|
ใฟล์หาย
ก่อนหน้านี้สักชั่วโมง ผมนั่งพิมพ์เรื่องสำหรับอัพบล็อกวันนี้อยู่อย่างสบายใจ กะว่ากลับถึงบ้านจะรีไรท์ใหม่แล้วอัพขึ้นบล็อกให้ทันเที่ยงคืน
โยนไฟล์ใส่แฟลชไดร์ฟไว้ แล้วก็จัดแจงลบไฟล์ในเครื่องทิ้งไปจะได้ไม่รก 2 นาทีต่อมาเปิดแฟลชไดร์ฟดูอีกรอบ...หายซะงั้น
....
ขอบ่นเรื่องนี้แทนเรื่องที่หายไปก็แล้วกันครับ
ผมเคยอ่านเจอบทความหนึ่งใน 'ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน เล่ม 1' วินทร์ เลียววาริณ บอกว่า ต้องพิมพ์บทความในยาวราว 3-4 หน้าบทนี้ใหม่เพราะว่าเผลอกดลบไปหมด เขาใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมงกอบกู้ข้อมูลออกจากร่องรอยความจำในสมอง
ผมจินตนาการตามว่าถ้าต้องเจอกับตัวเองจะทำยังไง เพราะการเขียนอะไรแต่ละครั้งมันใช้พลังเยอะไม่ใช่เล่น แต่มั่นใจว่าต้องเซ็งโคตรโคตรแน่ ส่วนก่อนจะมานั่งเขียนใหม่หมด เขาคงต้องกระโดดข้ามเส้นความเซ็งเส้นใหญ่ไปก่อน ซึ่งก็ใช้พลังเยอะพอพอกัน...
เพราะว่าเคยเห็นคนอื่นมีปัญหา 'ไฟล์หาย' มามาก ผมถึงรอบคอบเสมอเวลาทำงานในคอมพิวเตอร์ ต้องกด Ctrl+S ตลอดเวลา บางครั้งเลยเถิดเอื้อมมือไปกดให้เพื่อนที่เครื่องข้างข้างด้วย-บ้ามากไปใช่ไหมครับ?
แต่ความ 'มึน' ไม่เข้าใครออกใคร จนตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าทำไฟล์นั้นหายไปได้ยังไง ไม่รู้ว่ากด Copy แล้ว Paste ไปรึเปล่า? หรือสับสนระหว่างเครื่องคอมฯ และแฟลชไดร์ฟ? แล้วดันมีพื้นเพเป็นคนทำอะไรเร็วเร็วอีก ก็เลยทำให้มองข้ามรายละเอียดบางอย่างไปได้ง่ายดาย บางทีอะไรที่มันเร็วจนเกินเหตุก็ทำให้เกิดเหตุได้เหมือนกันนะนี่
อาจารย์คนหนึ่งบอกเอาไว้ สำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ มีคนแค่ 2 ประเภท คือ 'คนที่สูญเสียไฟล์ไปแล้ว' กับ 'คนที่กำลังจะสูญเสียไฟล์' ไม่รู้ว่าแกกล่าวไว้เพื่อเตือนใจใครรึเปล่า แต่ผมว่ามันเป็นโคตรสัจธรรมที่เห็นแจ้งได้จริง ซึ่งอาจารย์แกน่าจะพบประสบการณ์มาก่อน ถึงได้เข้าใจดีขนาดนั้น
ครับ เมื่อไฟล์มันอันตธานไป จะพยายามไปทวงคืนจากไอ้คอมพิวเตอร์หน้าเหลี่ยมสามัญชนนี่ก็ไม่ได้
บริษัท apple ผู้ผลิตเครื่อง Macintosh เขามีอุปกรณ์ตัวหนึ่งชื่อ Time Capsule มีหน้าที่สำรองข้อมูลเก่าเก่า หรืออีกนัยหนึ่งคือมีไว้เพื่อกู้ข้อมูลสำหรับคนที่เผลอลบไปอย่างโง่โง่ (อย่างผม) มันสะดวกสบายขนาดที่ว่าสามารถเลือกวัน-เวลาที่ต้องการจะกลับไปดูว่าขณะนั้นเครื่องเรากำลังทำอะไรอยู่ และสามารถหาสิ่งที่หายไปได้อย่างง่ายดาย เมื่อเจอไฟล์ที่ต้องการก็ดึงคืนมาได้สบายบรื๋อ เหมือนดึงเพลงลง iPod
ผมเคยนึกอิจฉาคอมพิวเตอร์บางเครื่อง หรือคนบางคนที่ความจำดีมากมาก ในซีรี่ยส์เรื่อง Heroes ก็มีคนที่ครองความสามารถพิเศษเกี่ยวกับสมอง เขาความจำดีมาก แบบอ่านอะไรก็จำได้หมด เรียนภาษายากยากภายในข้ามวัน จำรายละเอียดเล็กน้อยได้ทั้งที่ไม่อยากจำ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกป้อนลงสมองโดยอัตโนมัติ และก็ฝังตัวอยู่อย่างทนทาน-เป็นความสามารถพิเศษที่ผมว่าถ้าตัวเองมีก็คงสะดวกน่าดู
เหมือนเครื่อง Time Capsule ที่ผมบอก เมื่อไรอยากเรียกความทรงจำตรงไหนออกมาดูก็สามารถทำได้แค่ช่วงพริบสมอง นึกถึงเมื่อไรก็ได้เห็น คิดถึงเมื่อไรก็ได้สัมผัส ได้เห็นสิ่งต่างต่างเหมือนเดิมเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่สดสดร้อนร้อน
แต่จะว่าไปก็ชักไม่มั่นใจว่ามันจะดีจริงรึเปล่า เพราะความจริงคือเราจะรู้สึกดีหรือไม่ดีก็เพราะเจ้าความทรงจำนี่นี่นา แล้วไอ้ที่หายทุกข์ได้บางครั้งมันก็มาจากการ 'ลืม' เหมือนความทรงจำที่เลือนลางมันละลายแทรกซึมไปมันเยียวยารอยแผล แถมบางทีเราเองต่างหากที่อุตส่าห์ขุดเรื่องราวเก่าเก่ามาบั่นทอนให้ใจตัวเองบอบช้ำ...
คิดอย่างนี้แล้วก็อิจฉาคนสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ หรืออะไรทำนองนั้น การจำอะไรไม่ได้เลยน่าจะทำให้โลกส่วนตัวสงบยิ่งกว่าสงบ
ถ้าเราคิดว่าคนสมองเสื่อมน่าสงสาร รู้สึกแย่ เสียใจ บางทีผมว่าคงเป็นเพราะเราเห็นแก่ตัวกระมังครับ ด้วยความที่อยากให้เขาจดจำเราได้ อยากให้เขาเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น-ทั้งหมดเพื่อตัวเราเอง ถ้าอย่างนั้นแล้ว...การที่เราต้องพยายาม 'จำ' ทุกอย่างอย่างทุกวันนี้ ก็เพื่อคนอื่นไม่ใช่เพื่อตัวเอง เรามีชีวิตเพื่อคนอื่นจริงจริงอย่างที่ใครว่าจริงรึเปล่า เราจำคนอื่น เพื่อคนอื่น...??
จนสุดท้ายผมเริ่มจะคิดว่า ความทรงจำเราดูไปก็คล้ายกับไฟล์ในคอมพิวเตอร์ 'ไฟล์' ที่วางตัวอยู่นิ่งนิ่งในเครื่องคอมพิวเตอร์รอวันเวลาที่ 'ไฟล์ใหม่' ซึ่งอาจเป็นไฟล์ที่มีไวรัส ที่อาจก่อตัวเป็นโทรจัน จนทำให้ไฟล์เดิมของเราต้องติดเชื้อจนกลายสภาพเป็นไวรัสไปด้วย สุดท้ายเมื่อเรากดคลิกไปที่ไฟล์ใดไฟล์หนึ่ง-ระบบของคอมพิวเตอร์ของเราก็ต้องสั่นคลอน และใจของเราเองก็หวั่นไหวกระทั่งเสียหาย
สรุปกับตัวเองอย่างเงียบเงียบ ว่า ชีวิตของเรา เรื่องบางเรื่องที่ไม่ควรค่าแก่การจดจำก็น่าจะมองข้ามมันไป เพราะหากติดโทรจันขึ้นมาก็จะพานทำให้ทุกอย่างมันช้า-ขัดข้อง-ถึงขั้นค้าง-พัง-เสียหายไปเลยก็ได้
ไฟล์บางไฟล์ที่ไม่ได้ใช้ก็ควรจะลบไปเสียบ้าง ไม่ยาก แค่กลั้นใจ กด Shift+Delete
ปล. ถึงจะคิดอย่างนี้ แต่ผมยังเสียดายไฟล์อันเก่าอยู่ดีนั่นแหละครับ พิมพ์เป็นชั่วโมงเลย ฮือ T_T
Create Date : 13 พฤศจิกายน 2551 | | |
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2551 0:03:21 น. |
Counter : 741 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ระวังระยะระยิบระยับ
เคยมีใครสักคนที่เป็นแรงบันดาลใจเพื่อทำอะไรสักอย่างไหมครับ?
ผมไม่ค่อยมีวีรบุรุษในดวงใจที่นิยมชมชอบขนาดอยากเดินตามรอยเท้าเท่าไรนัก ซึ่งความไม่มีนั่นเกิดขึ้นโดยธรรมชาติเอง คือ มันไม่มีของมันเอง อาจเพราะยังไม่มีใครที่เข้าตาขั้นประทับใจขนาดนั้น หรือมันไม่มีเองเพราะผมเองก็ไม่อยากเดินตามใคร ถึงแม้จะมีใครดีเข้าขั้นเรียกได้ว่าเป็น ฮีโร่ ก็ตาม
แต่บ่อยครั้งที่ผมเดินเห็นการกระทำของคนบางคน จนทำให้เกิดแรงบันดาลใจลุกขึ้นมาทำโน่นนี่ได้ แล้วก็บ่อยครั้งนั่นเองที่คนคนเดียวกันทำให้ผมต้องชะงักเพราะคนคนเดียวกันนั้นทำในสิ่งที่ผมคิดว่ามันช่างน่าเกลียด ไม่น่านิยม และห้ามไปนิยม
ผู้ใหญ่หลายต่อหลายคนสอนถ้อยคำคลาสสิกที่ว่า เลือกมองแต่สิ่งที่ดีของแต่ละคนเพื่อนำมา สร้าง บางสิ่งให้แก่ตัวเอง ส่วนสิ่งที่ไม่ดีนั้นก็พยายามอย่าไปมอง ถึงจะมองก็ขอให้ไปสร้างเสริมสิ่งที่ดีที่งามให้แก่ตัวเอง
แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถ้าเราจะพบว่าผู้กำกับที่เราชื่นชอบนั้นเคยกำกับหนังโป๊มาก่อน หรือตำรวจที่เราชื่นชอบในความฉลาดหลักแหลมเป็นหุ้นส่วนสำคัญของกลุ่มค้ายาเสพติดข้ามชาติ นักธุรกิจที่ขึ้นชื่อว่ามือสะอาดคดโกงประชาชนด้วยการเอารัดเอาเปรียบสารพัด พระอาจารย์ชื่อดังที่เราเลื่อมใสนับถือดันมีข่าวว่าลากสีกาเข้ากุฏิกลางดึก หรืออะไรก็ตามที่เรามีไว้เหมือนต้นไม้รากใหญ่ที่เคยยึดเหนี่ยวใจ เฝ้าเติมรากฐานของตัวเองให้ขยายได้เท่า แต่ดันต้องสะบั้นลงด้วยกิ่งที่หัก ก้านที่ไม่สวย
สีดำเมื่ออยู่ในพื้นขาวมันช่างเด่นเหลือเกินนี่น่า
สิ่งที่ตามมา ความประทับใจในตัวคนคนนั้นของผมเริ่มถูกบั่นทอนลงช้าช้า ความรัก เลื่อมใส เริ่มถดถอยลง จนสุดท้ายก็กลายเป็นว่าคือความว่างเปล่า ซ้ำร้ายกว่านั้นคืออคติที่ถูกสร้างขึ้นอย่างช้าช้าเข้าแทนที่จนเต็มในที่สุด-จะว่าผมใจแคบก็คงไม่ผิด ทั้งที่รู้ว่าทุกอย่างบนโลกนี้ย่อมมีขาว-มีดำ แล้วเราก็เห็นมิติได้ด้วยแสงที่สะท้อนความสว่าง-ความมืดของแต่ละสิ่ง เช่นเดียวกับความสวยงามของต้นไม้ใบหญ้าที่กวีวาดทั่วโลก มีรูปไหนบ้างที่ขาดเงาสะท้อนหรือแสงขาวดำ
เราเลี่ยงความจริงไม่ได้ เหมือนกับบางทีที่เราเลี่ยงความเป็นตัวเองไม่ได้
เป็นฮีโร่มันช่างลำบากนักครับ ผมเคยตั้งคำถามเล่นเล่นกับตัวเอง ว่าคนที่เป็น ฮีโร่ ไอดอล หรือผู้นำความคิดระดับที่มีคนนับถือมากมาย พวกเขาใช้ชีวิตกันยังไง คิดอะไรตามหลังจากความคิดซุกซนอย่างที่ปกติตัวเองเป็นโดยไม่มีคำว่าฮีโร่ของคนอื่นห้อยท้ายตามหลัง
ผมว่ามันต้องใช้ชีวิตลำบากขึ้นแน่แน่
แต่เมื่อได้พูดคุยกับนักร้อง-ดารา หรือคนที่อยู่ในระดับนั้นจริง เขาบอกว่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป และก็ต่างใช้ชีวิตเหมือนเดิม หมายความว่าความเป็นตัวเองของพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นของจริงแท้ชัดเจนเที่ยงตรงอย่างที่ไม่มีอะไรบิดเพี้ยนเลยว่างั้น ไม่มีแสงเงาในตัวเองเลยว่างั้น แล้วก็ทุกอย่างสะท้อนราบเรียบราวกระจกเงาที่ไม่มีรอยขีดข่วนเลยว่างั้น
ตอแหล
ค่อนข้างเป็นการมองโลกในแง่ร้ายและใจแคบแบบสุดโต่งไปเสียหน่อย แต่ผมสะอิดสะเอียนเจียนอ้วกทุกครั้งที่ได้รับคำตอบประมาณนี้จากการทำงาน แล้วบ่อยครั้งก็เป็นคนที่ผมประทับใจมาแต่เก่าก่อน จนเมื่อได้ยินจากปากเขาเองถึงได้รู้ว่าแท้จริงตัวเขาเองก็มีมุมอื่นมากกว่าที่ผมคิด แล้วตัวผมเองก็มีมุมอื่นมากกว่าที่คนอื่นและตัวเองคิด
บ่อยครั้งที่ผมต้องสะกดตัวเองให้มีระยะห่างจากคนที่นับถือ จากคนที่รู้สึกดีดีด้วย ดาวแทบทุกดวงสวยงามเสมอเมื่ออยู่ในระยะที่ใกล้หรือไกลอย่างพอสมควร ไกลเกินไปก็จะมองไม่เห็นอะไรเลย แล้วเมื่อใกล้เกินไปก็อาจได้เจอบางสิ่งที่ไม่ต้องการ อย่างเช่นหลุมบ่อ ร่องรอยอุกกาบาต ก๊าซพิษที่หุ้มล้อมอยู่รอบตัว หรือแสงที่จ้ามากพอจะเผาผลาญแววตาความเลื่อมใสให้หมดสิ้นได้ภายใน 3 วินาที
คนเราแทบทุกคนก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ควรมีระยะห่างอย่างสมควร เพื่อการป้องกันและความปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งปกป้องตัวเองจากความรู้สึกที่พร้อมจะก่อกำเนิดเมื่อได้ใกล้ชิด อีกฝ่ายหนึ่งปกต้องความต่ำทรามของตัวเองเพื่อไม่ให้ไปทำร้ายใคร
เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ เพลงหวานหวานของวงเฉลียง ภายใต้เนื้อร้องทำนองนั่นค่อนข้างเศร้าไปหน่อยหากใครที่ต้องการใกล้ชิดคนสักคนขั้นได้กอดแนบชิดแนบกาย แต่เมื่อได้เข้าไปใกล้สมใจกลับทำให้สภาพแวดล้อมของดาวอีกดวงต้องแปรเปลี่ยนผกผันขั้นทำลายของเดิมจนหมดสิ้น ครั้นจะออกมาอีกทีก็ต้องทำลายกันใหม่อีกระลอก บาดแผลแค่รอยขีดข่วนอาจต้องใช้เวลารักษาเยียวยาทั้งชีวิต
แต่ความทรงจำทำลายไม่ได้ครับ
บางทีเราควรจะหันหน้าถามคนที่เรารักสักคนด้วยความจริงจังว่า เรารู้จักกันมากเกินไปรึเปล่า แล้วถ้ามากไปกว่านี้มันจะเป็นผลดีไหม ถ้าใครคนนั้นตอบว่า ดี ขอให้แปลตรงข้าม แต่ถ้าใครอีกคนคนนั้นตอบว่า ไม่ดี ขอให้เชื่อว่าเขาตอบถูกแล้ว
เธอดึงดูดฉัน ฉันดึงดูดเธอ แต่สองดาวยังคงเปล่งแสงอันงดงามไปทั่วฟ้า
ลืมไปไหมครับ ว่าคนที่เห็นว่าสวยอาจไม่ใช่คนที่ยืนอยู่บนดาวทั้งสองดวง
Create Date : 10 พฤศจิกายน 2551 | | |
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2551 0:26:43 น. |
Counter : 415 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
โปรดระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ
ความรู้สึกที่ผมเกลียดที่สุดในระหว่างวันที่ต้องเจอเป็นประจำทุกวันมีอยู่ไม่กี่อย่างครับ ชัวร์อยู่แล้ว ถ้ามีเยอะแล้วต้องเจอประจำแล้วยังทนเจอไปตลอดก็คงประสาทเสียเต็มที อย่างหนึ่งในนั้นนอกจากอากาศร้อนที่คนไทยดัดจริตอย่างผมจงเกลียดจงชังแล้ว ก็เห็นจะเป็น ‘รถไฟฟ้า’ ไม่ใช่ครับ, ผมไม่ได้เกลียดรถไฟความยาว 3 ตู้โบกี้ที่วิ่งด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสักเท่าไร แถมยังชอบด้วยซ้ำเพราะมันทำให้ผมหลบหน้าความร้อนได้หลายระยะสถานี แล้วก็ทำให้ผมเข้างานได้สายน้อยลง (นั่นแปลว่ายังคงสายอยู่) ผมต้องขึ้นรถไฟฟ้า-รถไฟฟ้าใต้ดินทุกวันครับ ออกจากบ้านด้วยมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ต่อรถเมล์จากโชคชัยสี่มาขึ้นรถไฟฟ้าที่หมอชิต หรือบางวันถ้ารีบนักก็ไปนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อลงสุขุมวิท จากนั้นก็ต่อรถไฟฟ้าจากอโศกไปลงเอกมัยเพื่อขึ้นมอเตอร์ไซค์เข้าออฟฟิศอีกทอดหนึ่ง รวมทั้งหมด 4 ต่อถ้วนในวันปกติ 5 ต่อถ้วนในวันเร่งรีบ หรือ 1 ต่อถ้วนในวันที่เวรี่รีบจนต้องนั่งแท็กซี่
แต่ที่ว่าเกลียดรถไฟฟ้าก็เพราะว่าสัญญาณเตือนประตูปิด “ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด” นั่น
ผมสะเทือนใจนิดหน่อยเวลาได้การแข่งม้า แข่งวิ่ง หรือแข่งอะไรก็ตามที่มีสัญญาณเริ่มการแข่ง เสียงปืน เสียงออด เสียงหวูด เสียงนกหวีด เสียงเคาะระฆัง ฯลฯ มันเหมือนกับชีวิตเราหมดอิสระไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อต้องอยู่กับอะไรอย่างหนึ่งอย่างเสียไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ คิดจะเลิกก็ไม่ได้ บางทียังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเข้ามาอยู่ในวงจรการแข่งขันนี่ได้อย่างไร ก็นั่นแหละ, ผมคิดว่าไอ้สัญญาณนั่นเหมือนเป็นการแจ้งให้เรารู้ว่าได้เข้าสู่ระบบการแข่งขันแล้ว
ผมเข้าใจว่าอันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้อิสระไปเสียทุกอย่างอยู่แต่ดั้งแต่เดิมกันนัก แล้วชีวิตของเราก็อยู่กับการแข่งขันมาตลอดอยู่แล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจเป็นเพราะสันดาน หรือถูกกรอบของสังคมที่ถูกเขียนขึ้นมาโดยใครสักคนในอดีตขีดให้เราต้องเดินตาม แข่งกันตั้งแต่เป็นทารกจนแก่เฒ่าเข้าวัยชรา (มีใครเคยจะแข่งกันตายกับเพื่อนไหมครับ?-ใครตายก่อนคนนั้นชนะ) มันเป็นความ ‘ปกติ’ ของชีวิตไปเสียแล้ว โลกนี้เหมือนสนามแข่งขันที่ปูสนามด้วยคอนกรีตเรียบบ้างไม่เรียบบ้างอยู่ตลอดเวลา
แต่กับสัญญาณแหลมแสบหูนั่น มันยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึก ตระหนัก และชักเริ่มรังเกียจ เมื่อไรก็ตามที่เสียงนี่ดังนั้น อีก 5 วินาทีประตูเลื่อนจะหนีบพับปิดลง คนข้างนอก, ขอโทษที กรุณารอคันหน้า (เช็ดมือก่อนเกาด้วย-ไม่ขำ) ส่วนคนข้างใน, เมื่อรู้ว่าถึงสถานีปลายทางที่ท่านต้องการ กรุณามายืนออหน้าประตู เพื่อออกไปพบกับโลกร้อนร้อนเหมือนเดิม โลกแห่งความจริงที่รออยู่
ช่วงเวลาที่ผมรู้สึกแย่ที่สุดคือตอนนี้ละครับ ตอนที่ประตูถูกเปิดออกแล้วได้ยินเสียงลมจากข้างนอกแว่วมากับเสียงยางรถบดถนน สัมผัสของคนรอบข้างที่กระแทกไปมาซ้ายขวาเพื่อแย่งลงจากรถและรีบก้าวลงบันไดให้ได้ก่อน มันเหมือนกับเราเป็นตัวอะไรที่กระหืดกระหอบเพื่อจะรีบมุ่งไปให้ถึงจุดหมายที่มีบางสิ่งรออยู่ จะมีกี่คนที่เต็มใจพร้อมใจจะไปทำ? นอกจากหน้าที่ นอกจากผลตอบแทน
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้, มันทำให้ผมคิดถึงหมา เวลาที่ผมให้ข้าวหมาหรือแมว เมื่อปล่อยมันออกจากกรง ความร้อนรนหิวกระหายของมันทำให้สติพล่าน วิ่งชนโน่นชนนี่ดีใจเกินกว่าปกติ น้ำลายสอจนล้นปริ่มริมปาก ในสมองไม่มีอะไรนอกจากสิ่งโอชะด้านหน้า (ผมไม่เคยชิม แต่เดาเอาว่าอร่อยไว้ก่อน) ก่อนจะกินอย่างมูมมาม แย่งกันอย่างบ้าคลั่ง แต่กับคน ก็อาจเปรียบได้ว่าถูกปล่อยจากกรงหนึ่งไปสู่อีกกรงหนึ่ง เพื่อเร่งรีบถีบตัวไปให้ทันกินอาหารยี่ห้อ ‘เงินเดือน’
หรือจะเหมือนม้าแข่ง ที่เมื่อประตูกั้นเปิดออก เสียงสัญญาณเริ่มการแข่งดังขึ้น ม้าทุกตัวที่ถูกควบด้วยจ๊อกกี้มนุษย์เงินเดือน ก็เร่งฝีเท้าไม่คิดชีวิต รีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ต้องคิด ขอเพียงให้เร็วเข้าไว้ เร็วให้พอ เร็วให้สุด จนกว่ามนุษย์ที่นั่งอยู่คานกลางหลังจะสั่งหยุด บางคนบอกว่าม้ารู้ครับว่ามันกำลังแข่งอยู่ แล้วเมื่อแพ้มันก็จะเสียใจ หงุดหงิด แล้วก็ถึงขั้นหลั่งน้ำตาได้ แต่ผมว่ามันคงไม่รู้ว่ามนุษย์หวังอะไรจากมัน ถ้ารู้แล้วมันจะวิ่งต่อไปไหมผมก็ยังสงสัย
แต่ไม่หรอกครับ สุดท้ายแล้วเมื่อผมเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ผมก็ไม่คิดว่าเราจะไปหมาหรือม้าแต่อย่างใด เพราะเราไม่ได้มีความสุขอย่างหมาหรือสง่างามอย่างม้าเลยแม้แต่น้อย
ผมรู้สึกอิจฉาหมาและพวกบรรดาสัตว์ทั้งหลายจับใจในบางเวลา ถึงแม้มันจะถูกเลี้ยงที่ฟังแล้วมันมีกรอบเขตชัดเจนแน่นอน มีกรง มีตู้ มีเขต ที่การกั้นพื้นที่ไว้โจ่งแจ้ง แต่พวกมันก็มีอิสระกว่าเราไม่รู้ประมาณ แต่บางทีผมก็นึกว่าพวกมันช่างน่าสงสาร อย่างน้อยเวลาที่มันชอบเลี้ยงอะไรมันก็หาซื้อมาเลี้ยงไม่ได้ แต่เอาเข้าจริงก็แพ้ภัยตัวเอง เรามันพวกขี้อิจฉาก็พานไปคิดว่าเราผู้เป็นสัตว์ประเสริฐจะเกิดมาได้เปรียบพวกมัน แค่เรามีความคิดเราก็ด้อยกว่าหมาเท่าไรแล้ว บางครั้งเวลาเห็นหมาของมหาเศรษฐีที่ใส่ปลอกคอทองคำหนาเท่าหัวแม่โป้งตีน ผมยังนึกสงสัย ว่าหมามันจะรู้ไหมว่ามันรวยแล้วนะ มันมีคนอุปถัมภ์ดีกว่าหมาตัวอื่นนะ มันพิเศษนะ ไม่รู้ว่าหมาสุลต่านมหาเศรษฐีจะรู้สึกไหม แต่แม้แต่หมาบ้านผมเห็นแบงก์พันแล้วก็ยังเฉยเฉยนะ
หลังจากสถานีทองหล่อ รถไฟฟ้าแล่นไป ผมก็ได้แต่ปล่อยให้ความคิดเตลิดไปเฉยเฉย เพราะเมื่อประตูอ้าออกจนสุด แม้ผมจะเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ปลายแถว ผมก็ยังต้องเดินออกไปอยู่ดี
Create Date : 06 พฤศจิกายน 2551 | | |
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2551 1:33:02 น. |
Counter : 576 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Final countdown is all around.
หลายครั้งผมตั้งข้อสงสัยว่าคนเราจะทุกข์ไปทำไม? ในขณะเดียวกันก็ถามต่ออีกว่า แล้วจะสุขไปทำไม? (ทำไมผมชอบเขียนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับทุกข์ตรมระคนเศร้าแบบนี้เสมอด้วยไม่ค่อยแน่ใจครับ) บางครั้งผมก็เหมือนจะเข้าใจได้ว่าชีวิตของคนเรามันก็เกิดมาเพื่อรู้สึก การรู้สึกไม่ดีในบางทีก็เป็นเพียงหน้าที่ของชีวิต ไม่ต่างจากลมหายใจ ไม่ต่างกับผมเผ้าที่ต้องยาว เล็บมือเท้าที่ต้องมีวิวัฒนาการไปตามเรื่องของมัน ความรู้สึกก็เหมือนกัน มีการพัฒนาก้าวหน้า มีการเสื่อมลดถดถอยไปตามธรรมชาติ มันสำคัญที่เราต้องรู้ ว่ามันจะเป็นอะไรต่อไป รู้เท่าทันมันและหาทางรับมือให้ได้ (แม่ผมเคยบอกว่าทุกวันนี้ยังมีโอกาสทุกข์ใจสาหัสได้ก็รีบหน่อย- -เพราะถ้าโตขึ้นมากแล้วละก็อาจชาชินกับความรู้สึกแล้วชีวิตจะหงอยเหงาจนขาดสีสัน -ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรครับ เพราะก็ยังไม่อยากจะรู้สึกไม่ดีอยู่ดี)
ทุกครั้งที่เกิดทุกข์หนัก ผมมักคิดว่า ‘พรุ่งนี้ก็หาย’ พรุ่งนี้ทุกอย่างก็จะพัฒนาจนดีขึ้น ดีขึ้น แล้วก็หายในที่สุด ‘เวลา’ เป็นยาวิเศษกว่ากีฬา เพราะกีฬายังต้องใช้เวลาในการเล่น วัยรุ่นที่แห่กันเข้าฟิตเนส อยากได้ Sixth pack มาแต่งร่างก็ยังต้องใช้เวลา อยากเอาชนะคู่แข่งขันก็ยังต้องรอให้เวลาการแข่งขันจบลง ไม่มีอะไรวิเศษไปกว่ากาลเวลา-ค่อนข้างเป็นทฤษฏีการปลอบใจตัวเองฉบับคนขี้แพ้สักหน่อย แต่จะต้องกังวลอะไรหากมันได้ผลจริงและเป็นผลที่เหมือนเหมือนกันไม่ว่าจากวิธีไหน จะนั่งสมาธิจับจิตให้มั่นคง นั่งพินิจพิจารณามูลเหตุของเหตุการณ์ วิเคราะห์ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง จะกินเหล้าจนสุราขาดตลาด นั่งปรับทุกข์กับเพื่อนที่ไม่ค่อยเต็มใจจะฟัง หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็เหมือนกัน มันก็หายเหมือนกันทุกทีไป (เอ…เมื่อเทียบกับทุกวิธี ‘เวลา’ ก็แฝงตัวอยู่ทุกที่นี่นา! )
ใช่ เวลา เวลา เวลา! ในขณะที่ย่าของผมเป็นอัมพฤตซีกซ้ายอย่างนี้ มีเหตุผลมากมายที่ผมพยายามชั่งอยู่ในใจ ว่าคำว่า ‘เดี๋ยวก็หาย’ ที่คุณหมอพูดในวันที่ย่ายังต้องอยู่โรงพยาบาลมันฟังได้แค่ไหนกัน แล้วก็เข้าใจว่าโอกาสหายจากการเจ็บป่วยอย่างนี้ยากเสียจนอาจต้องหันหน้าเข้าหา ‘ดวง’ เพียงอย่างเดียว เพราะไม่ว่าจะดูจากวัยที่ปาเข้าไป 78 ปี แถมไม่ได้มีพื้นฐานการออกกำลังกายมาก่อน ทั้งอาการทางใจก็อยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้เข้มแข็งและสู้เหมือนอย่างใครในโทรทัศน์ ผมก็ยังคงมีความสุขอยู่อย่างกลางกลาง ไม่ได้มีกำลังใจเต็มเปี่ยมในการดูแล ผมไม่ได้ประเสริฐขนาดนั้น แต่นี่อาจจะเป็นชีวิตอีกช่วงหนึ่งที่ได้อยู่ใกล้กับย่าเป็นพิเศษ แล้วก็ได้เอาท่านมาอยู่ในใจมากกว่าทุกเวลาในชีวิต
สารภาพ ว่าทุกวันนี้ผมแบ่งย่าออกเป็น 2 คน คนแรกคือคนที่ก่อนจะเป็นอัมพฤต ส่วนอีกคนเป็นคนที่อยู่กับผมมาตลอด 22 ปี เวลาที่ผมนึกสิ่งที่ท่านมอบให้มาตลอดเวลาอันยาวนาน ภาพของท่านอีกคนมักจะโผล่มาเปรียบเคียงเสมอ กลายเป็นหนังชีวิตที่มีจุดพลิกผันชัดเจน ที่ดูแล้วเศร้าจนทำให้ผมที่ต้องน้ำตาปริ่มบ่อเสมอ ไม่ใช่ว่าผมรักใครมากกว่ากัน หรือเมื่อย่าต้องพิการลงจนทำให้ชีวิตของผมลำบากขึ้นแล้วทำให้ผมทุกข์ขึ้น ไม่เลยครับ ไม่เคยคิดอย่างนั้น เพียงแต่รอยยิ้มแบบเดิมที่ผมชินชาชอบใจมันเปลี่ยนไปนิดหน่อย (วันที่ย่าล้มลง ผมกลัวอย่างเดียวคือย่าไม่สามารถยิ้มให้ผมได้อีกต่อไป) ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไป อย่างที่มากเกินไปในบางวินาที-ซึ่งนอกนั้นผมก็คิดเองว่ามันเหมือนเดิม บางสิ่งที่ผมอยากจะให้มันเป็นอย่างเก่า ต่อให้เจ้าตัวอยู่ใกล้แค่ไหนก็ยังเรียกร้องไม่ได้ มันน่าเศร้าเหมือนกันนะครับสำหรับผม
แต่ผมก็เข้าใจว่ามันก็เป็นอย่างนี้ทั้งโลก… ไม่ว่าจะเป็นคนรัก คนรู้จักที่รู้สึกดีด้วยแค่ไหน หรือใครที่เราต้องนั่งรถยี่ห้อกาลเวลานี่ไปด้วยกัน ย่อมต้องผ่านช่วงเวลาที่นานพอจะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ถึงแม้ไม่เรียนรู้ก็ยังมากพอให้ความรู้สึกกร่อนลงไปอยู่ดี เมื่อเวลาผ่านไป ใจคนเปลี่ยนแปลง ไม่จำกัดว่าจะเปลี่ยนไปด้วยสาเหตุอะไร เราก็มีโอกาสที่จะอยู่ในภาวะ ‘ปัจจุบันพิการ’ ของกันและกันได้ทั้งนั้น มีโอกาสที่จะถูกแยกเป็น 2 คนในสายตาของอีกคนได้เสมอ (บางทีก็อาจเป็น 3 เป็น 4 ด้วยซ้ำไป)
“เตรียมนับถอยหลังได้แล้วนะแบงค์” ผู้ใหญ่คนหนึ่งบอกกับผมเมื่อจบการสนทนาที่มีย่าเป็นหัวข้อ อาจฟังแล้วเหมือนเป็นการแช่งกัน-แต่ไม่เลย-ผมว่านี่เป็นสัจธรรมของโลกที่แท้อีกอย่างหนึ่งมากกว่า เขาบอกต่ออีกว่าเขาสั่งสอนลูกเขาเสมอว่าให้นับถอยหลังให้กับเขาและสามีเหมือนกัน ‘อย่าคิดว่าจะมีอะไรอยู่กันนิรันดร’ มันอาจหมายความว่าอย่างนี้
นับถอยหลัง, ทุกวันนี้เวลากำลังเดินไปข้างหน้า? หรือทวนกลับหลัง? มีอะไรบ้างไหมที่ไม่ต้องการการนับถอยหลัง แต่ให้โลกนี้นับจาก 100 มา 0 ก็ยังต้องนับถอยหลังใช่รึเปล่า การนับไปข้างหน้าก็อาจต่างแค่เพียงถ้อยคำที่เลือกสรรมาใช้เท่านั้น
ตั้งแต่เราอุบัติขึ้นมาไม่ว่าด้วยรูปพรรณลักษณะใด อยู่ทีไหน เราก็ล้วนควรต้องนับถอยหลังให้กับตัวเอง ความรัก ความรู้สึก ความมั่งมี ความไม่มี ความสุข ทุกข์ ตรอมตรม ก็ยังอยู่ในเงื่อนไขเดียวกันนี่ มีก่อ มีหัก มีรัก มีเลิก-ต่างอะไรกันกับร่างกายหยาบช้าบ้าบอที่เราใช้กันอยู่นี่
การนับถอยหลังของกระสวยอวกาศที่ใครเห็นว่าอลังการและเป็นก้าวใหญ่อันสวยหรูของมวลมนุษย์ ผมก็ไม่ใคร่มั่นใจนักว่าเป็นก้าวต่อไปของการ ‘พัฒนา’ อาจจะพัฒนาจริง, แต่ไปทางไหนนี่อีกเรื่อง!
แล้วกับการที่เราเริ่มรักใครสักคน หรือทุ่มเทให้กับอะไรบางอย่าง เมื่อเวลานับถอยหลังให้มัน ‘เริ่ม’ และนับถอยหลังอีกครั้งในทันที มันจะเดินทางไปสู่หนไหน บางครั้งก็เป็นอีกเรื่องที่เราอาจต้องพึ่งดวงอย่างเดียวจริงจริง
จะนับกลับไปด้วยขั้นตอนอย่างไร แต่จุดสุดท้ายของเราก็เท่ากัน เราต้องกลับไปอยู่ที่ ‘ศูนย์’
Create Date : 02 พฤศจิกายน 2551 | | |
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2551 21:51:40 น. |
Counter : 384 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
คำสารภาพของนักศึกษาฝึกงาน
สองปีก่อน, ช่วงเดือนนี้นี่ละ ผมกำลังกังวลว่าซัมเมอร์ที่กำลังจะมาถึง ผมควรจะทำอะไรดีนอกจากนอนตีพุงอยู่บ้านหรือเล่นเกมออนไลน์ไปวันวัน ไอ้อย่างแรกก็สนุกดีเพราะมันเป็นอะไรที่ผมถนัดรองจากการหายใจ ส่วนอย่างหลังนี่ก็น่าสนใจมากเพราะเป็นสิ่งที่ผมถนัดรองจากการนอนตีพุง
แต่ที่ต้องการให้ตัวเองไม่ว่างในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนมันก็มีเหตุผล ข้อแรก, หาเงิน เป็นช่วงที่เริ่มละอายการแบมือขอเงินพ่อกับย่า จำได้ว่าช่วงนั้นจะบอกว่าเงินหมดแล้วขอเพิ่มหน่อยแต่ละครั้ง ยากเหมือนกับบอกรักใครสักคนครั้งแรก แต่สุดท้ายก็ต้องบอก เพราะเก็บมันเอาไว้ไม่ไหว ไอ้ขอเงินก็สมใจทุกครั้งครับ ส่วนไอ้บอกรักก็แล้วแต่ดวง
ข้อที่สอง, ผมตระหนักได้ว่าศักยภาพในการทำอะไรสักอย่างของตัวเองมันมีไม่พอ ต่างจากเพื่อนคนอื่นในวัยเดียวกันอยู่หลายขุม (ทำไมผมถึงชอบใช้คำว่า ขุม เปรียบเทียบระยะนะ-หรือว่าจะเป็นลาง!! ) อาจเป็นเพราะถูกเลี้ยงมาเยี่ยงไข่ในหิน ย่าเป็นห่วงผมมากครับ เวลาจะลงมือทำอะไรเองเมื่อไร ผมมักเริ่มได้ไม่ถึงครึ่งทาง ย่าก็ต้องเข้ามาช่วยเสมอ อาจกลัวว่าผมจะทำได้ไม่ดี หรือกลัวผมจะลำบาก ไม่ใช่ว่าท่านเลี้ยงให้ผมเป็นเด็กที่ห่วยนะครับ
แต่ความห่วงใยของใครบางคนก็ส่งผลกระทบให้ใครสักคนได้จริงจริง
แล้วก็อาจเป็นเพราะผมเป็นเด็กไม่รักเรียนมาตั้งแต่เด็ก เป็นพวกขวางโลกมาตั้งแต่เล็ก เมื่อเห็นผู้ใหญ่คาดหวังอะไรจากตัวเอง ก็จะดื้อ ต่อต้าน แล้วก็ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำล้วนล้วน (ซึ่งการทำตรงกันข้ามความคาดหวังก็เป็นสิ่งที่อยากทำ) แต่ก็ไม่ค่อยสำเร็จครับ เห็นเพื่อนเกเรไปจะยกพวกต่อยใคร ไอ้เราก็กลัวว่าจะโดนอาจารย์ดุก็ไม่ตามเขาไป แถมเป็นคนกลัวเลือด แพ้เสียงดัง เกลียดชังการถูกข่มขู่ ก็ยิ่งทำให้ต้องปลีกตัวออกห่างเรื่องอย่างนี้บ่อย เพื่อนจะไปเสพยา ก็กลัวว่าเสื้อผ้าจะเหม็นจนย่าจะสงสัยแล้วพานโดนตีได้ก็เลยไม่มีโอกาสได้ลอง หรือจะไปขโมยของก็ดันกลัวถูกจับได้แล้วจะอายคนอื่น ก็ได้แต่แอบเก็บอาการอยากได้ของคนอื่นไว้เงียบเงียบ ความห่วยของผมจึงไปลงอยู่กับอะไรที่ไม่ค่อยจะเสียหายกับคนอื่นสักเท่าไร เช่นว่า โดดเรียน, ทำได้คล่องแคล่วจนเป็นกิจวัตร ตั้งแต่หลบในห้องน้ำ (ไม่รู้จะลำบากไปทำไม) ยันนั่งซังกะตายหน้าห้องเสียเฉยเฉยอย่างนั้นก็ยังมี เมื่ออาจารย์เดินมาตามเข้าห้อง ก็เรียนไปตามตรงว่าขี้เกียจ บ้าเกม, ชีวิตของผมผันเปลี่ยนไปนิดหน่อยเพราะเกมออนไลน์ครับ เล่นเป็นบ้าเป็นหลังจนใช้คำว่า ติด ได้ไม่เขิน ขี้เกียจ, โดยเฉพาะกับเรื่องการเรียนนี่ผมใช้คำนี้เป็นคุณสมบัติอย่างแรกของเด็กชายณัฐชนน ผมเลือกกระทำเฉพาะบางอย่างที่สนใจเท่านั้น ซึ่งบางอย่างนั่นช่างหายากมาก! จะให้อ่านหนังสือก่อนสอบ? ฝันไปเถอะครับ! ระดับผมแล้ว โง่ขนาดนั้น มาอ่านเอาหลังสอบครับ! (เพื่อสอบซ่อมนะ)
ทั้งหลายทั้งมวลแล้วเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเรียนห่วย ซึ่งการเรียนห่วยนี่เองที่ทำให้ผมสร้างอุบายให้ตัวเอง โดยการต่อต้านระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย (จะเรียกให้ยากไปทำไม ก็เอนทรานซ์นั่นละ! ) ไม่สอบมันเสียดื้อดื้อ แล้ววางแผนว่าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนตั้งแต่อยู่มัธยมต้น ไม่ใช่ว่าอุดมการณ์แรงกล้าอะไรหรอกครับ แต่เป็นเพราะขี้แพ้
ยอมแพ้ให้การเรียนตั้งแต่ตอนนั้น รู้ว่าสอบยังไงก็ไม่ติดทั้งที่ยังไม่ได้ลองเลยสักแอะ-น่าอายชะมัด
จนเข้ามหาวิทยาลัยครั้งที่สองโน่นละครับถึงจะมาสนใจการเรียน วิชาภาษาอังกฤษ หรือเลข หรือความรู้พื้นฐานต่างต่างที่คนไทยในการเรียนระบบสามัญพึงจะมี ผมก็ได้รับออกมาน้อยแทบจะนับเรื่องได้ มิหนำซ้ำยังได้เพื่อนที่วางใจเชื่อใจได้จากโรงเรียนน้อยนิดหยิบมือ
ทำงานพิเศษเพื่อแบ่งเบาภาระทางบ้านผมก็ไม่เคยหรอกครับ ตั้งแต่มัธยมจนมหาวิทยาลัย เรียนพิเศษก็ไม่เคยจะไปเรียนอะไรจริงจังกับเขาสักหน (เคยลงทะเบียนอย่างจริงจังไป แต่ก็เรียนไปแค่ 3 เปอร์เซ็นต์หรือน้อยกว่านั้นมาก)
ผมจึงอยากหาอะไรทำในช่วงฤดูร้อนปีนั้นครับ!
ทีแรกว่าจะไปเป็นพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น หรือร้านสะดวกซื้อที่ไหนก็ได้ที่พอจะให้ค่าจ้างต่อวันคุ้มค่า มีความเรื่องมากอยู่ในใจมากพอสมควรเช่น ต้องทำงานในห้องแอร์ ต้องไม่ใช่งานที่ง้อลูกค้ามากนัก ต้องให้ค่าจ้างที่มากพอจะมีสตางค์เก็บ ต้องทำงานตอนกลางวันหรือเลือกเวลาทำได้ ฯลฯ (ไร้ศักยภาพแล้วยังเรื่องมากอีกไอ้นี่
) จำได้ว่าถูกใจกับงานพนักงานหน้าร้านของร้านอัดรูปเป็นพิเศษ เพราะอาจได้ใช้และพัฒนาความสามารถทาง Photoshop อันน้อยนิดที่ครอบครองอยู่ได้ ทำงานในห้องแอร์ด้วย งานสบายอีกต่างหาก เข้าทางกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว! แต่พอโทรไปหาร้านอัดรูปแถวบ้าน พี่แกก็เรื่องมากเสียจนหัวเสียขนาดคุยกันทางโทรศัพท์ ซักความสามารถเยอะแยะมากมาย ถามโน่นถามนี่ เพื่อบอกตอนก่อนวางว่าไม่รับพนักงานเพิ่ม เซ็งไปหลายนาที ก่อนจะหายเซ็งเพื่อโทรไปหาอีกที่แล้วพบกับเหตุการณ์เดิม!
เกือบจะล่มแล้วครับฤดูร้อนครานั้น ผมเกือบจะได้ทำสิ่งที่ถนัดที่สุดในชีวิต 2 อย่างพร้อมกันแล้ว แต่ดันเจอใบสมัครโครงการ a team junior ของนิตยสาร a day เสียก่อน เท้าความเล็กน้อย, โครงการนี้สร้างขึ้นเพื่อรับนักศึกษาเข้าฝึกงานกับนิตยสาร a day เป็นเวลา 3 เดือนช่วงซัมเมอร์ ไม่ได้สมัครเข้าไปเพื่อรับเกรดเหมือนนักศึกษาฝึกงานป๊อกแป๊กอย่างที่เห็นเป็นปกติกิจวัตร แต่เข้าไปเป็นลูกมือของ a team (กองบรรณาธิการที่สร้างนิตยสารนี่จริงจริง) อย่างใกล้ชิด ไปอยู่ด้วยกัน 3 เดือนเพื่อเรียนรู้ ก่อนจะได้โอกาสสร้างนิตยสาร a day ด้วยตัวเองขึ้นมาหนึ่งเล่ม! ของตัวเอง (หมายถึงของรุ่น, รุ่นนึงเขารับ 15 คนครับ) ของจริง ขายจริง เป็นฉบับจริง ไม่ใช่นิตยสารปาหี่
ผมเรียนมหาวิทยาลัยครั้งที่สอง (พูดง่ายกว่านี้คือ ซิ่ว แล้วมาเข้าที่ใหม่) ที่ ม.หอการค้าไทย คณะนิเทศฯ สาขาวารสารศาสตร์ ได้เจอโครงการนี้ที่โคตรจะตรงสายขนาดนี้ไม่สนใจสักนิดก็คงจะเกินไปหน่อย (ทั้งที่ไม่เคยอ่านเนื้อหาสาระอะไรอย่างจริงจังสักเล่ม! ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคอนเซปต์หนังสือคืออะไร -รู้แต่ว่าเป็นนิตยสารวัยรุ่นที่คุ้นหู เด็กแนวชอบเอามาถือเล่น นอกนั้นผมไม่รู้อะไรอีกเลย) จึงตัดความต้องการทางการเงินในช่วงฤดูร้อนออกไป แล้วลงมือกรอกใบสมัครโครงการ a team junior จำได้ว่าโครงการเขาจัดช่วงมีนาคม-พฤษภาคม ปิดรับสมัครปลายเดือนมกราคม สัมภาษณ์กุมภาพันธ์ แต่ผมส่งใบสมัครไปตั้งแต่พฤศจิกายน (ใช้ความไวเข้าแลกใบสมัครที่มีข้อมูลห่วยห่วยของตัวเอง)
แล้วระหว่างนั้นผมก็รอ รอ รอ แล้วก็มอง มอง มอง ร้านอัดรูปเดนตายแถวบ้านไปด้วยความหวังอันริบหรี่ หวังว่าหากพลาดหวังไปก็จะมาสบไหล่อาซ้อขาโหกคงนั้งห้ายล่าย
เวลาผ่านไปจนผมจวนจะลืมแล้วครับว่าเคยเขียนใบสมัครไว้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เบอร์โทรที่โคตรไม่คุ้นตาติดต่อเข้ามา แล้วก็บอกผมว่าผมผ่านการคัดเลือกรอบแรก ขอให้ทำการบ้านไปสัมภาษณ์รอบที่สอง-จำได้แม่นว่าปลายสายนัดวันที่ 14 กุมภาพันธ์ แล้วผมก็เสือกไม่สบายอย่างหนักในวันวาเลนไทน์ปีนั้นพอดี! ไปสัมภาษณ์ด้วยอาการทุลักทุเล เป็นการถูกสัมภาษณ์ครั้งแรกในชีวิตของผม (ยกเว้นการถูกสัมภาษณ์เขามหาวิทยาลัย แล้วต้องอ้อนว้อนขออาจารย์ให้ตัวเองได้เรียนภาคปกติ! -เพราะเกรด ม.ปลาย ที่ได้ 1.4 ของผมมันไม่ผ่านการคัดเลือก จึงต้องไปเรียนภาคค่ำ-ดีหน่อยที่ผมอ้อนเก่ง) ทรงกลด บางยี่ขัน นั่งอยู่ในห้องนั้นคนเดียว ผมนั่งตัวต่อตัวกับบรรณาธิการบริหารนิตยสาร a day การสัมภาษณ์เป็นไปอย่างทุลักทุเล ไอ้เด็กปีสามคนนั้นมันลนลานล่อกแล่ก ตอบผิดตอบถูก จากเดิมที่เป็นคนไม่ค่อยมีความมั่นใจอยู่แล้ว เจอสถานการณ์แบบนี้ก็ยิ่งแล้วใหญ่ มือสั่นไปหมด บวกกับเป็นไข้หวัดใหญ่ หน้าแดงก่ำ ตัวร้อน โอย สารพัด แต่ก็ผ่านพ้นไปอย่างงงสุดงง จะลาจากออกมายังเรียงคำไม่ค่อยจะดี จำได้ว่าพี่ก้อง (ทรงกลด บางยี่ขัน) ทำตาหยีและหน้างงงงออกเป็นประโยคว่า มึงเป็นอะไรเหรอ
วันนั้นต้องพยุงราวบันไดเลื่อนรถไฟฟ้าเอกมัยด้วยหน้าผากร้อนฉ่า ร้อนจากพิษไข้และความผิดหวัง ความเซ็ง ความตื่นเต้น ความไม่มั่นใจ
ด้วยดวง ด้วยโชค ด้วยไข้ ด้วยนั่น ด้วยนี่ ด้วยอะไรก็ตาม แต่สุดท้าย ผมก็ติด 1 ใน 15 คนของ a team junior รุ่นที่ 4 จนได้!!!! ซึ่งส่งผลให้ผมอดทำงานร้านอัดรูปของอาซ้อกวงติงคงน้าง ซึ่งก็ไม่เป็นไรเพราะผมคิดว่าน่าจะคุ้มค่ารถ
สมาชิกในรุ่นเดียวกับผมน้อยคนที่จะมาจากคณะนิเทศฯ ทั้งที่นิตยสารน่าจะเป็นอะไรที่ชาวนิเทศฯ สนใจมาก แต่กลับมาจากคณะอักษรศาสตร์ (อันนี้พอเข้าใจได้), สถาปัตยกรรมศาสตร์ (เริ่มงงละ) , เศรษฐศาสตร์ (งงมาก), เภสัชศาสตร์ (อะไรของมึง!), นิเทศฯ เอกประชาสัมพันธ์ (แต่ดันมาเป็นช่างภาพ!) เป็นต้น มีผมคนเดียวที่มาจากนิเทศฯ วารสารฯ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งพิมพ์ล้วนล้วน (มีที่มาจาก วารสารศาสตร์ ของจริง แต่เป็นของ ม.ธรรมศาสตร์ สาขาภาพยนตร์)
ทุกคนมีความรู้สึกส่วนใหญ่ร่วมกันที่มาเข้าโครงการนี้คือ อยากลอง อยากลองทำงานข้ามสาขา ทำงานข้ามวิชาชีพ บางคนชอบเขียนก็อยากมาพัฒนา บางคนว่างจัดก็สมัครมั่วมั่ว บางคนตั้งใจมาจริงจัง บางคนมาเพื่อค้นหาบางอย่าง (ส่วนผมมาเพื่อทำตัวให้สมกับเป็นเด็กวารสารฯ ที่เพิ่งหัดขยันเรียน)
ที่นี่สอนอะไรมากมายที่ผมไม่เคยเจอในวิชาเรียน หรือบางอย่างก็ไม่เคยเจอแม้แต่ในเนื้อหาหนังสือเล่มไหน บางสิ่งเป็นประสบการณ์จริงจากการทำงานสื่อสิ่งพิมพ์ที่เด็กวารสารฯ อย่างผมก็เพิ่งเคยได้ทำ การนั่งสัมภาษณ์ การวางตัว การรักษามารยาท การตอแหลว่ากูเป็นโปรฯ (เพราะบางทีเราก็บอกคนอื่นไม่ได้ว่าเป็นเด็กฝึกงาน-มันเป็นการมิควร) การเรียบเรียงคำ การคิดชื่อเรื่อง การทำเอกสารขอเข้าสัมภาษณ์อย่างมืออาชีพ การทำงานเสมือนพนักงานกินเงินเดือนปกติ การข้ามเส้นผ่านของความเป็นนักศึกษาฝึกงาน การประชุมจริงจัง การหัดออกความคิดเห็น การคิดถึงตลาด การนึกถึงผู้อ่านตลอดเวลา การพัฒนาความคิด การทำงานเป็นทีม (สำคัญมาก) การบริหารอีโก้ของตัวเอง การยอมรับคำตัดสิน การหัดโตเป็นผู้ใหญ่ การมองบางอย่างด้วยสายตาของเด็ก การเพิ่มความอยากพัฒนาตัวเอง การรักษาคุณงามความดีของตัวเองเอาไว้ในอยู่นาน และอีกหลายการที่ผมคงต้องใช้พื้นที่อีกเยอะจนน่าเบื่อ-จากที่ตอนนี้ก็ยาวจนเบื่อกันแล้ว
3 เดือนกว่าในสำนักงานของนิตยสาร a day สั่งสอนอะไรต่อมิอะไรให้ผมมากมายจนนับไม่ไหว ความภูมิใจ ความมั่นใจ ความสุข มิตรภาพที่ได้จากเพื่อนผู้ไม่เคยคิดว่าจะได้มาเจอกัน บางสิ่งก็เป็นมวลสารละอองอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ บางอย่างก็บอกไม่ถูกอย่างที่บอกไม่ถูก แต่แทบทุกอย่างในนั้น เป็นสิ่งที่ผมคงหาไม่ได้ในคราบพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น หรือพนักงานหน้าร้านในร้านอัดรูป หรือแม้แต่ Work & travel ก็ยังลุ้นยาก! อเมริกาเปิดกว้างกว่าประตูสำนักงาน a day เยอะมากครับ-คอนเฟิร์ม!
นอกเรื่องกันบ้างดีกว่า เคยรอฤดูกาลกันบ้างไหมครับ? เช่นว่า รอฤดูหนาวเพื่อที่จะได้เดินทางไปดูทุ่งดอกบัวตอง บางคนรอท้องฟ้าหน้าฝนที่มักใสสะอาดจนมองเห็นดาวได้ทั้งฟ้า บ้างก็ว่ารอหน้าร้อนเพื่อจะได้เดินโต้ลมบนชายหาด วิ่งลงทะเลได้อย่างสบายใจ หรือรอหน้าฝนเพื่อที่จะได้เข้าป่าเพื่อดูความงามของพงไพรได้สบายตัว (ผมชอบรอฤดูหนาวเพื่อที่จะได้ขึ้นรถเมล์ธรรมดาอย่างสบายกายครับ!)
ผมมีอยู่ที่นึงที่อยากแนะนำให้ลองไปครับ ที่นั่นสวยงามดีจนอยากบอกต่อ ที่นั่นต้นก้ามปูใหญ่ยักษ์โอบล้อมพวกเราหลายชีวิตได้สบายผ่านกิ่งก้านใบของมัน ที่นั่นมีดาวบนฟ้าแทบนับดวงได้ แต่ผมว่าบางเวลาสิ่งรอบข้างน่าสนใจกว่าดาวบนฟ้าจนจำนวนดาวไม่สำคัญเลย ที่นั่นมีบรรยากาศดี ถึงจะหนาวบ้าง เย็นบ้าง เปียกบ้าง แต่เราก็มักจะลืมทุกอย่างได้ในเวลาอันสั้น ที่นั่นมีที่นอนเตรียมพร้อมไว้ให้ ไม่ต้องกลัวลำบากสำหรับคนที่รักสบาย แถมมีร้านสะดวกซื้อครบครัน ที่นั่นมีความกด (ดัน) อากาศสารพัดให้ได้เรียนรู้ ร้อนเป็นอย่างไร หนาวเป็นแบบไหน ที่นั่นมีต้นไม้สูงให้ได้ลองปีน มีน้ำตกให้ได้ลอยล่องแก่งน่าตื่นเต้น บางทีบาดเจ็บได้แผลบ้างก็มี-แต่สนุก ที่นั่นมีสัตว์ป่าดุร้าย ให้ได้ส่องดู เรียนรู้พฤติกรรม และทำตาม! ซึ่งหาดูยาก และนานนานจะได้เห็น ที่นั่นร่มเย็นด้วยสรรพสิ่ง รุ่มร้อนด้วยอะไรบางอย่าง และหนาวสั่นได้ด้วยอะไรบางสิ่ง แต่บางอย่างผมก็บอกไม่ถูกหรอกครับ บอกไม่ถูกอย่างที่บอกไม่ถูก ก็เลยว่าจะชวนให้ไปด้วยกัน
ว่าแต่-ซัมเมอร์นี้ว่างกันไหมครับ?
นี่ครับ ตั๋ว
Create Date : 01 พฤศจิกายน 2551 | | |
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2551 11:27:37 น. |
Counter : 4744 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|