เรื่องน่า(ควร)รู้เกี่ยวกับยาสีฟัน

ยาสีฟัน คือ สารที่ช่วยในการทำความสะอาดฟัน ใช้ร่วมกับการแปรงฟัน หากแปรงฟันโดยไม่ใช้ยาสีฟัน อาจทำให้ขาดความรู้สึกสดชื่นหลังการแปรงฟัน
วัตถุประสงค์ของการใช้ยาสีฟัน คือ ช่วยให้การทำความสะอาดฟันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยช่วยในการกำจัดคราบจุลินทรีย์ เศษอาหาร และคราบสะสมต่าง ๆ บนตัวฟัน รวมทั้งบนลิ้นและเหงือกด้วย นอกจากนั้นยังสามารถป้องกันฟันผุ เหงือกอักเสบ ลดอาการเสียวฟัน หรือขัดคราบบุหรี่ ช่วยให้ฟันขาวได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับส่วนประกอบพิเศษที่เพิ่มเติมเข้าไปในในยาสีฟัน

องค์ประกอบหลักของยาสีฟัน ได้แก่
1. ผงขัด (abrasives) เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่ช่วยในการขัดผิวฟัน โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวฟัน แต่ทำให้เกิดพื้นผิวที่เรียบ ซึ่งจะช่วยทำให้การเกิดคราบสะสมบนตัวฟันช้าลง ปัจจัยที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับผงขัด ได้แก่ ความแข็งของผงขัด ขนาดของอนุภาค และรูปร่างของอนุภาค

2. สารที่ทำให้เกิดฟอง (detergents) เป็นสารที่ช่วยแรงตึงผิว สามารถแทรกซึมและทำให้สิ่งที่เกาะบนผิวฟันหลุดลอกออก ง่ายต่อการกำจัดด้วยแปรงสีฟัน ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย ทำปฏิกิริยาได้แม้ในสภาพที่เป็นกรดหรือด่าง และมีความคงตัว

3. สารที่ทำให้เกิดการรวมตัว (binder หรือ thickeners) เป็นสารที่ป้องกันการแยกตัวขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่เป็นของแข็งออกจากของเหลว ในช่วงที่เก็บรักษา ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย มีความคงตัวและเข้ากันกับองค์ประกอบอื่น ๆ ในยาสีฟันได้

4. สารรักษาความชื้น (humectant) เป็นสารที่ช่วยรักษาความอ่อนนุ่มของยาสีฟัน ป้องกันการแข็งตัวขณะที่สัมผัสอากาศ ช่วยในการคงตัวของยาสีฟัน ไม่มีพิษต่อร่างกาย

5. สารกันบูด (preservation) เป็นสารที่ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์

6. สารแต่งสี (coloring agents) เป็นสีที่เติมเข้าไปในยาสีฟัน ทำให้มีความน่าใช้ แต่ต้องไม่ก่อให้เกิดการติดสีบนตัวฟันและเนื้อเยื่อในช่องปาก และไม่ทำให้วัสดุบูรณะเปลี่ยนสีไป สารที่ใช้ ได้แก่ สีที่ได้จากพืช

7. สารแต่งกลิ่น (flavoring agents) เป็นสารที่ทำให้ยาสีฟันมีกลิ่นหอม เพิ่มความน่าใช้ และกลบกลิ่นของสารอื่นที่ไม่พึงประสงค์ในยาสีฟัน ไม่ควรมีกลิ่นเปลี่ยนไปในระหว่างขั้นตอนการผลิตและในขณะเก็บ รวมทั้งควรเข้ากันกับองค์ประกอบอื่น ๆ ของยาสีฟันได้

8. สารให้ความหวาน (sweeteners) เป็นสารที่ให้ยาสีฟันมีรสหวาน เพื่อให้ผู้ใช้พึงพอใจ ยาสีฟันส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นยาสีฟันสำหรับเด็กหรือผู้ใหญ่ จะถูกปรุงแต่งให้มีรสหวานแต่ไม่ก่อให้เกิดฟันผุ เนื่องจากสารที่ให้ความหวานที่ผสมลงไป มักเป็นสารสังเคราะห์ หรือสารที่ได้จากธรรมชาติที่ไม่ทำให้เกิดฟันผุ เช่น ซอร์บิทอล (sorbitol) กลีเซอรอล (glycerol) และไซลิทอล (xylitol) เป็นต้น


ปัจจุบันนี้แบ่งยาสีฟันออกเป็นหลายประเภท ตามวัตถุประสงค์ของการใช้ ได้แก่
1. ยาสีฟันสำหรับป้องกันฟันผุ ยาสีฟันประเภทนี้มีส่วนผสมที่สำคัญ คือ ฟลูออไรด์ ความเข้มข้นของฟลูออไรด์ที่สามารถยับยั้งฟันผุได้ดี คือ 1000 ส่วนในล้านส่วน (1000 ppm)

2. ยาสีฟันที่ลดการสะสมคราบจุลินทรีย์และลดการอักเสบของเหงือก ยาสีฟันชนิดนี้มักมีสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งจุลชีพผสมอยู่ ได้แก่ สารสกัดจากพืชสมุนไพรหรือน้ำมันระเหยได้จากพืช (essential oil) และ ไตรโคลซาน (triclosan) เป็นต้น

3. ยาสีฟันที่ใช้ลดอาการเสียวฟัน ส่วนผสมที่สำคัญในยาสีฟันประเภทนี้ ได้แก่ โปแทสเซียม (potassium) สตรอนเทียม (strontium) และ ฟลูออไรด์ เป็นต้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการเสียวฟัน เนื่องจากผู้ที่มีอาการเสียวฟันมักจะละเว้นการแปรงฟันในบริเวณที่เสียวฟัน อันจะนำไปสู่การสะสมคราบจุลินทรีย์ และก่อให้เกิดโรคต่อไป

4. ยาสีฟันที่ช่วยยับยั้งการเกิดหินน้ำลายหรือหินปูน เป็นยาสีฟันที่มีสารที่ช่วยลดการสร้างผลึกแคลเซียมฟอสเฟตในคราบจุลินทรีย์ เช่น เกลือไพโรฟอสเฟต (pyrophosphate salt) เกลือของซิงค์ (zinc salt) เช่น ซิงค์คลอไรด์ (zinc chloride) หรือ ซิงค์ไนเตรท(zinc citrate) เป็นต้น

5. ยาสีฟันที่ช่วยให้ฟันขาว เป็นยาสีฟันที่ผสมสารที่ฟอกสีหรือขจัดคราบสีบนตัวฟันได้ เช่น โซเดียมไบคาร์บอเนต (sodium bicarbonate) และ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (hydrogenperoxide) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสารพวกซิลิกา (silica) และเซอร์โคเนียม (zirconium) ซึ่งเป็นผงขัดที่หยาบช่วยขัดฟันได้ รวมทั้งสารพวกโพลีไวนิลไพโรลิโดน (polyvinyl pyrrolidone) หรือ พีวีพี คอมเพล็กซ์ (PVP complex) ที่ทำให้คราบต่าง ๆ เช่น คราบบุหรี่ ที่ติดบนตัวฟันละลายน้ำได้ดีขึ้น ทำให้ถูกกำจัดออกได้ง่าย

6. ยาสีฟันสมุนไพร เป็นยาสีฟันที่มีองค์ประกอบเป็นสารสกัดจากพืชธรรมชาติ มักออกฤทธิ์ในการยับยั้งแบคทีเรียในช่องปากได้ จึงลดอาการเหงือกอักเสบลงได้


ยาสีฟันที่มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด มีหลายรูปแบบ ได้แก่
1. ยาสีฟันชนิดผง ยาสีฟันแบบนี้มีขนาดของผงขัดที่ค่อนข้างหยาบ หากใช้ร่วมกับการแปรงฟันที่ผิดวิธี เช่น การแปรงแบบถูไปมาในแนวนอน อาจทำให้คอฟันสึกได้

2. ยาสีฟันชนิดครีม เป็นรูปแบบที่นิยมใช้กันมากที่สุด มีขนาดของผงขัดที่พอดี สามารถขจัดคราบจุลินทรีย์บนผิวฟันได้โดยไม่ก่อให้เกิดการสึกของเคลือบฟัน

3. ยาสีฟันชนิดเจล ยาสีฟันแบบนี้มีขนาดของผงขัดที่ละเอียดกว่าแบบครีม เหมาะกับผู้ที่มีภาวะเสียวฟัน


เรื่องน่ารู้จากโฆษณา

• ยาสีฟันช่วยลดอาการเสียวฟันได้ภายใน 7 วันจริงหรือ

คำตอบก็คือ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ยาสีฟันที่มีโปแทสเซียมเป็นส่วนผสมจะลดอาการเสียวได้ใน 7 วัน ก่อนอื่นควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกที่ทำให้รู้สึกเสียวฟัน ว่าเกิดจากการที่ท่อของเนื้อฟันหรือรากฟันเปิดออกสู่สิ่งแวดล้อม (เช่น ภาวะที่มีเหงือกร่น รากฟันโผล่) เมื่อมีสิ่งเร้า เช่น ความร้อน ความเย็น หรือ การสัมผัส มากระตุ้น จะทำให้เกิดการเคลื่อนของของเหลวที่อยู่ในท่อเนื้อฟัน ซึ่งจะไปกระตุ้นประสาทรับสัมผัสในตัวฟันอีกที และเกิดการส่งกระแสประสาทไปยังสมองทำให้รู้สึกเสียวฟัน การใช้ยาสีฟันชนิดนี้สามารถลดอาการเสียวฟันลงได้ โดยโปแทสเซียมซึ่งเป็นสารที่มีประจุเป็นบวกจะทำให้การส่งกระแสประสาทลดลง ทำให้อาการเสียวลดลงตั้งแต่เริ่มใช้แต่ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกได้อย่างชัดเจนภายในเวลาประมาณ 7 วัน และอาการเสียวจะลดลงเกือบทั้งหมดหลังจากใช้เป็นประจำต่อเนื่องถึงสัปดาห์ที่ 4

• มียาสีฟันที่ช่วยระงับกลิ่นปากได้ตลอดคืนจริงหรือ ทำได้อย่างไร

เมื่อคนเราตื่นนอนขึ้นมาในตอนเช้า มักรู้สึกว่ามีกลิ่นปาก ทั้ง ๆ ที่ก่อนนอนได้แปรงฟัน ทำความสะอาดฟันเป็นอย่างดีแล้ว สาเหตุที่มีกลิ่นปากนั้นเนื่องจากในช่องปากของมนุษย์มีแบคทีเรียเจริญอยู่ได้เป็นปกติ เรียกได้ว่าเป็นเชื้อประจำถิ่นในช่องปากนั่นเอง พบได้บนผิวฟัน รากฟัน ในร่องเหงือก บนวัสดุบูรณะฟัน ฟันปลอม เนื้อเยื่อในช่องปาก และลิ้น ดังนั้นแม้ว่าก่อนนอนได้แปรงฟันไปแล้ว แต่แบคทีเรียจะยังคงมีอยู่ในช่องปาก อาจอยู่ในคราบจุลินทรีย์ที่ตกค้างตามซอกฟันที่ทำความสะอาดไม่หมด หรือบนเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในช่องปาก รวมทั้งน้ำลาย ในขณะที่เรานอนหลับนั้น แบคทีเรียมิได้นอนหลับไปด้วย แต่จะเจริญเติบโตต่อไปและทำให้มีกลิ่นปาก โดยเฉพาะแบคทีเรียที่สามารถก่อให้เกิดก๊าซที่มีองค์ประกอบเป็นซัลเฟอร์ (กำมะถัน)ที่ระเหยได้ (volatile sulfur compounds) ดังนั้นยาสีฟันที่มีสารที่สามารถยับยั้งแบคทีเรียกลุ่มดังกล่าวได้จะสามารถลดกลิ่นที่เกิดขึ้นหลังตื่นนอนได้ แต่การใช้ยาสีฟันชนิดนี้เป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุเท่านั้น หากผู้ป่วยมีสภาวะในช่องปากที่เอื้ออำนวยต่อการเกิดกลิ่นปาก เช่น มีคราบจุลินทรีย์และหินน้ำลายมาก มีวัสดุบูรณะที่ไม่ดี หรือมีแหล่งสะสมแบคทีเรียในช่องปากที่ไม่ได้รับการแก้ไข เป็นต้น ก็จะไม่สามารถกำจัดกลิ่นปากได้อย่างถาวร

• ยาสีฟันป้องกันเกิดหินน้ำลายหรือหินปูนได้อย่างไร

สารที่ช่วยยับยั้งการเกิดหินน้ำลายที่ถูกผสมในยาสีฟัน เป็นสารที่ลดการเจริญของผลึกแคลเซียมฟอสเฟตในคราบจุลินทรีย์ที่อยู่เหนือเหงือก โดยไพโรฟอสเฟตที่มีประจุลบจะไปดึงดูดกับประจุบวกของแคลเซียม ทำให้รบกวนการสร้างหินน้ำลาย เพราะไม่เกิดการสร้างแคลเซียมฟอสเฟต (calcium phosphate) ขึ้น นอกจากนั้นยังมีซิงค์ (ธาตุสังกะสี) ที่มีประจุเป็นบวก ที่สามารถจับกับประจุลบของฟอสเฟตได้ ทำให้ลดการสร้างแคลเซียมฟอสเฟตที่เป็นองค์ประกอบของหินน้ำลายได้ ยาสีฟันประเภทนี้จึงลดการเกิดหินน้ำลายได้

• ยาสีฟันบางชนิดเสริมสร้างความแข็งแรงให้ฟันได้จริงหรือ

ความแข็งแรงของฟันนั้น เริ่มตั้งแต่คนเราเริ่มมีการสร้างหน่อฟันในวัยเด็ก มีการสะสมแคลเซียมในเนื้อฟันและเคลือบรากฟันจากภายใน มิใช่มีการเสริมสร้างเพิ่มเติมมาในภายหลัง ดังนั้นการใช้ยาสีฟันที่ทำให้มีการตกผลึกเป็นฟลูออโร-อะพาไทท์จึงไม่ได้ทำให้ฟันแข็งแรงจากเนื้อในของฟัน





credit : เวปทันตแพทย์สภา
//www.dentalcouncil.or.th/member/index.php




 

Create Date : 19 กันยายน 2553    
Last Update : 19 กันยายน 2553 20:47:42 น.
Counter : 1028 Pageviews.  

Beauty Tips 2 : Hair Tip

แก้ผมแตกปลายด้วยน้ำตะไคร้


ผมแตกปลายไม่ต้องตัดทิ้ง มีสูตรยาโบราณที่ทำให้ผมเงางามและไม่แตกปลายซึ่งทำจากน้ำตะไคร้


1) โดยตัดตะไคร้มาสัก 3-4 ต้น ถ้าเป็นตะไคร้สดจากต้นเลยจะดีมาก
2) ล้างให้สะอาดตัดเป็นท่อนเล็ก ๆ
3) ตำให้ละเอียด หรือถ้าเอาไปบดกับเครื่องบดอาหารด้วยก็จะดีมาก
4) ใส้น้ำสะอาดลงไปไม่ต้องมากนักและกรองเอาน้ำตะไคร้ออกมา
5) หลังจากสระผมตามปกติแล้วให้เอาน้ำตะไคร้ที่ได้มานวดทิ้งไว้สัก 10 นาทีแล้ว นวดทั่วศรีษะได้จึงล้างออก


นวดด้วยครีมนวดน้ำตะไคร้นี้สัก 2 เดือนก็จะเห็นผล Smiley






Free TextEditor




 

Create Date : 11 เมษายน 2553    
Last Update : 11 เมษายน 2553 10:21:53 น.
Counter : 522 Pageviews.  

วิธีบรรเทาอาการปวดท้องช่วงมีประจำเดือน แบบส่วนตั๊ว ส่วนตัว

เกริ่นไว้ก่อนว่า วิธีเหล่านี้เป็นวิธีที่เราใช้เพราะมันได้ผลสำหรับเรา แต่ร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน การดำเนินชีวิตไม่เหมือนกัน เพราะฉนั้นกรุณาพิจารณาถ้าจะนำไปประยุกค์ใช้กับตัวเอง ขอให้หายดีแข็งแรงทุกคนค่ะ

เราเคยปวดประจำเดือนเป็นประจำ ทุกครั้งทุกเดือนที่มันมา ปวดจนยืนก็ไม่ได้ นั่งหรือนอนก็ไม่ได้ เคยปวดขนาดไปนอนโรงพยาบาลมาแล้ว  ปวดมาก ๆ ต้องหยุดเรียนทุกครั้ง เคยโชคร้ายไปปวดที่โรงเรียน พี่สาวต้องพานั่งแท็กซื่กลับบ้าน ระหว่างรอแท็กซี่ยังยืนไม่ไหวเลย  เคยปวดที่บ้านอย่างรุนแรง คุณพ่อเลยพาขึ้นรถไปส่งโรงพยาบาล ปรากฏอ็วกในรถเลย พออ็วกเสร็จดีขึ้นนั่งรถกลับบ้าน T T  ปวดตั้งแต่สมัยเด็กจนถึงทำงานก็ยังปวดอยู่
ส่วนตัวเราเป็นคนสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว เคยไปตรวจแล้วไม่มีซีส หรือผิดปรกติตรงไหน เรียกว่าหาสาเหตุของการปวดไม่ได้  อ้อ เราปกติโลหิตจาง หน้ามืดง่าย และความดันต่ำค่ะ


วิธีที่เราใช้แล้วดีขึ้นก็คือ

1) ต้องไม่หิว สำคัญมาก ถึงไม่หิวก็ต้องกิน โดยเฉพาะข้าวเช้า Smiley
กินให้เป็นเวลา หรือแบ่งเป็นมื้อย่อย ๆ ก็ได้
ต้องทานข้าวเช้า ย้ำว่าต้องทาน ปกติสมัยก่อนเราไม่กินข้าวเช้า กินแค่ขนมปังกันนมก็พอ  แต่ถ้ามีเมนส์ไม่พอค่ะ ต้องกินข้าว โจ๊ก ข้าวต้ม งดเว้นนม
อาหารที่กินควรเป็นอาหารที่ให้พลังงานความร้อน สำหรับเราเองรู้สึกเลยว่ากินข้าว มันจะช่วยได้ดีมากกว่า กินก๋วยเตี๊ยว หรือขนมปัง
พยายามกินอาหารที่ย่อยไม่ยาก อย่าทานเผ็ดเกินไป หรืออาหารที่ทำให้ปั่นป่วนได้
พยายามอย่าให้ท้องว่าง พกขนมหรือท็อฟฟี่ติดกระเป๋า ถ้าหิวก็จะได้ทานทันที มันช่วยได้จริง ๆ
ที่เน้นว่าต้องเป็นอาหารให้พลังงานความร้อนก็เพราะว่า ถ้าร่างกายมีความร้อนและพลังงานสามารถใช้ในการขับเมนส์ออกมา โดยไม่ต้องใช้แรงบีบมาก มันจะปวดน้อยหรือไม่ปวด  ถ้าร่างกายไม่มีแรงไม่มีพลัง มันจะต้องใช้แรงบีบเยอะ ปวดมาก ๆ
เรื่องอาหารขอย้ำว่าสำคัญมากช่วงนี้ ห้ามเค็มจัด หวาดจัด เผ็ดจัด  หรือพวกมัน ๆ พวกนี้เก็บไว้ฉลองทีหลังดีกว่า  อย่ากินอาหารที่ทำให้ท้องอืด เช่นพวกนม หรืออื่น ๆ  ถ้าท้องอืด ขมิ้นชันช่วยได้จ๊ะ

2) กินอาหารอุ่น ๆ หรือร้อน ๆ เท่านั้น ห้ามทานของเย็น เช่นน้ำเย็น น้ำแข็งโดยเด็ดขาด ด อันนี้เริ่มตั้งแต่รู้สึกเลยว่าใกล้จะมาแล้ว  ช่วงนี้จะดื่มน้ำอุ่นถึงร้อนตลอด ใครชอบชาก็คงชอบ เราทานชาจีนไม่เป็น เลยไปหาซื้อชาแบบซอง ๆ ที่มีกลิ่นหอมต่าง ๆ เลือกชนิดที่ไม่มีคาเฟอีนน่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นจะนอนไม่หลับ ชาพวกชาดอกไม้ก็ได้ค่ะ ทานมันทั้งวันให้ท้องมันอุ่น ๆ Smiley

3) ห้ามท้องผูกโดยเด็ดขาด ถ้าถ่ายลำบากอย่าเบ่งแรงโดยเด็ดขาด   เพราฉนั้นพยายามให้มันลื่นไหลค่ะ ลื่นไหลมาเองโดยไม่ต้องเบ่ง ^^'  ดังนั้นต้องทานอาหารที่มีไฟเบอร์ เช่นพวกข้าวกล้อง (ดีมาก ๆ) แกงขึ้เหล็ก กล้วย Smiley มะละกอ สัปปะรส หรือถ้าจำเป็นจะใช้ตัวช่วยพวก เม็ดแมงลัก หรือเมตามูซิลก็ไม่ว่ากัน  สำหรับเราช่วงนี้จะเสริมวิตามินซีค่ะ เพราะร่างกายจะดึงไปใช้ช่วงนี้ทำให้ท้องไม่ผูกด้วย

4) พยายามให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอช่วงนี้ อย่าอยู่ห้องแอร์ที่เย็นมาก ๆ และไม่อาบน้ำเย็น

5) อย่ายืนหรือเดินนาน ๆ โดยเด็ดขาด จริง ๆ

6) อย่าออกกำลังกายหักโหม ช่วงนี้ควรออกกำลังกายเบา ๆ ค่ะ และก็อย่านั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวันน่ะค่ะ เดินไปเดินมา โยกย้ายสะโพก หรือเต้นแซบบ้า ฮุลา ฮูล่า ก็ได้

7) เอากระเป๋าน้ำอุ่นวางหน้าท้อง

8) อย่าสวมเสื้อผ้าที่มันอึดอัดรัดแน่น สวมแบบหลวม ๆ สบาย ๆ

9) ช่วงนี้เราจะ sensitive กับพวกกลิ่นต่าง ๆ มาก เพราะฉนั้นพยายามพกยาดมกลิ่นที่คุ้นเคยไว้  เคยขึ้นรถบีทีเอส แล้วพอดีมีคนซื้อขนมปังสุดฮิตที่ขายด้วยกลิ่น โรตีบอย ขึ้นมาบนรถ กลิ่นมันแรงมากจนกระทั่งคลื้นไส้จะอ็วกรดคนซื้อ ต้องรีบลงจากรถไปหาอากาศข้างนอกทันทีเลย

10) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ช่วงนี้บางคนคงมีปัญหานอนไม่หลับ ให้ดื่มชาคาโมมายร้อน ๆ ก่อนนอน มันช่วยได้

11) สำลีชุบแอลกอฮอล์อุดหู อันนี้ตอนเด็กปวดท้องทรมาน คุณพ่อก็พยายามหาทุกวิถีทางที่จะช่วยให้เราหายปวด ทั้งยาจีน ปรึกษาคนโน้นคนนี้ จนมีคนแนะนำวิธีนี้มา บอกว่าเป็นแพทย์ทางยุโรปแนะนำมา ตอนนั้นเราก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ลองทำเพราะวิธีไหนก็ได้ที่จะทำให้หายปวด ลองดูก็รู้สึกเองว่าบรรเท่าขึ้น แต่ก็ไม่ใช่หายปวด 100% เลยไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า ถ้าลองมาทุกทางแล้วไม่หายจะลองวิธีนี้ดูก็ได้เพราะมันไม่เสียหายอะไรอยู่แล้ว

12)  กินอาหารที่ให้พลังงานความร้อนแก่ร่างกาย ช่วงนี้เราจะเสริม โดยดื่มพวกโสม พวกซุปไก่ พวกซุปที่ใส่สมุนไพร ไม่ได้ทานทุกวันในช่วงนั้นเพราะมันจะเปลือง ^^ จะเลือกทานเฉพาะวันแรก ๆ วันสองวันแรกที่เป็นช่วงที่มีปัญหาเท่านั้น 
ปกติเราติดมาก ๆ จะต้องดื่มโกโก้เย็น ช่วงนี้ทานไม่ได้ เลยทานเป็นโกโก้ร้อน แล้วใส่เหล้าหรือแอลกอฮอล์ลงไปนิดหนึ่ง ประมาณหนึ่งถึงสองช้อนชาต่อแก้ว (ก็กินเหล้าไม่เป็นหนิ)  ส่วนตัวเราใช้เหล้ารัม อันนี้จะรู้สึกเลยว่าช่วยให้เมนส์มาดีมาก ปล.ไม่ควรกินก่อนออกไปเริงร่านอกบ้านเพราะอาจทำให้ขายหน้าได้ มันจะมาแบบ...เหอ เหอ..   
ปล.อันนี้บางสูตรจะบอกให้งดเครื่องดืมแอลกอฮอล์ ก็บอกไว้ว่าคงต้องสังเกตตัวเอง เพราะสำหรับเราปกติไม่ทาน แต่ช่วงนี้จำเป็นต้องใส่นิดหน่อย

13) คนทีปวดประจำเดือนบ่อย ๆ ไม่ควรกินยาหยุดประจำเดือนเวลาไปเที่ยว เราเคยครั้งนึง ด้วยความอยากไปดำน้ำกับที่บ้านมาก ๆ กินยาเข้าไป ได้ผล เดือนนั้นโดนหิ้วปีกลงจากบีทีเอสเลยค่ะ ปวดมากกว่าเดิมมากกกกกกก

14) โยคะมีท่าบางท่าที่ช่วยบรรเทา พวกนวด นวดท้อง พวกกดจุด ก็ช่วยได้ ออกกำลังกายให้แข็งแรงนี่ควรทำเป็นประจำก็จะดีมาก

15) ส่วนตัวเราไม่ทานยาค่ะ เพราะมันไม่ได้ผลกับเราเลย ทุก ๆ ครั้งที่ทานมันทำให้เราปวดมากขึ้น

16) เรื่องอื่น ๆ ก็เช่น พยายามอย่าเครียด พักผ่อนให้เต็มที่ หาอะไรที่สบาย ๆ ทำ ทำสมาธิ Smiley

17)  EPO หรืออีฟนิ่งพริมโรส ช่วยได้ แต่ต้องทานต่อเนื่องประจำ เราเคยทาน มันช่วยได้จริง ๆ แต่ตอนหลังไม่ได้ทานแล้ว ใช้วิธีข้างบนแล้วดูแลเรื่องสุขภาพก็ช่วยได้จ๊ะ



สุดท้ายขอย้ำอีกที ว่าเป็นวิธีส่วนตัวของเรา ที่เราใช้แล้วได้ผลดี เราทำมันทุกข้อเลย ไม่ใช่ว่าทำแค่ข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น   เราเคยปวดท้องรู้ว่ามันทรมานมาก ๆ ทั้งท้องอืด อึดอัด ตัวบวม อาการไม่สบายตัว หงุดหงิด ก็เลยอยากมาแชร์ตรงนี้ ถ้าใครมีความเห็นยังไง หรือเพิ่มเติมก็แนะนำได้ค่ะ ช่วย ๆ กัน ขอให้สาว ๆ ทุกคนหายจากอาการอันน่าอึดอัดทรมานนี้ทุก ๆ คนค่ะSmiley






Free TextEditor




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2552 19:49:42 น.
Counter : 39105 Pageviews.  

สาหร่ายคุณค่าควรรู้

สาหร่ายคุณค่าควรรู้

สาหร่ายถูกนำมาเป็นอาหาร หรือนำมาประกอบอาหารเพื่อเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีทดแทนเนื้อสัตว์ ในยามที่คนเราพยายามหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ การที่สาหร่ายเป็นที่นิยมก็เพราะสาหร่ายเป็นพืชที่มีคลอโรฟิลด์ จึงสามารถสังเคราะห์แสงได้ สร้างอาหารได้ด้วยตัวเอง สภาพที่อยู่ของสาหร่ายมีทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม น้ำพุร้อน หิมะ หรือขึ้นตามต้นไม้ สาหร่ายที่นำมาเป็นอาหาร ได้แก่ สาหร่ายทะเล และสาหร่ายน้ำจืด...

ทำความรู้จักกับสาหร่ายทะเล
ขอพูดถึงสาหร่ายทะเลก่อน โดยทั่วไปมักนิยมนำมาทำอาหารหรือประกอบอาหาร ชาติที่นิยมนำสาหร่ายทะเลมาทำอาหารก็คงเป็นชาวญี่ปุ่นและชาวจีน เราจะสังเกตุได้จากอาหารญี่ปุ่นหลายเมนู มักมีสาหร่ายเป็นส่วนประกอบด้วย อาหารจีนก็เช่นเดียวกัน เรามักจะนิยมแกงจืดที่นำแผ่นสาหร่ายทะเลที่คุณแม่บ้านรู้จักกันดีว่า "จีฉ่าย" (เรียกตามภาษาแต้จิ๋วที่พ่อค้า แม่ค้าชาวจีนแถวเยาวราชเรียกกัน) มาแช่ในน้ำจนพองตัวแล้วนิ่มเละ ๆ ใส่กับเต้าหู้หมูสับ เป็นรายการอาหารที่นิยมทั้งชาวจีน ชาวไทย นอกจากเป็นส่วนประกอบในอาหารแล้ว เราจะเห็นสาหร่ายทะเลอีกรูปแบบหนึ่งที่ตัดเป็นแผ่นบาง ๆ สี่เหลี่ยมจัตุรัสบ้าง ผืนผ้าบ้าง บรรจุซองพลาสติก ซองละ 4-5 แผ่น ขายตาม Supermarket หรือร้านขายขนมเด็ก เด็ก ๆ จะชอบซื้อรับประทานเป็นขนมรสชาติอร่อย ถูกปาก เพราะมีการปรุงแต่งรสชาติด้วย ซอสถั่วเหลือง น้ำตาล พริกไทย พรือเครื่องปรุงรสต่าง ๆ แล้วแต่ผลิตภัณฑ์ที่นำมาจำหน่าย ถ้าเราพูดให้ละเอียดลงไปสาหร่ายเหล่านี้จะเป็นสายพันธุ์ Porphyra หรือชาวญี่ปุ่นจะเรียกว่า nori
ดังนั้นสังเกตที่ซองบรรจุ ซึ่งบางทีเป็นภาษาจีนบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง เราอ่านไม่ออก บางทีจะมีเป็นคำภาษาอังกฤษ เขียนบอกว่า nori ก็เป็นอันทราบได้ว่าเป็นสาหร่ายสีแดงที่รับประทานได้ ส่วนใหญ่สาหร่ายชนิดนี้จะพบมากหรือคนไทยนิยมบริโภคมาก แต่ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามากกว่าที่บ้านเราจะผลิตได้เอง ซึ่งมักเป็นผลิตภัณฑ์จากญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง แต่สายพันธุ์จะต่างจากที่ญี่ปุ่นนิยม อันนั้นเป็นสายพันธุ์ Laminaria ซึ่งเป็นสาหร่ายสีน้ำตาล

คุณค่าทางโภชนาการ
สถาบันวิจัยโภชนาการ ได้ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของสาหร่ายทะเล ทั้งชนิดแผ่นกลมไม่ปรุงรส (จีฉ่าย) ที่นิยมนำมาประกอบอาหาร และสาหร่ายทะเลปรุงรสชนิดบรรจุซอง โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ จากการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ เราพบว่าคุณค่าทางด้านโปรตีน อยู่ระหว่าง 10 - 40 กรัม ต่อสาหร่าย 100 กรัม ( 1 ขีด) ซึ่งถ้าเทียบกับอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี เช่น เนื้อสัตว์ที่นำมาทำแห้ง เช่น เนื้อวัวอบแห้ง หมูแผ่น กุ้งแห้ง ซึ่งจะมีโปรตีน ประมาณ 50, 11, 60 กรัม ต่อ 100 กรัม ตามลำดับ ก็จัดได้ว่าสาหร่ายทะเลแห้งชนิดแผ่นสามารถเป็นแหล่งที่ดีของโปรตีนได้ โดยเฉพาะเราพบว่าจีฉ่ายที่นิยมนำมาประกอบอาหารมีปริมาณโปรตีนสูงที่สุด เมื่อเทียบกับสาหร่ายทะเลชนิดปรุงรส นอกจากนี้คุณค่าทางด้านใยอาหาร (Dietaryfiber) ก็พบว่ามีอยู่สูงตั้งแต่ 27 - 41 กรัมต่อสาหร่าย 100 กรัม และถ้าเราบริโภคจีฉ่ายแผ่นกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 22 ซม. 1/4 แผ่นต่อวัน จะได้รับใยอาหารคิดเป็นร้อยละ 10 ของความต้องการใยอาหารต่อวัน แต่ถ้าเด็ก ๆ จะบริโภคแบบแผ่น ปรุงรส ( ขนาด 8.5 * 3.0 ซม. ) ก็ต้องบริโภคกันเกือบ 30 แผ่น (ประมาณ 7 ซอง) ต่อวัน จึงจะได้ใยอาหารในปริมาณเท่ากัน

เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก
ดังนั้นควรรับประทานแบบไม่ปรุงรสที่นำมาประกอบอาหาร จะให้คุณค่ามากกว่า คาร์โบไฮเดรตในสาหร่ายทะเลนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นใยอาหาร ในส่วนของแป้งและน้ำตาลจัดว่าน้อยมาก และที่พบว่าต่ำมาก คือ ปริมาณของไขมันด้วยเช่นกัน
อาจเป็นผลดีต่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการกำจัดไขมันในอาหาร เช่น ผู้ที่ควบคุมน้ำหนักหรือผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง หรือเด็กอ้วนที่มักมีนิสัยชอบบริโภคขนมที่อุดมไปด้วยแป้งและไขมันต่าง ๆ ถ้ายังติดนิสัยชอบกินจุกจิกอยู่ ผู้ปกครองอาจสนับสุนให้บริโภคสาหร่ายแผ่นเป็นของว่างแทน เพราะนอกจากมีคาร์โบไฮเดรตในส่วนของแป้งและน้ำตาล รวมทั้งไขมันต่ำแล้วยังให้คุณค่าทางโปรตีนได้ด้วย พลังงานโดยรวมก็จะอยู่ระหว่าง 332 - 336 กิโลแคลอรี่ ต่อ 100 กรัม ถ้าจะให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ สาหร่ายปรุงรส 1 ซอง ซึ่งบรรจุสาหร่ายขนาด 8.5 ซม. * 30 ซม. 4 แผ่น ยังจะให้พลังงานไม่ถึง 5 กิโลแคลอรี่เสียอีก

แหล่งไอโอดีนที่สำคัญในพืช
สาหร่ายทะเลจัดเป็นพืชที่สามารถบริโภคเพื่อเป็นแหล่งของไอโอดีนได้ดี เพราะเป็นผลผลิตจากทะเล แต่ปริมาณไอโอดีนมักจะแตกต่างกัน ถ้ามาจากแหล่งผลิตที่ต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นสาหร่ายทะเลปรุงรสก็พบว่าปริมาณไอโอดีนค่อนข้างสูง จากการวิเคราะห์ ปริมาณไอโอดี เราพบว่า การบริโภคสาหร่ายทะเลชนิดไม่ปรุงรส เพียง ? ส่วนของจีฉ่าย 1 แผ่น ( ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 22 ซม. ) ใน 1 วัน โดยนำมาเป็นส่วนประกอบในอาหารก็ทำให้ได้รับไอโอดีนเพียงพอต่อความต้องการต่อวัน ในขณะที่ถ้าเป็นสาหร่ายปรุงรสบรรจุซองทึ่เด็ก ๆ นิยมการจะบริโภคเพื่อให้ได้ 100% ของความต้องการไอโอดีนต่อวัน จะต้องกินราว ๆ 50 แผ่นเล็ก ซี่งเป็นปริมาณที่ค่อนข้างมาก ถ้าจะให้แนะนำก็ต้องบริโภคเป็นของว่า ประกอบกับอาหารที่เป็นแหล่งไอโอดีนชนิดอื่น ๆ ด้วย หรือจะให้ดีบริโภคสาหร่ายแห้งชนิดไม่ปรุงรส (จีฉ่าย) ที่ต้องนำมาแช่น้ำก่อนแล้วประกอบกับอาหารบ่อย ๆ ก็ทำให้ได้รับไอโอดีนเพียงพอแล้ว ราคาก็ไม่แพง หาซื้อได้ง่าย

บริโภคสาหร่ายชนิดไม่ปรุงรสดีกว่า
จากการวิจัยเราพบว่าปริมาณที่คนส่วนใหญ่บริโภคต่อ 1 ครั้ง ถ้าเป็นสาหร่ายปรุงรสจะประมาณ 3 ซองเล็ก ( 12 แผ่น ) หรือถ้าเป็นแผ่นใหญ่ ขนาด 9.5 ซม. * 8.5 ซม. ประมาณ 1 ซอง ครึ่ง ( 6 แผ่น ) ถ้าเป็นจีฉ่ายนำมาแช่น้ำประกอบอาหาร 1 ครั้งต่อการบริโภคแกงจึด 1 ถ้วย สำหรับ 1 คน ก็ประมาณ ? แผ่นกลม ถ้าเทียบที่ปริมาณที่คนเราบริโภคต่อวันใน 1 ครั้งนี้แล้ว การบริโภคในปริมาณนี้ในรูปของจีฉ่ายนำมาประกอบอาหารจะได้โปรตีนและใยอาหารสูงกว่า ไอโอดีนก็สูงกว่า ในขณะที่ปริมาณโซเดียมและโมโนโซเดียมกลูตาเมตต่ำว่าในสาหร่ายปรุงรสชนิดบรรจุซอง ดังนั้นบริโภคสาหร่ายปรุงรสเพื่อเป็นของว่างเพื่อเสริมไอโอดีนในเด็กก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องคำนึงว่าเป็นการเสริมโปรตินและไอโอดีจากอาหารมื้อหลักเท่านั้น ไม่ใช่บริโภคกันจนอิ่มแล้วไม่ยอมรับประทานอาหารมื้อหลักเลยก็คงไม่ดี
นอกจากคุณค่าทางโภชนาการแล้วก็มีการศึกษาวิจัยกันมากในญี่ปุ่น โดยมีความเชื่อว่า การที่ผู้หญิงญี่ปุ่นมีอัตราการเป็นมะเร็งเต้านมน้อยนั้น อาจเนื่องมาจากการได้รับประทานอาหารที่มีสาหร่ายเป็นองค์ประกอบประจำ โดยเฉพาะสาหร่ายสีน้ำตาลที่เรียกว่า Laminaria ในญี่ปุ่นก็เลยมีการศึกษาวิจัยกันมาก ส่วน Porphyra สามารถต้านการกลายพันธุ์ของแบคทีเรียที่เกิดจากสารก่อกลายพันธุ์ ภายในสภาวะเลียนแบบกระเพาะอาหาร ซึ่งก็ยังมีการศึกษาในรายละเอียดต่อไปในสัตว์ทดลองว่าจะให้ผลในการยับยั้งสารก่อกลายพันธุ์บางประเภทได้หรือไม่ ก็คงต้องติดตามผลกันต่อไป

สาหร่ายอัดเม็ด : อาหารเสริมราคาแพง
ส่วนสาหร่ายอีกชนิดหนึ่งที่ขอพูดถึงนิดหนึ่งเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน สาหร่ายน้ำจืดที่เราเห็นวางขายตามร้อนขายยาหรือร้าน Health shop ต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จากทะเล แต่เป็นสาหร่ายน้ำจืดนำมาอัดเม็ดบรรจุกระป๋องขาย ราคาค่อนข้างแพง มักใช้กลยุทธ์การขายแบบขายตรง หรือ Direct sale ถ้าเป็นสาหร่ายเซลล์เดียว เรียกว่า chlorella ถ้าสาหร่ายหลายเซลล์เรียกว่า Spirulina สาหร่ายพวกนี้จะถูกเลี้ยงในอาหารเลี้ยงที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่มีคุณาภพสูง นำมาทำให้แห้ง บดเป็นผงแล้วอัดเม็ด โดยผสม lecithin หรือทำเป็นน้ำเชื่อมโดยผสมกับน้ำผึ้ง สารอาหารที่เด่นก็คือ โปรตีน วิตามิน เหลือแร่ โดยเฉพาะ B - carotene ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามิน A จะมีอยู่มาก แต่ที่ต้องระวังในการบริโภคคือ มีกรดนิวคลีอิกสูง การรับประทานในปริมาณมากจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเก๊าท์ เช่นเดียวกับพวกที่กินเครื่องในสัตว์ แต่สาหร่ายน้ำจืดดังกล่าวนี้จะไม่เป็นแหล่งของไอโอดีน อันนี้คือข้อแตกต่างจากสาหร่ายทะเล
การจะเลือกซื้อมารับประทานคงต้องคำนึงถึงราคาด้วย เพราะจุดเด่นที่มีมากคือ B - carotene ซึ่งก็จะมีมากในผักผลไม้ที่มีสีส้มเหลือง หรือผักใบเขียว เช่น ตำลึง ซึ่งราคาถูกกว่า ดังนั้นรับประทานผักผลไม้คงจะประหยัดแบบได้คุณค่าดีกว่า ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเลือกบริโภคสาหร่ายชนิดใด นอกจากจะคำนึงถึงรสชาติแล้ว คุณค่าทางโภชนาการก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาประกอบด้วย และที่สำคัญความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับเงินที่จะต้องจ่ายไปด้วยนั่นเอง จึงจะบอกได้ว่าคุณเป็นผู้บริโภคที่ฉลาดในยุคเศรษฐกิจพอเพียงนี้

ที่มา //www.healthnet.in.th/text/forum2/b6/index.html




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 9:31:23 น.
Counter : 1891 Pageviews.  

Beauty tips : Skin care home remedy tips

Acne / Pimples

Acne is associated often with adolescence. Acne due to heat imbalances are generally red, soft, small and tend to be aggravated in hot weather. On the other hand, acne due to cough imbalances are pale, hard, fairly large, have an oily secretion and tend to aggravate in cold weather.
Home Remedies:
1. Sticking to a proper eating schedule and avoid excess intake of tea, coffee, pickles, fatty diets, aerated drinks, etc. prevent the appearance of acne. Chronic constipation should be taken care of well in advance.
2. Wash the face properly with water and wipe it with a clean towel. Apply honey on the entire face with the help of cotton and leave it overnight. Wash off the honey in the morning with water and lemon juice. Practicing this for several days helps in curing pimples.
3. Slice a healthy and fresh cucumber and apply the slices over the face, eyes, neck etc. Leave them on for half an hour. It is a good tonic for the face and its regular use prevents pimples and black heads.
4. Finely powder 20 gms each of Indian gooseberry and Beleric myrobalan. Add an equal amount of finely powdered gram flour and a spoonful of honey, a pinch of turmeric powder and a cup of milk. Mix this solution properly and apply on the face and let it dry well. Wash the face with cold water and try avoiding exposure to dust. Repeating this exercise for several days restricts the occurrence of pimples.
5. Make a fine paste of 100 gms of finely powdered gram flour, two spoons of curd, and a few drops of sandalwood oil. To this add 1/2 a teaspoonful of lime juice and mix well. Apply the paste on the face and wait for about an hour. Wash the face with cold water. Repeating this for several days will help you maintain a smooth skin.
6. Take B-complex and zinc supplements daily as a preventative measure.
7. Apply a paste of ground black cumin seeds and vinegar to affected areas.
8. Apply a paste of sandalwood and turmeric powder to affected areas.
9. Apply a teaspoon of lemon juice and a teaspoon of ground cinnamon to affected areas.
10. Dry some orange peel and grind into a powder. Mix this with water to create a paste and apply to affected areas.
11. Rinse the face with rose water three times per day. Avoid using soap with this treatment.
12. Apply a teaspoon of turmeric powder and a teaspoon of mint or corriander juice to affected areas. Wash off before bed.
13. Make a face mask from clove or fenugreek and leave on overnight.
14. Water therapy in early morning is highly recommended for acne cure.

Precautions
1. Do not over wash the skin, which will dry and aggravate it.
2. Take steps to maintain a clean bowel and avoid constipation, as toxins from the intestines can often lead to breakouts. Drink some hot milk before bed or eat some boiled spinach before each meal to help in this regard.
3. Do not pick or peel acne to avoid leaving pock marks on the face.
4. Avoid foods rich in chocolate, oil, and refined sugar.


Burns Home Remedies :
1. Immediately put the infected part under cold running water and apply ice to prevent sore formation.
2. A paste made of turmeric powder and water, applied locally, provides instant relief to a burn injury.
3. Sesame oil, applied on the affected burnt skin, provides equally good relief.
4. Applying tooth paste have immediate relief and prevents formation of sores.

Dandruff Home Remedies
1. Rubbing lemon juice over the scalp before taking a bath prevents dandruff.
2. Apply sage and rosemary tea to the scalp.
3. Grind into a fine paste two tablespoons of fenugreek seeds that have been soaked for eight hours in water. Apply to scalp and wash out after 30 minutes.
4. Apply warmed coconut oil with the juice of two lemons, and leave in hair for two hours before shampooing out.
5. Take about 100gms of leaves of Margosa (Neem) tree and boil them in a liter of water for 1-2 hours. Allow it to cool and strain it. This decoction is an excellent hair wash and prevents dandruff. Prepare a fresh decoction for every wash.
6. Finely powder the pods of soap nut acacia and apply it on the scalp with water. Leave for 15 minutes before taking a bath. Using it for several days cures dandruff.
7. Rinse the hair with a mixture of 3 tablespoons vinegar and one cup water to eliminate shampoo residue which can cause scalp irritation.
Dry Skin Home Remedies

Even in normal people, hormone imbalances causes dryness of the skin when it is vitiated due to seasonal influences. This dryness may even extend to the mucous membranes covering the lips and thus cause cracking. Dryness of the skin and the mucous membranes can also be caused by certain illnesses like fever.
1. An oil massage is a simple yet well-known remedy to treat dry skin. For better results, you may add a few drops of glycerin to the oil just before application.
2. Apply aloe vera gel, cod liver oil, or vitamin E oil to affected area.
3. Vitamin E and cod liver oil will help with general skin health.
4. Clarified butter or milk cream are good for cracked lips. Apply them for a couple of days just before going to bed.

Facial Care Home Remedy:
1. Apply aloe vera to clean facial skin for general health.
2. As much as possible, try to use unscented facial soaps and products. Especially those containing aloe vera are recommended.
3. Create a facial mask from chamomile tea, honey, oatmeal, plain yogurt, pureed strawberries, sunflower seed oil and water, or wheat germ oil. Leave the facial on for twenty minutes and rinse clean.

Itching Home Remedy
1. Take a bath with a little peppermint or yellow dock to relieve itching.
2. Apply aloe vera, cod liver oil, Vitamin E oil or wheat germ oil to the itchy area.
3. Heat mustard oil with a couple of garlic leaves. Cool it and apply to the affected areas.




Prickly Heat Home Remedy:
1. Apply aloe vera, cod liver oil or garlic oil to the affected area.
2. Take adequate supply of vitamins A, C, D, and E to aid the healing process. Zinc is also recommended.
3. Apply baking powder or baby powder. Try to keep the area dry as much as possible.

Rashes Home Remedy:
1. Apply aloe vera gel, cod liver oil, or vitamin E oil to the affected area.

Precautions
Take vitamin C and zinc as a preventative measure.
Avoid exposure to sunlight and hot water.

Skin Allergies Home Remedy:
1. Add some lime juice to sandalwood paste and apply to affected areas.
2. Grind a tablespoon of poppy seeds and add to a teaspoon of water and a teaspoon of lime juice. Apply the resulting paste to affected areas.

Skin Cracks Home Remedy:
1. Take adequate supply of vitamins A, C, D, E, and B-complex.Zinc is also recommended.
2. Apply aloe vera gel or black walnut extract to the affected areas.



Skin Infections Home Remedy:
1. Make a paste from turmeric powder, mustard seed and lime juice. Applying this paster to the affected area helps fast recovery.
2. Make a paste from a little water and equal amounts of neem leaves and turmeric powder. Apply the paste to infected areas.

Stretch Marks Home Remedy:
1. Apply aloe vera gel, cod liver oil, or vitamin E oil to affected areas to help the healing process.
2. Eat lots of nuts and seeds and take zinc and vitamins A, C, D, E, and B-complex as a preventative measure.

Sunburn Home Remedy:
1. Apply some sandalwood paste to affected areas.
2. Apply aloe vera gel before and after you are in the sun to prevent and minimize sunburn.
3. For sun tanning, use lotion with PABA to minimize sunburn risk while still tanning the skin.
4. For facial sunburn, apply a paste made up by mixing whole wheat flour, milk, olive oil and honey paste.
5. Apply apple cider vinegar to help heal sunburn.
6. Apply a mixture of 1 part tomato juice and 6 parts buttermilk to the affected areas. Wash off after 30 minutes.
7. Create a yogurt based paste with barley and turmeric and apply to affected areas.

Precautions:
Do not use baby oil or any lotions with lanolin when you are in the sun.
Wear sunscreen when you are in the sun.

Wrinkles Home Remedies
1. Eat a spoonful of shredded ginger with some honey every morning.
2. Mix two tablespoons vodka, a tablespoon fennel seeds, and 2 teaspoons honey, and let sit
for three days. Strain out the fennel seeds and use as a toner on the face.
3. Massage coconut oil into the skin where wrinkles appear before bed.


Credit : //www.storesonline.com/site/901207/page/388786




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2551 9:34:24 น.
Counter : 497 Pageviews.  

1  2  
 
 

DarkChoc
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add DarkChoc's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com