ตอนที่ 11
เพราะคิดมากและนอนไม่หลับ ทำให้มิวลุกขึ้นจากที่นอน ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหยิบตัวต่อไม้ขึ้นมาดู ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกเบื่อ มิวเพิ่งสังเกตว่าสีบริเวณรอบๆตัวต่อไม้เริ่มจางลงจากเดิมไปมาก นั่นเป็นคำตอบได้ดีว่าเจ้าของได้หยิบมันขึ้นมาดูบ่อยแค่ไหน เสียงรถสามล้อเครื่องวิ่งมารับแม่ค้าที่อยู่ถัดจากบ้านของมิวไม่กี่คูหา เหมือนนาฬิกาบอกว่าสว่างแล้ว มิวหลับๆตื่นๆรู้สึกปวดศีรษะตุ๊บๆ แต่ก็แข็งใจลุกจากที่นอนเพื่ออาบน้ำแต่งตัวออกไปข้างนอกหลังจากที่นัดเวลากับพลอยไว้เมื่อวาน
โต้งไปที่ทำงานของพี่อ็อด แต่พบกับพี่พลอย ถึงกับตกตะลึง เมื่อเห็นพลอยมีส่วนละม้ายคล้ายพี่แตงของเขาอย่างยิ่ง พลอยถามว่านัดพี่อ็อดไว้ก่อนหรือเปล่า? โต้งส่ายหน้าตอบว่าต้องการมาขอเบอร์ติดต่อของมิวเท่านั้น สายตายังจับจ้องที่พลอยขณะที่หญิงสาวเคี้ยวหมากฝรั่งจิ๊บจั๊บอยู่ในปาก พลอยสบตาแล้วหันมายิ้มให้

“รู้จักกับมิวด้วยเหรอ?”

พลอยถามเสียงตื่นเต้น เพราะเข้าใจว่าโต้งคือแฟนคลับพันธุ์แท้ของวงออกัส
“ครับ เราเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่ผมไปเรียนต่อที่เชียงใหม่เลยขาดการติดต่อ”
“เพื่อนกันหรอกเหรอ? คิดว่าแฟนคลับเสียอีก งั้นพี่ขออนุญาตเจ้าตัวเขาก่อนนะว่าอนุญาตหรือเปล่า?อย่าว่าพี่เรื่องมากนะ แต่มันเป็นเรื่องของมารยาทน่ะ” พลอยจัดแจงต่อสายโทรศัพท์แต่โต้งทำท่าห้าม พลอยเงยหน้ามองโต้งอย่างสงสัย โต้งตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน แม้ในใจคิดว่าถ้ามิวรู้ก็คงไม่ยอมให้เบอร์แน่
พลอยต่อสายอยู่หลายครั้ง นึกแปลกใจ
“เกิดอะไรหรือครับพี่แตง?” ความห่วงใยของโต้งจนเผลอลืมชื่อของอีกฝ่าย
“พี่พลอยค่ะ” พลอยตอบยิ้มๆเหมือนเดิม ก่อนจะอธิบายต่อยืดยาว

“….ไม่รู้สิ มิวไม่ยอมรับสาย แปลกจังทำไมไม่รับสายนะ ทั้งๆที่นัดกับพี่ไว้แล้วนี่นา?” พลอยแปลกใจ

“คงไม่ได้ยินมากกว่าครับ หรือกำลังเดินทางมาก็ได้ งั้นผมขอนั่งรอที่นี่ก็ได้ครับ” โต้งยิ้มรู้สึกดีใจเมื่อรู้ว่ามิวเองก็จะมาที่นี่
“พี่เชื่อแล้วว่าเราเป็นเพื่อนกัน เอานี่” พลอยยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆให้โต้ง ชายหนุ่มรับมาดู


“086-376-32-XX”

“ ใช่ นั่นแหละเบอร์ของมิว ถ้าโทร.ติดแล้วบอกมิวว่าพี่อ็อดขอเลื่อนเป็นบ่ายโมง”
พลอย กวักมือเรียกแม่บ้านที่เดินผ่านมาพอดี ขอกาแฟให้กับโต้ง โต้งกล่าวขอบคุณ ส่วนตัวเองก็เตรียมคิวงานของศิลปินเพื่อส่งต่อให้กับพี่อ็อด โต้งพยายามกดเบอร์โทร.ออกเพื่อติดต่อกับมิวแต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ
“สงสัยแบตหมด” ชายหนุ่มเงยหน้าดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังใกล้ๆเก้าโมงกว่าแล้ว เลยเวลาที่นัดกับพลอยกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว โต้งเดินเข้าไปหาพลอย อยากถามอะไรบางอย่างที่ตัวเองสงสัย พลอยเดินกลับมายังห้องที่โต้งนั่งรออยู่ พนักงานเริ่มเดินกันขวักไขว่มากขึ้น บ้างก็นั่งทำงานที่โต๊ะของตัวเอง


“เป็นงัยคะ ติดต่อมิวได้หรือยัง?” พลอยเอ่ยถาม โต้งละสายตาจากหนังสือพิมพ์ ส่ายหน้าบอกว่าติดต่อไม่ได้ พลอยยิ่งแปลกใจเพราะมิวไม่น่าผิดนัดแบบนี้ แอบบ่นว่าถ้าไม่เลื่อนเป็นบ่ายโมงมีหวังมิวโดนพี่อ็อดดุแน่ๆ
เกือบสิบโมงเช้าแล้ว มิวยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เตียง รู้สึกหนาวสั่นจนต้องคดตัวเพราะรู้สึกปวดหัวอย่างแรง และดูเหมือนจะมีไข้เสียด้วย มิวพยายามแข็งใจลุกขึ้น แต่ก็ล้มตัวลงกับที่นอนเหมือนเดิม เมื่อนึกถึงพลอยขึ้นมาก็ไม่อยากให้ผิดนัด มิวแข็งใจลุกขึ้นจากเตียง แม้จะเห็นทุกอย่างหมุนเคว้งกลางอากาศก็ตาม ค่อยๆพาตัวเองไปที่ประตูห้อง ตั้งใจจะออกไปเรียกรถแท๊กซี่ให้ไปส่ง


**********

โต้งลุกเดินไปหาพลอยอีกครั้ง บอกว่าจะลองไปหามิวที่บ้านดู แม้ว่าจะจำทางเลือนลางก็ตาม หากมิวมาถึงก่อนรบกวนพลอยโทร.บอกด้วย พลอยพยักหน้ารับแล้วถือเอกสารที่เตรียมไว้วางที่โต๊ะของพี่อ็อด


“ดูแลกันดีๆนะ”

พลอยพูดกับโต้ง จนอีกฝ่ายถึงกับหัวใจพองโตและแทบจะหยุดเต้น

ภาพหนึ่งผุดขึ้นมาแทรกกลางระหว่างนั้นอีกครั้ง โต้งจำได้ดีว่าเป็นประโยคสุดท้ายของจูน ที่ทำให้โต้งกั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ในวันที่จูนกำลังเดินทางกลับเชียงใหม่ ชายหนุ่มรู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มที่ส่งให้กับพลอยนั้นดูมีความหวังขึ้นมา

“ครับพี่..”
“พี่พลอยค่ะ”


พลอยรีบพูดดักไว้ ทั้งสองคนหัวเราะพร้อมๆกัน โต้งเรียกแท๊กซี่ทันทีที่ลงจากตึก แม้รถจะเริ่มเต็มถนนแล้ว แต่โต้งก็ไม่ละความพยายามจนบางครั้งจะต้องลงต่อรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างในช่วงที่การจราจรบนท้องถนนหนาแน่นและติดขัดก็ตาม

มิวพาตัวเองออกมาจากห้องอย่างลำบาก รู้สึกว่าตัวเองจะไม่สบายเสียแล้ว ชายหนุ่มพยายามควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าถือ พอหยิบขึ้นมาก็โมโหที่แบตโทรศัพท์หมด เมื่อวานคงวุ่นกับการเตรียมตัวและสมาชิดวงทุกคนอยู่กันพร้อมจึงไม่ได้สนใจโทรศัพท์มากนัก จึงไม่ได้ชาร์ทแบตไว้ มิวค่อยๆก้าวเท้าลงบันได แต่ทำได้เพียงไม่กี่ก้าวรู้สึกตาพร่ามัว แขนที่จับราวบันไดดูอ่อนล้า ก่อนที่สติของมิวจะวูบลง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองลอยละลิ่วลงมาจากชั้นบนของบันไดล่วงสู่ชั้นล่างพร้อมๆกับความรู้สึกดับวูบลงทันที

*********

เสียงกุญแจไขประตูเหล็กบริเวณหน้าบ้านของมิวถูกไขออก เอ็กส์ ใช้กุญแจสำรองที่เลื่อนประตูเหล็กเปิดออก เรียกชื่อมิว แต่ก็ไม่พบ จนมาพบมิวนอนหมดสติที่ปลายบันได ที่หางคิ้วมีเลือดไหลเป็นทาง เอ็กส์รีบช้อนร่างของมิวลุกขึ้นพาขึ้นรถของตัวเองที่จอดอยู่หน้าบ้าน เป็นจังหวะเดียวที่รถแท๊กซี่คันของโต้งนั่งมา เลี้ยวจอดขวางทางรถของเอ็กส์ไว้ โต้งทันเวลาพอที่จะเห็นภาพของเอ็กส์ประคองอุ้มร่างของมิวขึ้นรถ เอ็กส์ตะโกนขอทางให้รถแล่นออก แท๊กซี่ค่อยๆหลบทางให้ โต้งรู้สึกหนาวๆร้อนๆ สีหน้าจริงจังจนคิ้วทั้งสองข้างแทบจะชนกันอย่างไม่รู้ตัว แม้คนขับรถจะถามว่าให้จอดที่บ้านหลังไหนอยู่หลายครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่ตัวของโต้งเองก็ตอบไม่ได้ว่าเป็นเช่นไรเมื่อเห็นมิวสนิทกับผู้ชายอีกคน แม้จะเป็นหนึ่งในสมาชิกวงออกัสก็ตาม

*********

สายฝนโปรยปรายลงมา เป็นฝนแรกของฤดู เริ่มเม็ดใหญ่และหนาตามากขึ้นจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า สุนีย์เปิดม่านมองไปที่ประตูรั้วหน้าบ้าน รอคอยการกลับมาของลูกชาย ส่วนกรเข้านอนแล้วเพราะต้องออกไปทำงานต่างจังหวัดแต่เช้า

สุนีย์เดินไปหยิบร่มเตรียมไว้ที่หน้าประตูบ้านก่อนจะเข้าครัวเพื่อเสียบกระติกน้ำร้อนเตรียมไว้ให้ลูกชาย สีหน้าของเธอดูมีกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“กลับบ้านดึกๆดื่นๆแบบนี้ทุกวัน อยู่ไหนของเขานะ ”
สุนีย์เปิดผ้าม่านมองผ่านกระจกไปที่ประตูรั้วอีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงอย่างอ่อนใจ มุมเดียวกันภายนอกตัวบ้านทว่าในรั้วเดียวกัน โต้งนั่งนิ่งมองทอดอาลัยไปที่ประตูรั้วหน้าบ้านอย่างเดียวดายทำราวกับคนอกหัก ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาไม่ลืมหูลืมตา ทั้งที่สุนีย์เองก็นั่งรออยู่ไม่ไกลกัน เนื้อตัวของโต้งสั่นระริก ทั้งหนาว ทั้งโกรธและไม่พอใจบางอย่างทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ทำไมโต้งถึงรู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกเคืองๆมิวขึ้นมา โต้งลุกขึ้นหันหลังกลับเข้าบ้านอย่างคนไร้ชีวิตชีวา ความรู้สึกอย่างหนึ่งแทรกเข้ามาเมื่อรู้ตัวว่ายิ่งเดินเข้าหามิวมากขึ้นเท่าไหร่ เหมือนยิ่งห่างมิวออกไปไกลทุกทีๆ
“โต้ง!! ตากฝนทำไมลูก?”
สุนีย์กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปจับตัวลูกชาย พลางหาผ้าเช็ดตัวส่งให้ลูกชาย
“รีบขึ้นไปอาบน้ำเลย สระผมด้วยนะ เดี๋ยวเป็นหวัดกันพอดี” สุนีย์ผลักตัวลูกชายให้รีบไปอาบน้ำ ส่วนตัวเองเข้าครัวไปชงเครื่องดื่มให้ลูกชาย

*********

ที่โรงพยาบาล อาการของมิวน่าห่วงเพราะไข้สูง แผลจากการตกจากบันไดที่หางคิ้วเย็บไปแปดเข็ม เอ็กส์อยู่เฝ้าไข้ไม่ห่างไปไหนด้วยความเป็นห่วง มิวยังไม่ได้สติ มีเพียงอาการเพ้อถึงป๊าออกมาบางเวลา

*********
กรจัดแจงความพร้อมของตัวเอง เพื่อเดินทางไปต่างจังหวัด สุนีย์ถือโอกาสเดินไปดูอาการของโต้ง ก็วิ่งหน้าตื่นบอกกับกรทันที เมื่อรู้ว่าโต้งตัวร้อนและมีไข้ขึ้น แม้กรต้องทำเวลาแต่นาทีนี้กรเลือกที่จะให้ความสำคัญกับลูกชายก่อน สุนีย์คว้าเสื้อคลุมแล้วจัดแจงหยิบของที่จำเป็นติดตัวก่อนจะให้กรพาไปส่งที่โรงพยาบาล ก่อนคิดอะไรไม่ออก แต่ทางที่ต้องไปผ่านโรงพยาบาลนั้นพอดี กรเลี้ยวรถเข้าไปจอดด้านหน้าของทางเข้าตึก เจ้าหน้าที่เข็นรถเปลมาใกล้ๆ สุนีย์บอกอาการของโต้งให้กับเวรเปลรับรู้ กรช่วยพยุงลูกชายขึ้นนอนบนรถเปล

“คุณออกเดินทางเถอะ ลูกถึงหมอแล้ว ชั้นก็สบายใจ อาการเป็นอย่างไรจะโทร.บอกคุณนะ ขับรถดีๆล่ะ”

สุนีย์หันมาบอกสามี กรบีบมือภรรยาเบาๆเป็นกำลังใจให้ ไม่อยากให้คิดมากและห่วงเกินไป รู้ว่าภรรยาห่วงทั้งสามีและลูก สุนีย์ยิ้มเบาๆแล้วรีบเดินตามเจ้าหน้าที่เข้าไปด้านใน

เกือบสิบนาทีหลังจากที่พยาบาลตรวจอาการของโต้ง พยาบาลสั่งผู้ช่วยนำโต้งเข็นขึ้นตึกใน เพื่อพักฟื้นที่โรงพยาบาลต่อสักระยะ แล้วเชิญสุนีย์ที่ห้องจ่ายยา

“ช่วงนี้คนไข้มีอาการตัวร้อน มีไข้สูง ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด คงต้องพักที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการสักระยะจนกว่าอาการจะดีขึ้น”
สุนีย์รับฟังอาการของลูกชายจากคุณหมอ หลังจากรับยาเรียบร้อย ใบหน้าของโต้งดูแดงกร่ำด้วยพิษไข้ สุนีย์คอยเช็ดเหงื่อตามใบหน้าให้กับลูกชายเป็นระยะ
“พี่แตง พี่แตงอย่าทิ้งผมไปอีกนะ พี่แตง” เสียงเพ้อของโต้งทำให้สุนีย์ถึงกับชะงัก เป็นห่วงลูกชายกลัวว่าพิษไข้จะอาการหนักขึ้น ไม่นานโต้งก็หลับไปเพราะพิษไข้ เกือบแปดโมงเช้าผู้ช่วยพยาบาลเข็นรถอาหารมาส่ง สุนีย์ปลุกลูกชายให้ลุกมาทานอาหารเพื่อจะได้ทานยาลดไข้แล้วพักผ่อนต่อ โต้งงัวเงียขึ้นมาทานอาหารแม้จะทานได้น้อยแต่ก็ยังดีที่มีอาหารรองท้องบ้าง

*********

มิวลุกขึ้นช้าๆกึ่งนั่งกึ่งนอน หลังจากผู้ช่วยพยาบาลเตรียมอาหารวางไว้ให้ มือสั่นๆเรี่ยวแรงยังไม่มีค่อยๆตักอาหารทานเอง แม้จะทานได้ไม่เยอะ แต่มิวก็รู้สึกดีขึ้นเมื่ออาหารตกถึงท้อง คงเพราะตัวเองซ้อมดนตรีหนักและไม่ได้พักผ่อน จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ ชายหนุ่มมองรอบๆห้อง ไม่เห็นใครบรรยากาศดูงียบเหงา เงียบจนมิวไม่อยากอยู่ที่นี่ อาหารที่เคี้ยวอยู่ในปากฝืดคอขึ้นมาทันที ต้องยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ชายหนุ่มเบือนหน้ามองไปที่ด้านนอกห้อง วางช้อนอาหารลง ไม่ใช่เพราะรู้สึกอิ่มแต่มันทานไม่ลงมากกว่า ภาพอาม่าป่วยผุดขึ้นมาในมโนภาพอีกครั้ง มิวเข้าใจความรู้สึกอ้างว้างและสายตาช่วงเวลานั้นของอาม่า มิวคิดถึงอาม่าเหลือเกิน เป็นความรู้สึกที่เรียกว่า คิดถึง “จับใจ” มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ท้องฟ้าดูสดใสในช่วงเช้าๆแต่หมองหม่นในใจที่อ้างว้างของมิวยิ่งนัก มิวอดแปลกใจว่าใครพามาโรงพยาบาล ควานหาโทรศัพท์ เห็นชาร์ทอยู่ใกล้ๆกับเตียงคนไข้ เขาพยายามลุกขึ้นแม้จะยังเวียนศีรษะอยู่บ้าง ยังดีที่มีเสาน้ำเกลือให้ได้เกาะไว้

“มิว เป็นอย่างไรบ้าง ? พี่รู้ข่าวมิวจากเอ็กส์แล้ว นี่ก็ใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้วล่ะ” พลอยวางสายไปแล้ว หลังจากที่มิวพยายามต่อสายโทร.หา ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นบ้าง อย่างน้อยๆก็รู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ ไม่นานพลอยกับเอ็กส์ก็มาถึงพร้อมกับกระเช้าเยี่ยมไข้
“ไงจ๊ะคนเก่ง เอานี่ พี่เอ็กส์ฝากมาเยี่ยม” พลอยวางกระเช้าไว้ใกล้ๆ มิวยกมือไหว้ขอบคุณและฝากขอบคุณพี่อ็อดด้วย
“พี่อ็อดโมโหมากเลยที่เมื่อวานผิดนัด แต่พอรู้ว่ามิวเข้าโรงพยาบาลนะก็โวยวายให้พี่หาของเยี่ยมไข้ทันที”
“ขอบคุณครับ เอ่อ...ผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” มิวชะโงกหน้าไปถามเอ็กส์ อีกฝ่ายกำลังแกะของในกระเช้าเพื่อเข้าตู้เย็น
“เราไปหามิวที่บ้านน่ะ จะเอาแผ่นบันทึกให้ดู เพื่อนเราถ่ายในงานคอนเสิร์ต ดูป่าว เราเอาเครื่องเล่นมาด้วย”

“โห!!ลงทุนขนาดนี้เลยเหรอ?”
พลอยแซวๆ เอ็กส์ทำหน้าทะเล้นเขินๆ ส่วนมิวไม่รู้สึกอะไรนอกจากอยากดูแผ่นบันทึกคอนเสิร์ตงานที่สยามฯ
เอ็กส์จัดแจง ต่อเครื่องเล่นเข้ากับจอโทรทัศน์ และทั้งสามคนก็ใจจดจ่อกับภาพหน้าจอ มิวดูอย่างตั้งใจ แม้ภาพจะสั่นและเคลื่อนไหวบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่ขัดใจนัก อาการของมิวแทบหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อกล้องแพลนไปที่ด้านหน้าเวที มิวเห็นหน้าของโต้งชัดเจน ดูโต้งสีหน้ามีความสุข ภายใต้ดวงตาคู่นั้นมิวอยากรู้ว่าโต้งกำลังคิดอะไรอยู่ ถัดจาดมิวคือผู้หญิงคนหนึ่งที่มิวเห็นว่าหึความสนิทสนมเกินความเป็นเพื่อนของโต้งอย่างชัดเจน รอยยิ้มของมิวเปลี่ยนไปแล้วกลับเข้าสู่โลกของความจริงอีกครั้ง

“มิว พี่คงต้องกลับแล้วนะ ต้องทำงานต่อ เออ...มีเพื่อนโทร.หาบ้างหรือเปล่า?” พลอยหยิบกระเป๋าถือขึ้นมาสะพายบ่าเตรียมจะกลับ มิวทำหน้าแปลกใจ
“เปล่าพี่!!”
“อืม เขาไปหามิวที่บริษัท บอกว่าเป็นเพื่อนเก่าของมิว เขารู้จักพี่อ็อดด้วยนะ” พลอยหน้าเสีย คิดว่าโดนหลอกจากแฟนคลับเสียแล้ว รีบขอโทษมิวที่ใจอ่อนให้เบอร์ส่วนตัวคนนั้นไปแล้ว ภาพของโต้งผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของมิวทันที แปลก!! ทำไมต้องคิดว่าเป็นโต้งด้วย มิวพยักหน้ายิ้มๆไม่ได้โทษพลอยรีบออกตัวว่าที่ไม่มีใครโทร.หาเพราะแบตโทรศัพท์หมดต่างหาก พลอยยิ้มอย่างโล่งอก เอ็กส์สังเกตสีหน้าของมิวอยู่เงียบๆไม่ออกความคิดเห็นใดๆ

*********




Create Date : 19 กรกฎาคม 2551
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 12:40:47 น.
Counter : 307 Pageviews.

0 comment
ตอนที่ 10
สุนีย์ก้าวเข้ามาที่ห้องของอธิการบดี อย่างแปลกใจ เมื่ออีกฝ่ายเรียกตัว หลังจากที่เธอเพิ่งสอนหมดคาบวิชา แม้วัยของเธอก้าวสู่เลขสี่แล้วก็ตาม วัยที่เพิ่มมากขึ้นไม่ได้ทำให้บุคลิกของเธอเปลี่ยนแปลงลงสักนิด ชุดเกาะอกตัวในสีฟ้าอ่อน ตัดกับสูทเสื้อนอกสีปีกแมลงทับ ทรงผมที่รวบปลายทุกเส้นรัดไว้ช่วงท้ายทอย เสริมให้เธอดูสง่าและสุขุมกว่าเดิม เวลาอยู่ที่ทำงานกับที่บ้านต่างกันอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่เธอแยกไม่ออกและมักนำกลับไปที่บ้านด้วยคือความเจ้าระเบียบและเข้มงวด สุนีย์เคาะประตูเบาๆ ก่อนจะเปิดเข้ามา อธิการเงยหน้าเชิญเธอนั่งลงกล่าวทักทายยิ้มๆ


“ยินดีกับเธอด้วยนะสุนีย์ งานวิจัยเรื่องการบริจาคร่างกายให้กับโรงพยาบาลของคณะภาควิชาสรีรวิทยาประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม” อธิการหญิงผู้สูงวัยกล่าวกับเธอน้ำเสียงนุ่มนวล จะว่าไปแล้วสุนีย์เองก็คุ้นเคยเป็นอย่างดีกับอธิการท่านนี้ เพราะช่วงที่เธอมีปัญหาครอบครัวเมื่อหลายปีก่อนก็ได้รับความเห็นใจและช่วยเหลือจากท่านผู้นี้
“ขอบคุณคะท่าน นีย์จะนำเรื่องนี้ไปบอกน้องๆในคณะด้วย” สุนีย์ยิ้ม ดีใจกับความสำเร็จของงานพิเศษที่ได้รับมาทำ แต่รอยยิ้มของสุนีย์ก็จางลงเมื่ออธิการขอให้ช่วยงานอีกอย่าง
“เป็นงานวิจัยเหมือนเดิม ชั้นรู้ว่าสุนีย์ทำได้แน่นอน” อธิการกล่าวยิ้มๆ สายตาที่มองสุนีย์มีความเชื่อมั่น
“เกี่ยวกับเรื่องอะไรคะ?”

“พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ”

สุนีย์หน้าซีดราวกับไร้เลือดไปหล่อเลี้ยง อย่างเห็นได้ชัด จนอธิการแปลกใจ สำหรับเธอไม่ใช่หัวข้อที่ไกลหรือยากต่อการค้นคว้าหาข้อมูลสักนิด แต่มันใกล้ตัวเธอเองจนอดหวั่นใจไม่ได้ สิ่งที่เธอพยายามหลีกหนีและไม่อยากรับรู้ กลับยิ่งสะกิดแผลในใจของเธอให้เจ็บลึก
“ทำไมรึสุนีย์? หรือว่ายากเกินไปสำหรับเธอ พูดกันตรงๆเลย ถึงอย่างไรชั้นก็เคารพการตัดสินใจของเธอ”
อธิการเอื้อมมือสัมผัสให้กำลังใจสุนีย์ เข้าใจว่าสุนีย์อาจจะเหนื่อยกับงานวิจัยที่เพิ่งผ่านพ้นไป สุนีย์นั่งนิ่งสักครู่ก่อนจะพยักหน้ารับปากจะทำงานวิจัยชิ้นนี้ต่อ อธิการยิ้มอย่างพอใจที่คนมีฝีมืออย่างสุนีย์ได้งานนี้ไปทำ ต่างจากความรู้สึกของอีกคนที่เดินออกจากห้องด้วยความรู้สึกเบาโหวง...

**********
หญิงมองปฎิทินอีกครั้งสลับกับนาฬิกาที่แขวนติดผนัง ราวกับต้องการหมุนเข็มนาฬิกาให้ถึงเวลาพลบค่ำเร็วๆ เหมือนมีสิ่งหนึ่งที่รอคอยอยู่ อดหยิบโทรศัพท์มือถือที่ส่งข้อความเมื่อเช้าขึ้นมาอ่านอีกครั้งไม่ได้ อ่านไปยิ้มไป
“ใจลอยเหรอ?” หม่าม๊าใช้ช้อนเคาะกับจานข้าว ขณะที่หญิงกำลังนั่งเหม่อคิดถึงสถานการณ์ตอนนี้ที่สยาม
“ม้า ม่าจำอามิวได้หรือเปล่า?” หญิงหันมาถาม พลางหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กๆที่ตักเช็ดเม็ดข้าวที่ติดปากของมารดา
“อากระเทยมิว” หม่าม๊าหัวเราะ
“ม๊า...!!” หญิงทำหน้างอน ไม่พอใจ แต่เมื่อรู้ว่าทำอาการไม่ดีให้หม่าม้าก็ยิ้มๆ
“ม้าจำได้นี่นา แต่ม้าอย่าเรียกอามิวว่ากระเทยเชียวนะ อีไม่ได้เป็นสักหน่อย” หญิงตักข้าวป้อนให้คำสุดท้าย แล้วหันไปหยิบถุงยาหลังอาหารเตรียมให้หม่าม้า ในขณะเดียวกันหญิงรู้สึกอาการของมารดาดีขึ้นและสีหน้ามีความสุขมากกว่าแต่ก่อน หญิงสาวมองเม็ดยาในห่อถุงแล้วถอนหายใจเบาๆ จำนวนเม็ดยาเริ่มน้อยลง หญิงคิดถึงอาเฮียอยากให้ไปรับยาแล้วส่งธนาณัติมาให้ แต่นึกถึงคำพูดของอาเฮียแล้ว หญิงตัดใจขอเสี่ยเชนไปรับยาที่จังหวัดสระแก้วเอง

**********

หลังจากรับโดนัทที่สถานที่นัดหมายเรียบร้อยแล้ว โต้งก็พาโดนัทมาที่ร้านไอศครีม ฝั่งสยามเซ็นเตอร์เพราะดูเวลาแล้วยังอีกหลายชั่วโมงกว่างานคอนเสิร์ต The Love Of Siamฯ จะเริ่มขึ้น ที่ร้านไอศครีม โต้งนั่งตรงข้ามกับโดนัท หญิงสาวเขี่ยหน้าไอศกรีมเล่น ยิ้มอย่างมีความสุข เพราะกลับจากเมืองนอก นี่คือโปรแกรมแรกที่เธอฝันมาโดยตลอดว่าต้องมาดูคอนเสิร์ตนี้กับโต้งเท่านั้น และวันนี้ก็มาถึงแล้ว

“ตอนนี้เราคบกันเป็นแฟนหรือเปล่า?” โดนัทตัดสินใจถาม โต้งค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสาวช้าๆตกใจกับคำถามตรงๆของหญิงสาว
“โดนัท...เอ่อ....คือว่าเรื่องนี้ไม่ใช่พูดเล่นๆเหมือนเรายังเด็กๆอยู่นะ”
“เด็กๆเหรอ? โดนัทไม่เด็กแล้วนะ พูดจริง” โดนัทรู้สึกขำเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของโต้ง แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้กับคำตอบของโต้งเพราะรู้สึกโต้งไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษกับเธอ ทั้งๆที่โดนัทให้ความสำคัญกับโต้งมากกว่าคนอื่น
“หลังๆโต้งดูเฉยชากับโดนัทจังเลย” โดนัทเริ่มระบายความรู้สึกน้อยใจออกมา แต่มันก็แค่การ “โยนหินถามทาง”ของเธอเท่านั้น อยากรู้จริงๆขึ้นมาว่าโต้งคิดกับเธออย่างไรกันแน่ ชายหนุ่มเหม่อมองออกไปที่กระจกใสด้านข้างของร้านที่ติดกับถนน กลุ่มเด็กๆวัยรุ่นเริ่มหนาตาขึ้นกว่าเดิม ไม่ค่อยได้สนใจคำถามของโดนัทเท่าไหร่ ยิ่งทำให้โดนัทน้อยใจมากกว่าเดิม จนโดนัทเรียกร้องเอาคำตอบอีกครั้ง
“เรา....” โต้งพูดอึกอักติดขัดอยู่ในลำคอ ทำให้โดนัทรู้สึกหน้าชา
“โต้งคิดอะไรอยู่” โดนัทถามตรงๆ โต้งสบตากับโดนัท กัดริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยเหมือนลืมตัวขณะใช้ความคิดเหมือนจะพูดบางอย่างออกมา แต่ก็ถอนหายใจไม่กล้าพูด


“โต้งไม่ได้จริงจัง ที่จะคบกับเราอย่างแฟนใช่มั๊ย?” โดนัทเป็นฝ่ายถามตรงๆ โต้งที่หันหน้าออกไปดูวิวด้านนอกผ่านกระจกใสต้องรีบหันกลับมา
“ เรา...ไม่รู้เหมือนกัน ” โต้งพูดเบาๆรวบรวมความกล้าพูดออกมาเพียงเท่านั้น
“ทำไมล่ะโต้ง โต้งยังโกรธโดนัทอยู่เหรอ?ที่โดนัทว่าโต้งคราวนั้น” หญิงสาวจ้องหน้าชายหนุ่ม น้ำตาเล็กๆเอ่อล้นขอบตา โต้งนิ่งเงียบ ยิ่งทำให้ตัวเองรู้สึกอับอาย และเหมือนจะรู้คำตอบ เหมือนที่ตัวเองคิดไว้แล้ว ไม่ทันที่จะได้ยินคำพูดจากปากของโต้ง โดนัทก็ลุกขึ้นวิ่งออกจากร้านไป
“เดี๋ยวโดนัท” โต้งคว้าข้อมือเอาไว้ โดนัทสะบัดหลุดแล้ววิ่งออกไป โต้งควักธนบัตรวางไว้ที่โต๊ะ รีบวิ่งตามออกไปทันที โดนัทกึ่งเดินกึ่งวิ่งร้องไห้ตามทาง โต้งคว้าแขนจากด้านหลังดึงให้โดนัทหยุดหนี
“ฟังก่อน เราขอเวลาหน่อย คือเรา ยังไม่พร้อม”
“หมายความว่าไง?” โดนัทหยุดกึก ถามอย่างไม่พอใจ
“ให้เราทำงาน มีเงินเดือนก่อนดีกว่ามั้ย แล้วคุยกันอีกครั้ง” โต้งเช็ดน้ำตาให้หญิงสาว โดนัทยิ้มอย่างพึงพอใจกับคำตอบที่ได้รับ ไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ใช่ตัดเยื่อใยเสียทีเดียว ทั้งสองเดินผ่ากลุ่มวัยรุ่น เบียดเสียดเข้าไปถึงหน้าเวที มีบ้างที่สายตาของโดนัทจะสบตากับหนุ่มๆวัยรุ่นคนอื่นๆหากมีโอกาสที่ผู้ชายเหล่านั้นมีทีท่าสนใจ ถ้าไม่ติดที่มีโต้งเดินจูงมือคงได้เข้ามาจีบเป็นแน่
งานเริ่มพอดี พิธีกรในงานเป็นนักจัดรายการวิทยุในเครือเดียวกัน ออกมาทักทายและเรียกความสนใจ ก่อนจะกล่าวเชิญพี่อ็อดและผู้สนับสนุนงานมาพูดหน้าเวที พูดถึงรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะนำเข้าสมทบทุนมูลนิธิเด็กโรคหัวใจ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และแล้วเวลาของคอนเสิร์ตก็ระเบิดการแสดงอย่างเป็นทางการด้วยศิลปินหน้าใหม่อย่าง “พี่ออฟ” ออกมาเป็นรายแรกเสียงกรี๊ดเรียกชื่อให้การต้อนรับอย่างหนาแน่นเพราะพี่ออฟเองก็มีแฟนคลับของตัวเองจากเวทีที่ประกวดมาก่อนหน้านี้


**********
สุนีย์ถือถุงอาหารเข้ามาในบ้านหลังจากกลับจากมหาวิทยาลัย แปลกใจที่เห็นกรกลับมาเร็วกว่าปกติ กรหอบงานมาทำที่บ้านด้วย เงยหน้าทักทายภรรยาเล็กน้อยแล้วก้มหน้าขีดเขียนบนกระดาษไขที่วางเต็มโต๊ะทำงานอย่างจริงจัง สุนีย์เดินเข้าครัว เตรียมอาหารมื้อเย็น
“คุณ ซื้อกับข้าวมาก็ไม่โทร.บอกก่อนดูสิจะกินกันหมดมั้ยเนี้ย?” เสียงดังออกมาจากครัว กรเงยหน้ายิ้มๆ สุนีย์เดินกลับออกมาพร้อมแก้วน้ำในมือยื่นให้สามี
“เบื่อฝีมือชั้นเหรอ? เห็นซื้อแต่พะโล้มากิน” สุนีย์ค้อนเล็กๆให้สามี กรรับแก้วน้ำถือไว้ แล้วยื่นส่งให้ภรรยา สุนีย์รับกลับมาอย่างไม่เข้าใจ
“คุณกลับมาเหนื่อยๆ น้ำแก้วนี้ผมยกให้คุณ” กรกุมมือของสุนีย์ที่ถือแก้วน้ำยกให้ดื่ม สุนีย์ยิ้มน้อยๆพร้อมกับดื่มน้ำจนหมดแก้ว
“คุณรู้มั้ย....” กรกอดภรรยาไว้หลวมๆ
“ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับคุณ จะไม่มีวันไหนที่ทำให้ผมเบื่อพะโล้ได้เลย” กรจูบเบาๆที่เส้นผมของภรรยา สุนีย์ยิ้มอย่างมีความสุข แม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่สามีพูดก็ตาม สองแขนของสุนีย์จับแขนทั้งสองข้างของสามีที่โอบกอดเธอให้โอบรัดตัวเองไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม

**********

รถตู้สีดำคันใหญ่รุ่นล่าสุด วิ่งมาจอดแทบใกล้ๆด้านหลังเวที เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งวิ่งไปเปิดประตูรถคันดังกล่าวแล้วกางแขนดักกลุ่มวัยรุ่นที่กรีดร้องเรียกชื่อของมิว สมาชิกวงออกัสนำโดยเอ็กส์ที่ก้าวลงจากรถตู้คันนั้นอย่างเร่งรีบตามด้วยคนอื่นๆ ส่วนด้านหน้าเวทีพี่ออฟยังคงสร้างความสนุกสนานให้กับแฟนเพลงอยู่ บางกลุ่มก็วิ่งกรูออกมาถ่ายรูปและเรียกชื่อของมิวและสมาชิกวงออกัส เสียงเด็กสาวคนหนึ่งร้องเรียกชื่อมิว ทำให้โต้งหันไปตามเสียงนั้น เป็นจังหวะพอดีที่มิวก้าวลงจากรถตู้ โต้งมองตามตาไม่กระพริบแม้จะเป็นช่วงจังหวะวินาทีเดียวก็ตาม มิวรีบวิ่งเข้าหลังเวทีเพื่อเตรียมตัวเป็นคิวต่อไป โดยที่ไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งใจจดจ่อรออยู่ด้านหน้าเวที

**********

หลังจากอาบน้ำ เปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย สุนีย์นึกถึงคำพูดของการบอกว่าวันนี้โต้งไปดูคอนเสิร์ตจะกลับดึก สุนีย์สีหน้าเครียดขึ้นมาแต่กรบอกต่อว่าไปกับสาวๆ สีหน้าของเธอก็คลายกังวลลงได้บ้าง ก่อนลงไปชั้นล่าง สุนีย์อดไม่ได้ที่จะถือวิสาสะเปิดประตูห้องของลูกชาย ภาพตรงหน้า ห้องของโต้งดูเป็นระเบียบขึ้น นึกยิ้มกับการจัดห้องใหม่ของโต้งไม่ได้ จนสุนีย์ก้าวเข้ามาถึงกลางห้อง
“คิดได้ยังไงเปลี่ยนผ้าปูเตียงสีเขียว” สุนีย์พูดคนเดียวอย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นลูกชายจัดห้องใหม่ด้วยการเปลี่ยนชุดเครื่องนอนเป็นสีเขียวหมด เครื่องใช้อื่นๆดูเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นกว่าเดิม ตุ๊กตาเซรามิคชิ้นใหญ่ที่ผู้ปั้นตั้งใจถ่ายทอดการประสูติพระกุมารออกมาอย่างปราณีต บรรจง ประดับด้วยไปดวงเล็กๆวางอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิม
แล้วรอยยิ้มของสุนีย์ก็เจื่อนลงเมื่อหันกลับเพื่อจะออกจากห้อง ภาพขยายของโต้งและมิวถ่ายคู่กันในวันวานติดอยู่กลางประตูด้านใน เธอได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้เงียบๆคนเดียว
**********

โต้งเกาะขอบเวลา จ้องมองทางหลังฉากด้วยความรู้สึกมีความสุข อีกไม่ช้า เราจะได้พบกันแล้วใช่ไหม? มิว นายจะจำเราได้เหมือนเดิมหรือเปล่า? โต้งเฝ้าเพียรถามตัวเองซ้ำครั้งแล้ว ครั้งเล่า หากไม่ได้สนใจแววตาที่คอยมองของหญิงสาวข้างๆเลยสักนิด โดนัทเริ่มรู้ตัวว่า โต้งไม่ได้คิดกับเธอเหมือนที่เคยแอบคิด ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปแค่ไหน? เธอก็มิอาจจะได้ใจของชายผู้นี้อย่างแน่นอน โดนัทพยายามเรียกร้องความสนใจจากโต้งอยู่บ่อยครั้ง แม้ตัวเองต้องละสายตาจากศิลปินที่ชื่นชอบด้านหน้าเวทีอยู่ก็ตาม
**********



Create Date : 19 กรกฎาคม 2551
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 12:40:29 น.
Counter : 268 Pageviews.

0 comment
ตอนที่ 9
เย็นวันนั้นที่บ้านของสุนีย์ โต้งสวมเสื้อยืดคอกลมสีเขียว กางเกงสี่ส่วนสบายๆ เดินตรงมาที่โต๊ะอาหารหลังจากที่สุนีย์เตรียมทุกอย่างพร้อมไว้แล้ว โต้งเลื่อนเก้าอี้ออกเตรียมจะนั่งลง

“ เดี๋ยวก่อนโต้ง ตักข้าวรอพี่แตงก่อนสิ!!”

กรเงยหน้าทักลูกชาย โต้งชะงักแปลกใจ แต่หัวใจของสุนีย์หล่นลงไปกองกับพื้นหวั่นใจถึงอาการของกรจะกลับมาเหมือนเดิมอีก หล่อนเอ่ยเบาๆกับสามี สีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไร

“แตงเขาไม่อยู่กับเราแล้ว จะตักข้าวไว้ให้เขาทำไม?”

กรหันไปมองภรรยา ยิ้มให้เล็กน้อยที่มุมปาก พยักหน้าเหมือนรู้สึกตัว สีหน้าสงบนิ่ง ทั้งสองคนแม่ลูกหันหน้าสบตากัน ปั้นสีหน้าไม่ถูก ไม่รู้กรจะมาไม้ไหน

“โต้งนำสวดสิลูก!!” กรบอกลูกชายยิ้มๆ เหมือนกลบเกลื่อนความรู้สึกลึกๆของตัวเอง สายตาของกรค่อยๆลดลงมองอาหารตรงหน้านึกถึงลูกสาวขึ้นมาตะหงิดๆ โต้งมองหน้าผู้เป็นพ่อแล้วสงสารจับใจ ด้านสุนีย์เองก็พยายามกลืนก้อนแข็งๆในลำคอไม่ให้สามีและลูกเห็น

เสียงดังกึกก้องจากห้องซ้อมดนตรี สมาชิกของ ออกัสที่รวมตัวกันครบทีม ต่างซักซ้อมดนตรีอย่างหนักหน่วงตั้งแต่บ่ายและซ้อมคิวการแสดงอย่างตั้งใจเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดระหว่างการขึ้นคอนเสิร์ตในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

“ ตื่นเต้นมั๊ยว่ะมิว? พรุ่งนี้ก็ถึงวันที่แกรอคอยแล้วนี่” เอ็กส์ยื่นขวดน้ำให้มิวดื่ม หลังจากการซ้อมใหญ่เสร็จสิ้นลง มิวพยักหน้ายิ้มๆยกขวดน้ำขึ้นดื่มอย่างกระหาย หลังจากแยกย้ายจากสมาชิกคนอื่นๆ มิวกับเอ็กส์เดินไปที่ป้ายรถเมล์

“เออซิว่ะ! นี่เรายังไม่อยากเชื่อเลยนะโว้ย ว่าเป็นแค่การเลี้ยงฉลองที่พวกเราเรียนจบ”

“เออ!! โคตรยิ่งใหญ่เลย… ทำไมว่ะ? ตอนอยู่มัธยมเรายังไม่ตื่นเต้นขนาดนี้เลย” เอ็กส์ตาลอยคิดถึงงานเปิดตัวของวงออกัสครั้งแรกที่สยามเมื่อหลายปีก่อน แต่ต้องตื่นจากภวังค์กับเสียงหัวเราะขบขันของมิวที่เดินอยู่ใกล้ๆ

“ขำอะไรว่ะ?” เอ็กส์เกาะบ่าเดินตีคู่ด้วย
“ขำสิว่ะ ที่คืนนี้อาจจะมีคนบางคนนอนไม่หลับที่เดินอยู่แถวนี้ก็ได้นะโว้ย” มิวเหล่ชายตามองหน้าเพื่อนข้างๆ เอ็กส์อดขำตัวเองไม่ได้แต่ก็ยอมรับว่ามันเป็นความจริงอย่างที่มิวพูดก็ได้ เพราะเขาอยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆ
“มิว…” จู่ๆเอ็กส์ก็เรียกชื่อมิวขึ้นมา อีกฝ่ายหันมามองหน้า
“ว่าไง”
“จำคอนเสิร์ตครั้งแรกของพวกเราได้มั๊ย?”
“จำได้สิ อย่าบอกนะว่าตื่นเต้นเหมือนเคย ”
มิวหัวเราะอย่างขำๆ
“ที่เราถามไม่ใช่ตื่นเต้น แต่อยากรู้ว่าคนพิเศษของมิวจะดูคอนเสิร์ตนี้หรือเปล่า?” เสียงหัวเราะของมิวชะงักลง สีหน้าจริงจัง
“ไม่เข้าใจว่ะ ทำไมเอ็กส์ถึงชอบพูดถึงโต้งกับเรานักว่ะ?”
“เฮ๊ย!! โกรธเหรอ? ขอโทษว่ะ ก็แค่อยากรู้” เอ็กส์ตบบ่าเพื่อนเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก ต่างคนต่างเดินไปข้างหน้า

“ขอโทษว่ะเอ็กส์ที่จริงจังไปหน่อย เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโต้งจะมาหรือไม่มา”
มิวหยุดเดิน พักขากับเก้าอี้สนามข้างฟุตบาท เอ็กส์วางกระเป๋าสะพายลงใกล้ๆตัวก่อนจะนั่งลง

“เราไม่รู้หรอกนะว่าความสัมพันธ์ระหว่างมิวกับโต้งเป็นแบบไหน? แต่ที่เราจำได้ก็เห็นมิวมีเพื่อนสนิทแค่โต้งคนเดียว เราอยากให้โต้งมาดูว่ะ” เอ็กส์พูดน้ำเสียงเรียบๆแต่ดูจริงใจ มิวหันไปสบตากับเพื่อน
“พรุ่งนี้ทำให้เต็มที่ล่ะกัน แต่อย่างไรก็ขอบใจนะ”
“ขอบใจทำไมว่ะ”
“ขอบใจที่เข้าใจความรู้สึกของเราไง”
“ก็แน่หล่ะ!! แกไม่เคยเห็นเราอยู่ในสายตาอยู่แล้วนี่” เอ็กส์ตบที่ขาของมิวเบาๆพูดยิ้มๆ ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายแล้วลุกขึ้นเดินจากไป มิวมองตามจากด้านหลัง ยิ้มเก้อๆคนเดียว
“นายอยู่ไหนนะโต้ง…นายยังจำ “เพลงของเรา”ได้หรือเปล่า? พรุ่งนี้เจอกันนะ” มิวก้มหน้าพูดเบาๆกับตัวเอง สูดลมหายใจลึกๆเข้าปอด ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามเอ็กส์ไป ไม่ว่าโต้งจะมาดูที่สยามหรือว่าเทปบันทึกการแสดง ความรู้สึกของมิวในวันพรุ่งนี้ จะทำเต็มที่เพื่อ…ความทรงจำดีๆครั้งหนึ่งเราเคยมีให้ “กันและกัน”

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นที่โต๊ะเล็กๆข้างหัวเตียง โต้งหยิบขึ้นมารับ
“โดนัทอยากรู้ว่าโต้งมีชุดหล่อใส่วันพรุ่งนี้หรือยัง?” เสียงโดนัทดังอยู่ในมือถือ โต้งพยักหน้าตอบรับเบาๆ ราวกับอีกฝ่ายได้เห็น
“โต้งมารับโดนัทได้มั๊ยคะ พรุ่งนี้โดนัทไม่ต้องให้คนขับรถไปส่ง”
“ครับ”
“ขอบคุณคะ โต้งน่ารักจัง งั้นโดนัทเข้านอนก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
เสียงสัญญาณอีกฝ่ายขาดหายไปแล้ว โต้งยันตัวลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน บนผ้าปูสีฟ้าเข้ม … อดคิดถึงภาพคอนเสิร์ตครั้งแรกที่เคยสัมผัสไม่ได้ แม้โต้งจะมองมาไกลจากมุมหนึ่งบนสะพานลอยก็ตาม ภาพบนจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ที่ซูมหน้านักร้องใกล้แค่ไหนก็ตาม แต่สำหรับความรู้สึกของโต้งเวลานั้น มันมีแต่ความอิ่มเอมใจและมีเพียงคนที่ชื่อ “มิว”คนเดียวเท่านั้นที่ชัดเจนและอยู่ใกล้หัวใจเขามากที่สุด…

“ขอบคุณนะหญิง”
เหมือนโต้งคิดถึงเหตุการณ์บางอย่างได้ในบรรยากาศคอนเสิร์ตวันนั้น
ภาพของหญิงที่วิ่งออกมาดักหน้าโต้ง หลังจากที่เขาได้แยกตัวออกมาจากโดนัทแล้ว หญิงคว้าข้อมือของเขาไว้พร้อมกับพาวิ่งขึ้นไปดูมิวที่จุดเดิมของเธอนั่นคือบนสะพานลอย โต้งเห็นมิวได้ถนัดในจุดนี้ มิวเงยหน้าขึ้นมาเห็นโต้งและหญิงยืนอยู่ด้วยกัน มิวโบกมือทักทายให้คนทั้งสอง หญิงสังเกตุเห็นสายตาของมิวที่มองโต้งอย่างมีความสุขก็รู้ว่าจุดยืนของตัวเองนั้นช่างห่างไกลกันเหลือเกิน แต่ทว่าหญิงก็ยิ้มให้กับตัวเองได้ โต้งมองหน้าหญิงอีกครั้งอย่างมีความสุข แต่วินาทีนี้ของโต้งคงไม่เข้าใจรอยยิ้มที่ดูเหมือนมีความสุขของหญิงนั้นว่าข้างในหัวใจเจ็บปวดเพียงใด หญิงคือคนที่พาเขาวิ่งแทรกผู้คนเพื่อเข้าไปหามิวถึงขอบด้านหน้าเวที ก่อนที่ตัวเธอเองจะพลัดหลงไป…

**********
มิวได้รับข้อความจากหญิง ตอนเช้าตรู่ของวันถัดมา หญิงส่งกำลังใจมาให้ มิวยิ้มอย่างมีความสุขหลังจากอ่านข้อความเสร็จ ก่อนจะอาบน้ำแต่งตัว เพราะนัดพี่อ็อดและสมาชิกวงออกัสที่สำนักงานแถวอโศก
ที่บริษัทเพลงค่ายยักษ์ ภายในห้องทำงานของพี่อ็อด พี่อ็อดยังคงเลือกที่จะเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินในค่ายกำลังเหมือนเดิม แต่ที่รู้สึกได้จากภายนอกคือความ “เก๋า” ด้านฝีมือ เสียงพี่อ็อดสั่งงานกับพนักงานอื่นๆ ดังเข้ามาถึงด้านในรวมถึงศิลปินหน้าใหม่ที่ชนะการประกวดจากเวทีใหญ่โดยคัดเลือกจากการโหวตของประชาชนในแต่ละสัปดาห์
สักครู่พี่อ็อดก็เปิดประตูเข้ามา พร้อมกับศิลปินรุ่นพี่ผู้นั้น พี่อ็อดแนะนำให้รู้จักกันสักพัก “พี่ออฟ” คือชื่อของศิลปินผู้นั้นก็ขอตัวไปซ้อมต่อ สีหน้าของพี่อ็อดใช้ความคิดอย่างหนัก หลังจากที่เพื่อนๆในวงออกัสนำเพลงใหม่มาเสนออีกครั้งโดยมีเพื่อนๆในวงช่วยเล่นดนตรีให้ และที่สำคัญนักร้องนำของวงออกัสยังคงเป็น “มิว” เหมือนเดิม

พี่อ็อดเงยหน้าขึ้นหลังจากฟังเพลงใหม่จบ
“สุดยอดมาก!! พี่ว่าเพลงของพวกนายนี่...ดีเหมือนเดิมเลยนะ แต่พี่อยากจะแนะนำอีกอย่างหนึ่งว่าในแง่ของเนื้อหาของเพลง มันน่าจะมีความเป็นชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ของศิลปินนั้นๆให้มากกว่านี้นะ”
“ยังไงครับ พี่อ็อด” เพชรแย้งขึ้นเพื่อนๆพยักหน้ารอฟังคำอธิบายด้วย
“ก็ง่ายๆเลยนะ พวกนายมีแฟนคลับจำนวนหนึ่ง แต่พวกนายก็ทิ้งเค้าไปนาน ถามจริงๆเถอะ ไม่อยากให้คนฟังเพลงกลุ่มนั้นจดจำพวกนายได้เร็วขึ้น เพลงติดหูมากขึ้น หรือขยายกลุ่มคนฟังอีกเหรอ? ในทางดนตรีก็ต้องยอมรับว่าเจ๋งมากเลยนะ แต่ทำไมไม่ทำให้มันง่ายขึ้นล่ะ สรุปนะวงออกัสเกิดได้เพราะเพลงรัก พี่อยากให้เพลงเปิดตัวของพวกนายเป็นเพลงรักอีกครั้งในแบบเนื้อหาที่โตขึ้น ลองแต่งมาใหม่นะ อย่าเพลงที่พี่ฟังเมื่อครู่มันอกหักว่ะ พวกนายอย่าข้ามขั้นตอนสิ!!” พี่อ็อดแนะนำอย่างผู้มีประสบการณ์และฝีมือการปั้นศิลปินมาประดับวงการเพลงหลายสิบคน ศิลปินที่ประสบความสำเร็จของค่ายนี้ก็มีพี่อ็อดคนนี้ที่คอยดูแลอยู่เบื้องหลัง

“มิว...ลืมไปแล้วหรือไงว่าเนื้อหาของเพลง 95% ของเพลงอันดับหนึ่งทุกชาร์ทนะ...เพลงรักทั้งนั้น ”
พี่อ็อดยังคงให้คำแนะนำต่อ

“ครับ”

มิวพูดไม่เต็มเสียงนัก เหมือนมีบางอย่างทัดทานอยู่ในใจ
“พี่เชื่อ มิวทำได้แน่ ลองดู” พี่อ็อดพูดหนักแน่น เสียงเปิดประตูดังเข้ามาจากด้านหลังของมิวและเพื่อนๆ ทั้งหมดหันไปมอง พี่อ็อดเงยหน้าขึ้นมอง หญิงสาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าประตู สีหน้าตกใจกำลังจะหันกลับพี่อ็อดเรียกให้เข้ามาได้ ทุกคนมองตาม

“น้องๆ นี่พี่พลอย”

พี่อ็อดหันหน้าไปทางหญิงสาวที่ยืนข้างๆแนะนำให้รู้จัก
“สวัสดีครับ” ทุกคนยกมือไหว้ พลอยรับไหว้ตอบ โปรยยิ้มให้กับทุกคน แอบคายหมากฝรั่งที่เคี้ยวแทบไม่ทัน
“ต่อไปนี้นะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรที่พวกนายอยากติดต่อหรือนัดคุยกับพี่ พวกนายติดต่อกับพลอยเค้าได้โดยตรงเลย เขาจะมาเป็นผู้ช่วยให้กับพี่ เอ้า!!นั่งลงก่อนสิพลอย จะได้รู้เรื่องการทำงานของน้องๆพวกนี้ด้วย กลับมาเรื่องคอนเสิร์ตของเราคืนนี้ดีกว่า…”

พี่อ็อดพูดคุยอย่างจริงจัง ภาพใบหน้าของพี่แตง และพี่จูนผุดขึ้นมาทันที เมื่อมิวมองหน้าของพี่พลอยเต็มๆตา ไม่มีส่วนไหนที่จะไม่คล้ายกันเลยสักนิด ความตะลึงนั้นทำให้มิวลืมที่จะออกความคิดเห็นบางอย่าง จนเรื่องที่สนทนานั้นๆผ่านพ้นไป เด็กหนุ่มทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะหาคำตอบให้พี่อ็อดได้อย่างไร กับปัญหาบางอย่างที่ต้องเลือกระหว่าง “งานที่รัก” กับ “ครอบครัวที่ต้องเลือก” เอ็กส์สบตากับพี่พลอยเป็นระยะๆ ไม่ต่างจากพลอยที่ยิ้มอย่างมีความสุข เพราะการแนะนำของพี่อ็อดเมื่อสักครู่หมายถึงงานที่เธอจะได้ทำ หลังจากผ่านการสัมภาษณ์ไม่นานก่อนหน้านี้ ซึ่งวันนี้พี่อ็อดนัดเธอมาสัมภาษณ์รอบ 2 แต่ไม่คิดว่าเธอจะได้รับข่าวดีแบบนี้



Create Date : 19 กรกฎาคม 2551
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 12:40:13 น.
Counter : 300 Pageviews.

0 comment
ตอนที่ 8
ณ ห้างสรรพสินค้าย่านอนุเสาวรีย์จุดที่มิวนั่งรอป๊าอยู่ ไม่นานป๊าก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมๆกับเด็กน้อยวัยรุ่นคนหนึ่ง

มิวยกมือไหว้ป๊าทันทีที่เห็น ต่างจากเด็กน้อยที่ต้องให้ผู้เป็นป๊าแนะนำ

"มิว!!....นี่มีน น้องชายเอ็งงัย!!!"
ป๊าแนะนำมีนยกมือไหว้ มิวยิ้มให้น้องชายช้าๆ ไม่มีความรู้สึกดีใจที่เห็นหน้าน้องชาย แต่ก็ไม่มีความรู้สึกพิเศษใดๆ ความห่างหายและใช้ชีวิตคนเดียวกว่า 20ปีที่ผ่านมา ทำให้เหมือนห่างเหินจากคนในครอบครัวไปแล้ว
เด็กน้อยเดินนำหน้าป๊าออกไปโดยมีอ้อมแขนของป๊าโอบที่บ่าของเด็กน้อยผู้นั้น มันทำให้โลกของมิวหยุดหมุนทันที แม้จะบอกกับตัวเองว่าไม่มีความรู้สึกดีใจกับการเจอกันระหว่างป๊าและน้องชายครั้งแรก แต่ภาพความสัมพันธ์ระหว่างป๊ากับน้องชายในสายเลือดที่ปรากฎตรงหน้ามันกับทำให้มิวรู้สึกเจ็บจี๊ดลึกๆในหัวใจ...

****
ที่ชายทะเล
หญิงแเกะกุ้งตัวใหญ่ที่วางเรียงรายอยู่ในจานโฟมตรงหน้าให้หม่าม้าอย่างมีความสุข หญิงวัยกลางคนก็เช่นกัน แววตาที่มองคลื่นทะเลซัดเข้าหาชายหาดสลับกับใบหน้าของลูกสาว
"หญิงกินก่อนสิ!!" หม่าม้าส่ายหน้าไม่ยอมอ้าปากเมื่อหญิงจะป้อนกุ้งชิ้นโต
"หนูอิ่มแล้ว หม่าม๊ากินเยอะๆ" หญิงพูดยิ้มๆอยากให้หม่าม่ากินอีก
"ม่าไม่กินนะ ถ้าหญิงไม่กิน ม่าอยากเห็นหญิงกิน มา มา ม่าป้อนให้"
ผู้เป็นแม่แย่งกุ้งจากมือลูกสาว ตามประสาซื่อ หญิงน้ำตารินอ้าปากเคี้ยวเนื้อกุ้งทั้งน้ำตา ยิ่งเห็นหม่าม้าปรบมือดีใจที่เห็นลูกสาวเคี้ยวอาหารที่ตัวเองป้อน ก็สะท้อนความรู้สึกยิ่งนัก
หลังจากอิ่มจากอาหารกันแล้ว หม่าม้าก็เอนหลังกับพนักพิงกับเก้าอี้ชายหาดรับลมเย็นๆ
พี่สะใภ้อุ้มหลานเดินเล่นอยู่ไม่ไกล อาเฮียเดินเข้ามานั่งใกล้ๆหญิง หญิงสาวหันไปมองพี่ชาย

"มีความสุขมั้ย"
อาเฮียถามเบาๆ หญิงพยักหน้าแต่ก็อดแปลกใจกับน้ำเสียงของอาเฮียไม่น้อย

" ก็มี อาเฮียล่ะ?มีอะไรหรือเปล่า?" หญิงถามอย่างใคร่รู้
"หญิงรู้มั๊ยว่าเฮียลำบากแค่ไหน ไหนจะลูก ไหนจะเมีย ยิ่งต้องดูแลเทียวพาม๊าไปหาหมออีก เฮียเหนื่อย" อาเฮียพูดจริงจัง จนหญิงชะงักกลืนน้ำลายลงคอ ความรู้สึกสดชื่นเมื่อครู่ดูจางหายไป เหมือนกำลังรับรู้ถึงปัญหาที่กำลังตามมา
"เฮียจะบอกอะไรก็พูดตรงๆ" หญิงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ปรายตามองอาเฮีย
"เฮียฝากม๊าด้วย"
เพียงเท่านี้ที่หญิงได้ยิน น้ำตาก็พรูล่วงลงมา พยักหน้ารับช้าๆ ไม่มีคำพูดใดๆจากหญิงสาว อีกด้านหนึ่งของเก้าอี้ชายหาด น้ำตาของหม่าม่าไหลลงช้าๆสู่พื้นทรายด้านล่าง

****
ระหว่างทางกลับระยอง เสี่ยเชนแวะทำธุระกับกลุ่มพ่อค้าอื่นๆ มิวมีโอกาสได้พูดคุยกับมีนเล็กน้อย แม้เด็กน้อยจะพูดคำ ตอบคำก็ตาม มิวรู้เพียงว่ามีนเรียนไม่จบ และรอให้ป๊าฝากเข้าโรงเรียนดังๆอยู่ เสียงเปิดประตูรถด้านข้างคนขับดังขึ้น ป๊าแทรกตัวเข้ามานั่งข้างๆมีนที่ทำหน้าที่ขับรถให้ ปลุกให้มิวตื่นจากภวังค์ รถยังคงแล่นไปเรื่อยๆแต่แล้วมิวก็หัวคะมำชนที่เบาะนั่งด้านหน้า เมื่อมีนเบรครถตัวโก่ง เพราะมีมอเตอร์ไซค์ขับปาดหน้าออกจากซอย
"โธ่โว้ย...อีพวกตุ๊ด!! แม่งน่าเหยียบให้ตายนัก"
เสี่ยเชนถึงกับหัวเสีย ด่าสบถกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มิวรู้สึกถึงความอคติในใจของป๊าที่มีต่อกลุ่มเพศที่สามอย่างชัดเจน

****

รถของอาเฮียมาจอดที่หน้าบ้าน หญิงพยุงหม่าม้าลงจากรถ โดยไม่พูดกล่าวใดๆกับอาเฮียอีก ตลอดทางที่นั่งกลับจากชายทะเลมีแต่ความเงียบและอึดอัดด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ผู้เป็นแม่เงยหน้ามองรถของลูกชายลิบๆ ไม่พูดจาใดๆ ก่อนจะหันเดินเข้าไปในบ้านพร้อมลูกสาว ยังไม่ทันที่จะเข้าถึงตัวบ้านดีรถของเสี่ยเชนก็เลี้ยวเข้ามาจอดที่โรงรถ หญิงหันกลับไปมองแล้วพาหม่าม้าเข้าไปด้านใน
"หม่าม๊านั่งพักก่อนนะ หญิงไปเอาน้ำมาให้" หญิงเดินเข้าไปด้านใน เตรียมน้ำออกมาให้หม่าม๊าและสามี

****
ทันทีที่ก้าวเข้ามา หญิงก็แทบทำถาดน้ำล่วงกับพื้น ไม่ต่างจากชายหนุ่มที่ยืนกับผู้เป็นป๊าเท่าไหร่นัก
"หญิง..นี่มิวลูกชายเฮียที่อยู่กรุงเทพฯ มิว..ไหว้น้าหญิงซะ" ประโยคหลังป๊าหันมาบอกกับชายหนุ่ม ส่วนมีนรีบเดินเข้าไปในห้องตัวเอง หญิงวางถาดกับโต๊ะกลางทันทีก่อนที่มือทั้งสองจะไร้เรี่ยวแรงมากกว่านี้ มือไม้ดูสั่นไปหมด มันไม่ใช่อาการดีใจแต่เป็นการตกใจมากกว่า...นี่จากคนเคยรักต้องตกอยู่ในฐานะแม่เลี้ยงแล้วหรือนี่?...
เสี่ยเชนทักทายหม่าม๊าสักพักก็เข้าห้องส่วนตัวไป
"หญิงจัดแจงห้องหับให้มิวมันด้วยนะ ให้อยู่ห้องไอ้มีนไปก่อนสักคืน-สองคืน" เสี่ยเชนสั่งก่อนที่จะเดินไป มีนยังคงยืนนิ่งมองหน้าเพื่อนสาวอย่างคาดไม่ถึง หญิงนั่งลงข้างๆหม่าม๊า ลูบแขนหม่าม๊าเบาๆเหมือนกำลังรวบรวมพลังบางอย่าง
" มิว นั่งลงก่อนสิ"
หญิงพูดพลางหลบตามิว ชายหนุ่มทิ้งตัวลงกับเก้าอี้นั้นช้าๆและพยายามตั้งสติ
"เอ่อ...อืม..." มิวสบตากับหญิง
"เรียกหญิงเหมือนเดิมก็ได้มิว" หญิงพูดเบาๆ เข้าใจความรู้สึกของชายหนุ่ม
"..หญิงมาอยู่ที่ระยองได้อย่างไร?"
ชายหนุ่มคงอยากถามว่าเพื่อนสาวของเขามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้ได้อย่างไรมากกว่า แต่เพราะเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก จับต้นชนปลายไม่ได้

ที่ห้องครัว หลังจากที่หญิงถือถาดน้ำเข้ามาเก็บ
"เรื่องมันยาวน่ะมิว เอาเป็นว่าหญิงดีใจนะที่ได้เจอมิวอีกครั้ง"
"ในฐานะอะไร?"
"เพื่อนไง?"
"เพื่อน"
"แล้วป๊าจะรู้สึกอย่างไร?ถ้าเมียของตัวเองจะเป็นเพื่อนเก่าของลูกชาย"
"มิวแคร์ความรู้สึกป๊าด้วยเหรอ? แล้วมีสักครั้งมั๊ยที่มิวจะแคร์หญิง?"
หญิงหันกลับมาทั้งน้ำตา
"มีใครเคยเข้าใจความรู้สึกของหญิงมั๊ย!!มิว ? ทุกคนทำเหมือนหญิงเป็นเหมือนตุ๊กตา อยากเสริมเติมแต่งอะไรก็ได้ให้กับหญิง มีใครเคยถามหญิงว่าพอใจกับสิ่งที่เป็นบ้างมั๊ย..?" หญิงทรุดลงกับพื้นร่ำไห้ออกมาสุดกลั่น มิวทำตัวไม่ถูกนึกงงกับเหตุการณ์ที่ประดังเข้ามาอย่างชนิดไม่ตั้งตัว
นี่คือความจริงใช่ไหม?มิว?...
ชายหนุ่มถามตัวเองคนเดียวในขณะที่ล้มตัวลงนอน ดวงตายังเปิดโพลงในความมืดของราตรีแรกที่อยู่ระยอง ไม่ต่างจากอีกด้าน หญิงพลิกตัวหันหลังให้กับผู้เป็นสามี ดวงตายังคงกะพริบถี่ๆในความมืดมิดนั้น เหมือนคิดบางอย่างในใจ ในขณะที่เสี่ยเชนนอนกรนเบาๆอยู่ใกล้ๆตัว

หญิงลืมตาตื่นแต่เช้า เสียงกุกกักในครัว ทำให้เธอต้องเดินเข้าไปดู เห็นหม่าม๊ากำลังซาวข้าวสารในหม้อ
"ม่า!!"
หญิงเดินเข้าไปโอบกอดจากด้านหลัง หม่าม๊าเหลียวมามองยิ้มๆ
"หญิงทำเอง ม่ารีบตื่นทำไม"
หญิงแย่งหม้อข้าวกลับมาแล้วจัดแจงหุงข้าว หม่าม๊านั่งลงที่โต๊ะเก้าอี้ไม้ใกล้ๆ
"ผู้ชายเมื่อวานเป็นใครเหรอ?"
หม่าม๊าถาม หญิงหันมายิ้มๆ

"เสี่ยเชน สามีของหญิงไง เค้ามากับลูกชาย"

หญิงตอบตรงๆแต่ก็ไม่หมดซะทีเดียว หากหญิงบอกไปว่าลูกชายของเสี่ยเชนคือ"มิว"คนที่หม่าม๊ากับอาเฮียชอบว่าเขาเป็น"กระเทย"เมื่อคราวที่ยังเรียนมัธยมอยู่นั้น หม่าม๊าคงจับต้นชนปลายไม่ถูกแน่ๆ หญิงอยากป้อนข้อมูลใหม่ๆให้กับหม่าม๊าของตัวเอง เธอเชื่อว่าการให้หม่าม๊าได้ใช้ความคิดที่ไม่ซับซ้อนมาก พูดคุยด้วยบ่อยๆ หม่าม๊าคงมีสติกลับมาเหมือนเดิม หรือไม่คลุ้มคลั่งเหมือนช่วงแรกๆ นึกแล้วเธอก็โกรธตัวเองที่ทิ้งผู้เป็นมารดามา แต่เพราะเหตุผลต่างๆมันก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับหญิง ณ ช่วงเวลานั้นแล้ว
หญิงวัยกลางคนพยักหน้ารับรู้ช้าๆ ค่อยๆเดินกลับเข้าไปในห้อง
หญิงมองตามหลังอย่างหงอยๆ หากชีวิตย้อนกลับไปในวัยเด็กได้อีกครั้ง เธอคงดีใจและมีความสุขมากๆที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เธอเคยรัก แต่วันนี้เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว การวางตัวและการสนิทสนมเหมือนเดิมคงไม่สามารถทำได้
นึกแล้วก็ขำตัวเองขึ้นมา ภาพเก่าๆของหญิงผุดขึ้นมาในความทรงจำ ในวานๆที่ขึ้นไปเล่นที่ห้องของมิว ขณะที่มิวกำลังเขียนเพลงๆหนึ่ง
"ถ้ามิวไม่มีแฟน...ให้เราเป็นแฟนมิว เอามั๊ย!!"
"บร้า!!"
วันนั้นมิวทั้งเขินและตกใจ หญิงยืนนิ่งยิ้มให้กับตัวเองทั้งน้ำตา
.....
ที่สยาม
โดนัทหยุดอยู่ที่ร้านขายกิ๊ฟช็อปเล็กๆ ที่มีชุดเสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิงแขวนอยู่ที่ราวในมุมหนึ่งของร้าน หยิบชุดแซกสีชมพูหวานๆขึ้นมาดู
"โต้งว่าสวยมั๊ย?" โดนัทถามขอความคิดเห็น พลางยกขึ้นให้โต้งดู
"สวยดี" โต้งตอบเรียบๆปรายตามองที่ชุดนั้น
"ชุดนี้ล่ะ?" โดนัทเอื้อมไปหยิบกระโปรงฟูๆอีกชิ้นที่แขวนไว้บนราว แบบเดียวกับที่หุ่นสวมใส่ ติดกับชุดที่หุ่นใส่มีรูปภาพของศิลปินชื่อดังที่สวมกระโปรงแบบเดียวกันให้ดูด้วย โดนัทพลิกดูไปมาแล้วลองทาบชุดนั้นกับตัวเอง
"ก็สวยนะ"
"โต้ง ช่วยเลือกให้หน่อยสิ? โดนัทจะใส่ไปงานThe Love Of Siamฯ พรุ่งนี้" โดนัทชูชุดแซกและกระโปรงทั้งสองชิ้นให้โต้งช่วยตัดสินใจเลือก
"โดนัทคิดว่าชุดไหนเหมาะกับโดนัทมากกว่าล่ะ ?ให้โต้งเลือกอาจจะไม่ถูกใจโดนัทก็ได้"


"งั้น...โดนัทเลือกทั้งสองชุดเลยล่ะกัน?"

"อืม!!" โต้งยิ้มนิดๆที่มุมปาก ล้วงหยิบกระเป๋าตังค์ในกางเกง
"อุ๊ย!!ไม่ต้องหรอกโต้ง โดนัทจ่ายเองดีกว่า?" โดนัทรีบหยิบธนบัตรใบละพันส่งให้กับเจ้าของร้าน โต้งยิ้มเจื่อนๆ รับถุงชุดกระโปรงนั้นมาถือ โดนัทยิ้มระรื่นสีหน้าปกติ พลางคล้องแขนชายหนุ่มเดินไปดูร้านอื่นๆ แม้แขนของโดนัทจะคล้องแขนของโต้งไว้แน่น แต่โดนัทก็ไม่อาจหยุดสายตาอยู่ที่โต้งด้วยสักนิด หญิงสาวยังคงโปรยเสน่ห์ด้วยสายตาให้กับชายหนุ่มที่เดินผ่านมาอย่างแนบเนียน โดนัทยังคงมีเสน่ห์กับเพศตรงข้ามเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง...

*****
“ผมคงต้องกลับกรุงเทพฯแล้ว”
มิวเงยหน้าสบตากับป๊า หลังจากมีโอกาสอยู่ด้วยกันลำพัง
“จะรีบไปทำไม อยู่ที่นี่มันอึดอัดมากรึงัย?”
“คือ คือผมมีงานต้องทำที่นั่น!!”
“งานอะไร?”
“ผมต้องซ้อมดนตรี คืนพรุ่งนี้ผมต้องขึ้นเวทีคอนเสิร์ตที่สยาม”
“นี่เอ็งเป็นศิลปินบ้าบอตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“.................”
มิวก้มหน้านิ่ง ไม่ตอบคำถามของป๊า
“ป๊าให้เอ็งมาระยองก็เพื่อให้มาช่วยงานที่โรงงาน งานที่ส่งให้เอ็งเรียนจบ แต่เอ็งคิดได้แค่เป็นศิลปินบ้าๆบอๆ แล้วเอ็งอย่าพูดว่าป๊าไม่เคยดูดำดูดีเอ็งตลอดเวลาที่ผ่านมาเลยนะ คิดเอาเองล่ะกันไอ้มิว...เสร็จงานของเอ็งแล้ว กลับมาอยู่ที่ระยอง”

“แต่มิ...ว..”

“ในตำราเค้าไม่มีการสั่งสอนให้เอ็งเชื่อฟังพ่อแม่บ้างรึไง!!ไอ้มิว!!”

เสียงป๊าดังขึ้น หน้าแดงกร่ำ ชำเรืองหางตามองลูกชายครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าบ้านไปอย่างหัวเสีย มิวก้มหน้านิ่งมองพื้นราวกับหาช่องทางแทรกแผ่นดินหายจากโลกนี้ไปในทันที ไม่ใช่ความอับอาย แต่เพราะรับสภาพความเจ็บปวดจากความห่างเหินของพ่อผู้บังเกิดเกล้า ฤาความอบอุ่น ไอรักจากสายเลือดระหว่างเขาและป๊ามันไม่มีจริง
“อาม่า มิวอยากกลับบ้าน”
มิวคิดในใจ หากที่แห่งนี้ เป็นป่าเขาลำเนาไพรที่นั่งอยู่คนเดียว สิ่งที่จะทำในทันทีคือเงยหน้าแล้วตะโกนประโยคในใจนั้นออกมาดังๆ แต่ในโลกของความจริง มิวได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกนั้นเงียบๆในใจ

หญิงนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาในบ้านแกล้งทำทีคุยกับหม่าม้า แต่พยายามมองไปด้านนอกที่มิวกับป๊าคุยกันเป็นระยะๆ แม้จะไม่ได้ออกไปเห็นเหตุการณ์ข้างนอกแต่ก็พอได้ยินเสียงการสนทนาของทั้งคู่ถนัดถนี่
เสี่ยเชนเดินเข้ามา ไม่สนใจใครทั้งสิ้น ตะโกนเรียกมีนให้ขับรถไปส่งมิวที่สถานีขนส่ง หญิงเดินออกมาหามิวที่ยังนั่งอยู่ในท่าเดิม

"ทำให้ดีที่สุดนะมิว"

หญิงพูดขึ้นเบาๆ มิวเงยหน้าขึ้น ไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มๆ


"หญิงคงไม่ได้ไปดูอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่หญิงเชื่อว่ามิวต้องทำมันให้ดีที่สุดเหมือนอย่างที่มิวเคยทำสำเร็จแล้ววันนั้น"
"วันนั้น..." เพียงแค่คำๆนี้มันกระชากความรู้สึกบางอย่างของมิวให้หวนกลับไป ณ เวลานั้นอีกครั้ง วันที่โต้งมาบอกความรู้สึกบางอย่างที่ค้างคาในใจ แต่สำหรับมิว มันคือความรู้สึกที่เลวร้ายมากกว่าความรู้สึกที่ปลื้มปิติ...
"เป็นไรมิว?" หญิงนั่งลงถามอาการเมื่อเห็นมิวหน้าซีดลง
"ปะ เปล่า!!...ขอบใจนะหญิง วันหลังเราจะกลับมาเยี่ยมใหม่ ฝากป๊าเราด้วย"
"อืม.." หญิงพยักหน้ายิ้มๆ ปั้นสีหน้าไม่ถูก เป็นจังหวะเดียวที่ป๊าเดินออกมากับมีน ป๊ายื่นเงินให้มิวไว้ใช้ในการเดินทางและเพียงพอที่จะกลับมาระยองอีกครั้ง มิวยกมือไหว้ขอบคุณและลาไปพร้อมๆกัน

"หวังว่าเอ็งคงเข้าใจที่ป๊าพูดนะ"
มิวพยักหน้ารับ ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการแสดงท่าทางเช่นนั้นแม้ในใจจะเจ็บปวดกับความรู้สึกบางอย่างนั้นๆมากแค่ไหนก็ตาม ป๊ายังกล้าเรียกร้องความเข้าใจจากลูกชายคนนี้ได้อย่างเลือดเย็น ตลอดเวลาการตัดสินใจ การเรียนรู้ทุกอย่าง แม้จะผิดบ้าง ผลาดบ้าง แต่มันคือการตัดสินใจและทำความเข้าใจด้วยตัวของมิวเองทั้งสิ้น

ครานี้...ทำไมมิวต้องทำตามในสิ่งที่ป๊าเป็นผู้ลิขิต ขีดเส้นทางให้ด้วย...น้ำลายจับตัวเป็นก้อนแข็งจุกที่ลำคอ มันกลืนลงไปได้ยากยิ่ง ความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้มิวคิดว่าป๊ายังคงเลือกทุกอย่างตามที่ชีวิตตัวเองต้องการ โดยที่ไม่เคยสักนิดเดียวที่จะสนใจหรือพยายามทำความเข้าใจความรู้สึกของลูกชายคนนี้บ้าง ไม่อยากให้ความรู้สึกของตัวเองเจ็บช้ำมากไปกว่านี้ มิวยกมือไหว้หญิง ก่อนจะรีบเดินขึ้นรถที่มีนติดเครื่องรออยู่ท่ามกลางความตะลึงของหญิง แต่หญิงก็รับไหว้นั่นตอบทันที่จะกลบเกลื่อนอากัปกิริยาของตัวเอง
.........




Create Date : 19 กรกฎาคม 2551
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 12:39:56 น.
Counter : 274 Pageviews.

0 comment
ตอนที่ 7
อาเฮียขับรถออกจากโรงพยาบาลจิตเวช หลังจากพาหม่าม้าไปรับยาระงับจิตจากหมอ อาการของหม่าม้าตอนนี้ไม่ดี ยังคงเงียบขรึม บางครั้งก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ไม่สนใจโลกภายนอก นอกจากจมกับโลกส่วนตัวของเธอเอง
" ม้าไปเที่ยวทะเลกันนะ" อาเฮียหันมาถาม หญิงวัยกลางคนยังนั่งนิ่ง
" อั้วจะพาม้าไปหาอาหญิง" คราวนี้ได้ผล หม่าม้าค่อยๆหันหน้ามายิ้ม อาเฮียดึงผ้าผืนเล็กๆจากกระเป๋ากางเกงเช็ดน้ำลายที่ไหลเยิ้มออกจากปากมารดา
"อั้วรู้!! ม้าคิดถึงอาหญิงมัน อั้วจะโทรไปบอกให้อีเตรียมตัว อีคงดีใจเหมือนกันที่เจอม้า แต่ม้าต้องรับปากก่อนนะว่าจะกินยาตามที่หมอสั่ง" หญิงวัยกลางคนพยักหน้ารับ ตบมือดีใจราวกับเด็กน้อย


หญิง ถือแก้วน้ำส่งให้กับสามีที่เพิ่งกลับจากที่ทำงาน
"นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อน เดี๋ยวถึงไปอาบน้ำ แล้วกินข้าวกัน วันนี้หญิงทำห่อหมกปลาช่อนไว้ให้ด้วยนะ"
" เอาใจแบบนี้ ต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ" เสี่ยเชนผู้เป็นสามีกล่าวยิ้มๆรับแก้วน้ำมาดื่ม แล้วยื่นส่งคืน หญิงวางแก้วน้ำลงที่โต๊ะเล็กๆ นั่งลงข้างสามี
" พรุ่งนี้หม่าม้า กับอาเฮียจะมาเที่ยวที่นี่ หญิงขออนุญาตเฮียให้หม่าม้ากับอาเฮียของหญิงค้างที่นี่สักคืนนะ"
หญิงเอ่ยปากขอกล้าๆกลัวๆ เพราะรู้ดีว่าเสี่ยเชนไม่พอใจหม่าม้าที่เคยกีดกันเธอไม่ให้คบหากับพ่อหม้ายลูกติดอย่างเสี่ยเชน เจ้าของกิจการโรงงานผลิตน้ำปลาเล็กๆในจังหวัดระยอง แต่เพราะความเหงาและเครียดกับค่าใช้จ่ายในบ้านช่วงที่เกิดวิกฤตปัญหาในครอบครัวเธอจึงคบหากับเสี่ยเชนเงียบๆ แต่เรื่องก็รู้ถึงหูหม่าม้าจนได้ ตอกย้ำความเสียใจให้กับหม่าม้ายิ่งขึ้นจนถึงขั้นช็อก หมอต้องคอยให้ยารักษาอาการเรื่อยมา
"อืม!!"
เสี่ยเชนรับฟังแต่ไม่พูดอะไร ลุกเดินเข้าห้องไป หญิงมองตามสีหน้าไม่สบายใจรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย


เสี่ยเชนไม่เคยปิดบังหญิง ถึงสถานะพ่อหม้ายเมียหย่า หญิงยิ่งประทับใจและอบอุ่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้ผู้ชายวัยกลางคนผู้นี้ หญิงสาวที่เพิ่งจบมัธยมหมาดๆคิดเพียงแค่ว่า แม้เสี่ยเชนจะเคยผ่านการมีครอบครัวมาแล้วแต่ก็เป็นผู้ชายไม่เสียหายอะไร แถมยังรักลูกรักครอบครัวซึ่งหายากมาก หญิงมักเปรียบกับเตี่ยบ่อยๆ เตี่ยเองก็รักอาเฮียและหญิงมากเช่นกัน จากการสูญเสียเตี่ยไปเหมือนได้ตัวแทนความรักนั้นจากผู้ที่เข้ามาในชีวิต

เสี่ยเชนส่งเสียให้หญิงเรียนจนจบปริญญาตรี พาออกงานสังคมเป็นครั้งคราว หญิงเองได้รู้จักกับ"มายด์" ลูกติดจากสามี ซึ่งวัยห่างกันเพียง 8 ปี นอกจากมายด์แล้วยังมี "มีน"น้องชายคลานตามกันมากับมายด์อีกคน
แต่เพราะวัยที่ใกล้กันเด็กทั้งสองจึงเรียกหญิงว่า "น้าหญิง" ซึ่งทั้งสองคนให้ความนับถือหญิงเป็นอย่างดี ในฐานะ"แม่เลี้ยง"

มายด์ กำลังเรียนที่โรงเรียนประจำมีชื่อเสียงในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ส่วน มีน ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะเสี่ยเชนเลี้ยงตามใจจนกลายเป็น "ลูกแหง่" แม้อายุจะ13 ปีแล้วก็ตาม หญิงรู้สึกสงสารมีนและเข้าใจมีนมาก บางครั้งก็นึกโกรธและโทษเสี่ยเชนที่เลี้ยงลูกแบบตามใจโดยไม่ใช้เหตุผลสอน
บ่อยครั้งที่มีนและเสี่ยเชนทะเลาะกันและมีปากเสียง แต่สุดท้ายเสี่ยเชนจะเป็นฝ่ายขอโทษลูกก่อนเสมอ
" เฮียจะตามใจเด็กทำไมนักหนา แบบนี้เด็กก็จะเสียคนนะสิ"
หญิงเคยพูดกับสามี แต่ก็ได้คำตอบที่อึ้ง
" หาโรงเรียนดีๆให้มันเรียน มันก็เรียนไม่จบสักที แล้วจะให้เฮียทำไง"
"ก็ให้เขาเรียนสายอาชีพสิ หรือไม่ก็ให้มาช่วยงานที่โรงงาน"
"มันเคยสนใจมั๊ย!! ทำไงได้ถ้าจะโทษมันก็โทษที่เฮียดีกว่า เด็กมันไม่มีใครสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก ปล่อยมัน..ถ้ามันรักดีก็ดีกับตัวมันเอง"
เสี่ยเชนกล่าวอย่างหนักใจไม่น้อย หญิงได้แต่เอื้อมละอาเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ถึงอย่างไร หล่อนก็เป็นได้แค่"แม่เลี้ยง"


เกือบเก้าโมงเช้า เสี่ยเชนแต่งตัวออกจากบ้าน หญิงถือจานอาหารเตรียมไว้ให้สามีกับลูกเลี้ยง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา รีบเดินไปรับเห็นสามีกำลังใส่รองเท้าอยู่หน้าบ้านก็ถาม
"เฮียออกไปธุระข้างนอก เดี๋ยวหญิง จัดห้องไว้ให้เฮียด้วยนะ"
"........."
แม้จะงงว่าจัดห้องไว้ให้ใครแต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าแล้ว กดสายรับโทรศัพท์มือถือที่ยังดังค้างอยู่ อาเฮียบอกว่าใกล้จะถึงระยองแล้ว หญิงบอกเส้นทางให้แล้ววางสายไป
เสียงอาเฮียเรียกหาลูกชายอยู่ที่โรงรถ เพียงอึดใจเดียวมีนก็วิ่งไปนั่งทำหน้าที่คนขับให้กับผู้เป็นพ่อ
หญิงเดินเข้าครัวอีกครั้ง เสียงโทรทัศน์ดังแว่วๆออกมาจากด้านในบ้าน ก่อนจะถึงห้องครัว หญิงมองหาต้นเสียงแล้วก็มาถึงห้องของมีนที่ปิดประตูไม่สนิท หญิงค่อยๆผลักประตูให้เปิดกว้างออก ก็ต้องผงะตกใจเมื่อเห็นภาพที่ปรากฎบนหน้าจอโทรทัศน์ ในจอเป็นภาพของชายหญิงแสดงบทรักกันอย่างเร่าร้อนถึงพริกถึงขิง

ที่สยาม เสียงทีมงานยกเหล็กและแผ่นไม้อัดดังเป็นระยะ ดูวุ่นวายเมื่อต้องทำงานแข่งกับเวลา พี่อ็อดลงมาคุมงานด้วยตัวเอง โดยมีมิวและเอ็กส์มาร่วมสังเกตุการณ์ด้วย
"ช่วงนี้ซ้อมเหนื่อยหน่อยนะ!!"
พี่อ็อดละสายตาจากคนงานที่กำลังช่วยกันยกแผ่นไม้อัดเข้าประกบกับแผงเหล็ก
"ครับพี่" มิวตอบ
"เหนื่อยกว่านี้ก็ยอมเลยพี่ ผมอยากปล่อยของเต็มที่แล้ว" เอ็กส์ทำสีหน้ากระหายอยาก พี่อ็อดกับมิวหัวเราะกัน
"เต็มที่สิว่ะ งานนี้นอกจากเปิดตัวศิลปินใหม่ของค่ายแล้ว พี่เชื่อแน่ว่าจะเป็นการเปิดตัวการกลับมาของวงออกัสอีกด้วย แสดงเต็มที่เลยนะมิว"
ท้ายประโยคพี่อ็อดหันไปกำชับกับมิว มิวพยักหน้ารับไม่รู้สึกหนักใจอะไร
" สิบโมงแล้ว เดี๋ยวไปหาอะไรลงท้องกันดีกว่า?"
พี่อ็อดยกแขนขึ้นดูนาฬิกาที่ข้อมือ เอ็กส์พยักหน้ารับแต่มิวรีบขอตัว
"ทำไมว่ะ!!" เอ็กส์หันไปถามทำหน้าไม่เข้าใจ
"ขอโทษจริงๆครับพี่อ็อด ผมมีนัดกับป๊าวันนี้ ขอหยุดซ้อมหนึ่งวันนะครับ"
"ตามใจ แต่เรื่องงานห้ามพลาดนะ "
"ครับ เฮ๊ย!! กรูขอโทษจริงๆว่ะ ป๊ากรูมา" มิวหันมาบอกก่อนจะขอตัวไป
"อ้าว แล้วไงล่ะ!!พี่อ็อดครับไว้คราวหน้านะครับ" เอ็กส์หันมาบอกพี่อ็อดพร้อมกับวิ่งตามมิวไป
อีกด้านของสยาม โต้งเดินดูของตามร้านต่างๆกับโดนัท แล้วโต้งก็มาหยุดมองบริเวณลานจัดงานด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าหากโดนัทใส่ใจกับโต้งมากกว่านี้จะเห็นรอยยิ้มมีความสุขจางๆซ่อนอยู่บนใบหน้าที่เรียบเฉยของชายหนุ่มนั้น

เสียงรถมาจอดเทียบที่รั้วด้านนอก หญิงชะโงกหน้าออกมาพร้อมกับวิ่งไปเปิดประตูรั้วให้ในชุดที่เรียบง่าย
"หม่าม้า!!"
หญิงสวมกอดผู้เป็นแม่แน่น ก่อนจะหันมาทักอาเฮียและพี่สะใภ้ที่อุ้มหลานวัยสามขวบในอ้อมแขน หญิงกุลีกุจอช่วยอาเฮียยกของลงจากรถและพาเข้าบ้าน ก่อนจะเดินทางต่อ



Create Date : 19 กรกฎาคม 2551
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 12:39:41 น.
Counter : 368 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  

คุณหมอกมลชนก
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



"Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them."

บางคนฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ

คำคมนี้ดูจะบ่งบอกความเป็นตัวตนของ"ออมสิน"ได้เป็นอย่างดี...


สมาชิกอยู่ในบ้านขณะนี้