการทำงาน
แล้วบ่อยครั้งก็เป็นคนที่ผมประทับใจมาแต่เก่าก่อน จนเมื่อได้ยินจากปากเขาเองถึงได้รู้ว่าแท้จริงตัวเขาเองก็มีมุมอื่นมากกว่าที่ผมคิด
แล้วตัวผมเองก็มีมุมอื่นมากกว่าที่คนอื่นและตัวเองคิด

บ่อยครั้งที่ผมต้องสะกดตัวเองให้มีระยะห่างจากคนที่นับถือ จากคนที่รู้สึกดีดีด้วย
ดาวแทบทุกดวงสวยงามเสมอเมื่ออยู่ในระยะที่ใกล้หรือไกลอย่างพอสมควร ไกลเกินไปก็จะมองไม่เห็นอะไรเลย แล้วเมื่อใกล้เกินไปก็อาจได้เจอบางสิ่งที่ไม่ต้องการ
อย่างเช่นหลุมบ่อ ร่องรอยอุกกาบาต ก๊าซพิษที่หุ้มล้อมอยู่รอบตัว หรือแสงที่จ้ามากพอจะเผาผลาญแววตาความเลื่อมใสให้หมดสิ้นได้ภายใน 3 วินาที

คนเราแทบทุกคนก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ควรมีระยะห่างอย่างสมควร เพื่อการป้องกันและความปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งปกป้องตัวเองจากความรู้สึกที่พร้อมจะก่อกำเนิดเมื่อได้ใกล้ชิด อีกฝ่ายหนึ่งปกต้องความต่ำทรามของตัวเองเพื่อไม่ให้ไปทำร้ายใคร

“เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ” เพลงหวานหวานของวงเฉลียง
ภายใต้เนื้อร้องทำนองนั่นค่อนข้างเศร้าไปหน่อยหากใครที่ต้องการใกล้ชิดคนสักคนขั้นได้กอดแนบชิดแนบกาย
แต่เมื่อได้เข้าไปใกล้สมใจกลับทำให้สภาพแวดล้อมของดาวอีกดวงต้องแปรเปลี่ยนผกผันขั้นทำลายของเดิมจนหมดสิ้น
ครั้นจะออกมาอีกทีก็ต้องทำลายกันใหม่อีกระลอก บาดแผลแค่รอยขีดข่วนอาจต้องใช้เวลารักษาเยียวยาทั้งชีวิต

แต่ความทรงจำทำลายไม่ได้ครับ

บางทีเราควรจะหันหน้าถามคนที่เรารักสักคนด้วยความจริงจังว่า
เรารู้จักกันมากเกินไปรึเปล่า แล้วถ้ามากไปกว่านี้มันจะเป็นผลดีไหม
ถ้าใครคนนั้นตอบว่า ‘ดี’ ขอให้แปลตรงข้าม
แต่ถ้าใครอีกคนคนนั้นตอบว่า ‘ไม่ดี’ ขอให้เชื่อว่าเขาตอบถูกแล้ว

“เธอดึงดูดฉัน ฉันดึงดูดเธอ
แต่สองดาวยังคงเปล่งแสงอันงดงามไปทั่วฟ้า”

ลืมไปไหมครับ
ว่าคนที่เห็นว่าสวยอาจไม่ใช่คนที่ยืนอยู่บนดาวทั้งสองดวง




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2551 0:26:43 น.
Counter : 415 Pageviews.  

โปรดระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ

ความรู้สึกที่ผมเกลียดที่สุดในระหว่างวันที่ต้องเจอเป็นประจำทุกวันมีอยู่ไม่กี่อย่างครับ
ชัวร์อยู่แล้ว ถ้ามีเยอะแล้วต้องเจอประจำแล้วยังทนเจอไปตลอดก็คงประสาทเสียเต็มที
อย่างหนึ่งในนั้นนอกจากอากาศร้อนที่คนไทยดัดจริตอย่างผมจงเกลียดจงชังแล้ว
ก็เห็นจะเป็น ‘รถไฟฟ้า’
ไม่ใช่ครับ, ผมไม่ได้เกลียดรถไฟความยาว 3 ตู้โบกี้ที่วิ่งด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสักเท่าไร
แถมยังชอบด้วยซ้ำเพราะมันทำให้ผมหลบหน้าความร้อนได้หลายระยะสถานี
แล้วก็ทำให้ผมเข้างานได้สายน้อยลง (นั่นแปลว่ายังคงสายอยู่)
ผมต้องขึ้นรถไฟฟ้า-รถไฟฟ้าใต้ดินทุกวันครับ ออกจากบ้านด้วยมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
ต่อรถเมล์จากโชคชัยสี่มาขึ้นรถไฟฟ้าที่หมอชิต หรือบางวันถ้ารีบนักก็ไปนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อลงสุขุมวิท
จากนั้นก็ต่อรถไฟฟ้าจากอโศกไปลงเอกมัยเพื่อขึ้นมอเตอร์ไซค์เข้าออฟฟิศอีกทอดหนึ่ง
รวมทั้งหมด 4 ต่อถ้วนในวันปกติ 5 ต่อถ้วนในวันเร่งรีบ หรือ 1 ต่อถ้วนในวันที่เวรี่รีบจนต้องนั่งแท็กซี่

แต่ที่ว่าเกลียดรถไฟฟ้าก็เพราะว่าสัญญาณเตือนประตูปิด “ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด” นั่น

ผมสะเทือนใจนิดหน่อยเวลาได้การแข่งม้า แข่งวิ่ง หรือแข่งอะไรก็ตามที่มีสัญญาณเริ่มการแข่ง
เสียงปืน เสียงออด เสียงหวูด เสียงนกหวีด เสียงเคาะระฆัง ฯลฯ
มันเหมือนกับชีวิตเราหมดอิสระไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อต้องอยู่กับอะไรอย่างหนึ่งอย่างเสียไม่ได้
ทิ้งไม่ได้ คิดจะเลิกก็ไม่ได้ บางทียังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเข้ามาอยู่ในวงจรการแข่งขันนี่ได้อย่างไร
ก็นั่นแหละ, ผมคิดว่าไอ้สัญญาณนั่นเหมือนเป็นการแจ้งให้เรารู้ว่าได้เข้าสู่ระบบการแข่งขันแล้ว

ผมเข้าใจว่าอันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้อิสระไปเสียทุกอย่างอยู่แต่ดั้งแต่เดิมกันนัก
แล้วชีวิตของเราก็อยู่กับการแข่งขันมาตลอดอยู่แล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ
อาจเป็นเพราะสันดาน หรือถูกกรอบของสังคมที่ถูกเขียนขึ้นมาโดยใครสักคนในอดีตขีดให้เราต้องเดินตาม
แข่งกันตั้งแต่เป็นทารกจนแก่เฒ่าเข้าวัยชรา (มีใครเคยจะแข่งกันตายกับเพื่อนไหมครับ?-ใครตายก่อนคนนั้นชนะ)
มันเป็นความ ‘ปกติ’ ของชีวิตไปเสียแล้ว
โลกนี้เหมือนสนามแข่งขันที่ปูสนามด้วยคอนกรีตเรียบบ้างไม่เรียบบ้างอยู่ตลอดเวลา

แต่กับสัญญาณแหลมแสบหูนั่น มันยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึก ตระหนัก และชักเริ่มรังเกียจ
เมื่อไรก็ตามที่เสียงนี่ดังนั้น อีก 5 วินาทีประตูเลื่อนจะหนีบพับปิดลง
คนข้างนอก, ขอโทษที กรุณารอคันหน้า (เช็ดมือก่อนเกาด้วย-ไม่ขำ)
ส่วนคนข้างใน, เมื่อรู้ว่าถึงสถานีปลายทางที่ท่านต้องการ กรุณามายืนออหน้าประตู
เพื่อออกไปพบกับโลกร้อนร้อนเหมือนเดิม โลกแห่งความจริงที่รออยู่

ช่วงเวลาที่ผมรู้สึกแย่ที่สุดคือตอนนี้ละครับ
ตอนที่ประตูถูกเปิดออกแล้วได้ยินเสียงลมจากข้างนอกแว่วมากับเสียงยางรถบดถนน
สัมผัสของคนรอบข้างที่กระแทกไปมาซ้ายขวาเพื่อแย่งลงจากรถและรีบก้าวลงบันไดให้ได้ก่อน
มันเหมือนกับเราเป็นตัวอะไรที่กระหืดกระหอบเพื่อจะรีบมุ่งไปให้ถึงจุดหมายที่มีบางสิ่งรออยู่
จะมีกี่คนที่เต็มใจพร้อมใจจะไปทำ? นอกจากหน้าที่ นอกจากผลตอบแทน

อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้, มันทำให้ผมคิดถึงหมา
เวลาที่ผมให้ข้าวหมาหรือแมว เมื่อปล่อยมันออกจากกรง ความร้อนรนหิวกระหายของมันทำให้สติพล่าน
วิ่งชนโน่นชนนี่ดีใจเกินกว่าปกติ น้ำลายสอจนล้นปริ่มริมปาก
ในสมองไม่มีอะไรนอกจากสิ่งโอชะด้านหน้า (ผมไม่เคยชิม แต่เดาเอาว่าอร่อยไว้ก่อน)
ก่อนจะกินอย่างมูมมาม แย่งกันอย่างบ้าคลั่ง
แต่กับคน ก็อาจเปรียบได้ว่าถูกปล่อยจากกรงหนึ่งไปสู่อีกกรงหนึ่ง
เพื่อเร่งรีบถีบตัวไปให้ทันกินอาหารยี่ห้อ ‘เงินเดือน’

หรือจะเหมือนม้าแข่ง
ที่เมื่อประตูกั้นเปิดออก เสียงสัญญาณเริ่มการแข่งดังขึ้น
ม้าทุกตัวที่ถูกควบด้วยจ๊อกกี้มนุษย์เงินเดือน ก็เร่งฝีเท้าไม่คิดชีวิต รีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ต้องคิด
ขอเพียงให้เร็วเข้าไว้ เร็วให้พอ เร็วให้สุด จนกว่ามนุษย์ที่นั่งอยู่คานกลางหลังจะสั่งหยุด
บางคนบอกว่าม้ารู้ครับว่ามันกำลังแข่งอยู่ แล้วเมื่อแพ้มันก็จะเสียใจ หงุดหงิด แล้วก็ถึงขั้นหลั่งน้ำตาได้
แต่ผมว่ามันคงไม่รู้ว่ามนุษย์หวังอะไรจากมัน ถ้ารู้แล้วมันจะวิ่งต่อไปไหมผมก็ยังสงสัย

แต่ไม่หรอกครับ สุดท้ายแล้วเมื่อผมเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ผมก็ไม่คิดว่าเราจะไปหมาหรือม้าแต่อย่างใด
เพราะเราไม่ได้มีความสุขอย่างหมาหรือสง่างามอย่างม้าเลยแม้แต่น้อย

ผมรู้สึกอิจฉาหมาและพวกบรรดาสัตว์ทั้งหลายจับใจในบางเวลา
ถึงแม้มันจะถูกเลี้ยงที่ฟังแล้วมันมีกรอบเขตชัดเจนแน่นอน มีกรง มีตู้ มีเขต ที่การกั้นพื้นที่ไว้โจ่งแจ้ง
แต่พวกมันก็มีอิสระกว่าเราไม่รู้ประมาณ แต่บางทีผมก็นึกว่าพวกมันช่างน่าสงสาร
อย่างน้อยเวลาที่มันชอบเลี้ยงอะไรมันก็หาซื้อมาเลี้ยงไม่ได้
แต่เอาเข้าจริงก็แพ้ภัยตัวเอง เรามันพวกขี้อิจฉาก็พานไปคิดว่าเราผู้เป็นสัตว์ประเสริฐจะเกิดมาได้เปรียบพวกมัน
แค่เรามีความคิดเราก็ด้อยกว่าหมาเท่าไรแล้ว
บางครั้งเวลาเห็นหมาของมหาเศรษฐีที่ใส่ปลอกคอทองคำหนาเท่าหัวแม่โป้งตีน
ผมยังนึกสงสัย ว่าหมามันจะรู้ไหมว่ามันรวยแล้วนะ มันมีคนอุปถัมภ์ดีกว่าหมาตัวอื่นนะ มันพิเศษนะ
ไม่รู้ว่าหมาสุลต่านมหาเศรษฐีจะรู้สึกไหม แต่แม้แต่หมาบ้านผมเห็นแบงก์พันแล้วก็ยังเฉยเฉยนะ

หลังจากสถานีทองหล่อ รถไฟฟ้าแล่นไป
ผมก็ได้แต่ปล่อยให้ความคิดเตลิดไปเฉยเฉย
เพราะเมื่อประตูอ้าออกจนสุด แม้ผมจะเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ปลายแถว
ผมก็ยังต้องเดินออกไปอยู่ดี




 

Create Date : 06 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2551 1:33:02 น.
Counter : 576 Pageviews.  

Final countdown is all around.

หลายครั้งผมตั้งข้อสงสัยว่าคนเราจะทุกข์ไปทำไม?
ในขณะเดียวกันก็ถามต่ออีกว่า แล้วจะสุขไปทำไม?
(ทำไมผมชอบเขียนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับทุกข์ตรมระคนเศร้าแบบนี้เสมอด้วยไม่ค่อยแน่ใจครับ)
บางครั้งผมก็เหมือนจะเข้าใจได้ว่าชีวิตของคนเรามันก็เกิดมาเพื่อรู้สึก
การรู้สึกไม่ดีในบางทีก็เป็นเพียงหน้าที่ของชีวิต ไม่ต่างจากลมหายใจ
ไม่ต่างกับผมเผ้าที่ต้องยาว เล็บมือเท้าที่ต้องมีวิวัฒนาการไปตามเรื่องของมัน
ความรู้สึกก็เหมือนกัน มีการพัฒนาก้าวหน้า มีการเสื่อมลดถดถอยไปตามธรรมชาติ
มันสำคัญที่เราต้องรู้ ว่ามันจะเป็นอะไรต่อไป รู้เท่าทันมันและหาทางรับมือให้ได้
(แม่ผมเคยบอกว่าทุกวันนี้ยังมีโอกาสทุกข์ใจสาหัสได้ก็รีบหน่อย-
-เพราะถ้าโตขึ้นมากแล้วละก็อาจชาชินกับความรู้สึกแล้วชีวิตจะหงอยเหงาจนขาดสีสัน
-ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรครับ เพราะก็ยังไม่อยากจะรู้สึกไม่ดีอยู่ดี)

ทุกครั้งที่เกิดทุกข์หนัก ผมมักคิดว่า ‘พรุ่งนี้ก็หาย’ พรุ่งนี้ทุกอย่างก็จะพัฒนาจนดีขึ้น ดีขึ้น แล้วก็หายในที่สุด
‘เวลา’ เป็นยาวิเศษกว่ากีฬา เพราะกีฬายังต้องใช้เวลาในการเล่น
วัยรุ่นที่แห่กันเข้าฟิตเนส อยากได้ Sixth pack มาแต่งร่างก็ยังต้องใช้เวลา
อยากเอาชนะคู่แข่งขันก็ยังต้องรอให้เวลาการแข่งขันจบลง
ไม่มีอะไรวิเศษไปกว่ากาลเวลา-ค่อนข้างเป็นทฤษฏีการปลอบใจตัวเองฉบับคนขี้แพ้สักหน่อย
แต่จะต้องกังวลอะไรหากมันได้ผลจริงและเป็นผลที่เหมือนเหมือนกันไม่ว่าจากวิธีไหน
จะนั่งสมาธิจับจิตให้มั่นคง นั่งพินิจพิจารณามูลเหตุของเหตุการณ์ วิเคราะห์ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
จะกินเหล้าจนสุราขาดตลาด นั่งปรับทุกข์กับเพื่อนที่ไม่ค่อยเต็มใจจะฟัง หรืออะไรก็แล้วแต่
มันก็เหมือนกัน มันก็หายเหมือนกันทุกทีไป
(เอ…เมื่อเทียบกับทุกวิธี ‘เวลา’ ก็แฝงตัวอยู่ทุกที่นี่นา! )

ใช่ เวลา เวลา เวลา!
ในขณะที่ย่าของผมเป็นอัมพฤตซีกซ้ายอย่างนี้ มีเหตุผลมากมายที่ผมพยายามชั่งอยู่ในใจ
ว่าคำว่า ‘เดี๋ยวก็หาย’ ที่คุณหมอพูดในวันที่ย่ายังต้องอยู่โรงพยาบาลมันฟังได้แค่ไหนกัน
แล้วก็เข้าใจว่าโอกาสหายจากการเจ็บป่วยอย่างนี้ยากเสียจนอาจต้องหันหน้าเข้าหา ‘ดวง’ เพียงอย่างเดียว
เพราะไม่ว่าจะดูจากวัยที่ปาเข้าไป 78 ปี แถมไม่ได้มีพื้นฐานการออกกำลังกายมาก่อน
ทั้งอาการทางใจก็อยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้เข้มแข็งและสู้เหมือนอย่างใครในโทรทัศน์
ผมก็ยังคงมีความสุขอยู่อย่างกลางกลาง ไม่ได้มีกำลังใจเต็มเปี่ยมในการดูแล ผมไม่ได้ประเสริฐขนาดนั้น
แต่นี่อาจจะเป็นชีวิตอีกช่วงหนึ่งที่ได้อยู่ใกล้กับย่าเป็นพิเศษ
แล้วก็ได้เอาท่านมาอยู่ในใจมากกว่าทุกเวลาในชีวิต

สารภาพ ว่าทุกวันนี้ผมแบ่งย่าออกเป็น 2 คน
คนแรกคือคนที่ก่อนจะเป็นอัมพฤต ส่วนอีกคนเป็นคนที่อยู่กับผมมาตลอด 22 ปี
เวลาที่ผมนึกสิ่งที่ท่านมอบให้มาตลอดเวลาอันยาวนาน ภาพของท่านอีกคนมักจะโผล่มาเปรียบเคียงเสมอ
กลายเป็นหนังชีวิตที่มีจุดพลิกผันชัดเจน ที่ดูแล้วเศร้าจนทำให้ผมที่ต้องน้ำตาปริ่มบ่อเสมอ
ไม่ใช่ว่าผมรักใครมากกว่ากัน หรือเมื่อย่าต้องพิการลงจนทำให้ชีวิตของผมลำบากขึ้นแล้วทำให้ผมทุกข์ขึ้น
ไม่เลยครับ ไม่เคยคิดอย่างนั้น
เพียงแต่รอยยิ้มแบบเดิมที่ผมชินชาชอบใจมันเปลี่ยนไปนิดหน่อย
(วันที่ย่าล้มลง ผมกลัวอย่างเดียวคือย่าไม่สามารถยิ้มให้ผมได้อีกต่อไป)
ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไป อย่างที่มากเกินไปในบางวินาที-ซึ่งนอกนั้นผมก็คิดเองว่ามันเหมือนเดิม
บางสิ่งที่ผมอยากจะให้มันเป็นอย่างเก่า ต่อให้เจ้าตัวอยู่ใกล้แค่ไหนก็ยังเรียกร้องไม่ได้
มันน่าเศร้าเหมือนกันนะครับสำหรับผม

แต่ผมก็เข้าใจว่ามันก็เป็นอย่างนี้ทั้งโลก…
ไม่ว่าจะเป็นคนรัก คนรู้จักที่รู้สึกดีด้วยแค่ไหน หรือใครที่เราต้องนั่งรถยี่ห้อกาลเวลานี่ไปด้วยกัน
ย่อมต้องผ่านช่วงเวลาที่นานพอจะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ถึงแม้ไม่เรียนรู้ก็ยังมากพอให้ความรู้สึกกร่อนลงไปอยู่ดี
เมื่อเวลาผ่านไป ใจคนเปลี่ยนแปลง ไม่จำกัดว่าจะเปลี่ยนไปด้วยสาเหตุอะไร
เราก็มีโอกาสที่จะอยู่ในภาวะ ‘ปัจจุบันพิการ’ ของกันและกันได้ทั้งนั้น
มีโอกาสที่จะถูกแยกเป็น 2 คนในสายตาของอีกคนได้เสมอ (บางทีก็อาจเป็น 3 เป็น 4 ด้วยซ้ำไป)

“เตรียมนับถอยหลังได้แล้วนะแบงค์” ผู้ใหญ่คนหนึ่งบอกกับผมเมื่อจบการสนทนาที่มีย่าเป็นหัวข้อ
อาจฟังแล้วเหมือนเป็นการแช่งกัน-แต่ไม่เลย-ผมว่านี่เป็นสัจธรรมของโลกที่แท้อีกอย่างหนึ่งมากกว่า
เขาบอกต่ออีกว่าเขาสั่งสอนลูกเขาเสมอว่าให้นับถอยหลังให้กับเขาและสามีเหมือนกัน
‘อย่าคิดว่าจะมีอะไรอยู่กันนิรันดร’ มันอาจหมายความว่าอย่างนี้

นับถอยหลัง, ทุกวันนี้เวลากำลังเดินไปข้างหน้า? หรือทวนกลับหลัง?
มีอะไรบ้างไหมที่ไม่ต้องการการนับถอยหลัง แต่ให้โลกนี้นับจาก 100 มา 0 ก็ยังต้องนับถอยหลังใช่รึเปล่า
การนับไปข้างหน้าก็อาจต่างแค่เพียงถ้อยคำที่เลือกสรรมาใช้เท่านั้น

ตั้งแต่เราอุบัติขึ้นมาไม่ว่าด้วยรูปพรรณลักษณะใด อยู่ทีไหน เราก็ล้วนควรต้องนับถอยหลังให้กับตัวเอง
ความรัก ความรู้สึก ความมั่งมี ความไม่มี ความสุข ทุกข์ ตรอมตรม ก็ยังอยู่ในเงื่อนไขเดียวกันนี่
มีก่อ มีหัก มีรัก มีเลิก-ต่างอะไรกันกับร่างกายหยาบช้าบ้าบอที่เราใช้กันอยู่นี่

การนับถอยหลังของกระสวยอวกาศที่ใครเห็นว่าอลังการและเป็นก้าวใหญ่อันสวยหรูของมวลมนุษย์
ผมก็ไม่ใคร่มั่นใจนักว่าเป็นก้าวต่อไปของการ ‘พัฒนา’
อาจจะพัฒนาจริง, แต่ไปทางไหนนี่อีกเรื่อง!

แล้วกับการที่เราเริ่มรักใครสักคน หรือทุ่มเทให้กับอะไรบางอย่าง
เมื่อเวลานับถอยหลังให้มัน ‘เริ่ม’ และนับถอยหลังอีกครั้งในทันที
มันจะเดินทางไปสู่หนไหน บางครั้งก็เป็นอีกเรื่องที่เราอาจต้องพึ่งดวงอย่างเดียวจริงจริง

จะนับกลับไปด้วยขั้นตอนอย่างไร แต่จุดสุดท้ายของเราก็เท่ากัน
เราต้องกลับไปอยู่ที่ ‘ศูนย์’




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2551 21:51:40 น.
Counter : 384 Pageviews.  

คำสารภาพของนักศึกษาฝึกงาน

สองปีก่อน, ช่วงเดือนนี้นี่ละ ผมกำลังกังวลว่าซัมเมอร์ที่กำลังจะมาถึง
ผมควรจะทำอะไรดีนอกจากนอนตีพุงอยู่บ้านหรือเล่นเกมออนไลน์ไปวันวัน
ไอ้อย่างแรกก็สนุกดีเพราะมันเป็นอะไรที่ผมถนัดรองจากการหายใจ
ส่วนอย่างหลังนี่ก็น่าสนใจมากเพราะเป็นสิ่งที่ผมถนัดรองจากการนอนตีพุง

แต่ที่ต้องการให้ตัวเองไม่ว่างในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนมันก็มีเหตุผล
ข้อแรก, หาเงิน เป็นช่วงที่เริ่มละอายการแบมือขอเงินพ่อกับย่า
จำได้ว่าช่วงนั้นจะบอกว่าเงินหมดแล้วขอเพิ่มหน่อยแต่ละครั้ง
ยากเหมือนกับบอกรักใครสักคนครั้งแรก แต่สุดท้ายก็ต้องบอก เพราะเก็บมันเอาไว้ไม่ไหว
ไอ้ขอเงินก็สมใจทุกครั้งครับ ส่วนไอ้บอกรักก็แล้วแต่ดวง

ข้อที่สอง, ผมตระหนักได้ว่าศักยภาพในการทำอะไรสักอย่างของตัวเองมันมีไม่พอ
ต่างจากเพื่อนคนอื่นในวัยเดียวกันอยู่หลายขุม
(ทำไมผมถึงชอบใช้คำว่า ‘ขุม’ เปรียบเทียบระยะนะ-หรือว่าจะเป็นลาง!! )
อาจเป็นเพราะถูกเลี้ยงมาเยี่ยงไข่ในหิน ย่าเป็นห่วงผมมากครับ
เวลาจะลงมือทำอะไรเองเมื่อไร ผมมักเริ่มได้ไม่ถึงครึ่งทาง
ย่าก็ต้องเข้ามาช่วยเสมอ อาจกลัวว่าผมจะทำได้ไม่ดี หรือกลัวผมจะลำบาก
ไม่ใช่ว่าท่านเลี้ยงให้ผมเป็นเด็กที่ห่วยนะครับ…
แต่ความห่วงใยของใครบางคนก็ส่งผลกระทบให้ใครสักคนได้จริงจริง

แล้วก็อาจเป็นเพราะผมเป็นเด็กไม่รักเรียนมาตั้งแต่เด็ก
เป็นพวกขวางโลกมาตั้งแต่เล็ก เมื่อเห็นผู้ใหญ่คาดหวังอะไรจากตัวเอง
ก็จะดื้อ ต่อต้าน แล้วก็ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำล้วนล้วน (ซึ่งการทำตรงกันข้ามความคาดหวังก็เป็นสิ่งที่อยากทำ)
แต่ก็ไม่ค่อยสำเร็จครับ เห็นเพื่อนเกเรไปจะยกพวกต่อยใคร ไอ้เราก็กลัวว่าจะโดนอาจารย์ดุก็ไม่ตามเขาไป
แถมเป็นคนกลัวเลือด แพ้เสียงดัง เกลียดชังการถูกข่มขู่ ก็ยิ่งทำให้ต้องปลีกตัวออกห่างเรื่องอย่างนี้บ่อย
เพื่อนจะไปเสพยา ก็กลัวว่าเสื้อผ้าจะเหม็นจนย่าจะสงสัยแล้วพานโดนตีได้ก็เลยไม่มีโอกาสได้ลอง
หรือจะไปขโมยของก็ดันกลัวถูกจับได้แล้วจะอายคนอื่น ก็ได้แต่แอบเก็บอาการอยากได้ของคนอื่นไว้เงียบเงียบ
ความห่วยของผมจึงไปลงอยู่กับอะไรที่ไม่ค่อยจะเสียหายกับคนอื่นสักเท่าไร เช่นว่า
โดดเรียน, ทำได้คล่องแคล่วจนเป็นกิจวัตร ตั้งแต่หลบในห้องน้ำ (ไม่รู้จะลำบากไปทำไม)
ยันนั่งซังกะตายหน้าห้องเสียเฉยเฉยอย่างนั้นก็ยังมี เมื่ออาจารย์เดินมาตามเข้าห้อง ก็เรียนไปตามตรงว่าขี้เกียจ
บ้าเกม, ชีวิตของผมผันเปลี่ยนไปนิดหน่อยเพราะเกมออนไลน์ครับ เล่นเป็นบ้าเป็นหลังจนใช้คำว่า ‘ติด’ ได้ไม่เขิน
ขี้เกียจ, โดยเฉพาะกับเรื่องการเรียนนี่ผมใช้คำนี้เป็นคุณสมบัติอย่างแรกของเด็กชายณัฐชนน
ผมเลือกกระทำเฉพาะบางอย่างที่สนใจเท่านั้น ซึ่งบางอย่างนั่นช่างหายากมาก!
จะให้อ่านหนังสือก่อนสอบ? ฝันไปเถอะครับ!
ระดับผมแล้ว โง่ขนาดนั้น มาอ่านเอาหลังสอบครับ! (เพื่อสอบซ่อมนะ)

ทั้งหลายทั้งมวลแล้วเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเรียนห่วย ซึ่งการเรียนห่วยนี่เองที่ทำให้ผมสร้างอุบายให้ตัวเอง
โดยการต่อต้านระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย (จะเรียกให้ยากไปทำไม ก็เอนทรานซ์นั่นละ! )
ไม่สอบมันเสียดื้อดื้อ แล้ววางแผนว่าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนตั้งแต่อยู่มัธยมต้น
ไม่ใช่ว่าอุดมการณ์แรงกล้าอะไรหรอกครับ แต่เป็นเพราะขี้แพ้…
ยอมแพ้ให้การเรียนตั้งแต่ตอนนั้น รู้ว่าสอบยังไงก็ไม่ติดทั้งที่ยังไม่ได้ลองเลยสักแอะ-น่าอายชะมัด

จนเข้ามหาวิทยาลัยครั้งที่สองโน่นละครับถึงจะมาสนใจการเรียน
วิชาภาษาอังกฤษ หรือเลข หรือความรู้พื้นฐานต่างต่างที่คนไทยในการเรียนระบบสามัญพึงจะมี
ผมก็ได้รับออกมาน้อยแทบจะนับเรื่องได้ มิหนำซ้ำยังได้เพื่อนที่วางใจเชื่อใจได้จากโรงเรียนน้อยนิดหยิบมือ

ทำงานพิเศษเพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้านผมก็ไม่เคยหรอกครับ ตั้งแต่มัธยมจนมหาวิทยาลัย
เรียนพิเศษก็ไม่เคยจะไปเรียนอะไรจริงจังกับเขาสักหน
(เคยลงทะเบียนอย่างจริงจังไป แต่ก็เรียนไปแค่ 3 เปอร์เซ็นต์หรือน้อยกว่านั้นมาก)

ผมจึงอยากหาอะไรทำในช่วงฤดูร้อนปีนั้นครับ!

ทีแรกว่าจะไปเป็นพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น หรือร้านสะดวกซื้อที่ไหนก็ได้ที่พอจะให้ค่าจ้างต่อวันคุ้มค่า
มีความเรื่องมากอยู่ในใจมากพอสมควรเช่น ต้องทำงานในห้องแอร์ ต้องไม่ใช่งานที่ง้อลูกค้ามากนัก
ต้องให้ค่าจ้างที่มากพอจะมีสตางค์เก็บ ต้องทำงานตอนกลางวันหรือเลือกเวลาทำได้ ฯลฯ
(ไร้ศักยภาพแล้วยังเรื่องมากอีกไอ้นี่ …)
จำได้ว่าถูกใจกับงานพนักงานหน้าร้านของร้านอัดรูปเป็นพิเศษ
เพราะอาจได้ใช้และพัฒนาความสามารถทาง Photoshop อันน้อยนิดที่ครอบครองอยู่ได้
ทำงานในห้องแอร์ด้วย งานสบายอีกต่างหาก เข้าทางกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!
แต่พอโทรไปหาร้านอัดรูปแถวบ้าน พี่แกก็เรื่องมากเสียจนหัวเสียขนาดคุยกันทางโทรศัพท์
ซักความสามารถเยอะแยะมากมาย ถามโน่นถามนี่ เพื่อบอกตอนก่อนวางว่าไม่รับพนักงานเพิ่ม
เซ็งไปหลายนาที ก่อนจะหายเซ็งเพื่อโทรไปหาอีกที่แล้วพบกับเหตุการณ์เดิม!

เกือบจะล่มแล้วครับฤดูร้อนครานั้น ผมเกือบจะได้ทำสิ่งที่ถนัดที่สุดในชีวิต 2 อย่างพร้อมกันแล้ว
แต่ดันเจอใบสมัครโครงการ a team junior ของนิตยสาร a day เสียก่อน
เท้าความเล็กน้อย, โครงการนี้สร้างขึ้นเพื่อรับนักศึกษาเข้าฝึกงานกับนิตยสาร a day เป็นเวลา 3 เดือนช่วงซัมเมอร์
ไม่ได้สมัครเข้าไปเพื่อรับเกรดเหมือนนักศึกษาฝึกงานป๊อกแป๊กอย่างที่เห็นเป็นปกติกิจวัตร
แต่เข้าไปเป็นลูกมือของ a team (กองบรรณาธิการที่สร้างนิตยสารนี่จริงจริง) อย่างใกล้ชิด
ไปอยู่ด้วยกัน 3 เดือนเพื่อเรียนรู้ ก่อนจะได้โอกาสสร้างนิตยสาร a day ด้วยตัวเองขึ้นมาหนึ่งเล่ม!
ของตัวเอง (หมายถึงของรุ่น, รุ่นนึงเขารับ 15 คนครับ) ของจริง ขายจริง เป็นฉบับจริง ไม่ใช่นิตยสารปาหี่

ผมเรียนมหาวิทยาลัยครั้งที่สอง (พูดง่ายกว่านี้คือ ‘ซิ่ว’ แล้วมาเข้าที่ใหม่)
ที่ ม.หอการค้าไทย คณะนิเทศฯ สาขาวารสารศาสตร์
ได้เจอโครงการนี้ที่โคตรจะตรงสายขนาดนี้ไม่สนใจสักนิดก็คงจะเกินไปหน่อย
(ทั้งที่ไม่เคยอ่านเนื้อหาสาระอะไรอย่างจริงจังสักเล่ม! ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคอนเซปต์หนังสือคืออะไร
-รู้แต่ว่าเป็นนิตยสารวัยรุ่นที่คุ้นหู เด็กแนวชอบเอามาถือเล่น นอกนั้นผมไม่รู้อะไรอีกเลย)
จึงตัดความต้องการทางการเงินในช่วงฤดูร้อนออกไป แล้วลงมือกรอกใบสมัครโครงการ a team junior
จำได้ว่าโครงการเขาจัดช่วงมีนาคม-พฤษภาคม ปิดรับสมัครปลายเดือนมกราคม สัมภาษณ์กุมภาพันธ์
แต่ผมส่งใบสมัครไปตั้งแต่พฤศจิกายน (ใช้ความไวเข้าแลกใบสมัครที่มีข้อมูลห่วยห่วยของตัวเอง)

แล้วระหว่างนั้นผมก็รอ รอ รอ แล้วก็มอง มอง มอง ร้านอัดรูปเดนตายแถวบ้านไปด้วยความหวังอันริบหรี่
หวังว่าหากพลาดหวังไปก็จะมาสบไหล่อาซ้อขาโหกคงนั้งห้ายล่าย

เวลาผ่านไปจนผมจวนจะลืมแล้วครับว่าเคยเขียนใบสมัครไว้
โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เบอร์โทรที่โคตรไม่คุ้นตาติดต่อเข้ามา แล้วก็บอกผมว่าผมผ่านการคัดเลือกรอบแรก
ขอให้ทำการบ้านไปสัมภาษณ์รอบที่สอง-จำได้แม่นว่าปลายสายนัดวันที่ 14 กุมภาพันธ์
แล้วผมก็เสือกไม่สบายอย่างหนักในวันวาเลนไทน์ปีนั้นพอดี!
ไปสัมภาษณ์ด้วยอาการทุลักทุเล เป็นการถูกสัมภาษณ์ครั้งแรกในชีวิตของผม
(ยกเว้นการถูกสัมภาษณ์เขามหาวิทยาลัย แล้วต้องอ้อนว้อนขออาจารย์ให้ตัวเองได้เรียนภาคปกติ!
-เพราะเกรด ม.ปลาย ที่ได้ 1.4 ของผมมันไม่ผ่านการคัดเลือก จึงต้องไปเรียนภาคค่ำ-ดีหน่อยที่ผมอ้อนเก่ง)
ทรงกลด บางยี่ขัน นั่งอยู่ในห้องนั้นคนเดียว ผมนั่งตัวต่อตัวกับบรรณาธิการบริหารนิตยสาร a day
การสัมภาษณ์เป็นไปอย่างทุลักทุเล ไอ้เด็กปีสามคนนั้นมันลนลานล่อกแล่ก ตอบผิดตอบถูก
จากเดิมที่เป็นคนไม่ค่อยมีความมั่นใจอยู่แล้ว เจอสถานการณ์แบบนี้ก็ยิ่งแล้วใหญ่ มือสั่นไปหมด
บวกกับเป็นไข้หวัดใหญ่ หน้าแดงก่ำ ตัวร้อน โอย สารพัด
แต่ก็ผ่านพ้นไปอย่างงงสุดงง จะลาจากออกมายังเรียงคำไม่ค่อยจะดี
จำได้ว่าพี่ก้อง (ทรงกลด บางยี่ขัน) ทำตาหยีและหน้างงงงออกเป็นประโยคว่า “มึงเป็นอะไรเหรอ”

วันนั้นต้องพยุงราวบันไดเลื่อนรถไฟฟ้าเอกมัยด้วยหน้าผากร้อนฉ่า
ร้อนจากพิษไข้และความผิดหวัง ความเซ็ง ความตื่นเต้น ความไม่มั่นใจ

ด้วยดวง ด้วยโชค ด้วยไข้ ด้วยนั่น ด้วยนี่ ด้วยอะไรก็ตาม
แต่สุดท้าย ผมก็ติด 1 ใน 15 คนของ a team junior รุ่นที่ 4 จนได้!!!!
ซึ่งส่งผลให้ผมอดทำงานร้านอัดรูปของอาซ้อกวงติงคงน้าง ซึ่งก็ไม่เป็นไรเพราะผมคิดว่าน่าจะคุ้มค่ารถ

สมาชิกในรุ่นเดียวกับผมน้อยคนที่จะมาจากคณะนิเทศฯ ทั้งที่นิตยสารน่าจะเป็นอะไรที่ชาวนิเทศฯ สนใจมาก
แต่กลับมาจากคณะอักษรศาสตร์ (อันนี้พอเข้าใจได้), สถาปัตยกรรมศาสตร์ (เริ่มงงละ) , เศรษฐศาสตร์ (งงมาก),
เภสัชศาสตร์ (อะไรของมึง!), นิเทศฯ เอกประชาสัมพันธ์ (แต่ดันมาเป็นช่างภาพ!) เป็นต้น
มีผมคนเดียวที่มาจากนิเทศฯ วารสารฯ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งพิมพ์ล้วนล้วน
(มีที่มาจาก ‘วารสารศาสตร์’ ของจริง แต่เป็นของ ม.ธรรมศาสตร์ สาขาภาพยนตร์)

ทุกคนมีความรู้สึกส่วนใหญ่ร่วมกันที่มาเข้าโครงการนี้คือ ‘อยากลอง’
อยากลองทำงานข้ามสาขา ทำงานข้ามวิชาชีพ บางคนชอบเขียนก็อยากมาพัฒนา
บางคนว่างจัดก็สมัครมั่วมั่ว บางคนตั้งใจมาจริงจัง บางคนมาเพื่อค้นหาบางอย่าง
(ส่วนผมมาเพื่อทำตัวให้สมกับเป็นเด็กวารสารฯ ที่เพิ่งหัดขยันเรียน)

ที่นี่สอนอะไรมากมายที่ผมไม่เคยเจอในวิชาเรียน
หรือบางอย่างก็ไม่เคยเจอแม้แต่ในเนื้อหาหนังสือเล่มไหน
บางสิ่งเป็นประสบการณ์จริงจากการทำงานสื่อสิ่งพิมพ์ที่เด็กวารสารฯ อย่างผมก็เพิ่งเคยได้ทำ
การนั่งสัมภาษณ์ การวางตัว การรักษามารยาท การตอแหลว่ากูเป็นโปรฯ
(เพราะบางทีเราก็บอกคนอื่นไม่ได้ว่าเป็นเด็กฝึกงาน-มันเป็นการมิควร)
การเรียบเรียงคำ การคิดชื่อเรื่อง การทำเอกสารขอเข้าสัมภาษณ์อย่างมืออาชีพ
การทำงานเสมือนพนักงานกินเงินเดือนปกติ การข้ามเส้นผ่านของความเป็นนักศึกษาฝึกงาน
การประชุมจริงจัง การหัดออกความคิดเห็น การคิดถึงตลาด การนึกถึงผู้อ่านตลอดเวลา
การพัฒนาความคิด การทำงานเป็นทีม (สำคัญมาก) การบริหารอีโก้ของตัวเอง
การยอมรับคำตัดสิน การหัดโตเป็นผู้ใหญ่ การมองบางอย่างด้วยสายตาของเด็ก
การเพิ่มความอยากพัฒนาตัวเอง การรักษาคุณงามความดีของตัวเองเอาไว้ในอยู่นาน
และอีกหลายการที่ผมคงต้องใช้พื้นที่อีกเยอะจนน่าเบื่อ-จากที่ตอนนี้ก็ยาวจนเบื่อกันแล้ว

3 เดือนกว่าในสำนักงานของนิตยสาร a day สั่งสอนอะไรต่อมิอะไรให้ผมมากมายจนนับไม่ไหว
ความภูมิใจ ความมั่นใจ ความสุข มิตรภาพที่ได้จากเพื่อนผู้ไม่เคยคิดว่าจะได้มาเจอกัน
บางสิ่งก็เป็นมวลสารละอองอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ บางอย่างก็บอกไม่ถูกอย่างที่บอกไม่ถูก
แต่แทบทุกอย่างในนั้น เป็นสิ่งที่ผมคงหาไม่ได้ในคราบพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น
หรือพนักงานหน้าร้านในร้านอัดรูป หรือแม้แต่ Work & travel ก็ยังลุ้นยาก!
อเมริกาเปิดกว้างกว่าประตูสำนักงาน a day เยอะมากครับ-คอนเฟิร์ม!

นอกเรื่องกันบ้างดีกว่า
เคยรอฤดูกาลกันบ้างไหมครับ? เช่นว่า
รอฤดูหนาวเพื่อที่จะได้เดินทางไปดูทุ่งดอกบัวตอง
บางคนรอท้องฟ้าหน้าฝนที่มักใสสะอาดจนมองเห็นดาวได้ทั้งฟ้า
บ้างก็ว่ารอหน้าร้อนเพื่อจะได้เดินโต้ลมบนชายหาด วิ่งลงทะเลได้อย่างสบายใจ
หรือรอหน้าฝนเพื่อที่จะได้เข้าป่าเพื่อดูความงามของพงไพรได้สบายตัว
(ผมชอบรอฤดูหนาวเพื่อที่จะได้ขึ้นรถเมล์ธรรมดาอย่างสบายกายครับ!)

ผมมีอยู่ที่นึงที่อยากแนะนำให้ลองไปครับ ที่นั่นสวยงามดีจนอยากบอกต่อ
ที่นั่นต้นก้ามปูใหญ่ยักษ์โอบล้อมพวกเราหลายชีวิตได้สบายผ่านกิ่งก้านใบของมัน
ที่นั่นมีดาวบนฟ้าแทบนับดวงได้ แต่ผมว่าบางเวลาสิ่งรอบข้างน่าสนใจกว่าดาวบนฟ้าจนจำนวนดาวไม่สำคัญเลย
ที่นั่นมีบรรยากาศดี ถึงจะหนาวบ้าง เย็นบ้าง เปียกบ้าง แต่เราก็มักจะลืมทุกอย่างได้ในเวลาอันสั้น
ที่นั่นมีที่นอนเตรียมพร้อมไว้ให้ ไม่ต้องกลัวลำบากสำหรับคนที่รักสบาย แถมมีร้านสะดวกซื้อครบครัน
ที่นั่นมีความกด (ดัน) อากาศสารพัดให้ได้เรียนรู้ ร้อนเป็นอย่างไร หนาวเป็นแบบไหน
ที่นั่นมีต้นไม้สูงให้ได้ลองปีน มีน้ำตกให้ได้ลอยล่องแก่งน่าตื่นเต้น บางทีบาดเจ็บได้แผลบ้างก็มี-แต่สนุก
ที่นั่นมีสัตว์ป่าดุร้าย ให้ได้ส่องดู เรียนรู้พฤติกรรม และทำตาม! ซึ่งหาดูยาก และนานนานจะได้เห็น
ที่นั่นร่มเย็นด้วยสรรพสิ่ง รุ่มร้อนด้วยอะไรบางอย่าง และหนาวสั่นได้ด้วยอะไรบางสิ่ง
แต่บางอย่างผมก็บอกไม่ถูกหรอกครับ บอกไม่ถูกอย่างที่บอกไม่ถูก
ก็เลยว่าจะชวนให้ไปด้วยกัน

ว่าแต่-ซัมเมอร์นี้ว่างกันไหมครับ?

นี่ครับ ตั๋ว




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2551 11:27:37 น.
Counter : 4744 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.