Street Hypnotherapist นักสะกดจิตบำบัดข้างถนน ^^
 

Reframing

การที่ชีวิตของใครแต่ละคนจะดำเนินไปในทิศทางทางใดนั้น มันขึ้นอยู่กับว่าใครแต่ละคนมีบุคลิกภาพอย่างไร คนบางคนนั้นเป็นพวกกระตือรือร้น บางคนเป็นประเภทผัดวันประกันพรุ่ง บางคนขยันขันแข็งสู้ชีวิต ต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ แต่อีกหลายคนกลับเป็นประเภทที่หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ไม่มีความมั่นใจ ไม่มีความความกล้าหาญในการตัดสินใจหรือเผชิญต่อสิ่งต่างๆ ที่รออยู่เบื้อหน้า การที่มีบุคลิกที่แตกต่างกันนี่เองทำให้แต่ละคนดำเนินชีวิตและได้รับผลในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน ประเด็นก็คือว่าหากเรามีบุคลิกภาพที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตก็ดีไป แต่ถ้าเกิดเป็นประเภทที่มีบุคลิกภาพที่ขัดขวางต่อความเจริญในการดำเนินชีวิตแล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป เราจะต้องยอมรับในสิ่งที่เราเป็น หรือจะมีวิธีใดบางที่จะทำให้บุคลิกภาพของเราปรับเปลี่ยนไปในทางที่สร้างสรรค์และส่งเสริมต่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิตของเราขึ้นมาบ้าง

ก่อนอื่นก็ต้องหาคำตอบว่าบุคลิกภาพต่างๆ ที่อยู่ในตัวของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกทางบวกหรือทางลบนั้นมันมาจากไหน

คาร์ล โรเจอร์ นักจิตวิทยาบุคลิกภาพชาวอเมริกันได้กล่าวถึงบุคลิกภาพของมนุษย์ว่า บุคลิกภาพในปัจจุบันของแต่ละคนนั้นล้วนแล้วแต่มาจากการเก็บสะสมประสบการณ์ในอดีตตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น ประสบการณ์ต่างๆ ที่เราได้ประสบพบเจอมาตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบันเป็นสิ่งที่ค่อยๆ หล่อหลอมให้เกิดบุคลิกภาพเฉพาะตัวของมนุษย์แต่ละคนขึ้นมา
แนวคิดของโรเจอร์นั้นหยุดลงตรงที่ว่าประสบการณ์ในอดีตเป็นสิ่งที่รู้และเข้าใจได้เฉพาะบุคคล เราไม่สามารถที่จะเข้าใจประสบการณ์ของอื่นได้ครบถ้วนสมบูรณ์ และประสบการณ์ในอดีตนั้นเป็นสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้ว โดยเราไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ไม่ว่าประสบการณ์ในอดีตนั้นจะส่งผลกระทบต่อตัวเราในปัจจุบันอย่างไรก็ตาม สิ่งที่แต่ละคนจะทำได้ก็มีเพียงการอยู่กับความจริงในปัจจุบันโดยยอมรับกับประสบการณ์ในอดีตเท่านั้น

แต่สำรับนัก NLP แล้วเราคิดไปไกลกว่านั้น โดย NLP เสนอแนวคิดที่ว่า หากปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุคลิกภาพของเราในปัจจุบันเกิดจากการเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ ในอดีตแล้วล่ะก็ การย้อนเวลากลับไปแก้ไขเหตุการณ์ที่เคยประสบในอดีตเพื่อทำให้เหตุการณ์ในอดีตที่เคยไม่สมบูรณ์เรียบร้อย เกิดความสมบูรณ์เรียบร้อยในอย่างที่มันควรจะเป็น (หรือเราอยากจะให้มันเป็น) ก็คือการแก้ปัญหาหาบุคลิกภาพที่ยอดเยี่ยมและได้ผลอย่างรวดเร็วแบบหนึ่ง เพราะนี่จะเป็นการเข้าไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และเมื่อเหตุการณ์ในอดีตถูกแก้ไขลงแล้ว บุคลิกภาพในอดีตก็จะถูกแก้ไขให้เป็นไปในทางที่ดีตามไปด้วยโดยอัตโนมัติเช่นกัน

แล้วเราจะสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตได้อย่างไร NLP เสนอว่าจริงอยู่ที่เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตได้ แต่เราก็สามารถแก้ไขข้อมูลที่อยู่ในสมองเราได้ซึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายกว่ากันเยอะ และนี่ก็คือแนวคิดของเทคนิค Reframing ใน NLP ครับ

Reframing คืออะไร ว่ากัน จริงๆ แล้ว Reframing ก็คือเทคนิคการสะกดจิต (Hypnosis) อย่างหนึ่ง โดยจะทำการย้อนระลึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เป็นเหตุการณ์ต้นเหตุของปัญหา จากนั้นก็สร้างภาพเหตุการณ์ใหม่ที่สมบูรณ์กว่า ถูกต้องกว่า หรือเป็นอย่างที่เราต้องการจะให้มันเป็นขึ้นมาทดแทนเหตุการณ์เดิม จากนั้นจึงบันทึกสภาพอารมณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นในระหว่างการสร้างเหตุการณ์ใหม่นี้เอาไว้ในจิตใต้สำนึก หลักจากปลุกขึ้นมาจากกระบวนการสะกดจิตแล้ว ข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาจะเข้าไปทำงานแทนที่เหตุการณ์เดิมในจิตใต้สำนึก ส่งผลให้เกิดการสร้างพฤติกรรมใหม่และบุคลิกภาพใหม่ที่เป็นไปในทางบวกขึ้นมาแทนแทนที่พฤติกรรมเดิมหรือบุคลิกภาพเดิมที่ไม่พึงประสงค์ครับ




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2554 14:11:22 น.
Counter : 2246 Pageviews.  

จิตใต้สำนึกและภาษากาย (Subconscious Mind and Body Language)

มนุษย์เราแบ่งองค์ประกอบความมีชีวิตออกเป็นสอนส่วนด้วยกันคือ "จิต" (Mind) และ "กาย" (Body) คำว่าจิตก็คือผลการทำงานของสมองของเรา เมื่อสมองได้รับข้อมูลจากภายนอกผ่านทางระบบประสาทสัมผัสทั้งห้าอันได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น และกายสัมผัส เมื่อข้อมูลเหล่านี้เกิดการลำเลียงไปสู่สมองโดยผ่านทางระบบประสาท สมองก็จะทำการประผลแล้วตอบสนองออกมาในรูปของข้อมูลโดยส่งกลับไปทางระบบประสาทเพื่อสั่งการอวัยวะส่นต่างๆ ต่อไป

ซิคมัน ฟรอยด์ ปรมาจารย์จิตวิทยาแนวจิตวิเคราะห์ได้ทำการศึกษาวิจัยและแบ่งแยกจิตของมนุษย์ออกเป็นสองส่วนด้วยกัน คือ "จิตสำนึก" (Conscious Mind) และ "จิตใต้สำนึก" (Subconscious Mind) โดยจิตสำนึกจะเป็นการทำงานในส่วนของการใช่ตรรกะคิดวิเคราะห์ การใช้เหตุผล และการมีสำนึกรู้ถูกผิด ในขณะที่จิตใต้สำนึกเป็นการทำงานในส่วนของอารมณ์ ความต้องการ รวมไปถึงสัญชาติญาณต่างๆ โดยใต้จิตสำนึกจะเป็นจิตส่วนใหญ่ในขณะที่จิตสำนึกเป็นเพียงจิตส่วนน้อยเท่านั้น

จิตใจของคนเราทำงานโดยอาศัยจิตทั้งสองส่วนนี้ทำงานประสานกัน แต่โดยปรกติแล้วจิตใต้สำนึกจะถูกจิตสำนึกเป็นตัวควบคุมอยู่เสมอเนื่องจากเราอยู่ในสังคมที่ค่อนข้างมีจารีตหรือกฏกติกาการดำรงค์ชีวิตที่ชัดเจน ความรู้สึกหรือความต้องการที่แท้จริงอันเป็นผลการทำงานจากจิตใต้สำนึกไม่สามารถแสดงออกได้อย่างอิสระ เช่นสมมุติว่ามีชายคนหนึ่งเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้าดังกลางกรุงเทพ แล้วจู่ๆ ก็เกิดไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตา รูปร่าง ผิวพันธ์ดี แต่ตัวแบบประหยัดทรัพยากรโลกอีกต่างหาก ในทันใดนั้นเองจิตใต้สำนึกในส่วนของสัญชาติญาณการสืบพันธุ์ก็ทำงานในทันที แต่เนื่องจากชายคนนี้เป็นคนที่ได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี คุ้นเคยกับการอยู่ในจารีตและกฏเกณของสังคมเมืองเป็นอย่างดี และก็รู้ตัวเองดีว่านี่กำลังอยู่กลางห้าง ดังนั้นตรรกะในส่วนนี้ที่เป็นผลจากการทำงานของจิตสำนึกจึงเข้ามาควบคุมไม่ให้ผลจากจิตใต้สำนึกแสดงตนออกมา พฤติกรรมที่ได้จึงกลายเป็นว่าชายคนนี้ไม่ได้แสดงออกพฤติกรรมอะไรออกมาทั้งสิ้น

แต่ถ้าหากว่าปริมาณของข้อมูลที่จิตใต้สำนึกผลิตออกมามีปริมาณมากจนเริ่มมีปริมาณมากพอที่จะไปงัดข้อกับจิตสำนึกได้ พฤติกรรมที่จะแสดงออกมาก็จะมีลักษณะที่คล้อยตามความต้องการของจิตใต้สำนึกมากขึ้น แต่ก็ยังถูกควบคุมโดยจิตสำนึกอยู่ดี เช่นชายคนนี้อาจจะเดินเข้าไปจีบหญิงสาวคนนั้น พูดจาของเบอร์โทรศัพท์ ขออีเมล บีบีพินอะไรก็ว่าซึ่งทั้งหมดนี้ก็ยังคงอยู่ในกรอบของจารีตสังคมซึ่งการทำงานของจิตสำนึก แต่โดยลึกแล้วก็เพื่อขยายผลไปสู่กิจกรรมผสมพันธุ์ตามต้องการของจิตใต้สำนึกต่อไป เว้นแต่ว่าชายคนนี้อยู่ในสภาวะไม่ปรติทางจิต (เช่นเมายาหรือป่วยทางจิต) หรือว่ามีสิ่งเร้าอื่นๆ ที่จะมากระตุ้นให้การทำงานของจิตใต้สำนึกเพิ่มปริมาณจนสามารถเอาชนะจิตสำนึกได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (เช่นไม่ได้อยู่ห้างแต่อยู่ในป่าเปลี่ยว และประกอบกับว่าเป็นคนที่มีศีลธรรมน้อยอยู่แล้ว) พฤติกรรมที่ชายคนนี้จะแสดงออกไปตามผลการทำงานของจิตใต้สำนึกอย่างสุดโต่งแทน เกิดเป็นการฉุดคร่าอนาจารขึ้นมาได้

โดยภาวะปรติถึงแม้ว่าผลจากจิตใต้สำนึกจะถูกจิตสำนึกกดทับไว้ไม่ให้แสดงออกมาได้อย่างสมบูรณ์ แต่ข้อมูลต่างๆ ที่จิตใต้สำนึกได้ผลิตขึ้นมาจะถูกกระจายไปในระบบประสาทส่วนต่างๆ ของร่างกายในทันทีที่เกิดการประมวลผลขึ้นในสมอง ข้อมูลที่กระจายไปตามระบบประสาทเหล่านี้ทำให้เกิดพฤติกรรมทางร่างบางอย่างขึ้น เรียกว่า "ภาษากายที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ" เช่นเมื่อชายคนเดิมนั่นแหละ มองเห็นหญิงสาวที่ถูกใจแล้วกลไกการผสพันธุ์ในจิตใต้สำนึกมันทำงานขึ้น ถึงแม้ว่าจิตสำนึกของเขาจะสามารถกดทับจิตใต้สำนึกสำนึกเอาไว้อย่างสมบูรณ์ แต่ความจริงแล้วร่างกายของเขาก็มีการตอบสนองต่อผลจากจิตใต้สำนึกโดยอัตโนมัติ ถึงแม้จะดูเหมือนว่าไม่มีการตนองอะไรเกิดขึ้น แต่ความจริงหัวใจของชายคนนี้เต้นแรงขึ้น เลือดก็สูบฉีดแรงขึ้นทำให้อุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยแปลงอย่างรวดเร็ว ม่านตาก็ขยายมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน พฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นนี้ก็คือภาษากายที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติโดยที่ชายคนนั้นก็ไม่รู้ตัวหรือไม่สามารถควบคุมได้

นอกจากนี้ภาษากายที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติยังเป็นกลไกที่จิตใต้สำนึกใช้ในการระบายความรู้สึกหรือความต้องการของตัวเองออกมา เพราะโดยปรกติแล้วไม่ว่าจิตใต้สำนึกจะประมวลผลอะไรออกมาก็ตาม มันก็มักจะถูกจิตสำนึกกดทับเอาไว้ทั้งสิ้น ยิ่งเราอยู่ในสังคมที่กรอบกติกาที่แน่นหนาชัดเจน มีจาริตที่จุกจิกรอบด้าน ร่างกายของเราก็มีความจำเป็นที่จะต้องระบายความรู้สึกของตัวเองออกมา (บ้าง) โดยผ่านการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ที่คนทั่วไปไม่อาจสังเกตเห็นหรือไม่อาจเข้าใจได้โดยตรง ยิ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าใจได้ ระบบประสาทของเราก็ยิ่งสะดวกที่จะปลดปล่อยเอาความต้องการหรือความคิดเห็นส่วนลึกนั้นออกมา ตรงนี้ใครสามารถเก็บเกี่ยว สังเกตเห็น หรือตีความหมายออกมาได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนๆ นั้นอย่างแน่นอน




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2554 14:10:41 น.
Counter : 1518 Pageviews.  

กระจกเงา (Mirror)

ลองนึกถึงว่าเรากำลังจะออกไปซื้อของข้างนอก แล้วพอดีว่ามีร้านอยู่สองร้าน เดินทางจากบ้านเราไปก็ใกลพอๆกัน สองร้านนี้ขายของเหมือนๆกัน ราคาเท่ากัน การตกแต่ง การให้บริการก็พอกัน แต่จะต่างกันตรงที่ว่าร้านหนึ่งเป็นร้านของเพื่อนสนิทของเราส่วนอีกร้านหนึ่งเป็นร้านของใครก็ไม่รู้ คิดว่าในความเป็นจริงแล้ว ร้านใหนมีโอกาสที่จะได้เงินของเราไปมากกว่ากันครับ

ไม่แปลกเลยครับถ้าคำตอบที่ได้จะเป็นร้านของเพื่อนซี้ของเรา ทำไมน่ะเหรอครับ ก็เพราะว่าเป็นร้านของเพื่อนเรายังไงล่ะครับ ผมกล้าพูดเลยครับลองมีเงื่อนไขว่าร้านนี้เป็นร้านของเพื่อนสนิทแล้วแล้วล่ะก็ ต่อให้จะขายแพงกว่าร้านอื่นอีกหน่อย หรือเดินทางใกลขึ้นอีกนิด ถ้ามันไม่ได้เหลื่อมล้ำกว่ากันมาแล้วล่ะก็ โอกาสที่เราจะไปซื้อของที่ร้านเพื่อนเราก็ยังมีมากกว่าอยู่ดี แต่สมมุติว่าเราเกิดเกลียดขี้หน้าเจ้าของร้านขึ้นมาแล้วล่ะก็ ต่อให้ขายถูกกว่ายังไง หรือร้านอยู่ติดกันแค่ข้างบ้านเราก็คงไม่ไปซื้อของๆเขาหรอก ถูกมั้ยครับ

จากตัวอย่างนี้เราจะเห็นว่า การค้านั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ว่าของที่เราขายดีหรือไม่ หรือเราขายถูกแพงแค่ไหน เท่านั้น เพราะความรู้สึกที่ลูกค้าและพ่อค้าแม้ค้ามีต่อกันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้

NLP เสนอว่าปัจจัยอย่างหนึ่งที่จะทำให้การเจรจาธุรกิจของเราประสบความสำเร็จได้นั้น ก็คือการมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกค้าและผู้ดำเนินธุระกิจ พูดง่ายๆก็คือกิจการจะไปรอดหรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าคิดอย่างไรกับเรา ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกค้าไปทางบวกการค้าขายมันเป็นไปได้สวย แต่ถ้าลบเมื่อไหร่ทุกอย่างก็เป็นอันจบกัน

ปกติแล้วความสัมพันธ์ที่เป็นบวกระหว่างผู้ประกอบกิจการและลูกค้านั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดง่ายนัก สาเหตุก็เนื่องจากว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้รู้จักกันหรือเป็นเพื่อนกันมาก่อน ดังนั้นการที่คนแปลกหน้าสองคนที่คุยกันด้วยเรื่องของผลประโยชน์แล้วจะให้มามีความสัมพันธที่ดีเหมือนกับเพื่อนที่คบกันมานานหลายปีก็เห็นจะเป็นไปไม่ได้หรอกครับ อย่าลืมนะว่าการค้าก็เหมือนกับ "การรบ" มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่แต่ละฝ่ายจะต้องรักษาครับ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ต้องทำผลประโยชน์ให้ตัวเองให้ได้มากที่สุด

เพราะฉะนั้นผลลัพธ์ของการเจรจาธุรกิจส่วนใหญ่จึงออกมาในรูปแบบผลประโยชน์ที่เป็นกลาง คือต่างฝ่ายต่างได้คนละครึ่ง ถ้าจะเพลี้ยงพล้ำกันบ้างก็อยู่ในอัตตาส่วนที่ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันมากหรอกครับ ส่วนใหญ่เสียจากตรงนี้ก็ต้องไปได้จากตรงส่วนอื่นมาเจือเอา

แต่ทีนี้ลองนึกกรณีที่คล้ายๆกับตัวอย่างแรกสุดของเราดูครับ สมมุติว่าคู่เจรจาการค้าเป็นญาตสนิทหรือเป็นเพื่อนสนิทที่เรารู้จักกันมาหลายสิบปีแล้ว โอกาสที่เขาจะช่วยเราก็มีมากกว่าเมื่อเทียบกับการไปเจราจากับคนที่เราไม่รู้จักจริงไหมครับ มันมีความเป็นได้ครับที่ผลลัพธ์ของการเจรจาอาจจะไม่ใช่แค่ 50/50 แต่อาจจะเป็น 70/30 หรือดีไม่ดีเราอาจจะได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆเลยก็ได้ โดยสัดส่วนผลประโยชน์จะออกมาอย่างไรนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับดีกรีความเข้มข้นของสายสัมพันธ์ที่เรามีต่ออีกฝ่าย

NLP เล็งเห็นว่าเรื่องสัมพันธ์นี้เองจะเป็นกุญแจดอกสำคัญไปสู่ความสำเร็จในการทำธุรกิจ ฉะนั้นจึงได้คิดค้นเทคนิคในการสร้างความสัมพันธ์ฉบับเร่งรัดขึ้นมา (ก็เวลาเรามีไม่มากนี่ครับ)
เทคนิค NLP นั้นสามารถช่วยให้คนคุยกันแค่สองนาทีแต่ทำให้รู้สึกเหมือนรู้จักกับเรามาแรมปีครับ นี่ไม่ใช่คำเลื่องลือกันลอยๆนะครับ เทคนิคที่ว่านี้เรียกว่า "Rapport" เป็นอีกเทคนิคหนึ่งของ NLP ที่เป็นที่กล่าวขวัญกันมากในแวดวงนักธุรกิจ

Rapport คือกลวิธีในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวในช่วงเวลาอันสั้นๆ ด้วยความสามารถในการสร้างความสัมพันที่ดีเลิศของ Rapport นี้เอง บางคนถึงกับให้นิยามมันว่าเป็น "ภาษาแห่งมิตรภาพ" เลยครับ

คนเราทุกคนนั้น เวลาที่พูดอะไรซักอย่างออกมา นอกจากเราจะมีภาษาพูด หรือถ้อยคำต่างๆที่พูดออกมาจากปากของเราแล้ว เรายังมี "ภาษากาย" หรืออากัปกริยาต่างๆที่ร่างกายแสดงออกในขณะที่เราพูดแสดงออกมาด้วย ไม่มีใครหรอกครับที่สามารถพูดออกมาโดยไม่มีสีหน้า แววตา การทำไม้ทำมือว่างท่าทางด้วยกริยาต่างๆ ทั้งหมดนี้ก็คือ "การแสดงออกจากจิตใต้สำนึก" ดังที่กล่าวถึงไปในบทก่อนๆแล้วยังไงล่ะครับ เช่น บางคนเวลาพูดอาจจะชอบขยับมือเข้าๆออกเหมือนกับพยายามจะสรรหาคำพูดบางอย่างออกมาจากในตัวของเขา บางคนเวลาพูดอาจจะมีการสะบัดไม้สะบัดมืออยู่ตลอดเวลา หรือคนบางคนชอบที่จะหงายมือคว่ำมืออยู่ตลอดในขณะที่เขากำลังพูด ท่าทางที่ประกอบการพูดของคนเหล่านี้คือกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกได้เป็นอย่างดีเลยครับ

เหตุผลก็เพราะว่าท่าทางต่างๆเหล่านั้นเป็นการกระทำที่เกิดมาจากจิตใต้สำนึกของคนเรา ถ้าหากเรารู้วิธีที่จะสื่อสารด้วย "ภาษา"เดียวกันกับที่ออกมาจากจิตใต้สำนึกของผู้อื่น มันก็เท่ากับว่าเรากำลังเจาะช่องตรงไปถึงจิตใต้สำนึกของผู้อื่น โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัวแต่อย่างใด ...เยี่ยมใช่มั้ยล่ะครับ

เหมือนกับเวลาที่เราเจอใครซักคนที่เราไม่เคยรู้จัก แต่ไม่รู้ทำไมเราถึงรู้สึกสนิทสนมกับคนๆนั้นมาก ทั้งที่จริงแล้วเราก็เพิ่งจะเจอกับเขาเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ที่เป็นอย่างนั่นก็เพราะจิตใต้สำนึกเรายอมรับอีกฝ่ายโดยที่เราไม่รู้ตัวครับ คำว่ายอมรับในที่นี้ก็คือยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็น "มิตร" สามารถ "ไว้วางใจ" ได้

แต่ที่ยกตัวอย่างมานี้มันเป็นกรณีที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติครับ พูดจริงๆแล้วเกิดขึ้นมาได้อย่างไรมันก็ยังเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หาคำตอบแน่ชัดได้ยาก มันอาจจะเกิดหรือไม่เกิดกับใครก็เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่สำหรับเทคนิค NLP นั้น เราจะใช้เทคนิคพิเศษบางประการบังคับให้จิตใต้สำนึกของอีกฝ่ายยอมรับเราในฐานะ "มิตร" ฉะนั้นจึงเราสามารถที่จะสร้างสัมพันธ์เชิงบวกกับเข้าได้อย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเรากำลังต่อช่องทางพิเศษเข้าสู่จิตใต้สำนึกของเขาโดยตรง อย่าลืมนะครับจิตใต้สำนึกของคนนั้นมิเศษมาก เพราะไม่ไม่เคยลืม ทำงานอยู่ตลอด และมันก็ไม่ต้องการเหตุผลอีกด้วย

สำหรับเทคนิคที่เราจะกล่าวถึงต่อไปนี้ก็คือเทคนิค Mirror ครับ เทคนิค Mirror หรือเทคนิค "เงาสะท้อน" ก็คือการที่เราเลียนแบบท่าทางของอีกฝ่ายในขณะที่กำลังพูดเหมือนกับว่าเรากำลังเป็นเงาสะท้อนในกระจกของตัวเขา เทคนิคนี้โดยหลักการแล้วไม่ทำยาก แต่ถ้าจะทำให้ได้ผลดีแล้วมันก็ต้องอาศัยทักษะการฝึกฝนและความมีศิลปะพอสมควรครับ

การใช้เทคนิค "เงาสะท้อน" นี้อย่างแรกที่เราจะต้องทำก็คือเราจะต้องสังเกตท่าทางหรือภาษากายที่คู่สนทนาของเราแสดงออกมาก่อนว่าเป็นอย่างไร (เทคนิค "มองมุมกว้าง" ที่เคยกล่าวมาแล้วช่วยเราได้เยอะครับ) ทีนี้พอเราเห็นแล้วว่าท่าทางของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร ขั้นตอนต่อไปก็คือเราจะต้อง "เลียนแบบท่าทาง" ของอีกฝ่ายครับ ง่ายๆแค่นั้นเองครับ

เช่น ในระหว่างสนทนาเราสังเกตได้ว่า คู่เจรจาของเรามักจะวาดมือเป็นวงกลมในขณะที่อธิบายเหตการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราก็อาจจะเลียนแบบท่าทางของฝ่ายตรงข้ามโดยการขยับนิ้วเป็นวงกลมตามไปด้วย (พร้อมกับทำหน้าทำตาว่าตั้งใจฟัง) การทำเช่นนี้จะเป็นการส่งข้อความไปยังจิตใต้สำนึกของคู่เจรจาของเราว่า "ผมเข้าใจนะว่าคุณต้องการจะสื่ออะไรถึงวาดมือเป็นวงกลม" เป็นผลให้จิตใต้สำนึกของคู่เจรจาเรานั้นยอมรับเราขึ้นมา หรือในจังหวะที่เราเป็นฝ่ายพูด เราก็ทำท่าคล้ายๆ การวาดมือเป็นวงกลมขอเขาในระหว่างพูดของเขาไปด้วย นี้จะเป็นการส่งข้อความไปยังจิตใต้สำนึกของเขาว่ "คุณและผมเป็นพวกเดียวกัน เรามีอะไรๆที่เหมือนกัน เป็นพรรคพวกเดียวกัน เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ดังนั้นไว้ใจฉันได้เลย"

สังเกตนะครับว่า ผมใช้คำว่า "ขยับนิ้วเป็นวงกลมตามไปด้วย" ในตัวอย่างแรก และในตัวอย่างหลังผมใช้คำว่า "ทำท่าคล้ายๆ การวาดมือเป็นวงกลมขอเขา" ทั้งหมดนี้เป็นอาการที่ไม่เหมือนกับพฤติกรรมต้นฉับเป๊ะๆนะครับ แค่ทำให้มันคล้ายๆเท่านั้น เหตผลก็เพราะเราไม่ต้องการทำให้ดูเหมือนจนเกินไปไงครับ เพราะมันอาจจะให้ดูเหมือนกับว่าเราจงใจที่จะล้อเลียนคู่สนทนาของเราได้ และถ้าเขารู้สึกว่าเรากำลังล้อเลียนเขาอยู่ล่ะก็ มันไม่เป็นผลดีแน่ๆ สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือหาความพอดีระหว่างความเหมือนกับความไม่เหมือน ถ้าหาเจอจุดเหมาะสมเมื่อไร กลไกของกระจกเงาก็จะทำงานของมันเองครับ




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2554 14:06:19 น.
Counter : 4452 Pageviews.  

แสร้งเพื่อสร้าง

ในหนังสือของ อาจารย์ เดล คาเนกี้ ปรมาจารย์นักพูดชาวอเมริกันกล่าวว่า ถ้าหากท่านต้องการเป็นคนกล้าหาญ ท่านต้องแสร้งทำตัวเป็นคนกล้าหาญ เมื่อท่านแสร้งทำบ่อยๆ เข้า ในที่สุดท่านก็จะกลายเป็นคนกล้าหาญไปจริงๆ หลักการแสร้งจนกลายเป็นจริงแบบนี้ยังคงใช้ได้ผลดีเรื่องมา

บ่อยครั้งที่ผมทำการสะกดจิตให้นอนหลับอย่างรวดเร็ว (Rapid Sleep Hypnosis) ผมพบว่า วิธีการที่ง่ายที่สุดแต่ได้ผลดีได้ผลเร็วที่สุดก็คือการชักนำจิตให้ผู้ได้รับการบำบัดแสร้งทำเป็นว่ากำลังนอนหลับ พอเขาคิดว่าเขากำลังนอนหลับอย่างสบาย แสร้างทำเป็นนอนหลับอย่างสบาย ในช่วงเวลาในนานนัก เขาจะหลับอย่างสบายไปจริงๆ นี่ความน่าทึ่งของเทคนิคการแสร้งทำ
ใน NLP มีอยู่หลายเทคนิคที่เราสามารถใช้ในการปรับเปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว เทคนิคหนึ่งที่ง่าย ดี และได้ผลมากอันหนึ่งก็คือ "แสร้งเพื่อสร้าง"

สำหรับเทคการแสร้งเพื่อสร้างใน NLP ก็อาศัยหลักการเดียวกันเรื่องราวที่กล่าวมาในข้างต้น กล่าวคือเมื่อคนเราแสร้งทำเป็นมีอารณ์แบบหนึ่งทั้งที่จริงๆ แล้วเราไม่ได้มีอารมณ์เช่นนั้น เช่นแสร้งทำเป็นมีความสุข แสร้งทำเป็นยิ้ม หัวเราะ ร่าเริง ทั้งๆที่กำลังเศร้า หรือเครียด แกล้งทำกันไปเพียงครู่เดียวเท่านั้นแหละ การแสร้งทำนั้นจะกลับสร้างอารมณ์นั้นขึ้นมาได้จริงๆ ทั้งนี้ก็เพราะว่าอารมณ์ของเราถูกพฤติกรรมทางกาย หรือภาษากายที่เราแสร้งทำอยู่นั้น ย้อนศรเข้าไปเปลี่ยนโหมดการทำงานของสมองโดยอัตโนมัติยิ่งเราแสร้งได้แนบเนียนหรือมีรายละเอียดได้มากแค่ไหน โอกาสที่อารมณ์ของเราจะเปลี่ยนได้ก็ยิ่งมาก และเร็วขึ้นเท่านั้นครับ

poonsak tana. C.ht., NLP.
//www.thaihypnosis.com




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2554 14:03:12 น.
Counter : 653 Pageviews.  

Meta Model หยุดอารมณ์แบบง่ายๆ

NLP เป็นศาสตร์ที่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับกับสภาวะทางอารมณ์ ความเชื่อ หรือความรู้สึกนึกคิดของผู้คน ทัศนะทางธุรกิจของ NLP นั้นให้น้ำหนักไปที่สภาวะทางอารมณ์ของบุคลากรเป็นอย่างมาก NLP เสนอว่าสภาวะทางอารมณ์หรือความคิดที่เป็น "ลบ" ทุกชนิดล้วนแล้วแต่ส่งผลให้การทำธุรกิจของเรานั้นประสบความล้มเหลวได้ทั้งสิ้น เช่นความคิดที่ว่า "ฉันทำไม่ได้หรอก" ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย หรือ "ธุรกิจนี้ต้องเจ๊งแน่ๆ" ทั้งๆที่มันยังไม่เจ๊ง (พูดจริงๆแล้วมันยังไม่ได้ลงมือทำด้วยซ้ำ แล้วมันเจ๊งได้ยังไง)

NLP ตั้งคำถามว่าคนที่กำลังจมอยู่ความคิดเช่นนี้จะสามารถประสบความสำเร็จในธุรกิจได้หรือเปล่าครับ

ในเมื่อยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย แต่กลับคิดเสียแล้วว่า "ฉันทำไม่ได้หรอก" แล้วอย่างนี้มันจะได้ลงมือทำมั้ยครับ หรือถ้าคิดว่า "ธุรกิจนี้มันต้องเจ๊งแน่ๆ" ทั้งที่เรายังไม่รู้แน่เลยว่ามันจะเจ๊งหรือไม่เจ๊ง หรือถ้าให้พูดจริงๆก็ต้องบอกว่ามันยังไม่เจ๊งซักหน่อย แต่นี่กลับเล่นสาปแช่งตัวเองล่วงหน้าเสียแล้วอย่างนี้มีหรือครับที่ธุรกิจมันจะไปรอด ก็ในเมื่อตัวเจ้าของกิจการเองยังไม่เชื่อเลย

ดังนั้นแล้วการคิดลบสำหรับการทำธุรกิจแล้วเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างยิ่งครับ เพราะนอกจากจะบั่นทอนกำลังใจในการทำงานแล้ว ยังจะเป็นการบั่นทองกำลังใจของคนอื่นอีกด้วยด้วย โดยเฉพาะกับคนที่กำลังทุ่มเทแรงกายแรงใจปลุกปั้นงานชิ้นนั้นอยู่ อุปมาเหมือนทหารกล้าที่ได้ยินแม่ทัพบ่นทุกวี่ทุกวันว่า ตายแน่ๆ แพ้แน่ๆ รบไปก็มีแต่ตายอนาถ แบบนี้ทหารยังมีกำลังใจไปรบก็คงแปลกแล้วล่ะครับ เรื่องจะไปชนะข้าศึกก็ขอให้ลืมๆไปได้เลย ...ด้วยเหตุนี้การแก้ภาวะติดลบของจิตใจหรือสภาพอารมณ์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก

แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ความคิดลบเป็นสิ่งที่เราห้ามให้เกิดขึ้นไม่ได้ และเมื่อเกิดความคิดลบขึ้นมาแล้วคนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้กลวิธีที่จะใช้ทำลายความคิดลบเหล่านี้

โดยทั่วไป เมื่อเกิดความคิดลบ หรืออารมณ์ที่เป็นลบขึ้นมาแล้ว เราก็มักจะใช้วิธีการที่เรียกว่า "การพูดปลอบใจ" ในการแก้ใขปัญหา เช่น ชายคนหนึ่งกำลังมีความทุกข์จากเรื่องธุรกิจที่พักหลังนี้ยอดการขายชักจะตกลงมาก เพื่อนของชายคนนั้นเลยพูดปลอบเขาว่า "ไม่เป็นไรน่า อดทนอีหน่อย เดี๋ยวก็มีลูกค้าเข้ามาเอง" แต่ไม่ว่าเพื่อนของชายคนนี้จะพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าสักกี่ครั้ง ชายคนนี้กลับพบว่าเขาไม่สามารถกำจัดสภาวะอารมณ์ลบในความคิดของเขาได้เลย ดังนั้นจึงต้องทนทุกข์กับสภาพอารมณ์ลบของตัวเองไปเรื่อยๆอย่างช่วยไม่ได้ และด้วยสภาพจิตใจที่หดหู่สิ้นหวังแบบนี้มันก็ไม่แปลกเลยถ้าเขาจะไม่สามารถพบทางออกของปัญหา และในที่สุดกิจการของเขาก็ถึงกับมีอันล้มพับไปจริงๆ

โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นเช่นนี้ครับ เรามักจะแก้สภาวะความลบของตนเองด้วยการ "พูดปลอบ" แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถฉุดอารมณ์ให้พ้นจะสภาพอันย่ำแย่แบบนั้นได้ ...รู้ไหมครับว่าทำไม

เหตุที่การ "พูดปลอบ" ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ก็เพราะว่า มันเป็นวิธีที่อ่อนแอเกินไปยังไงล่ะครับ อุปมาเหมือนมีโจรเข้าบ้านเราแล้วเราพยามที่จะไล่โจรด้วยการพูดอย่างนิ่มนวลว่า "อย่านะครับ อย่าปล้นเราเลยนะครับคุณโจร การปล้นนั้นผิดกฏหมาย และเป็นบาปนะครับ" …โจรที่ไหนมันจะไปกลัวจริงไหมครับ

การที่จะไล่โจรเราจะต้องโหดหรือมีน้ำหนักน่ายำเกรงสักหน่อยสิครับโจรมันถึงจะหนี เราต้องตะโกนเสียงด้วยดุดันว่า "อย่าเข้ามานะ! ฉันมีปืน! ขืนเข้ามาละก็ ฉันยิงก้นแกเป็นรูๆแน่ ถ้าอยากให้ก้นมี2รูหรือมันสมองกระจายเต็มพื้นก็เชิญเข้ามาได้เลย" มันต้องแบบนี้ครับโจรมันถึงจะเกรงกลัว ก็เช่นเดียวกันกับการขจัดความคิดในแง่ลบของตัวเรา บางครั้งมันก็ไม่สามารถที่จะใช้วิธีการที่อ่อนแอในการกำจัดออกไปได้ เมื่อถึงเวลานั้นการใช้มาตราการที่รุนแรงมันก็จำเป็นที่จะถูกนำมาใช้ และขอให้มั่นใจได้เลยว่ามันเป็นเทคนิคที่ได้ผลยอดเยี่ยมมากครับ ได้ผลดีเสียจนพูดอย่างภาคภูมิใจได้ว่าเลยนี่เป็นเทคนิคเฉพาะตัวของ NLP ก็ว่าได้ เทคนิคการหักล้างความคิดลบแบบรวดเร็วทันทีทันใจนั้น NLP เรียกว่า Meta Model ครับ

Meta model เป็นเทคนิคที่ริชาร์ด และจอห์น 2 ผู้เริ่มต้นพัฒนาศาสตร์ NLP ได้ร่วมกันวิเคราะและถอดแบบรูปแบบการใช้ถ้อยคำในการบำบัดจากนักจิตบำบัดระดับปรมาจารย์ เช่น ดร.โรเบิรต์ สปิตเซอร์ (Robert Spitzer) และ เวอจีเนีย แซไทร์ (Virgina Satir)

Meta model จะทำให้สามารถหลุดพ้นจากอารมณ์ลบได้ในทันที (จากนั้นจึงยกระดับอารมณ์ขึ้นเป็นบวกต่อไป) โดยจะใช้คำถามเป็นตัวหักล้างอารมณ์ลบนั้น เช่น เมื่อมีคนมาบอกเราว่า "ฉันไม่สามารถทำได้หรอก" ถ้าหากเราใช้วิธีการ "พูดปลอบใจ" เราก็จะบอกเขาว่า "คุณต้องทำได้อยู่แล้ว ผมเชื่อมั่นในตัวคุณนะ" ซึ่งพูดกันตรงๆเลยมันไม่สามารถหักล้างความอารมณ์ลบของเขาได้ในทันทีหรอกครับ ดีไม่ดีอาจจะเป็นการไปเพิ่มความกดดันของเขาให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วยซ้ำไป

แต่ถ้าหากเราใช้เทคนิค Meta Model เป็นตัวหักล้าง เราก็จะได้รูปประโยคการสนทนาประมาณนี้ครับ

บางคน : "ฉันไม่สามารถทำได้หรอก"
NLP : "แล้วคุณเคยทำสิ่งนั้นหรือยัง"
บางคน : "ยังครับ"
NLP : "แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าทำไม่ได้"
บางคน : ".............."

เราอาจจะเรียกเทคนิคนี้ว่าเป็นการ "ขัดคอเพื่อให้ได้คิด" ก็ได้ครับ เพราะความคิดหรืออารมณ์ลบโดนหักล้างออกไปจากระบบประสาทโดยทันทีโดยอาสัยคำถามเข้าไปเป็นตัวสะกัดความคิดแคบๆที่คลุมเครือ ผู้ถูกถามจะรู้สึกอย่างกัยว่าถูกยักษ์ตัวใหญ่กระชากออกไปจากบ่อโคลนเล็กๆที่เขาติดหล่มอยู่เสียนานทีเดียว และเมื่อสามารถพ้นออกจากวงวันแคบๆของอารมณ์ลบได้แล้ว ทีนี้เขาก็พร้อมแล้วที่จะได้รับการกระตุ้นสร้างอารมณ์ที่บวก หรือสร้างความมั่นใจด้วยเทคนิคต่างๆต่อไป ...หรืออีกตัวอย่างหนึ่งเช่น

บางคน : "ฉันน่ะเป็นคนมีชื่อเสียง ทุกคนชอบฉันหมดล่ะ" (คนนี้ต่างจากคนแรก เพราะคนนี้หลงตัวเองจนไม่ค่อยจะยอมรับฟังใครครับ)
NLP : "ทุกคนเลยๆจริงเหรอ"
บางคน : "จริงสิ"
NLP : "ไครบ้างล่ะ"
บางคน : "ทุกคนในบริษัทน่ะ"
NLP : "ก็แค่ทุกคนนบริษัทเองนี่"
บางคน : "....................."

สำหรับการนำเอา Meta Model มาใช้นั้น เราสามารถที่จะถามอะไรก็ได้ขึ้นอยู่กับสถนการณ์และความเหมาะสมของแต่ละบุคคล แต่จะมีหลักง่ายๆอยู่สองสามอย่างที่จะใช้เป็นแนวทางในการตั้งคำถามครับ คือ
1. รู้ได้อย่างไร ...เช่น
บางคน : "ฉันว่าเขาต้องไม่ชอบฉันแน่เลย"
NLP : "คุณรู้ได้อย่างไร เขาเคยบอกคุณเหรอ"
บางคน : "....................."
2. เคยแล้วเหรอ ...เช่น
บางคน : "ไม่เอาหรอกฉันตื่นไม่ไหว"
NLP : "เคยตื่นแล้วเหรอ รู้ได้อย่างไรว่าจะไม่ไหว"
บางคน : "....................."
3. เทียบกับอะไร
บางคน : "ร้านผมลูกค้าน้อยจัง"
NLP : "จริงเหรอครับ เทียบกับอะไรครับ"
บางคน : "ร้านฝั่งตรงข้าม"
NLP : "เหรอครับ แล้วทำไมไม่ลองเทียบกับร้านตรงหัวมุมดูละครับ" (ร้านตรงหัวมุมลูกค้าน้อยกว่ามาก)
บางคน : "...........นั่นสินะครับ"

แน่นอนครับว่าตัวอย่างการสนทนาข้างต้นนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างในการจำลองการถามแบบ Meta Model เท่านั้น เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สามารถใช้การถามแบบตัวอย่างข้างต้นนี่ได้เป๊ะๆกับทุกสถาณะการณ์

ดังที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้วว่าครับในการถามแบบ Meta model นั้นเราสามารถที่จะถามอะไรก็ได้ขอเพียงแค่ยึดหลักง่ายๆสามประการในการตั้งคำถามหักล้าง ซึ่งก็คือ

1. รู้ได้อย่างไร
2. เคยทำแล้วเหรอ
3. เทียบกับอะไร

เท่านั้นเองครับแล้วคำถามที่เราถามออกไปจะกลายเป็น Meta Model สำหรับกระชากคนให้พ้นจากหล่มความรู้สึกลบๆทันที

และถึงแม้ว่าการถามแบบ Meta Model จะดูตรงไปตรงมาและขวานผ่าซากไปซักหน่อย แต่ก็ด้วยความที่มันตรงไปตรงมานี่เองครับ เลยทำให้มันสามารถหักล้างความคิดในแง่ลบของคนอื่นได้แบบทันทีทันใดและตรงจุด เพราะฉะนั้นเมื่อทุกท่านอ่านหัวข้อนี้จบลงแล้ว เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกท้อแท้กับชีวิตหรือเจอคนที่ติดอยู่กับวังวนของอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นลบ ก็ขอให้ลองใช้ Meta Model จัดการดูครับ แล้วท่านจะพบกับผลที่น่ามหัศจรรย์
poonsak tana. C.ht., NLP.
//www.thaihypnosis.com




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2554 14:02:39 น.
Counter : 679 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  
 
 

dear143
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




สาวตัวน้อย ๆ นักบำบัดด้วยการสั่งจิตใต้สำนึกเพื่อรักษาอาการป่วยโรคกาย โรคใจ ปวดหัวเรื้อรัง ไมเกรน เครียด หมกมุ่น ฟุ้งซ่าน อาการกลัว (phobia) ลดความอ้วน แก้ไขพฤติกรรม อกหักรักคุด ลืมแฟนไม่ได้ รักใครไม่เป็น การแ้ก้ไขที่จิตใต้สำนึกช่วยคุณได้ สอบถามไ้ด้ค่ะ hypno_therapist@hotmail.com
[Add dear143's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com