Dinner31
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Dinner31's blog to your web]
Links
 

 
เขียนให้ผ่าน อ่านให้จบ!

อ่าน
คนโบราณฝั่งยุโรปเขาว่า, “You are what you eat."
เมื่อสิบปีก่อน คนสมัยนั้นฝั่งลาดพร้าว กรุงเทพฯ อย่างผม
เข้าใจไปว่า ไม่ว่าใครกินไก่ไปมากเข้า จะงอกขน งอกปีก มีหงอน กลายเป็นไก่ให้ใครทอดเอาจริงจริง
หรือหากอยากหน้าตาเหมือนผักบล็อกโคลี่ ที่เขาว่าหน้าตาดีที่สุดในโลก
ก็หมั่นทานเข้า สักวันฝันจะเป็นจริง

กว่าจะเข้าใจได้ไม่เพี้ยนจนเข้าขั้นบ้าก็อายุปาเข้าไปยี่สิบกว่า
แต่ก็ยังคงแปลทุกอย่างตามเดิม, ‘เป็นอย่างที่กิน’

คำว่า 'กิน' ในวลีนี้กินใจผมเต็มใบ
เพราะดันตีความไว้ในพจนานุกรมส่วนตัวไว้ว่า ‘ทุกอิริยาบถในการกระทำตัว’
เช่นว่าหากนักฟุตบอลคนไหน อยากเตะฟรีคิกให้เฉียบขาด
จะมีทางอื่นไหมนอกจากคุณต้องหมั่นเตะ
ไม่ว่าจะระยะไหน ไกลจากประตูมากเท่าไร
แค่วางลูกแล้วทดลองเตะ ซ้ำแล้ว-ซ้ำเล่า
เหมือนที่พี่พี่นูโวร้องไว้ “อยากจะขี่ม้า ต้องหัดต้องขี่ม้า”
– สูตรสำเร็จแห่งการเอาแต่ใจ, ผมว่าอย่างนั้น

ในโฆษณาของไนกี้ชุดหนึ่ง
แสดงภาพของนักกีฬาชื่อดัง (จริงจริงก็ไม่ได้ชื่อ 'ดัง' หรอก) หลายคน
อยู่ในช่วงเวลาแห่งการซ้อม
แต่ละเฟรมฉายผลัดวันในอากัปกิริยาเดิมซ้ำแล้ว-ซ้ำเล่าของเขา เธอ
You are what you eat. , เปล่า วลีนี้ไม่ได้ทะลึ่งไปเป็นสโลแกนแทน Just do it. หรอกครับ
แต่ผมว่ามันช่างเหมาะกับพวกเขาเสียเหลือเกิน

หนังสือฮาวทูที่เกี่ยวกับการเขียนทั่วโลก บัญญัติสำหรับคนที่รักจะเขียนไว้ว่า "ต้องอ่านให้มาก"
ซึ่งก็จริง, จริงตั้งแต่การอ่านชั้นปฐมภูมิยันทุติยภูมิ ตั้งแต่อ่านกอขอยันอ่านกวีค้นหาชีวิต
ยิ่งได้อ่าน ยิ่งได้เสพ ก็ยิ่งจะซึมซับเข้าสู่เส้นสมอง
ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจสูดดม แต่ควันบุหรี่มือสองก็ไหลสู่ไขสมองอของเราได้-ตัวอักษรก็เช่นกัน
นอนสงบนิ่งรอวันเรียกใช้จากปลายปากกา ดินสอ คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์

อาการเริ่มออกก็ตอนนี้, คนที่อ่านนิยายกำลังภายใน สูบเสพเมถุนวรรณกรรมจากแดนมังกร
แนวโน้มลายมือและสำเนียงก็ค่อนออกไปทางกระบี่มากกว่าปืนยาว
ใครที่อ่านแต่พงศาวดารรามายนะ ก็โน้มไปว่าจะจินตนาการภาพเมืองลงกา เมืองสามภพ
ได้สนุกสมองมากกว่าเจ้าหญิงยุคกลางแห่งแผ่นดินยุโรป
อย่าไปว่าถึงนิยาย หากอ่านแต่ข่าวบ้านการเมือง ก็ไม่ต้องว่ากันเรื่องเขียนนิยาย

เลี่ยงไม่ได้, เราล้วนถูกปั้นจากดินเหนียวเหลวรายล้อมรอบบ้าน
ถูกทาด้วยสีสังเคราะห์จากตู้หนังสือในบ้าน
ช่องโทรทัศน์ที่พ่อแม่ชอบเปิด
การศึกษาที่บรรดาอาจารย์มอบให้
และการกีดกันบางสิ่งของสิ่งที่เรียกว่า ‘กอ บอ วอ’
– แน่นอน, สำคัญที่สุดก็ถูกละเลงสีด้วยความขี้เกียจ ความชอบ และรสนิยมของเราเอง

เข้าเรื่องเสียทีดีกว่า, เนื่องด้วยโลกนี้มีอาชีพที่ต้องการทักษะในการเขียน-การอ่านเป็นหลัก
ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ นักโฆษณา นักประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง - นักนิตยสาร

ผมมักเถียงกับเพื่อนผู้ชอบเขียนเหมือนกันเสมอ
ว่าการอ่าน หรือการเขียนสำคัญกว่ากัน
หลายคนว่าการอ่าน เพราะมันเป็นพื้นฐานของการเขียนทั้งมวล
ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล-วัตถุดิบ การก่อร่าง-สไตล์การเขียน (สำหรับผู้ที่มี Ref. ในหัวใจ)
ตอกย้ำมั่นใจว่าครูบาอยู่ในหนังสือ นอนนิ่งรอให้เก็บเกี่ยววิชาด้วยการไล่สายตาทีละบรรทัด

ได้แต่นั่งฟัง ไม่เถียง เพราะตระหนักเสมอว่าเป็นเรื่องจริง
ผมไม่เคยเห็นนักเขียนท่านใดที่ดำรงอยู่ได้ด้วยการไม่อ่าน
แต่ก็เคยได้ยินเรื่องของนักเขียนคนหนึ่ง ที่ไม่เคยเสพงานของใครเลย!
บทสรุปสุดท้าย อนาคตทางการเขียนของเขาก็ไม่สู้ดีนัก

แต่ก็ยังคงมีเสียงเล็กเล็กเถียงอยู่ในใจ
เช่นพวกที่ทำงานโฆษณา มีเงื่อนไขการหาความรู้ที่ควรทำเพื่อการดำรงอาชีพว่าต้องดูผลงานโฆษณาโน่นนี่อยู่ตลอดเวลาทุกวัน
เพื่อหลีกเลี่ยงความเหมือน หนีเลขหนึ่งเพื่อสอง ไม่ใช่หนึ่งจุดสอง

สำหรับการเขียน เราอ่านเยอะไปเพื่ออะไรผมไม่แน่ใจนัก?
หาความรู้-วัตถุดิบ หาวิธีเรียงร้อยถ้อยคำ เว้นวรรค จังหวะปล่อยหมัดหนักเบา
หากอ่านไปเพื่อหาตัวอย่าง เราจะพัฒนาต่อไปอย่างไรครับ
นักเขียนผู้ที่ไม่เสพงานเขียนของใครบางคนคงจะคิดแบบนั้น
เพราะใจร้อนอยากมีสไตล์ของตัวเองเร็วไวหรืออะไรก็ไม่รู้

ผมคิดว่า เมื่อไรที่เรา 'อ่าน' เพื่อการ 'เขียน'
การอ่านให้เยอะเพื่อหลีกเลี่ยงทางที่มีความสุ่มเสี่ยงจะเดินไปทับรอยเท้าใคร อย่างวงการโฆษณานั่นก็น่าจะดี
หรือในอีกแง่หนึ่ง การทดลองเขียนซ้ำรอยทางใคร ก็เป็นการโยนหินถามทางความถนัดของตัวเองได้ดีเช่นกัน
การได้ลองเขียนเรื่องสั้น นิทาน นิยาย บทความ ร้อยกรอง ฯลฯ เพื่อให้ได้ทางเดินที่เหมาะกับเท้าตัวเองที่สุด
ก่อนที่จะแยกไปสร้างรอยเท้ายาวของตัวเองเพียงลำพัง

ควรอ่านอย่างมีจุดหมายปลายทาง
ไม่รู้ในหนังสือฮาวทูเล่มไหนได้บอกเอาไว้ไหม

แต่ผมอ่านมาจากไหนสักที่ เขาบอกว่า
'You are what you read.' - ผมชอบชะมัด

เขียน
แต่อยากเขียนเก่ง หากไม่ลงมือเขียน ต้องเกิดอีกสักกี่ชาติถึงเขียนเก่ง?
สำหรับเด็กจบใหม่ไร้ประสบการณ์อย่างผม รู้ตัวดีว่าฝีมือตัวเองอยู่ในฝีมือระดับใด
(ไม่เชื่อลองอ่านความไม่รู้ในบรรทัดบนนี้จนสุดเลื่อนสกรอล์บาร์)
สิ่งที่ทำพื่อพัฒนาตัวเองได้ดีที่สุดคือ เขียน เขียน เขียน เขียน เขียน และเขียน
รวมถึงหาหลักแหล่งในการเขียนให้ได้มากที่สุด
อาจารย์ที่ปรึกษาของผม แนะนำกึ่งบังคับให้ผมขยันเขียน
ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าจะเป็น ไดอารี่ บล็อก บันทึกโน่นนี่ที่เก็บเอาไว้อ่านลำพัง
ผมทำตามอย่างว่าง่ายอย่างไม่สม่ำเสมอ (ไม่เชื่อก็ดูได้จากวันอัพเดทบล็อกชิ้นนี้กับบล็อกชิ้นล่าสุด)
ที่เว้นว่างไปยาวนาน มีปัจจัยหลายหลากให้อ้าง

บรรทัดต่อไปนี้อาจขัดตาไปเสียหน่อยสำหรับคนที่ทิ้งบล็อกไปนานยาวอย่างผม
แต่ข้ออ้างยอดฮิตของคนที่ไม่เริ่มเขียนมีไม่มากหรอกครับ ดังนี้

1.ขี้เกียจ
การเขียนอะไรยาวยาวต้องใช้พลังมาก
เหมือนกับการอ่านหนังสือนานยาว หากไม่ง่วงก็รอดได้สบาย
แต่การเขียนมีขั้นตอนวุ่นวายกว่ากันมาก การเขียนบล็อก เขียนไดอารี่ หรือเขียนจดหมายลาป่วย
พอได้รู้สักครั้งแล้วว่ามันยาก จะทำอีกหนก็เริ่มขี้เกียจแล้ว

แน่นอน ว่าได้ขี้เกียจเป็นทุน แม้แต่เขียนจดหมายรักขอแฟนแต่งงานก็ไม่ทำ
ชาตินี้เป็นโสดตายห่าพอดี

แต่ด้วยประสบการณ์หลายหน้ากระดาษโปรแกรมเวิร์ดของผม
ทำให้รู้ว่า การเริ่มบรรทัดแรกนั้นยากที่สุด
เมื่องานเขียนเป็นรูปเป็นร่าง ก็พอจะไล่ตัวขี้เกียจออกไปได้บ้างหลายคอก

2.ไม่มีเรื่อง
ผมเชื่อว่าทุกก้าวของทุกคน ไม่ว่าเดินผ่านที่ไหน ย่อมมีเรื่องเล่าได้ทุกที่
ถึงแม้ไม่เกิดอะไรขึ้นเลยก็ตามทีเถอะ
แต่จะ 'หาเรื่อง' เจอไหมก็ขึ้นอยู่กับสันดานส่วนตัว
(ลูกหลานใครอ่านแล้วเข้าใจผิด เอาเท้าชีวิตไปแกว่งหาเสี้ยน ผมไม่รับผิดชอบค่าพยาบาล-แจงไว้ให้ทราบ)

อยากจะแก้ก็ขอแนะนำ ครั้งแรกแรกนี่ก็หาอะไรแถไปก่อน
เช่นว่า
ก้อนกรวดกระเด็นเข้าฝ่าเท้า มันช่างเปรียบได้กับจุดเล็กเล็กระหว่างเราที่ผ่านมาด้วยความเร็ว
จนทำให้ความรักของเราที่สาวเท้าก้าวไปด้วยกันต้องสั่นคลอน

หรือแก้วกาแฟที่มาเสิร์ฟช้า กับวันเวลาที่ผ่านไปก่อนหน้า
หรือครีมกระปุกใหญ่ที่ถูกใช้เพียงครั้งเดียว ฯลฯ
– ผมหมายถึง ฯลฯ จริงจริง

สิ่งที่ต้องทำก็คือ ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่
เราต้องพยายามหาอะไรที่พอจะเป็นเรื่องซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในอากาศให้ได้
จับมันมานั่งใกล้กัน แล้วสลับเปลี่ยนที่นั่งให้มันดูแล้วเข้าตา - วันไหนเพื่อนด่าว่าเพ้อเจ้อคือ โอ.เค

3. ไม่รู้จะเขียนให้ใครอ่าน
ไม่ว่าใครก็ต้องการเวทีส่วนตัว
หลักฐานคือเว็บไซต์ที่เปิดพื้นที่ให้นำเรื่องราวประจำวันของตัวเองไปเปิดเผยได้รับความนิยมล้นหลาม
ซึ่งข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญในการบั่นทอนจิตใจผู้เขียนหนักมากหลายกิโล
แม้แต่การอัพบล็อกก็ตาม เมื่อไรที่อุตส่าห์เขียนเสียสวยหรู แล้วพบว่าไม่มีใครมาคอมเมนต์ไว้สักคน
อาจทำให้ไฟที่ลุกโชนโชติช่วงเมื่อคืนก่อน มอดลงเพียงข้ามวัน

ใครทนไม่ไหวก็ช่วยไม่ได้ แต่ว่าทางออกมีมากมายครับ
อย่างที่เราเห็นกันในเว็บบอร์ด การแสดงความคิดเห็น การเล่าเรื่อง
ในกระทู้ที่ควรจะเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างเป็นประเด็น
เราพบว่ามีความเรียงที่แฝงมากับเรื่องเล่าถูกซุกซ่อนอยู่ในนั้นเสมอ
หรือถ้าแค่บล็อกมันไม่พอใจ ก็ลองเขียนเรื่องสั้นสัก 2-3 เรื่อง
ส่งไปตามนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ดู
โอกาสดีดีอาจได้ตีพิมพ์เป็นผลงานของตัวเอง
แถมมีคนอ่านเป็นแสนแสน

4.ฝ่อ
เป็นเรื่องปกติที่เมื่อไรได้เสพสารอักษรผ่านสายตา
แล้วไปเจอความเรียงชิ้นสุดยอด จนทำให้เบื่อชีวิตขึ้นมาทันควัน
กรุณาตั้งสติมองอะไรให้ดีดีก่อน
ผลงานที่ว่านั่นถ้ามันไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมห้องที่คะแนนการเรียนสูสีกันมาตลอด 16 เทอมก็อย่าไปเสียเวลาเลย
ทำไมไม่เอาเวลาไปเริ่มงานชิ้นใหม่ หรือตรวจทานข้อบกพร่องที่เรายังครอบครองอยู่กันเล่า
ถ้าคนเราเห็นงานคนอื่นดีกว่าแล้วต้องหยุดเขียนเพื่อให้เขาแซงไปไกลกว่าเดิม
โลกนี้งานเขียนคงจะหยุดอยู่ที่ใครสักคน แล้วจะหยุดหมุนเข้าสักวัน

5.เขียนไม่จบ
บางเรื่องยาวเกินเหตุ จบไม่ลง หรือเพราะโครงเรื่องมันยาวเกินไปจน
เขียนกันจนเหนื่อยหอบเป็นอันต้องเซฟและดองไว้จนงานชิ้นนั้นไม่ได้เกิด
เป็นปัญหาส่วนใหญ่ของใครที่เพิ่งเริ่มเขียน

การเขียนไม่ใช่การสูบบุหรี่ครับ ที่ต้องสูบให้หมดมวนในคราวเดียว
(เหอะ! บางคนหยุดสูบ แล้วยังบีบปลายมวนไว้สูบต่องวดหลังได้อีกด้วยซ้ำไป)
ถึงแม้จะอ้างว่า หมดอารมณ์เขียน จินตนาการขาดช่วง ถ้าจะหยุดเขียนทั้งที่ยังเขียนไม่ถึงบทจบ
อย่างนั้น, หากไม่ไหว ก็พักเสียหน่อย แล้วก็สร้างวินัยให้ตัวเอง
สัญญากับไฟล์ให้ได้ว่าจะลุกขึ้นมาเขียนต่อให้จบจนได้
เป็นการรักษาสัญญากับบางสิ่งที่มีความหมายดีเหมือนกันนะครับ


แต่อย่าเพิ่งใส่ใจว่าจะเขียนดี-ไม่ดี คนอ่านเยอะ-อ่านน้อย หรือจะเขียนจบรึเปล่าเลยครับ

ถ้ายังไม่ได้เริ่มเขียนสักแอะ

ปล.เผื่อใครหมั่นไส้, ไม่ได้มั่นใจว่าตัวเองเขียนดี หรือเป็นกูรูคูรบาด้านการเขียนแต่อย่างใดนะครับ เพียงแต่คิดอะไรออกก็นำมาบอกกันเท่านั้น



Create Date : 20 กรกฎาคม 2551
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 1:05:28 น. 3 comments
Counter : 428 Pageviews.

 
ยาวดีค่ะ

ขอบคุณนะคะ
เหอะๆๆๆๆๆ

ป.ล.ไผจะกล้าหมั่นไส้ล่ะท่าน


โดย: gluhp วันที่: 20 กรกฎาคม 2551 เวลา:0:57:53 น.  

 
เรามีหน้าที่เขียน เขามีหน้าที่อ่าน

เปนกะลังจัยให้ จ๊ะ


โดย: บ้าได้ถ้วย วันที่: 20 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:10:38 น.  

 



Photobucket


โดย: *ตู้-แดง* วันที่: 9 สิงหาคม 2551 เวลา:14:10:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.