12 แผนการร้ายของตระกูลตัวแสบ
…12
แผนการร้ายของตระกูลตัวแสบ



ถ้ามีใครมาบอกว่าจ้าวปีศาจจะทำตัวเป็นสามีที่น่ารักเป็นพ่อที่แสนดีเมื่อเกือบสามสิบปีก่อน คงไม่แคล้วโดนสั่งถูกทรมานฐานพูดอะไรไร้สาระขาดมูลความจริงเป็นแน่ แต่มาบัดนี้ แม้แต่ตัวราชาปีศาจเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าตนจะเป็นสามีที่น่ารักมาแล้ว และขณะนี้ก็เป็นพ่อที่แสนดี...ดีมาก

ถึงได้ยอมรับฟังคำเทศน์จากพระธิดาด้วยอาการหงอยอย่างน่าสงสาร

จะเรียกว่ายอมเพราะรักก็ได้

“พ่อนะพ่อ ไม่เห็นต้องโกรธมากขนาดนั้นเลย แองจี้ไม่ได้คิดจะฆ่าผมซะหน่อย แม่คุณก็แค่จะปลุกผม เอ่อ ด้วยวิธีที่ออกจะรุนแรงเกินไปสักนิด แต่ก็นั่นแหละ มันไม่มีอะไรเลย แล้วพ่อเล่นทำเอาคนอื่นกลัวหมดแล้ว ยังงี้จะมีใครเอะใจมั้ยเนี่ย แย่ๆ”

ปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ที่ควรกริ่งเกรงกลับพ่ายหมดท่าเมื่ออยู่ตรงหน้าธิดาแห่งความมืด หรือหากสมเด็จราชินียังมีพระชนม์ชีพอยู่ น่าสนใจว่ากษัตริย์แห่งเดมอสจะ ‘หงอ’ ขนาดไหนนะ

นี่คือความคิดของโรเวนที่มองดูพลางข่มกลั้นความขบขัน

เมื่อออกมาจากห้องประชุมที่บรรยากาศชักไม่เข้าท่า เฟรินก็ลากบุรุษจากแดนปีศาจเข้าห้องเขาเอง และบ่นจนเจ้าของห้องชั่วคราวทำพระพักตร์แหย เหมือนเด็กซนๆเวลาถูกดุ ท่าทางของเด็กซนกลับมาแทนที่พลังอันน่ากลัว ให้โรเวนต้องโล่งอกอย่างยิ่ง

เอวิเดสทำท่าหดหู่เต็มที่ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่จงใจให้อีกฝ่ายรู้ว่าสำนึกผิดแล้ว

“พ่อขอโทษ...”

เสียงอ่อยๆนั่นทำให้เฟรินหยุดปากชะงัก คนที่มักจะเป็นฝ่ายถูกบ่นถูกติกลับเป็นฝ่ายเทศน์คนอื่นซะเองก็ใจอ่อน และยังเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคนที่เพิ่งบ่นไปนั่นเป็นพ่อตัวเอง

“ผมก็ขอโทษฮะ พ่อคงคิดว่าแองจี้จะทำร้ายผมถึงได้โกรธมากอย่างนั้น พ่อฮะ ผมรู้ว่าพ่อเป็นห่วงผม แต่ขอให้พ่อเข้าใจว่านี่เป็นสังคมของผมนะฮะ สังคมที่ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นเรื่องปกติ ถ้าพ่อคิดจะปกป้องผมยังกับไข่ในหินยังงี้ ผมจะเป็นผู้ใหญ่ได้ยังไงกันล่ะ” เฟรินเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังผิดปกติ นัยน์ตาสีน้ำตาลใสช้อนมองคนตัวสูงกว่าที่ยกมือขึ้นลูบหัวลูกสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู

“เข้าใจแล้วเฟลิโอน่า พ่ออยากชดเชยเวลาสิบห้าปีที่ไม่ได้เลี้ยงดูเจ้าจนลืมไปว่าเจ้าไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้ว พ่อคงต้องทำใจแต่เนิ่นๆสินะ เพราะอีกไม่นานเจ้าก็คงต้องไปเป็นชายาของเจ้าชายแห่งคาโนวาล เฮ้อ ถ้าเจ้าเป็นผู้ชายก็ดีสิ จะได้แต่งสะใภ้เข้า ไม่ต้องแต่งออก อยู่กับพ่อที่เดมอสไปตลอด แต่พ่อก็ชอบลูกสาวที่เหมือนแม่มากกว่า”

คำพูดของคนเป็นพ่อตอนแรกๆก็ทำให้เฟรินซาบซึ้งอยู่หรอก แต่ช่วงหลังๆนี่ทำเอาเธอพูดไม่ออก หน้าขึ้นสีสดจนเจ้าตัวเองก็บอกไม่ได้ว่าเพราะอายหรือโกรธพ่อที่พร่ำพูดอะไรบ้าๆแบบนี้ออกมาได้หน้าตาเฉยกันแน่

เฟรินตัดสินใจได้ในทันที เธอเดินออกจากห้องไปเพื่อตัดปัญหา เหลือเพียงโรเวนที่ยืนเป็นผู้ชมซึ่งพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หัวเราะออกมา

“ไปซะแล้ว เฟลิโอน่านี่ขี้อายจริง”

“ผู้หญิงคนไหนโดนล้ออย่างนี้ก็ต้องเขินเป็นธรรมดาอยู่แล้วล่ะครับ” โรเวนยิ้มขบขัน

“เหรอ แต่ผู้หญิงที่อยู่ใกล้ตัวข้าไม่เห็นจะเป็นแบบนั้นเลย ถ้าไม่โดนตอกกลับซะหูชาก็โดนเอาคืนแบบแสบถึงทรวง เฮ้อ แต่แม่เจ้าประคุณทูนหัวทั้งหลายนี่ก็อาจจะเป็นข้อยกเว้นสำหรับปีศาจด้วยซ้ำ”

โรเวนฟังแล้วก็สงสัยว่าราชาปีศาจจะหมายถึงน้องสาวของตนที่เป็นราชินีแห่งนครจันทรา ถ้าคนนั้นเขาก็เห็นด้วยว่านิสัยเป็นเช่นที่ว่าจริงๆ แต่น่าสนใจใช่เล่นกับสตรีที่ทำให้จ้าวปีศาจทำหน้าขยาด

“ตอนแรกๆอลิเซียก็ทำตัวเหมือนมนุษย์ผู้หญิงทั่วไปอยู่หรอก แต่พออยู่กับพวกนั้นนานๆเข้าก็ชักจะ...เอ้อ ช่างมันเถอะ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ว่าแต่...” เอวิเดสที่บ่นพึมพำถึงอดีตก็เปลี่ยนเรื่องทันควัน นัยน์ตาสีดำขลับบ่งความชอบใจกับเป้าหมายใหม่ที่ฟังน้องสาวเล่าว่าทำหน้าสุภาพบุรุษซะจนน่าแกล้ง “แล้วท่านล่ะ เจ้าชายโรเวน”

โรเวนชะงักกึก รอยยิ้มหุบฉับ นัยน์ตาสีน้ำเงินมองคนถามอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนยิ้มบาง เอ่ยเสียงเรียบ

“น่าเสียดายที่เราไม่มีอะไรจะบอกท่าน”

“จริงหรือ แม้แต่เรื่องเจ้าหญิงน้อยนั่น” เอวิเดสกล่าวเสียงเนิบนาบ แววตาเป็นประกายเย้าอย่างนึกสนุก “อืม นางชื่ออะไรนะ”

“จักรพรรดินีวิเวียนนานีย่า” คนเงียบขรึมตอบ

“จักรพรรดินี” เอวิเดสเลิกคิ้วสูง “นางอายุน้อยกว่าเฟลิโอน่านี่นา อือห์ น่าสงสารจริง นี่ถ้าทริสทอร์คืนพี่ของนางมาก็ดี ท่านกับนางจะได้...”

“เรายังมีงานค้างอยู่ ขอตัว” โรเวนเอ่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม แต่ผู้ฟังกลับหัวเราะ โบกมือลาด้วยซ้ำ

“ท่านนี่ไม่รู้จักผ่อนคลายสบายอารมณ์เสียบ้างเลยนะ”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เจ้าชายแห่งเจมิไนได้ยินก่อนจะออกจากพลับพลาของกษัตริย์ผู้หนีเที่ยวแห่งแดนปีศาจ



ยามสายที่แดดยังไม่แรงกล้า พ่อมดหนุ่มแห่งเดมอสถูกกึ่งลากกึ่งจูงด้วยน้ำมือของสองฝาแฝดที่ไม่ยอมให้เขาหลีกเลี่ยงคำถามได้อีกแล้ว สถานที่ที่สองพี่น้องเลือกเป็นที่สอบปากคำพี่ชายของตนคือใต้ต้นแอปเปิ้ลในสวนซี่งเป็นต้นเดียวกับที่หัวขโมยแห่งบารามอสชอบมาจับจองยึดเป็นเตียงนอน

เจ้าหญิงผมสีเงินทำหน้าไม่สบอารมณ์ ผิดกับเจ้าชายปีศาจที่ยังคงสีหน้าระรื่นชวนหมั่นไส้

“เอาล่ะ พี่ปิดปากเรื่องอะไรไว้บ้าง บอกมาให้หมดเลยนะ” แคเรนเอ่ยอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว

“ใช่แล้วๆ พี่ยังติดค้างคำตอบฉันเรื่องเจ้าองครักษ์คนนั้นด้วย อย่ามาปฏิเสธบอกว่าพี่ไม่รู้นะ ฉันแน่ใจว่าพี่ต้องรู้ดีแน่ๆ” คอร์ลินช่วยเสริม ความอยากรู้อยากเห็นกำลังฆ่าคนช่างสอดรู้อย่างเขาทั้งเป็น

เฟนริลถอนหายใจด้วยอาการเสแสร้งอย่างที่ทำให้ผู้มองอารมณ์ร้อนนึกอยากบีบคอพี่ชายตนเองแม้จะรู้ว่าเสี่ยงกับการถูกเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันทวี แต่โชคดีที่คำตอบของคนกวนโทสะตรงหน้าคือ...

“ก็ได้ ยืดเยื้อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”

คอร์ลินอุบอิบว่า “น่าจะรู้ได้ตั้งนานแล้ว”

เฟนริลยิ้ม ไม่ต่อความ เขายืนกอดอกหลังพิงกับต้นไม้ ท่าทางสบายๆ ก่อนกล่าวด้วยเสียงที่ฟังนุ่มหู

“เริ่มด้วยคำถามที่ว่า...ทำไมคนจากเดมอสถึงมายังเอเดนด้วยวิธีที่ดูก็รู้ว่าเป็นเวทมนตร์ แถมยังสามารถผ่านเข้าไปในเขตแดนของฉันอีก” ผู้ฟังทั้งสองพยักหน้าเห็นพ้องด้วย “เวทนั้นเป็นเวทย่นระยะทางประเภทหนึ่ง ถ้าผู้ใช้มีพลังเวทสูง อานุภาพหรือขอบเขตในการเดินทางก็จะกว้างขึ้นไปด้วย สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือกระจก ผู้ใช้เวทจะร่ายคาถาเพื่อไปยังสถานที่ที่ต้องการ นี่คือกรณีธรรมดาทั่วๆไป แต่ถ้าจุดหมายเป็นเอเดนที่อำนาจของปีศาจไม่สามารถใช้ได้ ก็จำเป็นต้องมีตัวช่วย”

“หมายความว่าท่านแม่ที่เป็นตัวช่วยถูกดึงพลังไปใช่ไหม” แคเรนเดาอย่างเฉลียวฉลาด “แต่ทำไมต้องเป็นท่านแม่ด้วยล่ะ ตอนนั้นท่านพ่อก็อยู่นี่ เรื่องพลังเวทท่านพ่อน่าจะดีกว่านะ”

“เพราะความสัมพันธ์ไงล่ะ” เฟนริลเอ่ยยิ้มๆ “การขโมยพลังจะง่ายขึ้นมากถ้าอีกฝ่ายมีจิตใกล้เคียงกัน และเขตแดนของฉันก็ถูกความสัมพันธ์นั่นทำให้ไร้ผลกับผู้บุกรุก”

“พี่พูดยังกับว่า...” คอร์ลินยิ้มแห้งๆ

“นายไม่คิดว่าคนจากเดมอสนั่นมีส่วนคล้ายใครบ้างหรือ” เฟนริลเลิกคิ้วถาม

“ก็คิด... แต่คนนั้นน่ะไม่หนุ่มขนาดนี้ซะหน่อย”

“งี่เง่า แค่ใช้เวทสายเดมอสก็จัดการอะไรๆได้เรี่ยมแล้ว” แคเรนทำหน้าปั้นยาก “แต่ไม่อยากเชื่อเลยว่าท่านตาจะแอบแวบออกมาจากปราสาทได้”

“สงสัยโชคช่วยเวลาเหมาะมั้ง” คอร์ลินเอ่ยขำๆ “ถ้าคนนั้นเป็นท่านตาเรื่องก็ง่าย แถมยังบอกได้อีกว่าทำไมท่านแม่ถึงให้ความสนิทสนมขนาดนั้น”

“สนิทกันเกินไปน่ะสิ” สาวน้อยถอนหายใจปลงๆ “ป่านนี้ข่าวลือแพร่ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ฉันหวังว่าคงไม่มีปัญหาแบบเดิมๆอีกนะ ที่จริงปัญหาเก่าก็จบไม่ดีเท่าไหร่ น่าสงสารท่านพ่อจัง”

“ก็น่าเป็นห่วงว่าท่านตาจะสร้างปัญหาให้ท่านพ่อกับท่านแม่ แต่เอาไว้ถึงเวลานั้นค่อยคิดเถอะ” เฟนริลตัดบทง่าย ยิ้มกริ่ม “มีคำถามแค่นี้เองหรือ”

“แน่นอนว่ายังมีอีก” แคเรนตอบทันควัน “พี่ยังไม่ยอมเฉลยเลยว่าลูกแก้วสีแปลกๆของคทาแห่งรัตติกาลคืออะไรกันแน่ ทำไมมันถึงได้พาเราย้อนอดีตมาได้ แล้วก็อำนาจของมันอีก เจ้าคทานี่มันแปลกพิสดารกว่าคทาพิพากษาเสียอีกนะ”

เฟนริลทำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ

“ฉันก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ หนังสือในเอเดนไม่ค่อยจะมีเรื่องเกี่ยวกับเดมอสนัก ทำให้ฉันต้องคลำไปทางอื่น” เด็กหนุ่มถอนหายใจแผ่วเบา ใบหน้าติดจะสวยมีร่องรอยเหนื่อยล้าอย่างที่น้องทั้งสองไม่อยากเชื่อ “ฉันลองตรวจดูตามตำนานโบราณของเอเดน ก็มีบางตำนานที่ฉันเชื่อว่าบอกเล่าถึงสมบัติล้ำค่า”

“สมบัติ...” คอร์ลินคราง

“...เทพปีศาจสีขาวครอบครองมงกุฎแห่งนิรันดร์ซึ่งเป็นสมบัติของพระเจ้า ประทานดวงตะวันคืนสู่โลกอันมืดมิด จากนั้น สมบัติของพระเจ้าก็หายสาบสูญไปตลอดกาล...” เฟนริลที่เอนศีรษะพิงต้นไม้บอกเล่าตำนานที่ได้ศึกษามาด้วยน้ำเสียงเนิบนาบน่าฟัง “มงกุฎแห่งนิรันดร์มักจะถูกเล่าขานคู่กับศิลาแห่งห้วงเวลาทั้งห้า ศิลาที่สามารถใช้พลังของธรรมชาติได้ อ้อมกอดแห่งธรณี หยดน้ำตานางฟ้า เนตรสีเพลิง ลมหายใจเทพธิดา”

คอร์ลินที่อยู่ข้างๆสะดุ้งเฮือก เฟนริลยิ้มเมื่อเขาเบนสายตาไปยังดวงหน้าสวยน่ารักของเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลที่คิ้วขมวดฉับ ยกมือขึ้นทาบกลางอก เจ้าชายปีศาจพูดต่อด้วยเสียงที่แผ่วเบาลง

“และ...นิลสีเลือด”

บังเกิดความเงียบที่ชวนอึดอัดในความรู้สึกของหัวขโมยหนุ่มน้อยจนต้องหัวเราะออกมาเพื่อหวังจะเรียกให้บรรยากาศมันดีขึ้นมาบ้าง

“เฟนริล พี่จะบอกเหรอว่าพวกเราน่ะ...”

เจ้าชายผู้แสนสง่าตอบชัดถ้อยชัดคำด้วยความสัตย์จริงเป็นที่สุด

“ใช่ ฉันจะบอกว่าสามในห้าของศิลาแห่งห้วงเวลาอยู่ในความครอบครองของเรา”

นัยน์ตาคู่โตสีดำเบิ่งโพลงอย่างงุนงงยิ่ง มือที่วางทาบกึ่งกลางอกเปลี่ยนเป็นกำไว้แน่น แคเรนเม้มริมฝีปากอิ่มด้วยอาการตกตะลึงกับความจริงจากปากของผู้เป็นพี่ชาย ในขณะที่น้องฝาแฝดของเธอกลับควบคุมความรู้สึกได้ดีกว่าในยามเช่นนี้ ใบหน้าที่แม้จะสวยหากก็ยังแสดงถึงความเป็นบุรุษอย่างเต็มเปี่ยมนั้นเครียดเกร็ง

“สิ่งที่ฉันเชื่อว่าเป็นพลอยสีแดงส้มที่ติดดาบแท้จริงแล้วเป็นสมบัติในตำนานงั้นหรือ” คอร์ลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแทบเป็นกระซิบ ดวงตาคู่สีน้ำตาลสั่นระริกด้วยเข้าใจดีถึงความสำคัญของสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองมานาน เขากลืนน้ำลาย ก่อนถามเสียงสั่นน้อยๆ “งั้นทำไม...ท่านจ้าวเผ่าเกลียถึงได้ไม่บอกอะไรเลย ในเมื่อมันเป็นของขวัญจากเขา”

เฟนริลให้คำตอบได้ในทันที

“ถูกแล้ว มันเป็นของขวัญจากเผ่าเกลีย สิ่งที่นายไม่รู้ก็คือดาบนั่นจู่ๆก็ปรากฏขึ้นในใจกลางหุบเขาอเวจีที่ร้อนระอุทั้งที่สาบสูญไปนานแสนนาน จนกระทั่งนายเรียกชื่อที่แท้จริงของมัน ท่านจ้าวจึงมอบให้โดยบอกเพียงว่า มันเป็นของนาย เพราะท่านเองก็ไม่รู้อะไรเช่นกัน”

“ไม่รู้” คอร์ลินทวนคำตอบอย่างไม่เข้าใจ แต่เฟนริลยังเล่าต่อ

“ดาบอัคนีเองก็ไม่ต่างจากคทาแห่งรัตติกาล มันถูกสร้างด้วยมือของปีศาจตนเดียวกัน ที่กลิ่นไอมันต่างกันก็เพราะดาบของนายอาบเลือดของปีศาจเพลิงแห่งเดมอส”

“เดี๋ยวๆ เฟนริล บอกหน่อยว่าทำไมดาบอัคนีถึงได้โผล่มาในหุบเขาอเวจีได้ ฉันไม่อยากจะเชื่อหรอกนะว่ามันมีอาวุธที่อยากจะหายก็หาย อยากจะโผล่ก็โผล่อยู่ในโลกนี้ด้วยน่ะ มันไม่น่าเป็นไปได้เลย...”

“นายอาจจะอยากเชื่อ ถ้า...” เฟนริลแหงนมองขึ้นไปด้านบน ริมฝีปากสวยได้รูปเผยรอยยิ้มที่คาดเดาความรู้สึกได้ยาก “...จะฟังจากปากของผู้ที่เห็นมากับตาตัวเอง”

คอร์ลินทำหน้างงงัน ไม่เข้าใจกับคำพูดของคนตรงหน้า แต่เมื่อเขาลองมองตามสายตาของพี่ชาย เขาก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นใกล้ตัวเขาได้

มันเป็นรองเท้าบูทหนังสีดำที่โผล่พ้นออกมา ต่อจากนั้นก็คือขายาวๆในกางเกงสีดำแนบกระชับตัว ภาพที่ฉายในดวงตาสีน้ำตาลที่เบิ่งโตคือความเป็นจริงที่ว่า...เขาพูดเรื่องทั้งหมดนั่นต่อหน้าคนนอก...หรือเปล่า?

แต่เพราะอะไรเขาถึงไม่รู้เลยล่ะว่ามีคนนอนอยู่เหนือศีรษะขึ้นไปหน่อยเดียว นี่สัญชาตญาณของเขาย่ำแย่ลงแล้วหรือไง หรือว่า...อีกฝ่ายเก่งเหลือเชื่อกันแน่

แคเรนเผลอปล่อยเสียงหัวเราะคิกคักให้ดังในความเงียบ เธอพยายามกลั้นยิ้มแทบตายขณะพูดด้วยเสียงขบขันกับเจ้าของขาข้างหนึ่งที่ยังไม่ยอมลงมาจากบนกิ่งสูงนั่นซะที

“ท่านจะอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ยคะ มาทักทายกันดีกว่าน่า ท่านตา”

พอหลานสาวน่ารักบอกอย่างนี้แล้ว คนบนต้นไม้ก็ยอมลงมาง่ายๆ

เอวิเดสกวาดตามองหลานทั้งสามที่เพิ่งจะได้พบกันเป็นครั้งแรก พักตร์ของราชาปีศาจฉายแววสนใจใคร่รู้ ดวงเนตรสีนิลบ่งชัดว่าอยากทำความรู้จักกับบรรดาหลานๆในอนาคต

หลานที่ดูท่าว่าจะไม่ได้มีส่วนคล้ายแค่คนในตระกูลเท่านั้น



หัวขโมยแห่งเดมอสหรือเจ้าชายแห่งคาโนวาลขมวดคิ้วมุ่น นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มักจะเป็นประกายแจ่มใสนั้นฉายแววสงสัยกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า เขาจ้องเขม็งไปที่บุรุษผมดำซึ่งกำลังคุยกันอย่างถูกคอกับเด็กสาวซึ่งเป็นคู่แฝดของเขาเอง

นิสัยประหลาดๆไม่เหมือนใครของจ้าวแห่งเดมอสเป็นสิ่งที่พวกเขาสามพี่น้องคุ้นเคยและชื่นชอบ แต่เขาไม่ยักรู้ว่าท่านตาจะไม่มีปฏิกิริยาเหมือนคนทั่วไปได้ขนาดนี้

ท่านรับฟังเฟนริลเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ขัดและไม่แสดงความตกใจออกมาเหมือนคนอื่นๆที่ได้ฟังการย้อนอดีตอันมหัศจรรย์ จะเป็นเพราะท่านเป็นปีศาจหรือเป็นคนแปลกๆเองก็สุดรู้ พอเฟนริลเล่าจบท่านก็ยิ้มกว้างแล้วดึงทั้งเขาทั้งแคเรนแล้วก็เฟนริลเข้าไปกอดคอเฉยเลย

นั่นหมายความว่าท่านตายอมเชื่อว่าพวกเขาเป็นหลานๆจากอนาคตจริงๆ เชื่อแบบไม่ต้องมีหลักฐานพิสูจน์เลยด้วยซ้ำ เพราะอะไรกันล่ะ?

คอร์ลินคลายคิ้วที่ขมวดแทบเป็นปมทันทีเมื่อสบกับนัยน์ตาสีนิลที่เหลือบมองมา ท่านตายิ้มบางๆ แล้วพูดในสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่พอดี

“เจ้าคงสงสัยว่าทำไมข้าถึงเชื่อทุกเรื่องที่พวกเจ้าเล่าใช่ไหม”

คอร์ลินหัวเราะฝืดพลางยกมือขึ้นลูบท้ายทอย “ก็...ฮะ ผมสงสัยอยู่จริงๆ”

“ข้าเชื่อ...เพราะ...” เอวิเดสมองสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของหลานชายคนเล็ก แล้วคลี่ยิ้มกวนๆ “...ข้าอยากจะเชื่อ มันก็แค่นั้นเอง”

เฟนริลกับแคเรนหัวเราะกับอาการอ้าปากเหวอของน้องชาย ราชาปีศาจเอื้อมมือมาตบบ่าหัวขโมยหนุ่มเบาๆ

“อย่าสงสัยไปเลยน่า เจ้าหลานชาย ถึงพวกเจ้าจะไม่ค่อยเหมือนพ่อกับแม่หรือคนอื่นๆในตระกูลแต่ข้าก็รู้ว่าพวกเจ้ามีสายเลือดเดียวกับข้าแน่ ข้ารู้สึกได้...แม้ว่าสายเลือดปีศาจนั้นจะเจือจางเพียงใดก็ตาม”

คอร์ลินค่อยรับได้หน่อยกับคำอธิบายนี้ ก่อนจะแปลกใจกับคำพูดของผู้เป็นตา

“ผมไม่เหมือนแม่เหรอ” เขาชี้หน้าตัวเองแล้วยิ้มแปลกๆ “ใครๆก็ว่าผมเหมือนแม่ที่สุดนะ ถึงสีผมจะไม่ใช่ แต่สีตาแล้วก็ลักษณะส่วนใหญ่ผมได้รับสืบทอดมาจากแม่ทั้งนั้น”

...เพราะฉะนั้นเขาถึงชอบฉายาเดอะทีฟของตระกูลเดอเบอโรว์ไงล่ะ

“อาจจะมีส่วนคล้ายอยู่บ้าง แต่น้อยมาก ข้าว่าเจ้าเหมือนคนที่ข้ารู้จักมากกว่า...” เอวิเดสคิดใคร่ครวญเหมือนจะไม่แน่ใจนักว่าควรจะพูดดีหรือไม่ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจแล้วเปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องอื่น



“ไม่แปลกที่ไกล์จะไม่รู้เรื่องดาบอัคนี” เอวิเดสบอกเสียงขรึมๆ เขาเปลี่ยนสถานที่คุยมาเป็นที่ม้านั่งริมสระ “มันเองก็เป็นตำนานเก่าแก่ของเดมอส เป็นอาวุธที่อยู่สูงสุดของตำนานแห่งดาบเลยด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเจ้าของคนที่สองจะเป็นเจ้า”

คอร์ลินอ้าปากเหวอ “เจ้าของคนที่สอง! ท่านตาล้อผมเล่นใช่ไหม ดาบเก่าขนาดนั้นน่าจะมีคนใช้เป็นพันๆคนก่อนผมซะอีกนะ”

“เปล่า ข้าพูดจริง หลังจากที่เจ้าของคนแรกซึ่งเป็นอาจารย์สอนดาบให้ข้าหมดอายุขัย ดาบอัคนีก็หายสาบสูญไปจากบรรณพิภพ”

“ดาบอัคนีก็ไม่ต่างจากคทาแห่งรัตติกาล อ้อ อาจจะไม่พยศเท่าซึ่งก็ถือว่าเป็นโชคดีของนายแล้วล่ะ” เฟนริลว่ายิ้มๆ ขบขันกับสีหน้าตื่นๆของน้องชายที่เขาเดาได้ว่าเกิดจากโรคหัวขโมยยามเมื่อประสบพบเจอกับของล้ำค่าที่ดูค่าไม่ออก

เมื่อเห็นว่าการสนทนาเกี่ยวกับดาบโบราณจบลง แคเรนที่เป็นผู้ฟังที่ดีก็เอ่ยปากถามขึ้นบ้าง

“ท่านตามีธุระอะไรที่นี่หรือคะ”

เอวิเดสสบกับนัยน์ตาสีเดียวกันที่ฉายแววสงสัย เขายิ้มออกมา ตอบปัดๆไปว่า

“ก็แม่ตัวปัญหาของพวกเจ้าไงล่ะ ข้าให้แหวนไปแล้ว ทีนี้ก็รอเวลาให้กลับคืนสภาพเดิมเท่านั้น มาว่าเรื่องของพวกเจ้ากันดีกว่ามั้ง” ดวงเนตรสีดำหรี่มองพี่ชายคนโตที่เรียกความรู้สึกบางอย่างในใจจ้าวปีศาจ เด็กหนุ่มที่มีอุปนิสัยถูกใจเขาอย่างยิ่งยังคงเผยรอยยิ้มไม่อนาทรร้อนใจเช่นปกติ

“ท่านตาก็รู้แล้วว่าคทาแห่งรัตติกาลนำพวกเรามายังโลกอดีต และในเมื่อท่านตาเป็นผู้สร้างคทาพิพากษา ท่านพอจะบอกผมได้ไหมว่าทำไมมันถึงเชื่อมต่อกันได้”

เอวิเดสชะงักกึกเมื่อเป็นฝ่ายถูกซักไซ้ไล่เลียงซะก่อน ใบหน้าคร้ามคมฉีกยิ้มกว้าง แววตาวาววับเอ็นดูกับสายตาไม่เกรงใครของเด็กตรงหน้า ก่อนเอ่ยตอบอย่างไม่ถือสาหาความ

“คทาพิพากษาเป็นสิ่งที่ข้าลองสร้างขึ้นตามบันทึกของผู้สร้างในตำนาน ขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างคือการวางคทาไว้ในวงเวทดาวหกแฉกแล้วเอ่ยคาถาโบราณซึ่งเป็นขั้นตอนเฉพาะของผู้สร้างคนนี้เท่านั้น บางที...นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงคทาทั้งสองไว้ก็ได้” เอวิเดสกล่าวเสียงเนิบๆไม่ขยายความไปมากกว่านี้ ดวงเนตรสีดำสนิททอดมองออกไปยังผิวสระที่เรียบสงบ

เฟนริลกัดริมฝีปาก ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน นัยน์ตาคู่สีฟ้าไหวระริกเมื่อล่วงรู้ถึงความจริงที่เพิ่มเติมขึ้น

“ผู้สร้างในตำนานนั่น...เป็นคนเดียวกับที่สร้างคทาแห่งรัตติกาลและดาบอัคนีใช่ไหมครับ”

เอวิเดสพยักหน้า แล้วเอ่ยเสริม “และเขายังเป็นคนดึงความสามารถของศิลาแห่งห้วงเวลาทั้งห้าออกมาในรูปแบบที่ใช้งานง่ายที่สุดด้วย”

“ถ้างั้นก็มีทาง” เฟนริลว่า มุมปากบังเกิดรอยยิ้มพอใจ “บางทีในบันทึกเล่มนั้นอาจเขียนอะไรที่เกี่ยวกับนิลสีเลือดไว้บ้างก็ได้ ท่านตาเก็บมันไว้ที่ไหนเหรอครับ”

“ข้าให้ลูน่าเก็บรักษาไว้ แต่...” เอวิเดสทำหน้าแหย “ถ้าส่งข่าวไปตอนนี้ ข้าเป็นห่วงว่าลูน่าจะส่งคนมาตามข้ากลับไปน่ะสิ”

เฟนริลกะพริบตาปริบๆกับอาการของผู้สูงวัยกว่ามาก แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าบุรุษเบื้องหน้าคงแอบแวบหนีมาเที่ยวถึงได้ทำหน้าเหมือนอิสระจะสิ้นสุดลงกระนั้น เป็นภาพที่เรียกเสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากเจ้าชายปีศาจแห่งคาโนวาล

คอร์ลินกลั้นเสียงหัวเราะเพื่อจะพูดก่อนว่า

“เอาไว้ทีหลังก็ได้ฮะ พวกเรายังไม่รีบหรอก อุตส่าห์มาอดีตทั้งทีขอยลให้สะใจก่อนดีกว่า”

“หนูก็ไม่ว่าค่ะท่านตา” แคเรนปลอบเสียงหวานกลั้วหัวเราะ “สถานการณ์ตอนนี้น่าสนุกดีจนหนูไม่อยากพลาด”

เอวิเดสจ้องกลับไปด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก โอษฐ์แย้มบาง เอ่ยเสียงแทบเป็นกระซิบ

“นั่นสิ เป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าพลาดเลย”



คอร์ลินมองภาพของตากับหลานชายคนโตผู้มีนิสัยเข้ากันได้อย่างน่ากลัวนั้นด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลที่ฉายแววพรั่นพรึงกับความคิดที่เกิดจากลางสังหรณ์อันเฉียบคมของตระกูลเดอเบอโรว์ซึ่งฝังแน่นอยู่ในตัว เขาพยายามคิดในทางที่ปกติธรรมดาที่สุดแล้ว แต่ภาพตรงหน้าก็บอกอื่นใดไปไม่ได้นอกจากนี้ อีกทั้งบรรยากาศแห่งความชั่วร้ายที่เขามักจะรับรู้ได้เมื่อคนข้างตัววางแผนบางอย่างครอบคลุมสองบุรุษต่างวัย

เพียงแต่เขายังแน่ใจนักว่าต้นเหตุมาจากใคร ระหว่างท่านตาที่นิสัยแปลกไม่มีใครเหมือน กับเจ้าชายปีศาจผู้อยู่ในคราบของเทวดาทั้งที่ในแววตาคู่นั้นมีเล่ห์กลขนาดปีศาจยังอับอาย

คอร์ลินหันมาปรึกษากับพี่สาวฝาแฝดที่เกิดก่อนไม่กี่นาทีและพบว่าในสายตาของเจ้าหล่อนก็เห็นภาพไม่ต่างกันกับเขานัก

“เธอว่าพวกเขาจะทำอะไรกัน” เขากระซิบถามชิดอีกฝ่ายให้มากที่สุด และหวังว่ามันจะเบาพอที่จะไม่เรียกความสนใจจากสองปีศาจนั่น

“อย่าถามฉันเลย แค่นี้ฉันก็ไม่อยากจะนึกถึงแล้ว” แคเรนกระซิบตอบ นัยน์ตากลมสีดำมีแววหวั่น “นายว่าเป้าหมายจะเป็นใคร พ่อกับแม่ หรือคนอื่น”

คอร์ลินเลิกคิ้ว “คนอื่นที่ว่าน่ะใคร”

“อย่างท่านลุงโรเวน แล้วก็คู่หูนักบวชกับซาตาน”

คอร์ลินพูดไม่ออก เขาหลุดเสียงครางแผ่วอย่างทุกข์ใจ ก่อนเอ่ยออกมาเสียงต่ำๆด้วยความรู้สึกเดือดร้อนแสนสาหัส

“ฉันไม่อยากมีปัญหากับพวกเขาเลย”

แล้วฝาแฝดที่หาความคล้ายกันไม่ค่อยจะเจอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นประกายที่แสนคุ้นเคยในดวงตาคู่สวยสีฟ้าที่ผู้เป็นเจ้าของเผยอริมฝีปากยิ้มละไม ตามมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังนุ่มหู กับประโยคที่เหมือนจะเป็นการชวนคุยธรรมดาๆ เท่านั้น หากสำหรับคนที่ระแวดระวังและรู้จักเจ้าชายปีศาจดีอย่างยิ่งนั้น มันกลับแฝงความหมายบางประการที่อาจก่อให้เกิดปัญหา

“ตอนอายุสิบกว่าๆยังไม่ค่อยเห็นความคล้ายเท่าไหร่ แต่มาดูตอนนี้แล้ว ท่านแม่มีส่วนคล้ายท่านยายอลิเซียมากเลยนะครับ”

เอวิเดสยิ้มกว้างกับคำชมนั้น “ข้าก็ว่างั้น เฟลิโอน่าเหมือนอลิเซียมากเกินกว่าที่ข้าคิดฝันเสียอีก”

“นี่ถ้าท่านแม่สวมชุดแบบเจ้าหญิง ผมว่าคงจะ...” เจ้าตัวไม่พูดต่อให้จบเพื่อหวังจะให้ผู้ฟังได้จินตนาการภาพในฝันนั้นเอง ราชาปศาจเผยรอยยิ้มอ่อนโยน เอ่ยต่อเบาๆ

“เฟลิโอน่าคงจะน่ารักมากๆ เฮ้อ ข้าอยากเห็นวันนั้นเร็วๆจริง”

ต่อจากนั้นก็เป็นการคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไประหว่างตากับหลาน หากภายในใจของผู้เฝ้ามองนั้นกลับว้าวุ่นประหลาดเพราะลางสังหรณ์ส่วนตัวที่ทำงานได้ดีเยี่ยม

“ฉันไม่เชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้มีอะไรแอบแฝงไว้” แคเรนกระซิบเสียงเครียด

“เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันแฝงความหมายไว้เท่าไหร่ต่างหาก...ใช่ไหม” คอร์ลินกล่าวต่อประโยคให้สมบูรณ์ด้วยระดับเสียงเดียวกัน แล้วส่งยิ้มฝืดๆให้ “แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ล่ะว่าท่านแม่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย และนั่นบอกเราได้มากว่าเป้าหมายนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าเป็น...”

“ท่านพ่อ...” แคเรนครางอย่างกลัดกลุ้ม



บุรุษผู้มีเรือนผมสีดำสนิทราวขนนกกาน้ำยืนเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่าง ภาพที่สะท้อนในดวงตาสีนิลไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในความคิดของเจ้าของขณะนี้ สิ่งที่สร้างความสับสนให้กับสมองอันเฉลียวฉลาดของปีศาจผู้ยิ่งใหญ่และร่องรอยตื่นตระหนกที่ซ่อนเร้นอย่างมิดชิดภายใต้ท่าทีไร้ความกลัดกลุ้มนั้นคือสิ่งที่เขาแทบไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ได้

อย่างน้อย...ลางสังหรณ์ของเขาก็เป็นฝ่ายถูก

เอวิเดสบอกตัวเองขำๆ รอยยิ้มผุดพรายยามนึกถึงการสนทนากับหลานชายคนแรกที่แม้ภายนอกจะทำตัวได้สมเป็นเจ้าชายของแผ่นดินมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ แต่สายเลือดของปีศาจที่แม้จะมีเพียงหนึ่งในสี่ก็แทบจะแสดงออกมากลบเศษเสี้ยวอื่นหมด

มันเป็นเรื่องที่น่าปลื้มน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ

จริงอยู่ที่เขาอาจจะเคยหวังอยากให้เฟลิโอน่ามีความรักกับปีศาจ แต่นั่นมันก็เป็นเพราะเขาอยากเก็บเธอไว้ใกล้ๆตัวมากกว่า เขาไม่เคยโกรธที่เฟลิโอน่าเลือกจะรักมนุษย์ เลือกที่จะมีลูกกับคนที่นางรัก หลานของเขาที่มีสายเลือดของมนุษย์ถึงครึ่งหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่อาจปิดกั้นพลังอำนาจแห่งเชื้อสายของปีศาจอันสูงส่งได้

เจ้าชายแห่งคาโนวาลที่ได้รับการขนานนามแห่งปีศาจ เติบโตมาด้วยความหวาดกลัวของมนุษย์รอบข้าง เขาไม่แปลกใจเลยที่เฟนริลเป็นแบบนั้น

หลานของเขาเติบโตมาอย่างเข้มแข็งและมองโลกด้วยสายตาแห่งความเป็นจริง

สายตาที่ทำให้เขาคิดไปถึงคนผู้หนึ่งที่มองโลกด้วยความเย้ยหยัน

...และปีศาจอีกผู้หนึ่งที่เป็นดั่งตำนานเก่าแก่แห่งแดนทมิฬ

ถึงแม้ว่าเฟนริลจะไม่ใช่หลานแท้ๆของเขาเอง เขาก็เชื่อว่าจะถูกใจเด็กคนนั้นเอามากๆแน่ สมองอันปราดเปรื่องรอบรู้จนชวนตะลึงนั้นสร้างความสงสัยให้เขามากพอๆกับความทึ่ง บทสนทนาที่หากอีกฝ่ายเป็นปีศาจที่มีอายุพอๆกับเขาก็คงไม่แปลก แต่นี่อีกฝ่ายกลับเป็นเพียงเด็กที่ไม่น่าจะล่วงรู้ถึงตำนานนั้นได้...

ตำนานที่ว่า...คทาแห่งรัตติกาลกับดาบอัคนีถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของผู้สร้างคนเดียวกัน

มันเป็นความลับ...ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้

แต่ในเมื่อเฟนริลรู้แล้ว เขาก็ไม่เข้าใจว่าจะต้องปิดบังเรื่องนี้ไปอีกทำไม ในเมื่อดูท่าว่าการย้อนอดีตของหลานทั้งสามจะเกี่ยวข้องกับศิลาแห่งห้วงเวลาและผู้สร้างในตำนานไม่มากก็น้อย

ผู้สร้างในตำนาน...

...กับตำนานเทพปีศาจแห่งแดนทมิฬ

เอวิเดสขับไล่ความทรงจำที่เริ่มล่องลอยไปไกลเกินไป พลางคิดสงสัยว่าการอยู่มานานอาจทำให้เขาเข้าใจว่าตนเองแก่ชราเสียแล้ว ทั้งที่หากนับตามอายุขัย เขาแต่งงานและมีลูกเร็วเกินไปด้วยซ้ำ

ความรู้สึกบางอย่างพร่างพรายในอก หากเปรียบให้เป็นภาพก็คงเหมือนมีรูกลวงๆกลางอกที่โดนลมทะลวงซ้ำไปซ้ำมา ราชาปีศาจเผยอยิ้มขบขันตัวเอง หาคำตอบได้ในทันทีว่าเขากำลังอยู่ในภาวะเปลี่ยวเหงาแบบคนแก่เสียแล้ว ทำไมนะ ทั้งที่ยามอยู่เดมอสก็ไม่เห็นจะต่างไปกว่านี้ แต่เมื่อมาสัมผัสกับวิถีชีวิตของเฟลิโอน่า เขากลับคิดว่าชีวิตตัวเองช่างชืดชาเสียจริง

ไม่สิ ในอดีตอันเนิ่นนานของเขาใช่ว่าจะหม่นมัวซะทีเดียวหรอก

เอวิเดสเผลอยิ้มอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัวเมื่อภาพที่บังเกิดในสมองคือภาพของหญิงสาวผู้เป็นที่รัก นางผู้เป็นความทรงจำสั้นๆสำหรับปีศาจที่มีอายุขัยยืนยาวอย่างเขา แต่เป็นความทรงจำแสนสั้นที่เขาจะถนอมรักษาไว้ตลอดกาล

กษัตริย์แห่งเดมอสไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเขาถึงมาปลีกวิเวกคิดเรื่องพรรค์นี้อยู่คนเดียวในมุมเปลี่ยวซึ่งมีบรรยากาศที่ชวนให้เงียบเหงาเข้าไปใหญ่ หากก่อนที่เขาจะเดินผละไปจากตรงนั้น เสียงหวานๆที่เขาจำได้อย่างแม่นยำก็เอ่ยทักทาย

“พ่อฮะ มาทำอะไรอยู่คนเดียวตรงนี้ล่ะ” สาวน้อยที่สวยน่ารักอย่างยิ่งหากจะรู้จักตัวเองซะบ้างส่งยิ้มระรื่นตามประสาคนร่าเริงแจ่มใส เจ้าหล่อนมาในชุดผู้ชายตัวโคร่งซึ่งเอวิเดสรู้มาว่ายืมมาจากหลานชายของเขาเอง

“เฟลิโอน่า เจ้าจะไปไหนหรือ” เอวิเดสถามขณะเฟรินเคลื่อนร่างเข้ามายืนใกล้ๆตัวเขา กลิ่นกายหอมอ่อนๆของดอกไม้บางอย่างทำให้คิ้วเข้มขมวดมุ่น พลางขบคิดอย่างหนักกับสภาพของพระธิดาสุดที่รัก

กลิ่นหอมนี้ไม่ใช่กลิ่นยามปกติของภูติดอกไม้ก็จริง แต่มันก็ช่วยเสริมเสน่ห์ให้เฟลิโอน่าได้มากโข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในป้อมที่แค่ดูคร่าวๆก็รู้ว่าขาดแคลนผู้หญิง นี่ยังไม่รวมถึงนักเรียนชายแต่ละคนที่ท่าทางดิบๆเถื่อนๆไม่น่าไว้วางใจสำหรับคนเป็นพ่อซึ่งมีลูกสาวสวยน่ารักอย่างเขาด้วย

“ถึงเวลากินมื้อเที่ยงแล้ว พ่อจะไปกับผมมั้ยล่ะฮะ” เฟรินเอ่ยชวน เริ่มสงสัยกับอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดของคนเป็นพ่อ “พ่อเป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่านี่ แล้วข้าก็ยังไม่หิวหรอก เจ้าไปเถอะ” เอวิเดสพูดเหมือนนึกขึ้นได้ “เอ้อ ยังไงนี่ก็ยังไม่ลับตาคนอยู่ดี เรียกแบบเดิมดีกว่านะ”

“ฮะๆ ผมรู้แล้วล่ะ” อาการปากยื่นน้อยๆนั่นน่ารักน่าเอ็นดูจนเอวิเดสลืมคำพูดของตัวเองไป

...นี่ไม่ใช่สถานที่ลับตาคน...

และไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะแสดงความรักกันกลางทางเดิน...

แม้ว่าความสัมพันธ์นั้นจะเป็นพ่อกับลูกสาว...ซึ่งไม่มีใครรู้


ชายหนุ่มเอื้อมมือใหญ่ไปดันแผ่นหลังของคนตัวเล็กกว่าไว้โดยที่เจ้าหล่อนไม่ทันตั้งตัวทำให้หล่อนต้องตกอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษร่างสูงที่ถือวิสาสะกอดเธอแนบแน่น แน่นจนคนที่ไม่ค่อยแสดงความสนิทสนมระหว่างพ่อลูกนึกกระดากอาย สีเลือดฉีดขึ้นพวงแก้มขาวให้กลายเป็นสีระเรื่อชวนมอง เรียวปากอิ่มที่เม้มอย่างไม่ค่อยจะพอใจนักคลี่ออกเป็นรอยยิ้มหวานกับปฏิกิริยาอันแสนน่ารักของคนตัวสูง

“ข้ารักเจ้านะ เจ้าหญิงของข้า” เสียงทุ้มกังวานที่กระซิบข้างหูเรียกรอยยิ้มอายๆจากคนในอ้อมแขน และคำตอบกลับที่ชวนให้คิดลึกหากเจ้าของอ้อมกอดนั้นแท้จริงจะไม่ใช่บิดาของเธอเอง

“ผมก็เหมือนกันฮะ”

คำตอบกลับที่พาให้หัวใจปีศาจอุ่นซ่านอย่างปลาบปลื้ม ใบหน้าคมคายโน้มลงเพื่อประทับริมฝีปากกับหน้าผากมน ก่อนคลายแขนออก ปล่อยเจ้าหญิงโฉมงามให้เป็นอิสระ และไม่ลืมที่จะแสดงความรักใคร่อีกครั้งด้วยการหอมแก้มใสเบาๆ

“เจ้าไปก่อนนะ แล้วข้าจะตามไป”

“หิวแล้วเหรอฮะ” เฟรินช้อนนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่โตที่ล้อมกรอบด้วยแผงขนตางอนขับเสน่ห์อันอ่อนหวานของอิสตรีแก่สายตาบุรุษผู้มองซึ่งใช้มือซุกซนไล้เส้นผมสีน้ำตาลเล่น แล้วยกขึ้นดอมดมความหอมหวานที่แตกต่างจากกลิ่นผิวกาย

“จ้ะ” เอวิเดสขานรับเสียงนุ่ม แม้ในใจจะเริ่มเป็นกังวลกับกลิ่นหอมที่ออกจะส่งเสริมเสน่ห์มากเกินไปสักหน่อย

เมื่อได้รับคำตอบแล้ว เฟรินก็แทบจะเรียกได้ว่าโผนทะยานไปตามทางเดินยาวนั้นเพื่อไปให้ถึงจุดหมายเร็วๆ มีสายตาเอ็นดูมองตามหลังไปจนลับสายตา

เอวิเดสระบายลมหายใจออกมาเนือยๆ นัยน์ตาคู่คมกริบนั้นฉายแวววิบวับยามเหลือบไปสบกับดวงตาคู่สีฟ้าของคนคุ้นเคย พระพักตร์ที่ขาวอยู่แล้วของเจ้าชายน้ำแข็งบัดนี้แทบจะเรียกได้ว่าซีดเผือด ด้วยสาเหตุที่ราชาปีศาจพอจะเข้าใจ...แต่ไม่อยากแก้ไข

ตามประสาปีศาจว่างงานกระมัง

“ไม่ยักรู้ว่างานอดิเรกของเจ้าชายแห่งคาโนวาลคือการแอบดูความเป็นส่วนตัวของคนอื่น”

คำเหน็บแนมที่ช่วยดึงสติของคาโลกลับมาประจันหน้ากับเจ้าของแววตาเรียวรีที่บางอย่างในดวงตาสีนิลคู่นั้นเปรียบได้ดังการซ้ำเติม

“ถ้าไม่อยากให้ใครเห็น น่าจะทำในที่ลับสายตา”

เอวิเดสนึกชื่นชมอยู่ในใจที่เด็กตรงหน้าไม่แสดงความรู้สึกออกทางน้ำเสียง และเจ้าชายที่ถูกปลูกฝังมาดีอีกหนึ่งคนก็รีบใช้หน้ากากฟาโรห์ในการปกปิดอาการของคนอกหักทันใด

“ช่วยไม่ได้ เฟลิโอน่าน่ะน่ารักจนข้าเผลอตัว ถ้าเป็นท่านจะห้ามใจได้หรือ” ชายหนุ่มถามกลับเสียงกระเซ้า

...คงจะไม่ได้

คำตอบนั้นดังเพียงในใจเท่านั้น คาโลกล้ำกลืนความรู้สึกอ่อนแอ เรียกปราการของความเย็นชาเข้ามาแทนที่ แล้วเอ่ยคำถามที่คาใจสงสัยเหลือเกิน

“ท่านเป็นอะไรกับเฟริน”

เอวิเดสแสร้งเลิกคิ้วกับคำถามนั้น “แล้วท่านคิดว่ายังไงล่ะ”

“ได้ยินมาว่าท่านเป็นองครักษ์”

“ก็ใช่”

...แต่อยู่ในขอบเขตที่เจ้าหญิงต้องการนะ เอวิเดสเอ่ยต่อในใจ

“งั้นองครักษ์ทำเช่นนั้นกับเจ้าหญิงที่ตัวเองปกป้องหรือ” คนพูดไม่ขยายความไปมากกว่านี้ ซึ่งเอวิเดสก็รู้ และอยากจะแกล้ง...

“ข้าทำตามที่ความรู้สึกเรียกร้อง มันผิดตรงไหน”

ไม่มีคำตอบ เพราะเจ้าชายน้ำแข็งแห่งแดนนักรบเดินกลับไปตามทางที่มา...หากความรู้สึกนั้นช่างแตกต่างอย่างสุดแสน

เอวิเดสยกมือขึ้นเสยผมที่ตกละหน้าผาก มองการเดินอันสง่างามของลูกชายอดีตศัตรูหัวใจที่แม้แผ่นหลังจะตรง ศีรษะจะเชิดสูงเช่นศักดิ์ แต่มันกลับทำให้เขานึกถึงท่าทางของนักโทษที่รู้ว่าวันตายของตนใกล้เข้ามาแล้วแม้จะไม่รู้วันที่ที่แน่นอน

...ดูเหมือนเขาจะเล่นมากเกินไปหน่อย แต่มันช่วยไม่ได้นี่นาที่เจ้าหมอนั่นดันโผล่มาเห็นได้อย่างประจวบเหมาะพอดี และถ้าหากเขาอยากจะแก้ตัว เขาก็ต้องเปิดเผยความจริงอีก มันยุ่งยากจนน่ารำคาญ

เอาล่ะ รอดูไปก่อน รอดูว่าสถานการณ์คงจะไม่ย่ำแย่อย่างที่เขาคาดไว้ หากเจ้าว่าที่ลูกเขยของเขามีใจสู้มากสักหน่อย...

เรื่องอาจจะลงเอยต่างออกไป



เฟรินงุนงงกับอาการรีบร้อนของพ่อปีศาจที่หลังจากกินข้าวเป็นเพื่อนเธอเสร็จก็ผละไปไม่ตามติดเธอเหมือนวันแรกๆ ถึงพ่อของเธอจะไม่แสดงพิรุธออกมาให้เห็นเด่นชัด แต่สังหรณ์อันเฉียบคมของเธอก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมันเตือนเธอว่าเมื่อใดก็ตามที่รอบข้างเธอแปลกไปจากปกติ นั่นหมายความว่ามันเป็นบทโหมโรงของปัญหาบางอย่างที่ใหญ่ได้มากกว่าที่เธอจะนึกฝัน

ระหว่างการเดินกลับห้องซึ่งเธอยังคงปักหลังอยู่ ณ.ห้องของสามพี่น้องจากเดมอส เฟรินก็เงยหน้าขึ้นทันเห็นเพื่อนร่วมอาชีพกำลังหอบถังน้ำจำอ้าวไปโดยไม่ได้ดูเลยว่า...ทางข้างหน้านั้นมีเธอหยุดอยู่เพื่อหวังจะทักทายมัน แต่ก็สายเกินกว่าจะอ้าปากเสียแล้ว

นาทีถัดมา เฟรินก็ยืนตัวเปียกโชกเหมือนลูกหมาตกน้ำทั้งที่เธอไม่ได้ไปแส่หาน้ำให้ตกสักนิด มันมาของมันเอง!

ส่วนเจ้าคนที่หอบถังน้ำไม่ได้ดูตาม้าตาเรือนั่นก็ได้เจอเข้ากับตาสีน้ำตาลที่วาววับขัดเคืองของเจ้าหญิงคนสวยที่เอามือเท้าสะเอวด้วยท่าทีเอาเรื่อง ให้เด็กหนุ่มผมทองยกมือทั้งสองขึ้นด้วยอาการยอมแพ้ ยิ้มหน้าแหย เอ่ยแก้ตัวอย่างไม่มีติดขัดและยกเหตุผลที่เฟรินต้องระงับความโกรธของตนเองลงทันที

“ขอโทษ ผมรีบน่ะฮะ เฟนริลสั่งไว้ด่วนจี๋เลย” แล้วเขาก็ก้มลงมองความว่างเปล่าของถังน้ำ คอร์ลินถอนหายใจอย่างเซ็งๆ “ผมต้องรีบไปเอาน้ำมาเร็วๆ ไม่งั้นไม่รู้ว่าจะโดนเฟนริลแกล้งอะไรอีกบ้าง ไว้ค่อยมาจัดการกับผมทีหลังนะฮะ”

เฟรินแทบไม่ได้พูดเลยสักคำ เจ้าหัวขโมยก็หายวับไปเหมือนพายุใต้ฝุ่นเสียแล้ว ให้คนที่เหลืออยู่ในสภาพดูไม่ได้เอาเสียเลยสบถด้วยคำไม่สุภาพอย่างมาก ลมที่พัดผ่านทำให้ขนลุกซู่ เธอห่อตัวอย่างเริ่มรู้สึกถึงความหนาว พลางบอกตัวเองว่านี่ไม่ใช่เวลาของความโกรธ เธอต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนที่จะไม่สบาย

เจ้าหญิงสองแผ่นดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดิมที่โล่งปราศจากคน หลงเหลือไว้เพียงทางเดินเปียกน้ำ และหัวขโมยคนหนึ่งที่แอบอยู่ตรงหัวโค้งซึ่งระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเพราะทำตามคำสั่งได้ไม่มีผิดพลาด

คอร์ลินวางถังน้ำลงที่พื้นชิดกำแพง มือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบวัตถุหนึ่งขึ้นมา แสงที่ส่องลอดเข้ามาจากทางหน้าต่างเก่าๆโทรมๆตามประสาป้อมอัศวินกระทบกับวัตถุสีทองในมือของคนมือไว

แหวนที่มีกลิ่นไอของเดมอสในมือของสุดยอดหัวขโมยทายาทตระกูลเดอเบอโรว์

เจ้าคนกะล่อนมองแหวนล้ำค่าสำหรับใครบางคน ก่อนจะฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกายระยิบระยับกับจินตนาการเด็ดๆที่ห้ามพลาดเป็นอันขาด

เมื่อเขาปฏิบัติตามคำสั่งของพี่ชายผู้น่าเคารพรักเรียบร้อยแล้ว คอร์ลินก็ไปยังห้องที่นัดกันไว้ด้วยความรวดเร็วชนิดมองตามไม่ทัน ใบหน้าอ่อนเยาว์ของหนุ่มน้อยบ่งชัดถึงความสนุกสนานบนความทุกข์ของคนอื่นชัดเจน!


----->



Create Date : 11 มกราคม 2549
Last Update : 11 มกราคม 2549 10:35:14 น.
Counter : 315 Pageviews.

0 comment
11 ลูกไม้(เน่า)หล่นไม่ไกลต้น
…11
ลูกไม้(เน่า)หล่นไม่ไกลต้น


เสธ.ฝ่ายซ้ายแห่งป้อมอัศวินขณะนี้กำลังทำหน้าที่ที่จะว่าเกี่ยวกับตำแหน่งก็ไม่เชิงอยู่ นั่นคือการเป็นไกด์ให้กับพ่อของนักเรียนตัวปัญหาที่สุดแห่งป้อม...เป็นไกด์นำเที่ยวให้กับราชาปีศาจแห่งเดมอสซึ่งล่าสุดที่ได้เจอคือในสงครามที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนั่น แต่เป็นการเจอกับจ้าวปีศาจ ไม่ใช่บุรุษที่อยู่ตรงหน้าเขานี่

บุรุษที่ไม่ว่าจะดูมุมไหนยังไง ในสายตาของเจ้าชายผู้รู้หน้าที่ของตนเองดีอย่างโรเวน ฮาเวิร์ดก็เห็นเป็นเพียงคนที่หนีงานมาเที่ยวเท่านั้น ใช่แล้ว เหมือนใครบางคน

โรเวนนึกย้อนไปเมื่อเย็นวานนี้ เขาที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกหลังจากได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของเจ้าหญิงแห่งเดมอสและบารามอสที่ขณะนี้ยืนทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างๆบุรุษผู้มีเรือนผมสีดำยาวซึ่งใบหน้าคมคายนั้นมีรอยยิ้มพรายอยู่ นัยน์ตาสีดำขลับคู่คมที่ยังคงไว้ซึ่งอำนาจของปีศาจอย่างที่เป็นหลักฐานให้ผู้เคยเห็นมาแล้วรู้ได้ว่าสิ่งที่รุ่นน้องตัวป่วนบอกเป็นความจริง

ความจริงที่เกินจะทำใจยอมรับได้

โรเวนถอนหายใจยาวด้วยความกลัดกลุ้ม ถัดจากการมาเยือนของคนจากอนาคตซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับนักเรียนตัวปัญหาแห่งป้อมอัศวิน มาคราวนี้ก็เป็นทีของราชาปีศาจแห่งเดมอสบ้างแล้วหรือ อยากจะรู้นักว่าทำไมปัญหามันถึงได้ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ แถมมันยังเป็นปัญหาที่...วุ่นวายชะมัดยาด

โรเวนบอกไม่ถูกว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรกับกษัตริย์ที่หนีความรับผิดชอบทิ้งบ้านเมืองของตนเองไว้แล้วมาเที่ยวอย่างคนตรงหน้า แม้เขาจะทราบแก่ใจดีแล้วว่าราชาแห่งเดมอสไม่เหมือนกษัตริย์องค์ไหนๆ แต่การหนีเที่ยวเป็นอะไรที่...ไม่อยากจะเชื่อ

จะว่ามันเป็นความคล้ายคลึงของพ่อกับลูกดีไหมนะ

ความคล้ายคลึงที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เพราะพระธิดาของจ้าวปีศาจเพิ่งจะมารู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของตนเองก็เมื่อเกือบจะขึ้นปีสองนี่เอง สงสัยสายเลือดมันจะแรงมาก...

ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่และควรจะน่ากลัวบัดนี้กลับเป็นคนที่ไม่ต่างจากพระธิดาผู้ชอบทำตัวเป็นหัวขโมยเลย เนื่องจากนิสัยที่ออกจะ...ขัดกับคำเล่าลือถึงความน่ากลัวของกษัตริย์แห่งเดมอสยิ่งนัก

และเมื่อจ้าวผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนปีศาจเอ่ยขอให้เขาทำหน้าที่เป็นไกด์นำเที่ยวโรงเรียนพระราชา โรเวนก็รู้สึกปวดขมับขึ้นมาทันทีกับสายตาขบขันแกมรู้ทันในความลำบากใจของเขา คนตรงหน้ารู้ดีอยู่แล้วว่าคำตอบของเขาจะเป็นคำอื่นใดไปไม่ได้นอกจาก...ตกลง แต่ก็ไม่วายพูดกวนๆอย่างที่เขาต้องเหล่มองหญิงสาวแต่ตัวที่คงจะรู้นิสัยตัวเองดีถึงได้ยิ้มซื่อๆส่งให้ไว้ก่อน

ด้วยเหตุผลดังกล่าว เจ้าชายโรเวนจึงเป็นอีกผู้หนึ่งที่เดินเคียงมากับบุรุษลึกลับซึ่งได้รับสายตาแสดงความสงสัยและสนใจจากนักเรียนป้อมอัศวินที่เดินผ่าน

เฟรินเผลออ้าปากห้าวหวอดเพราะเพิ่งถูกปลุกด้วยฝีมืออันร้ายกาจของแคเรนที่เธอไม่อยากจะบอกเล่าให้ใครฟังแม้แต่เพื่อนสนิทของเธอเอง ด้วยรู้ดีว่าพวกมันคงจะเอาเธอไปเผาหรือบางทีอาจจะยืมวิธีของแม่สาวผู้น่ากลัวนั่นไปใช้กับเธอก็ได้

“เฟลิโอน่า เมื่อคืนเจ้าไม่ได้นอนห้องเดียวกับเพื่อนของเจ้าหรือ” เอวิเดสถามลูกสาวอย่างสนใจ

เฟรินหาวอีกครั้งแล้วตอบเสียงอู้อี้เนื่องจากเอามือปิดปากตามบทเรียนของสุภาพชนที่ท่านอาลูน่าเสี้ยมสอนมาอย่างดีไร้ที่ติ...แม้จะลืมอยู่บ่อยๆหากอยู่ไกลอาจารย์ก็ตามทีเถอะ

“อ๋อ เปล่าฮะ ผม..เอ๊ย! ฉันไปขออาศัยห้องคนอื่นอยู่น่ะ...ค่ะ”

โรเวนแสดงอาการประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดแบบผู้หญิงลอดริมฝีปากของคนเคยเป็นผู้ชายมาก่อน

เอวิเดสทำสีหน้าประมาณว่าเห็นใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจดี

“ถ้าลำบากนักก็ไม่เป็นไรหรอก เอาแบบที่เจ้าพูดกับเจ้าขโมยนั่นก็พอแล้ว”

เฟรินแสดงอาการโล่งอกออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“คือผมนอนห้องข้างๆน่ะ ตั้งหลายคืนแล้ว พอดีว่ามีเรื่องกับไอ้คาโลมันนิดหน่อย ก็เลย...” เฟรินไม่เอ่ยต่อเพราะอายตัวเองที่ทำตัวเป็นสาวน้อยที่กำลังอินเลิฟ

“หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องที่พูดเมื่อวานหรอกนะเฟลิโอน่า” นัยน์ตาเข้มๆของผู้เป็นพ่อเรียกสีเลือดสูบฉีดแรงจนใบหน้าสวยเป็นสีก่ำน่าเอ็นดู

“ไม่ใช่นะ! อย่างเจ้าบ้านั่นจะมีปัญหาทำอะไรผมได้เล่า ถึงพักนี้มันเกือบจะทำมากกว่าจูบก็...” เสียงพร่ำบ่นหยุดชะงักเมื่อรู้ตัวสายเกินไปว่าผู้ฟังนั้นนอกจากจะมีพ่อที่ชำนาญการทำให้เธอหลุดบ่อยๆแล้วยังจะมีรุ่นพี่สุภาพบุรุษของเธออีก

รุ่นพี่ที่มองเธอด้วยแววตาตะลึงจนสังเกตได้ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสายตาคิดหนัก แล้วตามด้วยการเมินมองไปทางอื่นซึ่งหากเจ้าตัวทำเพื่อไม่ให้รุ่นน้องอายแล้วล่ะก็ มันก็ให้ผลตรงกันข้ามเลย

แม้เฟรินจะอยากแก้ตัวสิ่งที่ตนเผลอหลุดปากไปแล้วแค่ไหนก็ตาม แต่ในเมื่อบุรุษผู้ฟังทั้งสองไม่กล่าวถึงอีก เธอก็ไม่มีความคิดจะรื้อฟื้นให้มันกลายเป็นหนึ่งในเรื่องน่าขายหน้าของยอดหัวขโมย เฟริน เดอเบอโรว์หรอก



เฟรินรู้สึกเหน็ดเหนื่อยราวกับเพิ่งผ่านสมรภูมิมาหมาดๆ ซึ่งก็อาจจะเป็นการเปรียบเปรยที่เข้าท่าเข้าทางที่สุดในความคิดของเธอ การพาพ่อชมป้อมอัศวินไม่ทำให้เธอเหนื่อยทั้งกายและใจได้ขนาดนี้หรอก แต่การที่ต้องทนรับสายตาของคนเกือบทั้งป้อมที่จับจ้องมายังเธอกับพ่อนี่สิที่เป็นอะไรที่ชวนให้กระอักเอามากๆ

เธอลืมไปได้ยังไงนะว่าการเดินเคียงมากับคนแปลกหน้าในโรงเรียนพระราชาและยังพ่วงเสธ.ฝ่ายซ้ายแห่งป้อมอัศวินด้วยนั้นจะเป็นเป้าดึงดูดสายตาได้มากแค่ไหน

อ้อ อาจจะลืมเรื่องเสน่ห์ที่มีมากขึ้นตามส่วนโค้งส่วนเว้าของร่างผู้หญิงสาวสุดสวยนี่ด้วย ถึงส่วนมากจะถูกบดบังด้วยชุดแบบผู้ชายๆ แต่เจ้าพวกตัวผู้ทั้งหลายนั่นมันก็ยังมองไม่เลิก มองจนเธออยากจะไปละเลงเลือดพวกมันนัก

แต่ที่ยิ่งกว่าสายตาและคำซุบซิบของใครทั้งนั้นก็คือคำทักทายจากเพื่อนร่วมชั้นของเธอเอง

มันเริ่มจากเจ้านักรบตาเดียวปากไม่มีหูรูดนั่นที่ดันไปแพร่ข่าวว่าเธอควงกับหนุ่มคนใหม่ทำให้เพื่อนคนอื่นๆต่างแห่มาดูกันหมด ไม่เว้นแต่นายคนชอบแยกตัวอย่างกัซ โทนีย่า ยิ่งพาให้สติของเธอใกล้จะขาดเข้าไปทุกทีๆ

จะว่าโชคดีได้ไหมนะที่เจ้าคาโลมันหายหัวไปพอดี เธอจึงไม่ต้องทนรับสายตาน้ำแข็งเย็นยะเยือกที่มันชอบทำเวลาไม่พอใจและบอกด้วยการสอบปากคำซึ่งเธอพอจะเดาได้รางๆว่ามันต้อง...

เพียงแค่คิดมันก็ทำให้หน้าเธอร้อนผ่าวเสียแล้ว

“เฟลิโอน่า ไม่สบายหรือไง” เสียงทุ้มจากคนข้างตัวดังชิดหูปลุกสติที่หลุดลอยไปให้กลับมา เฟรินเบือนนัยน์ตาสีฟ้าตื่นๆมาสบกับแววตาแสดงความห่วงใยของคนเป็นพ่อ เจ้าหญิงสองดินแดนขยับยิ้มที่คิดว่าสวยที่สุด

“เปล่าหรอกฮะ ผมสบายดี” เฟรินนึกโล่งอกในใจที่พ่อไม่สาวความต่อ เธอตำหนิตัวเองที่ดันเผลอลืมไปว่าอยู่ในระหว่างเดินไปส่งพ่อปีศาจที่ห้อง

เมื่อเย็นวานนี้ เฟรินเตรียมตัวเตรียมใจรับปฏิกิริยาใดๆก็ตามของเสธ.ฝ่ายซ้ายแห่งป้อมอัศวินหลังจากรับฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เธอรู้อยู่แล้วว่าพี่เขาจะต้องอึ้ง แม้จะมองไม่ออกถึงบางสิ่งในนัยน์ตาสีน้ำเงินนั้นเธอก็พอจะเดาได้ถึงความคิดของรุ่นพี่โรเวนที่มีต่อพ่อของเธอเอง เธอก็พอจะเข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายหรอก เพราะฉะนั้นถึงได้ไม่กล้าบอกอะไรที่จะเป็นการเพิ่มภาระโดยใช่เหตุแบบนี้

แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องพึ่งผู้มีหน้าที่รับผิดชอบภายในป้อมโทรมๆนี้อยู่ดี

ก็จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะนอกจากห้องพักของคนหนีงานมาเที่ยวซึ่งไม่เจียมตัวซะบ้างเลยว่าตัวเองเป็นแขกที่เจ้าบ้านไม่ได้รับเชิญ เอ๊ะ หรือเชิญวะ?

เชิญหรือไม่เชิญก็ช่าง แต่การที่พ่อของเธอบอกหน้าซื่อว่า ‘ถ้าเป็นไปได้ ช่วยหาห้องที่อยู่ติดกับเฟลิโอน่าด้วยนะ’ อย่างนี้มันก็ออกจะเกินไปหน่อย ไม่รู้ว่าจะห่วงเธอไปทำไมนัก หรือบางทีพ่ออาจจะอยากอยู่ใกล้เธอล่ะมั้ง

ความคิดที่เรียกรอยยิ้มบนดวงหน้า ใช่ว่าเธอจะไม่ดีใจที่จะได้อยู่ใกล้ๆพ่อ เพียงแต่เธอคิดได้ว่าการอยู่ในสายตาของพ่อนั้นคงทำอะไรไม่สะดวกหลายอย่าง นอกจากจะต้องระวังตัวแล้วยังจะกังวลว่าพ่อจะมีแผนการอะไรด้วยนี่สิ แผนการที่ลางสังหรณ์อันเฉียบคมของเธอบอกว่าน่าเป็นห่วงมากๆด้วย

เพราะฉะนั้นเฟรินจึงอดมีความสุขไม่ได้ที่โรเวนบอกว่า...ไม่มีห้องไหนที่ว่างเลย นอกจากห้องที่อยู่ห่างออกไปถึงหนึ่งชั้น ซึ่งราชาปีศาจต้องจำใจไปพักหากยังอยากจะอยู่ที่ป้อมอัศวินนี้ต่อไป

“ว่าแต่...ป้อมอัศวินของเจ้านี่โทรมกว่าที่คิดไว้อีกนะ” เอวิเดสเปรยขึ้นอย่างปุบปับ เฟรินที่ได้ฟังก็ไม่คิดจะแก้ต่างให้ป้อมที่ตนอาศัยอยู่แม้แต่น้อย

“ฮะ ผมก็ว่างั้นแหละ แล้วพ่อเห็นรอยเหมือนรอยมีดปักกำแพงมั้ยฮะ” เฟรินตีหน้าแหยเมื่อเรียกอีกฝ่ายผิดไปจากที่ตกลงกันไว้ “ขอโทษฮะ ฮาเดส”

หนึ่งในคำสั่งของพ่อก็คือคำพูดคำจาของเธอที่ต้องเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่สุภาพ...และออกจะห่างเหินเกินไปก็เปลี่ยนมาให้สนิทสนมกันเหมือนเวลาที่พูดกับพ่อมาดัส (สนิทกันเกินไปจนลูกไม่เคารพน่ะสิ เออ... แต่ปัญหามันน่าจะอยู่ที่นิสัยมากกว่าแฮะ) แต่เฟรินก็ยังยำเกรงพ่อคนนี้ถึงเลือกที่จะพูดสุภาพ

เอวิเดสนึกทวนจากความทรงจำที่ได้ไปทัวร์ป้อมอัศวินที่ขึ้นชื่อเรื่องความโทรมซอมซ่อ “อืม มีรอยอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ มันมาได้ยังไงกันน่ะ”

“ก็ฝีมือของสองผู้คุมกฎคนสำคัญของป้อมน่ะสิฮะ” เฟรินเฉลย หัวเราะกั๊กๆอย่างเห็นเป็นเรื่องตลก “รอยที่กำแพงมาจากเกมที่พี่ลอเรนซ์ชอบเล่น”

“เกม?”

“เกมไล่ฆ่าซาตานน่ะฮะ” เฟรินปล่อยเสียงหัวเราะอย่างหยุดไม่อยู่เพราะดันนึกภาพประกอบขึ้นมาได้ด้วย แต่แล้วก็ผวาเฮือกหนาวสันหลังขึ้นมาทันใดเนื่องจากเสียงทุ้มที่ดังมาจากทางข้างหน้า

“เฟรี่ บังเอิญจังเลยนะ”

เฟรินมองคนที่เรียกชื่อกวนประสาทด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลหวั่นๆ ยิ่งเมื่อเห็นเจ้าของรอยยิ้มแบบฉบับคนอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจเดินมากับคู่หูที่หน้าบูดอยู่เนืองนิตย์พอกันก็แทบจะหยุดยั้งขาไม่ให้วิ่งปราดได้ทันเวลา แล้วเปลี่ยนมาเป็นส่งยิ้มซื่อๆใสๆขัดตาทัพแทน

“ง่า... หวัดดียามเย็นฮะรุ่นพี่”

“เช่นกันเฟรี่ ไม่ได้เจอกันตั้งแต่คราวนั้นสินะ”

คราวนั้นที่ลูคัสพูดหมายถึงต้นเหตุที่ทำให้เธอทะเลาะกับเจ้าน้ำแข็งตายซาก ความทรงจำที่น่าจดจำและน่ากลบไปพร้อมๆกันนั้นก่อให้เกิดรอยยิ้มแห้งเหี่ยวบนใบหน้าหวานของเจ้าหญิงแห่งเดมอส แต่ก็ยังคิดว่าโชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เธอเอ่ยออกไปอย่างไม่ยั้งคิดเมื่อกี้นี้

ลูคัสเบือนสายตาไปมองบุรุษแปลกหน้าที่ยืนข้างๆเธอ เช่นเดียวกับลอเรนซ์

“เฟรี่ แนะนำให้รู้จักหน่อยสิ” ลูคัสกล่าวยิ้มๆ ผิดกับแววตาที่ชวนให้เฟรินอยากจะลากพ่อปีศาจโกยอ้าวจริงๆ

“เอ่อ เขา...อ่า...คือว่า...” เฟรินมองพ่อเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับรุ่นพี่อย่างไรดีถึงจะฟังน่าเชื่อถือ แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อคนที่ต้องแนะนำให้รู้จักเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองเสียเลย

“ข้าเป็นคนจากเดมอส เรียกข้าว่า...ฮาเดสก็ได้” คำแนะนำตัวมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเผินๆเหมือนการผูกมิตร หากนัยน์ตาสีดำนั้นกลับฉายแววบางอย่างที่เรียกให้สายเลือดของทริสทอร์เกิดปฏิกิริยา

“คนจากเดมอส” บุรุษหนุ่มผมทองเอ่ยทวน นัยน์ตาสีม่วงขึงเครียดทันที ก่อนถามด้วยน้ำเสียงไร้ความเป็นมิตรอย่างสิ้นเชิง “แล้วมาทำอะไรที่เอดินเบิร์ก”

“เจ้าหญิงแห่งเดมอสอยู่ที่นี่แล้วจะให้ข้ามาทำอะไรได้อีกล่ะ” เอวิเดสตอบเสียงระรื่น ไม่อนาทรร้อนใจกับการแสดงออกของมนุษย์ที่อ่อนวัยกว่ามาก

“หรือจะมาเป็นองครักษ์ให้เฟรี่ ทั้งที่ใช้พลังไม่ได้น่ะหรือ” น้ำเสียงลูคัสยังคงราบเรียบ หากคนที่จำใจรู้จักกันมานานอย่างลอเรนซ์จับได้ว่ามันแฝงไว้ด้วยความท้าทายอยู่ในที ซึ่งผู้เป็นเป้าหมายนั้นก็รู้สึกได้

“ปีศาจมีอำนาจมากกว่าที่พวกเจ้าคิด เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าใคร ซาตานแห่งทริสทอร์”

ดวงเนตรสีนิลเร้นลับมองสบกับนัยน์ตาสีดำสนิทของซาตานหนุ่มที่แม้จะน่ากลัวเพียงใดก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ อีกทั้งยังเป็นคนจากทริสทอร์ซึ่งมีตำนานว่าเป็นทาสของปีศาจ จึงไม่แปลกที่เลือดในกายของลูคัส ซาโดเรียจะตอบสนองต่อบุรุษผู้แท้จริงคือราชาปีศาจ ไม่ว่าจะเป็นการตอบสนองในทางใดก็ตาม

เฟรินที่อยู่เงียบผิดวิสัยเห็นท่าไม่ดีก็เสี่ยงพูดขัดจังหวะออกไป ก่อนที่จะเกิดศึกซาตานปะทะจ้าวปีศาจที่แอบหนีมาเที่ยว

“อ้า ถึงห้องแล้วล่ะฮะ ฮาเดส” เอ่ยเป็นการเตือนทางอ้อม พลางก็สะกิดเอวอีกฝ่ายด้วย

เอวิเดสมองลูกสาวอย่างเข้าใจ พยักหน้าตอบรับ แล้วกล่าวกับอีกมนุษย์อีกคนหนึ่งที่ถูกใจ

“พรุ่งนี้ค่อยคุยต่อแล้วกัน ลูคัส ซาโดเรีย” แล้วก็ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ หันมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายหยอกเด็กเล่นกับนักบวชผมทองที่มองอย่างระแวดระวัง “เจ้าทำท่ายังกับแมวระวังภัยเลยนะ ลอเรนซ์ ดอร์น”

ประโยคที่ลูคัสยกมือปิดปากกลั้นหัวเราะ เฟรินรีบลากคนปากไวเข้าห้องแล้วปิดประตูทันที แต่เธอก็ยังได้ยินเสียงการเริ่มต้นอีกครั้งอย่างไม่รู้เบื่อรู้หน่ายของเกมโปรดของสองรุ่นพี่ผู้คุมกฎ

เกมไล่ฆ่าซาตาน



ระหว่างที่เฟรินนั่งคุยเล่นอยู่ในห้องของบุรุษแปลกหน้าจากเดมอสซึ่งที่แท้แล้วกลับเป็นคนใกล้ตัวอย่างพ่อตัวเอง ที่ห้องนั่งเล่นของชั้นปีสาม (ถึงจะยังไม่ได้เรียนเลยสักวิชาก็จัดว่าขึ้นปีสามแล้วนะ) บรรดาผองเพื่อนที่หลังๆนี้จะติดนิสัยของเฟรินมาอย่างหนึ่งแล้ว

นิสัยที่เห็นเรื่องลำบากของเพื่อนเป็นเรื่องน่าสนใจของเราไงล่ะ

เสียงพูดคุยปรึกษาหารือดังขนาดเล็ดลอดออกมาข้างนอกให้ผู้ผ่านไปผ่านมาได้แปลกใจที่ลิงทโมนตัวปัญหาแห่งป้อมพูดกันอย่างเอาการเอางานมาก หารู้ไม่ว่าเนื้อหาของบทสนทนาดังกล่าวนั้นชวนหนักใจและเอือมระอาเป็นที่สุดของที่สุด

ศูนย์กลางของการประชุมที่จัดขึ้นด้วยเสียงข้างมากนี้คือนักรบตาเดียวแห่งไนล์ผู้มีจุดเด่นที่ตาข้างหนึ่งคาดไว้ด้วยสายหนังสีเข้มและจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของหมอนี่ก็คือ...ความเชี่ยวชาญในการจีบสาว แม้จะต้องตกเป็นอันดับสองรองจากเฟรินก็ตาม

ความเชี่ยวชาญที่ขณะนี้เป็นจุดสนใจอย่างยิ่งเนื่องจากมันมีความจำเป็นกับคู่รักที่เป็นหัวข้อสนทนาหรือหัวข้อเรื่องซุบซิบนินทาของเพื่อนแสนดีทั้งหลาย

“อืม... ไม่น่าเชื่อเลยนะ” ครี้ดเอ่ย กอดอกพลางพยักหน้าเนิบๆ ทำอาการเดียวกับหลายๆคนในห้อง “ว่าเจ้าเฟรินมันจะหาแฟนใหม่ได้แล้ว คบกันไม่ทันไรเลยก็เขี่ยเจ้าชายทิ้งซะ...แอ๊ก!”

เสียงอุทานดังขึ้นเพราะความเจ็บที่กะโหลกศีรษะซึ่งเรียกให้คนหัวแข็งหันขวับกลับไปมองว่าใครกันที่เอาคทามาโขกหัวเขา...

เอ๋ คทา...

คำตอบได้รับแล้ว หากครี้ดนึกอยากย้อนเวลากลับไปเพื่อที่จะหนีเมื่อรู้ว่าโดนอะไรเขกกบาล ก่อนที่จะได้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าวาววับแสดงเจตจำนงอันมุ่งมั่นที่จะ...ฆ่าเขาให้ตายคาคทาอาวุธสำคัญของเจ้าหล่อนที่เป็นแม่มดภาษาอะไรก็ไม่รู้จากวิทช์

“พวกนาย...”

เสียงที่ข่มกลั้นโทสะเสียดแทงเข้าไปในหัวของหนุ่มๆที่หาเรื่องใส่ตัวซึ่งพากันอกสั่นขวัญแขวนกันหมด

นิสัยชายชาตินักรบอย่างหนุ่มป้อมอัศวิน เจอเรื่องอันตรายบ่ยั่น แต่เจอผู้หญิงโกรธนี่...โกยอ้าว!

เร็วเท่าความคิด ขาของเหล่าทโมนทั้งหลายยกเว้นจ่าฝูงชั่วคราวพากันติดเกียร์หมาโดยทิ้งครี้ดไว้ภายใต้ความเมตตาการุณย์ของแม่มดผู้เหี้ยมโหดขึ้นมาทันตาเห็นหากคทาอยู่ในมือ แต่ทว่าฝูงที่โรมรันพันตูเพื่อจะออกจากห้องก่อนเป็นคนแรกกลับหยุดชะงักความเคลื่อนไหวอย่างทันทีทันใด ไม่มีใครอยากจะเข้าไปใกล้ประตูทางออกกันเลยสักคน เนื่องจากว่า...เจ้าแม่แห่งชั้นปีสามยืนเท้าสะเอวมองด้วยนัยน์ตาสีเขียวมลังเมลืองจากอารมณ์โกรธ และเจ้าหญิงผู้สวยน่ารักก็ยิ้มอย่างเย็นชาราวถอดแบบมาจากญาติห่างๆของเจ้าหล่อนเลยก็ว่าได้

มาทิลด้าแย้มยิ้มเหี้ยมเกรียมเรียกให้เหล่าหนุ่มๆผู้ฟังขนลุกชัน “ดูท่าพวกนายจะว่างงานมากนะ”

“อ่า... มันก็ไม่ว่างเท่าไหร่หรอกจ้ะมาทิลด้า” ครี้ดตอบอย่างกล้าๆกลัวๆ และก็ร้องดังลั่นกว่าเสียงของคทาที่ประชันความแข็งกับหัวของเขา คราวนี้สาวน้อยผมทองเพิ่มแรงเข้าไปอีกเป็นเท่าตัวทำเอาครี้ดเห็นดาว

“เห็นอยู่ชัดๆว่าว่างงาน! พวกนายนี่มันสมองกรวงเหมือนเจ้าหัวขโมยนั่นกันหมดหรือไงนะ วันๆถึงได้มัวแต่จับกลุ่มคุยฟุ้งเรื่องคนอื่นเค้าน่ะ” แองเจลิน่าพูดพาดพิงไปถึงอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

“ไม่ได้คุยฟุ้งจ้า” ครี้ดที่เริ่มฟื้นตัวจากฤทธิ์คทาของเจ้าหล่อนรีบแก้ตัว ซึ่งเจ้าเพื่อนคนอื่นมันก็ให้เขาเป็นคนรับหน้ากับเหล่าแม่ยอดขมองอิ่มทั้งหลายอีกต่างหาก โธ่เว้ย ไอ้เพื่อนไม่รักดี!

“งั้นก็ซุบซิบนินทา นี่หรือผู้ชาย” มาทิลด่าเอ่ยเสียงเหยียดๆ

“เปล่านะ พวกเราก็แค่คุยกันเรื่องคู่ควงคนใหม่ของเฟรินเท่านั้นเอง” เจค สวอนสารภาพด้วยกลัวว่าเพื่อนคู่ฮาจะโดนชำระโทษจนสมองเสื่อม ไม่มีปัญญามาก๊งเหล้าเป็นเพื่อนกับเขาอีก

เพื่อนฝูงรุมกรูกันเข้ามาตะครุบปากเจ้าคนปากไวที่สารภาพไปเสียแล้ว

“เมื่อกี้...นายว่าไงนะ” แองเจลิน่าถามอย่างไม่เชื่อหู

“เจค ครี้ด เล่ามาเดี๋ยวนี้!” มาทิลด้าออกคำสั่ง

คำส่งของเจ้าแม่ที่เหล่าทโมนทั้งหลายยอมศิโรราบ ปฏิบัติตามแต่โดยดี



สาวน้อยผู้มีเรือนผมสีเงินยาวสลวยเยื้องกายออกจากโรงอาหารของป้อมอัศวินหลังจากฟาดอาหารไปทั้งหมดอย่างชวนให้ตะลึงว่าที่กินๆเข้าไปนั่นเอาไปเก็บไว้ที่ส่วนไหนในร่างเล็กแบบบางนั้นนะ แคเรน วาเนบลีก้มหน้าครุ่นคิดถึงความสงสัยที่ค้างคาใจมาตั้งแต่เช้า

ความสงสัยที่ผุดขึ้นมาในใจหลังจากที่เห็นว่าผู้เป็นพี่ชายของเธอนั้นหายไปจากห้องแล้ว หายไปอย่างไร้ร่องรอยพอๆกับเจ้าน้องชายฝาแฝดตัวแสบของเธอที่ปกติมันตื่นสายจนไม่น่าให้อภัย มาวันนี้กลับตื่นก่อนเธอและชิ่งไปไหนก็ไม่รู้

มันน่าหงุดหงิดและน่าสงสัยจริงๆเลย

แคเรนบ่นพึมพำบางอย่างกับตัวเองถึงนิสัยลึกลับของเฟนริลที่บางครั้งก็นำความขุ่นเคืองมาให้เธอมากโข อีกทั้งเจ้าคอร์ลินตัวป่วนนั่นก็ดันไม่ยอมอยู่เป็นเพื่อนกันก่อนอีก จริงอยู่หรอกว่าในป้อมอัศวินยุคนี้ไม่มีสิ่งใดแตกต่างจากสมัยของเธอนัก แต่ยังไงก็ไม่ควรทิ้งให้พี่สาวอยู่คนเดียวเลย แย่ชะมัด แล้วนี่ถ้าเกิดเจอพวก...

“เฮ้ย!”

เสียงอุทานจากคนที่เธอเผลอเดินเหยียบเท้าเข้าให้เพราะไม่ได้มองทางให้ดีๆ เจ้าหญิงคนสวยรีบชักเท้าออก เงยหน้ามองคนที่ดันเอาเท้ามาให้เธอเหยียบแล้วกล่าวขอโทษอย่างผู้มีมารยาทดีไร้ที่ติ หากคำตอบที่ได้รับมาจากอีกฝ่ายซึ่งออกจะส่งท่าทางตัวผู้เกินไปหน่อยนั้นเกือบจะยั้งเธอไว้ไม่อยู่

“โอ้ว้าว สวยอย่างนี้ไม่เป็นไรเลยจ้า ยังไงคราวหน้าก็ล้มทับทั้งตัวเลยก็ได้นะ”

นัยน์ตาสีดำวาววับมองลึกเข้าไปในแววตาหวานเชื่อมของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่านายคนนี้ไม่มีอะไรนอกจากความปากพร่อยก็คิดจะให้อภัยแล้วเชียว จนกระทั่งเจอกับประโยคต่อมา

“ถ้าว่างไปคุยกันต่อที่ห้องฉันมั้ย ยินดีต้อนรับเลยนะ”

เสียงของความอดทนที่ขาดสะบั้นลงทันใดมาพร้อมกับเสียงเข้มไม่คุ้นหูที่ดังขึ้นจากเบื้องหลังของเธอ

“กล้ามากนะที่พูดอย่างนี้”

“การชวนผู้หญิงที่เพิ่งพบหน้าเข้าห้องนี่เป็นการหมิ่นเกียรติและลบล้างความเป็นสุภาพบุรุษของตัวเองนะรู้รึเปล่า”

ประโยคแรกดังมาจากบุรุษผมทองที่ทำหน้าบึ้งอารมณ์ขุ่นมัวทั้งวันและทุกวัน

ประโยคหลังออกมาจากเรียวปากที่กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มของซาตานผู้เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ

ทั้งหมดส่งผลให้ใบหน้าของคนที่ไม่เป็นสุภาพบุรุษซีดเผือดทันใด รีบขอโทษขอโพย ก่อนจะหนีไม่คิดชีวิต

“เหอะ! คนแบบนี้หลุดมาป้อมอัศวินได้ยังไงนะ” ลอเรนซ์เอ่ยเยาะหยัน

“เอาน่าๆ มันก็ต้องมีบ้างแหละ” ลูคัสกล่าวอย่างใจเย็น ก่อนเบนสายตามาสบกับนิลคู่งามที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว “อรุณสวัสดิ์ แคเรน”

เมื่อมีคนทักทายมาอย่างสุภาพ ไฉนเลยจะไม่ตอบกลับไปแบบเดียวกัน

แคเรนเผยรอยยิ้มหวาน...สวย

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่ลูคัส พี่ลอเรนซ์ มาได้จังหวะพอดีเลยนะคะ”

“อืม... อันที่จริงฉันยอมรับนะว่ารอเธออยู่” ลูคัสสารภาพพร้อมเสียงหัวเราะ

แคเรนมีสีหน้ารับรู้ “คงจะถามถึงเรื่องคนจากเดมอสใช่ไหมคะ เสียใจค่ะ ฉันไม่รู้อะไรเลย ฉันไม่ใช่เฟนริลที่จะรู้ทุกเรื่องนี่คะ”

“แล้วพี่น้องของเธอไปไหน” เสียงถามห้วนๆจากลอเรนซ์ไม่ทำให้สาวน้อยหวั่นสักนิด เจ้าหล่อนกลับเชิดศีรษะตั้งตรง ตอบอย่างไม่สนใจว่าสายตาของผู้คุมกฎหน้าบูดจะดุดันมากขึ้นแค่ไหน

“ฉันกับพวกเขาไม่ได้ตัวติดกันขนาดจะรู้ว่าไปไหนนี่คะ ในเมื่อพี่อยากจะพบเขานักทำไมไม่เฝ้าเขาซะเลยล่ะ”

ประโยคชวนหาเรื่องเด่นชัดก่อให้เกิดอาการกัดฟันกรอดอย่างระงับอารมณ์ของชายหนุ่มร่างสูง

“อ่า... เย็นๆฉันค่อยมาหาอีกทีแล้วกัน ไปเถอะลอรี่...” ขาดคำ เสียงดังฉึกเนื่องจากอาวุธถนัดมือของนักบวชถูกปาออกไปยังคนกวนโทสะซึ่งเป็นเป้าชั้นเลิศ จากนั้น เกมไล่ฆ่าซาตานก็เริ่มขึ้นต่อหน้าต่อตาสาวน้อยที่พยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิต ก่อนจะเบือนสายตาไปมองมีดสั้นที่ปักคากำแพงซึ่งเป็นต้นเหตุของรอยประดับกำแพงป้อมอัศวินที่แม้กาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดมันก็ยังอยู่...

ยังคงอยู่ให้รุ่นน้องได้รู้ว่าครั้งหนึ่ง ซาตานกับนักบวชเป็นคู่หูที่สนิทกันเพียงไร



กำหนดการนำเที่ยวของเจ้าชายแห่งเจมิไนที่ดำรงตำแหน่งเสธ.ฝ่ายซ้ายแห่งป้อมอัศวินในวันนี้คือการพากษัตริย์และเจ้าหญิงแห่งเดมอสเยี่ยมชมปราการปราชญ์ ปราสาทขุนนาง และแผ่นดินประชาชนตามลำดับ ซึ่งได้รับคำอนุญาตพิเศษจากจอมปราชญ์เลโมธีให้บุคคลภายนอกสามารถเข้ามายังหอพักอื่นนอกเหนือจากป้อมอัศวินได้

เฟรินที่ตอนแรกดีใจที่ได้มาเยือนหออื่นบ้างก็แทบจะโยนความคิดนี้ลงเหวเนื่องจากว่าแม้จะเปลี่ยนสถานที่หากเธอก็ยังเป็นเป้าสายตาเช่นเคย หัวขโมยที่เกลียดการเป็นจุดเด่นหรือจุดสนใจทำตัวลีบเล็กเดินเคียงมากับบุรุษร่างสูงที่ใส่ชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนยามอยู่ที่เดมอส

บุรุษที่มองเธอด้วยความเอ็นดูเสมอ

ความเอ็นดูที่ใครบางคนอาจมองผิดว่าเป็นแววตาหวานเชื่อมที่มีให้คนรักกัน

และนั่นจึงไม่แปลกหากข่าวลือนี้จะแพร่ขจายโดยตอกไข่ใส่สีซะยิ่งกว่าเดิม

แต่สองผู้เป็นข่าวดังแห่งโรงเรียนพระราชาบัดนี้ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย ยังคงเที่ยวชมสถานที่ซึ่งไม่ใช่ที่เที่ยวอย่างเพลิดเพลิน

เฟรินเดินก้าวไปช้าๆเพราะสายตาไล่ไปตามทางอันหรูหราประดับประดาไปด้วยสิ่งของตกแต่งมากมายของปราสาทขุนนาง ทางอันคุ้นตาที่นำเอาความทรมานให้กับโรคหัวขโมยยิ่งนัก

“ปราสาทขุนนางนี่ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนก็เลิศอลังการไม่เปลี่ยนเลยแฮะ” เสียงบ่นเบาๆตามประสาเฟริน เดอเบอโรว์ดังไปเข้าหูบุรุษต่างวัยต่างนิสัยทั้งสองซึ่งสะดุดใจกับความหมายของประโยคที่เจ้าตัวเอ่ยออกมาโดยไม่รู้สึกตัว

“ต่อไปก็แผ่นดินประชาชนใช่ไหมฮะพี่โรเวน” เฟรินถาม นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกายระยับ แถมเข้ามาใกล้เกินความจำเป็น ให้โรเวนขยับตัวถอยห่างอย่างกลัวว่าแค่ข่าวลือกับองครักษ์จากเดมอสจะยังไม่พอ พ่วงเขาไปด้วยอีกคน ก่อนตอบด้วยการถามกลับว่า

“ทำไมถึงได้ดีใจนักล่ะเฟริน”

“ก็แหม พี่ไม่รู้เหรอฮะ อาหารที่ห้องอาหารฟีนิกซ์น่ะเขาล่ำลือกันว่าสุดยอดเลยนี่ ผมเองก็เพิ่งกินไปมื้อเดียวเอง หิวแล้วด้วย”

“มื้อเดียว” โรเวนทวนคำขำๆ “ตื่นสายหรือไง”

เฟรินยิงฟันขาว “เมื่อคืนผมคุยกับพ...ฮาเดสจนดึกไปหน่อย วันนี้เลยตื่นเอาเกือบสิบเอ็ดโมง มื้อแรกของผมเลยกลายเป็นมื้อกลางวันน่ะฮะ”

โรเวนโคลงหัวอย่างเข้าอกเข้าใจดี ก่อนจะนำไปยังที่หมายต่อไปซึ่งเป็นหอพักสุดท้าย...แผ่นดินประชาชน

หรือพูดให้ถูก พาไปห้องอาหารฟีนิกซ์



สีหน้าของเมจิคปรินซ์ยามนี้ปนไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยใจและตกตะลึงเป็นที่ยิ่ง ก่อนจะเรียกหน้ากากฟาโรห์มาสวมกลบความตกใจที่มีต่อภาพตรงหน้าและความจริงที่ได้พิสูจน์มาแล้วกับตาคู่นี้ของตัวเอง

ภาพที่พิสูจน์ว่าสายเลือดนั้นแรง...และคำว่า ‘ลูกไม้(เน่า)หล่นไม่ไกลต้น’ นั้นเป็นเรื่องจริง

โรเวนเคยเห็นเฟริน เดอเบอโรว์ยามทานอาหารมาก่อนแล้วจึงไม่ได้แปลกใจเลยหากความเร็วในการเขมือบและปริมาณที่ยัดเข้าไปในปากของเจ้าหล่อนจะชวนตกตะลึงได้ขนาดนี้ แต่...สิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดถึงมาก่อนก็คือความจริงที่ว่านิสัยในการกินของคนที่ทำตัวไม่สมเป็นเจ้าหญิงนั้นได้รับการสืบทอดต่อมาจากรุ่นพ่อซึ่งทำตัวได้ไม่สมกับเป็นราชาพอกันเลย

บนโต๊ะนั้นแออัดยัดเยียดไปด้วยจานอาหารซึ่งฟากหนึ่งคือแถวของจานเปล่าที่ตั้งสูงขึ้นเรื่อยๆจนน่าหวาดเสียวว่ามันจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ แต่ตัวเขมือบทั้งสองก็แก้ปัญหาง่ายๆด้วยการแบ่งเป็นสองแถว และโรเวนหวังว่ามันจะสิ้นสุดลงก่อนจะขึ้นแถวที่สาม

เขาได้ยินมาบ้างเหมือนกันว่าเฟรินไม่กินเนื้อสัตว์ และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่มาดัส เดอเบอโรว์ไม่คิดจะเอาลูกสาวคนนี้พ่วงท้ายติดไปเกาะทะเลใต้ด้วย (แต่เหตุผลใหญ่ๆนั้นโรเวนคิดว่าเพราะมีค่าหัวมากกว่า) แต่เขาเพิ่งจะได้รู้วันนี้เองว่าจ้าวปีศาจก็มีรสนิยมการกินไม่ต่างจากพระธิดาเลย

เฟรินเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวเพื่อดื่มน้ำพอดีจึงทันเห็นนัยน์ตาสีน้ำเงินที่จับจ้องมองของรุ่นพี่ที่นั่งเงียบคอยเธอกับพ่อทานมื้อที่สองของวันอยู่

“มีอะไรเหรอฮะ”

โรเวนยิ้มแล้วเปรยขึ้น “แค่แปลกใจที่ปีศาจไม่ทานเนื้อน่ะ”

“อ๋อ เรื่องนั้นมันมีที่มาที่ไปฮะ แล้วผมจะเล่าให้ฟังทีหลัง”

สิ้นคำก็จัดการเขมือบจานตรงหน้าหมดในเวลาไม่กี่นาที ให้โรเวนถอนหายใจและนึกเป็นห่วงอนาคตของเดมอส ยิ่งไปกว่านั้นคืออนาคตของคาโนวาลที่จะได้เจ้าหญิงหัวขโมยเป็นราชินี



เมื่อสองพ่อลูกจอมเขมือบอิ่มเอมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เฟรินก็นั่งเอนซบไหล่ผู้เป็นพ่ออย่างหมดท่า ผิดกับบุรุษข้างกายที่กินมากกว่าหลายเท่าตัวหากไม่แสดงอาการอึดอัดที่บริโภคอาหารเกินอัตราเลยสักนิด ตรงกันข้าม เอวิเดสกลับบ่นว่าอาหารของเดมอสดีกว่ามีประโยชน์กว่าเป็นไหนๆ

บ่น...ทั้งที่ตัวเองจัดการกินไปไม่ใช่น้อยๆ

โรเวนเอือมระอากับนิสัยอันมีปัญหาของสองพ่อลูกตระกูลเกรเดเวล ก่อนตัดสินใจที่จะเลิกสนใจเพราะมันให้ผลดีกับประสาทตนเองมากกว่า

เฟรินพ่นลมพรืด ก่อนจะพูดอย่างทุลักทุเลด้วยความที่กินไม่รู้จักประมาณตัว

“โธ่เว้ย ไม่น่ากินเยอะเลย บ้าชะมัด”

เอวิเดสแย้มพระโอษฐ์ ดำรัสว่า

“จะมาแข่งกับข้า ยังเร็วไปหลายร้อยปีนะ...เฟลิโอน่า”

เฟรินขานรับอยู่ในใจ สาปแช่งความคิดชั่ววูบที่คิดจะแข่งกับพ่อ

ใช่สินะ ไม่ว่าพ่อคนไหนๆเขาก็ไม่เคยชนะสักที อ้อ... อาจจะยกเว้นเรื่องหมากรุกเรื่องเดียว

“แล้วจะเดินกลับไหวไหม” โรเวนถามเสียงเนือยๆ

เฟรินรวบรวมแรงฮึดจะลุกขึ้น แต่ก็ไม่สำเร็จ พยายามอยู่หลายครั้งจนคนข้างตัวรำคาญ เอ่ยตัดบทง่ายและไม่รอให้เจ้าตัวป่วนได้คัดค้าน ยื่นมือไปโอบหลังคนตัวเล็ก แล้วสอดแขนอีกข้างรองใต้ข้อพับขา ก่อนจะออกแรงเพียงนิดเดียวอุ้มหญิงสาวแต่ภายนอกขึ้นตัวลอยโดยไม่แคร์สายตาคนอื่นที่มองมาอย่างเห็นเป็นเรื่องตื่นตาตื่นใจ

“เฮ้ย! พ..พ...” เฟรินยั้งปากตัวเองไว้ทัน “ทำอะไรเล่า ปล่อมผมลงนะ”

“แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะได้ไปสักทีล่ะ อยู่เฉยๆเถอะ เดี๋ยวข้าจะพากลับห้องเอง” เอ่ยสั่ง แล้วเดินลิ่วๆไม่สนใจเจ้าชายคนสำคัญแห่งเจมิไนที่กุมขมับอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า ถอนหายใจอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ แล้วค่อยเดินตามคนที่ทำอะไรได้สะดุดตาดีแท้

น่ากลัวว่าป้อมจะต้องกลายเป็นพาหุหิมะด้วยฝีมือของเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่สติแตกเพราะเห็นภาพบาดตาบาดใจซะแล้วสิ



เป็นอย่างที่โรเวนคาดเดาไว้ วันรุ่งขึ้น เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องอาหารดรากอนก็ได้ยินข่าวที่เขาพบเห็นมากับตาตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

คำเล่าลือหนาหูที่ว่าเจ้าหญิงแห่งเดมอสมีพระคู่หมั้นเป็นบุรุษหนุ่มผมสีดำนัยน์ตาสีดำสนิทซึ่งรักกันหวานชื่น และมีหลายคนได้ยินเจ้าตัวแสบให้อีกฝ่ายเรียกนามที่ไม่ชอบได้ตามสบาย นั่นเองอาจเป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นเชื่อกันว่า...ภาพที่พวกตนเห็นคือภาพของคู่รักที่หวานกันจนเลี่ยน

หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ โรเวนก็แทบจะไม่ต้องไปซักถามข่าวลือนั้นจากใครเลย เพราะแค่เขานั่งกินอยู่กับโต๊ะก็มีข่าวจากคนนู้นทีคนนี้ทีลอยมาเข้าหู จนกระทั่งเขาคิดว่าได้ฟังทั้งหมดแล้วก็เกิดอาการอึ้งกะทันหันกับข่าวลือที่ได้รับการปรุงเสริมเติมแต่งจนแทบไม่เห็นเค้าเดิม

และบางทีออกจะหวือหวาเกินไปด้วยซ้ำกับข่าวที่ว่าเฟลิโอน่า เกรเดเวลอยู่ห้องเดียวกับบุรุษจากเดมอสสองต่อสองทั้งคืน

เป็นข่าวที่ใครได้ฟังได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะตีความสองแง่สามง่าม ยังดีที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยออกมาเป็นคำพูดเท่านั้น และจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่มันก็ส่งผลไม่ค่อยดีนักกับชีวิตอันหวานชื่นกับคนรักจริงๆของคนที่ตกเป็นขี้ปากเพื่อนร่วมป้อมอัศวินหรืออาจทั้งโรงเรียนพระราชา

ทั้งที่ความจริงมันก็เป็นเพียงเรื่องตลกร้ายของปีศาจ...เท่านั้นเอง

โรเวนไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงดีระหว่างปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม หรือจะยื่นมือเข้าไปช่วยซึ่งอาจเสี่ยงกับอะไรได้หลายๆอย่าง

บางที...เขาน่าจะลองดูไปก่อน แล้วถ้ามันไม่ไหวจริงๆค่อยช่วยสักนิดสักหน่อยก็น่าจะได้



เฟรินยังมีอาการของคนเพิ่งตื่นนอนและมีมือเล็กๆของสาวน้อยผมสีเงินยาวสลวยคอยดันหลังให้ก้าวไปข้างหน้าเหมือนคนละเมอ ภาพที่สร้างรอยยิ้มด้วยความขบขันจากผู้ผ่านไปผ่านมา รวมไปถึงสายตาแสดงความสนใจและสงสัยที่พุ่งไปยังเจ้าหญิงที่ไม่สมเป็นเจ้าหญิง ให้เจ้าหญิงอีกคนหนึ่งเกิดคำถามขึ้นในใจและหมายมั่นว่าจะถามใครสักคนที่น่าจะรู้เรื่องนี้ดี อย่างเช่นเสธ.ฝ่ายซ้ายแห่งป้อมซอมซ่อนี้

“เฟริน”

แคเรนเห็นแองเจลิน่า โรมานอฟยืนเท้าสะเอว มือข้างหนึ่งถือคทา ใบหน้าน่ารักงออย่างไม่พอใจ...อย่างมากด้วย

“นายจะให้คนอื่นรอไปถึงไหนยะ” แองจี้กระแทกเสียงหวังจะให้คนขี้เซาลืมตามองเธอเสียที แต่หารู้ไม่ว่าเจ้าตัวยุ่งนั้นตื่นยากแค่ไหน และเธอก็เพิ่งมารู้ชัดเอาขณะนี้ แองจี้จึงคิดจะใช้วิธีที่ได้ผลเสมอมา แม่มดสาวเงื้อมือที่ถือคทาขึ้นเพื่อจะกระทำแบบเดิมๆ แต่สาวน้อยเอ่ยห้ามด้วยรอยยิ้มหวานล้ำ

“ความรุนแรงบางครั้งก็แก้ปัญหาได้ไม่ถึงที่สุดนะคะพี่แองจี้ ฉันว่าใช้วิธีนี้ดีกว่า”

แองเจลิน่าขมวดคิ้วงง ด้านหลังนั้น เหล่าเพื่อนสนิทของแม่สาวหัวขโมยก็ออกมาดูด้วยความสนใจ คิลกับโรยิ้มกว้างเมื่อเห็นสภาพของเจ้าหญิงที่เดินหลับตามา ส่วนคาโลส่งสายตาบ่งความอิดหนาระอาใจที่เจ้าหล่อนไม่ได้สนใจจะรับรู้เลย

แคเรนเอื้อมมือแตะแกมเนียนใสเบาๆ ก่อนจะไล่ลูบลงมาถึงลำคอ ซึ่งได้รับการตอบสนองโดยส่ายหน้าหนี เรียกรอยยิ้มไม่น่าวางใจจากดวงหน้าสวยหวาน มืออีกข้างของแม่คุณกระชับเอวบางของคนตัวสูงกว่า ก่อนเด็กสาวจะเป่าลมหายใจที่ข้างหูให้เฟรินครางเบาๆด้วยความรำคาญ เสียงซึ่งเรียกให้ผู้มองทั้งสี่รู้ซึ้งเลยว่าสาวน้อยผู้นี้มีอะไรซ่อนอยู่มากมาย

แคเรนกระซิบแผ่วเบาด้วยถ้อยคำที่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสิ่งใดหนอที่ปลุกให้คนขี้เซาลืมนัยน์ตาสีน้ำตาลขึ้นทันทีแล้วรีบผละห่างให้หลุดจากมือซุกซนของแม่สาวที่ไม่ไร้เดียงสาเหมือนที่เห็นภายนอกซะแล้ว

เฟรินเบิกตามองคนเองหน้าที่ฉีกยิ้มกว้าง จะด้วยความขำขันในปฏิกิริยาของเธอหรือความพอใจที่ได้แกล้งเธอได้ก็สุดรู้ เธอรู้แค่ว่าวิธีปลุกของแม่เจ้าประคุณไม่เคยซ้ำกันเลยสักหนนับตั้งแต่เธอขออาศัยอยู่ห้องเดียวกัน

“อรุณสวัสดิ์จริงๆได้แล้วสินะคะพี่เฟริน สดชื่นดีไหม”

เฟรินยิ้มฝืดๆ “ง่า... ขอบใจที่ช่วยเหลือนะแคเรน”

“ไม่เป็นไรค่ะ สนุกดี” เธอตอบพร้อมยิ้มซื่อ “รีบเข้าไปเถอะค่ะ เห็นมั้ยว่าคนอื่นเขารออยู่”

ประโยคท้ายเรียกให้เฟรินหันขวับไปมองทันที แล้วก็แทบจะมุดพื้นหนีกลับห้องเมื่อพบนัยน์ตาสี่คู่จับจ้องอยู่

“เอ่อ ตื่นได้แล้วก็ดี” แองจี้บอกปัดๆก่อนรีบแจ้นเข้าห้องที่เป็นสถานที่ประชุมของชั้นปีสามหมาดๆ

“เป็นวิธีปลุกที่ยอดเยี่ยมมาก” โรชมเหมือนจะแกล้งคนที่ถูกวิธีนั้นปลุกซึ่งกัดฟันกรอด ส่งสายตาอาฆาต

“ช่างรังสรรค์ดีแท้” คิลเสริมด้วยรอยยิ้มทะเล้น “น่าให้ใครบางคนทำบ้างเนอะ”

นั่นคือฟางเส้นสุดท้ายของยอดหัวขโมยที่เกือบจะได้เป็นยอดนักมวยปล้ำจากการฝึกซ้อมฝีมืออยู่เสมอกับเพื่อนนักฆ่าปากพาจน และมีเจ้าชายน้ำแข็งที่ต้องเป็นกรรมการห้ามศึกอีกครั้ง



“อย่างที่พวกนายคงรู้กันหมดแล้วจากความแสนรู้ของใครบางคน” มาทิลด้าเกริ่นด้วยการชมขอทานกิตติมศักดิ์คนแสนรู้ “ว่าเหตุผลที่เรายังไม่มีการเรียนการสอนก็เนื่องมาจากการคลาดแคลนครูผู้สอนและปัญหาขลุกขลักบางประการ”

เหล่าผองเพื่อนตัวแสบยังสงบปากสงบคำได้อยู่

“ขณะนี้จอมปราชญ์เลโมธีกำลังคัดเลือกอาจารย์ที่จะมาสอนสองวิชานี้ คือวิชาดาบกับวิชาประวัติศาสตร์จากผู้สมัครมากมาย มากจนต้องใช้เวลานานโขและต้องมีผู้ช่วยเยอะ นั่นแหละหนึ่งในปัญหาขลุกขลักที่ว่า” มาทิลด้าบอกเล่าด้วยเสียงดังฟังชัดเพื่อหวังว่าจะไม่มีใครนอนตั้งแต่แรกเริ่ม

“มีใครรู้มั่งว่าเขาคัดเลือกอาจารย์กันยังไง” เจ้าชายอาชูร่า เอพริลถามอย่างสนใจ และปลุกความอยากรู้อยากเห็นรวมถึงความเฮฮาได้ทุกสถานที่ของชาวป้อมอัศวิน จนบางครั้งก็ลืมคำนึงถึงสถานการณ์

“ฉันรู้ๆ วิชาดาบก็ต้องเชี่ยวชาญการยืนหลับ วิชาประวัติศาสตร์ก็ต้องรู้จักการกล่อมให้นักเรียนไปสวรรค์ชั้นฟ้า” เอ็ดเวิร์ด ลอเรนโซ่ทำหน้าที่แทนหัวขโมยที่เงียบจนน่าแปลกใจ และก็ได้รับคทาเขกกบาลแทนด้วย

“ไม่ใช่เวลาพูดเล่นนะ” แองจี้แหวใส่อย่างหงุดหงิด

แล้วทันใดก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพอดีในความเงียบจากการขัดเสียงฮาของแม่มดสาวแห่งวิทช์ ครี้ดที่อยู่ใกล้ประตูสุดเลยลุกขึ้นเปิดให้ แล้วก็แทบจะสะกดความตกใจไว้ไม่ได้ ถอยปรูดไปชนเข้ากับเดท ไฟเออร์เข้าพอดิบพอดี

พวกตัวป่วนทั้งหลายต่างก็อยู่ในอารมณ์ตกใจพอๆกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟรินและคิลที่แทบตะลึงกับแขกที่มาเยือน

ฮาเดส องครักษ์หรือราชาปีศาจแห่งเดมอสที่มากับเจ้าชายโรเวนยืนยิ้มอย่างคนอัธยาศัยดีให้กับผองเพื่อนของพระธิดาสุดที่รัก ก่อนจะก้าวเข้ามาโดยไม่รอคำเชิญตามประสาคนที่ไม่เคยแคร์สายตาใครหน้าไหนทั้งนั้น

“เฟลิโอน่า” เอวิเดสเอ่ยพระนามของเจ้าหญิงแห่งบารามอสและเดมอสอย่างที่ทำให้เพื่อนคนอื่นรู้ชัดว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ไม่ใช่นายกับบ่าว เจ้าหญิงกับองครักษ์ แต่มันมากกว่านั้น...มากจนน่าคิด

“ทำไม...” เฟรินกล่าวออกไปได้เพียงเท่านั้น อาการตื่นตกใจยังมีอยู่ เธอเบือนสายตาไปมองเจ้าชายโรเวนที่ยิ้มอย่างอ่อนใจส่งให้แทนคำตอบ

เท่านั้นเฟรินก็กลืนน้ำลายเอื๊อก ยิ้มแห้งๆด้วยรู้ว่าพูดอะไรไปพ่อเธอก็คงไม่สนใจจะฟัง จึงเปลี่ยนเป็นเอ่ยชวนให้ท่านนั่งลงแทนที่คิลซึ่งรู้ว่าตัวเองควรลุกไปนั่งที่อื่น และประจวบเหมาะเหลือเกินที่เก้าอี้ว่างเหลือเพียงตัวข้างๆเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลซึ่งใช้นัยน์ตาคู่งามมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะเบือนหลบเมื่อสบตากัน

เมื่อเห็นแขกนั่งลงเรียบร้อยแล้ว มาทิลด้าก็ประชุมต่อ

“ถึงไหนแล้วนะ เอ้อ อาจารย์ชามัลทราบว่าพวกเราจะมีเวลาพักมากเกินพอจากการคัดเลือกอาจารย์ แกเลยให้งานเป็นการอำลาก่อนลาจากไปเป็นคิงบารามอส” สิ้นประโยคนั้น เสียงโห่ก็ดังคับห้องประชุม ให้มาทิลด้าทุบโต๊ะขู่ จนเสียงเสียบลงเธอจึงพูดต่อ “รายงานวิชาประวัติศาสตร์ หัวข้อคือ ‘ว่าด้วยสงคราม...นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน’ จำนวนมากกว่าหนึ่งพันหน้า เสร็จก่อนเริ่มการเรียนการสอน”

คราวนี้เสียงโห่ดังกว่าเก่า แทบจะเป็นการคร่ำครวญของผู้แพ้ที่โดนแย่งชิงสิ่งของมีค่าไป ซึ่งก็เป็นการเปรียบเปรยที่เข้าท่า เพราะรายงานหนาชนิดนรกยังชิงชังนั้นแย่งชิงเวลาพักผ่อนอันล้ำค่าของพวกเขาไป!

“ยังไม่จบ” คำสั้นๆนั้นก่อให้เกิดความเงียบราวป่าช้า แววตาของลิงทโมนทั้งหลายหวังว่าสิ่งที่เจ้าแม่แห่งป้อมเอ่ยจะไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคิดเอาไว้ แต่พวกเขาคิดถูก “อาจารย์ท่านอื่นก็มีงานให้ทำเหมือนกัน”

สิ้นคำ ราวกับเกิดกลียุคกับป้อมอัศวินปีสามซึ่งโดนอุกกาบาตหล่นทับเข้าอย่างจัง



การประชุมยังไม่เสร็จสิ้น เจ้าหญิงแห่งอเมซอนยังคงทำหน้าที่ดุจหัวหน้าชั้นปี อธิบายถึงรายงานทั้งหมดที่ถาโถมเข้ามาในทีเดียว แต่ละวิชาก็ให้หัวข้อมาอย่างชวนให้กระอัก อย่างเช่นวิชาเวทมนตร์ของอาจารย์แม่มดวิงกี้ที่ให้นักเรียนไปฝึกเวทที่ไม่มีในบทเรียนมาแสดงให้แกดู น่าสงสัยว่าแกจะลืมไปหรือยังว่าเมื่อปีหนึ่งเคยมีนักเรียนเกือบผ่าแกด้วยสายฟ้า

ยิ่งกว่านั้นอาจารย์แต่ละท่านยังมีรายละเอียดที่ให้เสริมในรายงานคนละอย่างกันด้วย จึงเป็นหน้าที่ของมาทิลด้าที่ต้องร่ายยาวให้เหล่าผองเพื่อนฟัง ชวนให้หนุ่มๆทั้งหลายแห้งเหี่ยวตายซากราวกับคนที่หลงทางอยู่ในแอ่งกระทะร้อนถูกคั้นน้ำไป ความคิดของทุกคนที่มีต่องานมหาโหดหินทั้งหมดนี้ไปในทางเดียวกัน

มันเป็นงานที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าการทำสงครามเสียอีก

นั่นคือความจริงที่เกือบทุกคนเห็นด้วย และทำให้ไม่มีใครกล้าหลับตาเข้าสู้ความฝันอันแสนหวานแม้ว่าความเป็นจริงจะทรมานและเรียกร้องให้หนังตาหย่อนคล้อยลงมาทุกทีๆแค่ไหนก็ตาม อ้อ อาจจะยกเว้นใครบางคน

ครอก...ฟี้ ครอก...ฟี้

เสียงกรนสม่ำเสมอดังขึ้นจากคนที่หลับได้หลับดีซึ่งเอนหลังพิงผนักอย่างอ่อนปวกเปียก ศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเรือนผมยาวสีน้ำตาลเอนไปทางด้านข้างหนุนกับไหล่คนตัวโตที่เอนมาหนุนกระหม่อมคนตัวเล็กด้วยลักษณะเดียวกัน เสียงกรนนั้นดังมาจากสองหน่อผู้เข้าคู่กันอย่างเหมาะเจาะ

โรเวนคลึงขมับเบาๆเพื่อคลายอาการปวดประสาทซึ่งเกิดขึ้นจากสองพ่อลูกตระกูลเกรเดเวล นัยน์ตาสีน้ำเงินฉายแววหนักใจกลัดกลุ้มกับการนอนไม่สมฐานะของคู่ตัวปัญหา เสียงกรนที่ควรจะมีแค่หนึ่งกลับเป็นสองจึงไม่แปลกที่จะเรียกสายตาคนอื่นในห้องให้หันมามองเป็นตาเดียว

สายตาของเพื่อนๆมองอย่างเห็นใจและปลงอนิจจังเมื่อแองเจลิน่าเดินไปยืนตรงหน้าเจ้าตัวแสบที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว เธอกำคทาในมือแน่น คราวนี้หมายมาดว่าจะโป๊กหัวเจ้าตัวยุ่งให้ได้

ก่อนที่คทาของแม่มดสาวจะได้สัมผัสถูกศีรษะของเจ้าหญิงแห่งเดมอส มือใหญ่ของบุรุษผู้ควรจะหลับสนิทก็จับมือของเด็กสาวไว้แน่น...ราวปลอกเหล็ก ทำเอาแองจี้ร้องอุทานอย่างตระหนก นัยน์ตาสีฟ้าของเธอเบิ่งโตสบกับนิลคู่คมที่บัดนี้ฉายประกายชวนให้ผู้เห็นหวาดหวั่น กลัวเกรง

“เจ้าจะทำอะไรเฟลิโอน่า”

สุรเสียงจ้าวปีศาจคาดคั้นโดยไม่สนว่าเด็กสาวตรงหน้าจะเป็นเพียงแม่มดที่ไร้พิษสง ลืมคำนึงไปว่าที่นี่คือเอดินเบิร์กอันสงบสุข

แองเจลิน่าตัวสั่นเทาอย่างระงับไม่อยู่ เพราะความกลัวเริ่มเข้าครอบงำใจ ยิ่งเมื่อสัมผัสถึงไอดำทะมึนที่แผ่ออกมาจากร่างสูงของคนจากเดมอส สาวน้อยก็แทบจะน้ำตาเล็ด และบังเกิดความรูสึกสิ้นหวังแก่ชาวป้อมอัศวินปีสามที่ตะลึงกับเหตุการณ์ ขาหนักอึ้งจนไม่อาจก้าวไปช่วยเพื่อนร่วมชั้นได้

เจ้าชายแห่งเจมิไนอยากจะบอกกษัตริย์แห่งแดนปีศาจว่าเป็นการเข้าใจผิด แต่เขาก็ไม่ต่างจากรุ่นน้องที่ขาทั้งสองข้างดุจมีเหล็กถ่วงไม่อาจก้าวได้ ให้เขาได้รับรู้ถึงความน่ากลัวที่ซ่อนไว้ภายใต้ท่าทางของเด็กซนๆ ให้ได้ตราตรึงในใจกับพลังอำนาจของปีศาจที่มนุษย์ตัวจ้อยมิอาจหาญต่อกร

“อย่าน่า แองจี้ไม่ได้ทำอะไรผมหรอก ปล่อยเธอเถอะ”

เสียงของคนที่เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์นี้ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมดังขึ้นในความเงียบเชียบวังเวง เฟรินวางมือของตนลงบนแขนของผู้เป็นพ่อ บีบเบาๆเป็นเชิงบอกให้ปล่อยมือจากเพื่อนคนหนึ่งของเธอ

เอวิเดสเบือนสายตามองมองพระธิดา ก่อนจะปล่อยมือที่กุมแน่นจนแขนเล็กเรียวเป็นรอยช้ำ

เฟรินสบถขรม แล้วจูงมือคนตัวโตกว่าลากออกไปจากสถานการณ์น่าอึดอัดพร้อมกับโรเวน ฮาเวิร์ด

ทิ้งไว้เพียงเหล่าผองเพื่อนผู้ราวกับผ่านมรสุมลูกใหญ่ หลายคนระบายลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมายาวอย่างโล่งอก บางคนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ทบทวนความทรงจำที่ไม่น่าเชื่อของตนเองและความน่าสะพรึงกลัวของปีศาจที่ได้พบเจอกับตัวเองชนิดใกล้เกินความจำเป็น



คิล ฟีลมัส ทายาทนักฆ่าแห่งซาเรสกำลังถูกไล่จนมุม

ไม่ใช่ด้วยน้ำมือของศัตรูผู้เก่งกล้าสามารถ ไม่ใช่ด้วยน้ำตาของสตรีที่บีบคั้นสำนึกผิดชอบชั่วดี แต่เป็นสายตาสอดรู้สอดเห็นของผองเพื่อนแสนดีร่วมสิบห้าชีวิตที่ถลึงตาจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ขณะนี้

มันทำเอานักฆ่าอย่างเขากลืนน้ำลายไม่ลงคอไปซะงั้น

นี่ยังไม่รวมถึงไอเย็นยะเยือกของคนตาสีฟ้าที่อยู่หลังใครเพื่อนทั้งที่ในใจมันคงอยากรู้แทบเป็นแทบตายแล้ว แต่ยังไม่ลืมรักษามาดของเจ้าชายน้ำแข็งไว้ให้ได้ชื่นชม น่ายกย่องความใจเย็นของพ่อเจ้าประคุณจริงๆ พับผ่าเถอะ

ครี้ดที่อยู่ประชิดตัวคิลที่สุดจับบ่าทั้งสองด้วยมือหนาของมันแรงจนคิลชักหน้าแหย อยากจะตะบันหน้าเจ้าคนไม่รู้จักออมแรง แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเสียงเซ็งแซ่จากรอบทิศทางนั้นทำให้เขาหัวหมุนไปหมด ทุกคนต่างก็อยากรู้ความจริง สิ่งที่สงสัยเกี่ยวกับฐานะที่แท้จริงของคนจากเดมอสผู้สร้างความตื่นตระหนกให้พวกตนและสร้างความเดือดร้อนอย่างยิ่งกับคิล

จนในที่สุด เมื่อหนุ่มนักฆ่าหมดความอดทน เสียงตะโกนลั่นบ่งว่าสติอันแสนบางขาดหลุดลุ่ย ฝูงลิงทโมนที่วุ่นวายหยุดชะงักในพริบตา

คิลระบายลมหายใจยาวอย่างอึดอัดใจ นึกทวนถึงคำอธิบายเกี่ยวกับเวทวาจาสิทธิ์ซึ่งพ่อของเพื่อนซี้ใช้มันกับเขาด้วยวิธีเอาพลังของเขาไปใช้ร่ายเวท

เวทที่ราชาปีศาจใช้จะพันธนาการถ้อยประโยคต้องห้ามไม่ให้เขาพูดออกมา คิลไม่สามารถเอ่ยถึงความจริงที่ว่าบุรุษจากเดมอสผู้แสดงตัวเป็นองครักษ์คือพ่อตัวแสบของเจ้าตัวป่วนนั่นเอง!

“ตกลงแกจะบอกมั้ยคิล” ครี้ดถามแกมขู่

“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ เขาเป็นองครักษ์ของไอ้เฟริน มันก็เท่านั้น” คิลพูดไม่มีพิรุธตามวิสัยนักฆ่า แต่เพื่อนทั้งหมดไม่เชื่อ

“แกบอกความจริงมาซะดีๆเลยเพื่อนยาก” เอ็ดเวิร์ดกล่าวเนิบๆ “ไม่งั้นพวกเราคงได้ตายเพราะความอยากรู้แหงมๆ”

“แต่ฉัน...” คำออกตัวกลืนหายไปในลำคอเมื่อมาทิลด้าพูดขึ้นทะลุกลางป้อง จี้ให้คิลแสดงอาการอ้าปากเหวอ

“ฉันเห็นเฟรินร้องให้ซบอกนาย นั่นใช่วันที่องครักษ์คนนั้นมาหรือเปล่า เฟรินรู้อะไรถึงต้องร้องให้ด้วย”

คิลอ้ำอึ้งตะลึงงัน

“คนอย่างเฟรินร้องให้ เหลือเชื่อ...”

“หรือว่า...ผู้ชายคนนั้นคือคู่หมั้นที่พ่อของเค้าเลือกให้หรือเปล่าครับ”
ความคิดเห็นนี้เป็นของซีบิล สเวน

นักบวชหน้าอ่อนยิ้มแหยเมื่อทุกสายมองมาที่เขา ไม่เว้นแม้แต่คิล

แองจี้เห็นสีหน้าของคิลก็ได้ข้อสรุปว่า “จริง...งั้นเหรอ...”

ไม่ทันที่คิลจะปฏิเสธ เพื่อนของเขาทุกคนก็เชื่อสมมุติฐานนี้ปักใจ นำความกลัดกลุ้มเป็นที่สุดมาให้หนุ่มนักฆ่า และความรู้สึกบางอย่างบังเกิดในใจของคนที่ได้ชื่อว่าเย็นชาแต่เปลือก



To Be Continued...



Create Date : 11 มกราคม 2549
Last Update : 11 มกราคม 2549 10:33:33 น.
Counter : 455 Pageviews.

0 comment
11 ลูกไม้(เน่า)หล่นไม่ไกลต้น
…11
ลูกไม้(เน่า)หล่นไม่ไกลต้น



นัยน์ตาคู่สีฟ้าที่มักจะแพรวพราวอย่างเจ้าเล่ห์เบิ่งกว้างด้วยอาการงุนงงอย่างที่ไม่ทันเรียกหน้ากากมาปกปิด ซึ่งหากน้องชายของเขาเห็น มันคงจะทำหน้าประหลาดใจเป็นแน่ แต่ขณะนี้ไม่มีใครจะสนใจ เพราะภาพที่เห็นจากกระจกซึ่งใช้ในการแอบดู(สาระแนเรื่องคนอื่น)นั้นดึงดูดความสนใจได้มากกว่าสิ่งอื่นใด

กระจก...บานขนาดครึ่งตัวที่ติดกำแพงไม่มีส่วนไหนแตกต่างจากกระจกทั่วๆไปจนถึงขนาดเรียกให้สายตาของบุคคลในห้องมารวมอยู่ที่มัน หากไม่ใช่เพราะหมอกที่เวียนวนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้นั้น(ที่เหล่าลูกจอมสาระแนไม่รู้ก็เพราะมัวแต่สนใจพ่อกับแม่หวานกัน)ที่ทำให้ต้องมองหาตัวต้นเหตุ แล้วก็พบว่าหมอกพิศวงที่โผล่มาผิดที่กระจายออกมาจากสิ่งของธรรมดาๆ


“ง่ะ..ไหงงี้ล่ะ!?” คอร์ลินร้องอย่างระงับความตระหนกไว้ไม่อยู่ ผิดกับพี่ๆของเขาที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็น แคเรนมองภาพในกระจกด้วยสายตาเป็นห่วง

“เฟนริล อาณาเขตของพี่ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ” พอเห็นอีกฝ่ายผงกหัวรับ จึงกล่าวต่อไป “แล้วทำไม... มันไม่น่ามีอะไรเข้าไปได้นี่นา”

พ่อมดแห่งเดมอสใช้ความคิดอย่างหนัก ก่อนที่มันสมองอันเป็นเลิศในทุกด้านจะประมวลผลออกมาได้ด้วยคำพูดสั้นๆแต่ได้ใจความว่า

“เรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นได้ทุกเวลาแหละน่า”

“พี่ก็แสดงออกให้เหมาะกับเวล่ำเวลาซะบ้างเซ่!” คอร์ลินตะโกนอย่างหมดสิ้นความอดทนที่พี่ชายกล่าวรวบรัดมากไป

“ไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นคำพูดของนายนะ” เฟนริลเลิกคิ้วนิดๆอย่างกวนอารมณ์ ไม่มีวี่แววของความกลัดกลุ้มให้เห็นอีกแล้ว

ก่อนที่คอร์ลินจะเปิดฉากการปะทะกับพี่ชายร่วมสายเลือด(ซึ่งผลก็แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องแพ้) สาวน้อยที่ดูเอาการเอางานกว่าก็ตวาดแว้ดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดสมกับที่เป็นเจ้าหญิงแห่งแผ่นดินของนักรบ

“ไม่ใช่เวลามาต่อล้อต่อเถียงกันนะ!”

ทำเอาน้องชายฝาแฝดแยกเขี้ยวงุด และเฟนริลกลั้นเสียงหัวเราะที่เป็นฝ่ายโดนดุเสียเอง ก่อนจะหันมาสนใจกระจกที่ยังฉายภาพภายในห้องอยู่โดยยังไม่คิดจะเข้าไปช่วยเหลือ (ยังเข้าห้องไม่ได้เพราะอาณาเขตของเฟนริล แล้วเจ้าตัวก็ยังไม่ยอมคลายออกอีกต่างหาก)



“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าป้อมอัศวินมีของอาถรรพ์ด้วย” เสียงตื่นๆดังมาจากแม่จอมยุ่งที่ไม่ยอมละอารมณ์ขันแม้ในขณะที่กำลังเผชิญกับเรื่องเหลือเชื่อ

แต่คาโลไม่มีเวลาจะจับสั่งสอน เขาขยับตัวลงจากเตียงพลางฉุดเฟรินให้ย้ายมาอยู่ด้านหลังตนซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผิวกระจกเกิดปรากฏการณ์ประหลาดที่ทำให้แม่คนเก่งเสมอขอแอบมองจากด้านหลังองครักษ์ตัวโตดีกว่ามาประจันหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่

ผิวหน้าของกระจกกลายสภาพเป็นเหมือนบ่อน้ำยามปาหินลงไป

เฟรินกลืนน้ำลายเอื๊อกอย่างกล้าๆกลัวๆ กล้าเพราะอย่างน้อยเธอก็ยังมีเจ้าน้ำแข็งนี่อยู่ข้างๆ กลัวเพราะเธอเกลียดเรื่องพรรค์นี้ที่สุด...ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอจะไม่ยอมให้ใครรู้เด็ดขาด

มือที่จับแขนเสื้อเจ้าชายแห่งคาโนวาลเพิ่มแรงมากขึ้นจนแม้ไม่ต้องเอ่ยปาก คาโลก็รู้ว่าเจ้าตัวยุ่งของเขากลัวมากแค่ไหน ยิ่งเมื่อเห็นบางสิ่งโผล่ออกมาจากกระจก...หัวขโมยสาวก็ทำตัวลีบ เบียดชิดแผ่นหลังของบุรุษร่างสูงจนสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มที่ไม่จำเป็นต้องเดาเลยว่าคืออะไร

ถ้า...ไม่อยู่ในสถานการณ์นี้ อย่าคิดว่าจะรอดไปได้นะ...เฟริน

ความคิดที่คาโลจะไม่ยอมให้เจ้าหล่อนรู้หากยังคิดจะขอคืนดีด้วย

บางสิ่ง...ที่ค่อยๆยื่นออกมาให้เห็นชัดยิ่งขึ้นจากกระจกที่เกิดคลื่นราวผิวน้ำ บางสิ่งที่หากตาของบุคคลทั้งสองไม่ฝาดหรือฟางกะทันหัน สิ่งที่ว่านั้นก็คือ...นิ้วมือ

นิ้วมือของมนุษย์ แล้วเมื่อสังเกตดีๆแล้ว มันเป็นนิ้วมือของบุรุษ

คำตอบแสดงเด่นชัดเมื่อมือใหญ่ข้างหนึ่งสะท้อนให้เห็นในดวงตาสีน้ำตาลที่เบิ่งกว้างอย่างระแวงระคนหวาดเสียว เฟรินตาแข็งค้าง ไม่กล้าแม้แต่กระพริบตา หรืออาจจะเกือบไม่กล้าหายใจ ความกล้าที่เคยมีถึงครึ่งลดต่ำลงอย่างน่าใจหาย ใจสู้ก็ลดฮวบลงไปถึงตาตุ่ม ความกลัวเริ่มเข้ามาครอบงำ และเหมือนคาโลมันจะรู้ถึงได้สอดมือเข้ามาในมือเธอแล้วกระชับราวกับจะบอกให้รู้ว่า...เธอไม่ได้อยู่คนเดียว

เฟรินคงจะให้รางวัลมันที่ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษดีมาก แต่เธอยังไม่มีอารมณ์ อีกทั้งมือลึกลับนั่นก็ทำอะไรแปลกๆให้เธอเสียวสันหลังวาบ

ทว่า...ไม่ใช่แค่นั้นเสียแล้วสิ

เมื่อปรากฏสิ่งคล้ายๆวงเวทหลังจากมือลึกลับเขียนอะไรสักอย่างบนอากาศ เฟรินก็รู้สึกถึงอาการอ่อนเปลี้ยอย่างกะทันหัน ราวกับว่าพลังในร่างกายถูกดึงออกไปมากมายรวดเดียวในชั่วเสี้ยววินาที ขาแข้งอ่อนจนพยุงกายไว้ไม่ได้ เฟรินไม่ทันตั้งตัวเมื่อตัวเธอเองยืนไม่อยู่และกำลังจะทรุดลงไปกองกับพื้น

“เฟริน!”

เจ้าหญิงหัวขโมยเงยหน้ามองคนมือไวที่คว้าเอวเธอทัน แต่เธอไม่รู้ว่าควรจะเลือกอย่างไหนดีระหว่างลงไปกองกับพื้นหรืออยู่แนบชิดตัวติดกันกับเจ้าน้ำแข็งบ้าคนนี้ มันชิดจนเกินไป ชิดจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของคนตัวสูงที่เป่ารดลำคออย่างชวนให้ขนลุกได้ยิ่งกว่าบรรยากาศพาฝันหนีดีฝ่อพรรค์นี้เสียอีก

เฟรินมองสบกับนัยน์ตาสีฟ้าที่มองอย่างห่วงใย เธอรู้อยู่หรอกว่าในสถานการณ์แบบนี้หมอนี่มันคงไม่คิดลึก แต่...มันก็ยังน่าอายอยู่ดี

“เฟริน เป็นอะไร”

เฟรินยังไม่ทันจะตอบ นัยน์ตาสีน้ำตาลใสก็เบิ่งโตจนเกือบจะเรียกได้ว่าถลน ให้ผู้ที่ยังโอบเอวเธออยู่ต้องหันกลับไปดู แล้วเจ้าชายน้ำแข็งก็มีทีท่าไม่ต่างจากเจ้าหญิงหัวขโมยสักเท่าไหร่

บุรุษ...

เบื้องหน้า...คือบุรุษร่างสูงสง่าในชุดสีดำทะมึนที่เข้ากันอย่างดียิ่งกับเรือนผมสีดำยาวซึ่งมัดรวบไว้อย่างง่ายๆ ใบหน้าคมคายดุจรูปสลักเทพบุตรนั้นหล่อเหลาชวนมอง ร่างตรงหน้าคล้ายมีรัศมีแห่งอำนาจที่รับรู้ได้จากการมองนัยน์ตาคู่นั้นเพียงแวบเดียว

นัยน์ตาสีเข้มดุจท้องนภายามราตรีที่ดูลึกลับและเต็มไปด้วยปริศนา

ดวงตาที่ทำให้นึกถึงใครบางคน...

เฟรินมองแทบลืมหายใจ แล้วหัวใจก็เต้นตึกตักยามที่สบกับนัยน์ตาคมคู่นั้นพอดี

บุคคลลึกลับขมวดคิ้วเข้มด้วยท่าทีไม่ค่อยพอใจเมื่อมองมายังเฟรินซึ่งลืมไปเลยว่าตัวเองยังอยู่ในอ้อมแขนของคาโลซึ่งใช้มือเพียงข้างเดียวโอบรอบเอวเธอเพื่อช่วยพยุงกาย มารู้สึกก็ตอนที่มือใหญ่เพิ่มแรงยึด ให้เธอต้องใช้สองมืออกแรงผลัก...แรงที่ไม่รู้ว่าหดหายไปได้อย่างไร จึงต้องกระซิบกับอีกฝ่ายเบาๆว่า

“ปล่อยฉันสิฟะไอ้บ้า”

ผู้ฟังทำหน้าไม่ชอบใจกับคำพูดที่หาความสุภาพไม่เจอ แต่ก็ยอมทำตามที่เจ้าหล่อนสั่งอย่างไม่คัดค้าน

“เจ้าชาย...คาโล วาเนบลีแห่งคาโนวาล”

เสียงที่ทรงอำนาจอย่างน่าฉงนกล่าวขึ้น ให้เจ้าของชื่อตวัดสายตาไปเผชิญกับนัยน์ตาแวววาวของผู้บุกรุกป้อมอัศวินด้วยวิธีมหัศจรรย์

บังเกิดรอยยิ้มที่มุมปากของชายหนุ่ม จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นว่า

“ข้าคือ...ตัวแทนจ้าวแห่งเดมอส ไปเรียกเลโมธีมาหาข้าซิ”



นัยน์ตาสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มผู้มีเรือนผมสีทองยาวละต้นคอแทบจะถลนออกนอกเบ้า นิ้วชี้สั่นๆไปยังภาพที่ฉายบนกระจกไว้ใช้แอบส่องเรื่องส่วนตัวของคนอื่น

ไม่แปลกที่หัวขโมยแห่งเดมอสจะตกตะลึงโอเว่อร์ขนาดนี้ ในเมื่อแม้แต่เจ้าหญิงผมเงินผู้เป็นพี่สาวฝาแฝดก็แทบจะอยู่ในอารมณ์ไม่ต่างกัน

จะมีก็แต่พี่ใหญ่ซึ่งยังคงทำหน้านิ่วอยู่ได้เป็นนานสองนาน นัยน์ตาสีฟ้านั้นฉายแววประหลาด ก่อนที่จะเกิดรอยยิ้มที่ยากแก่การเข้าใจ

“มะ..ไม่จริงน่า ไหงคนจากเดมอสถึงได้...” คอร์ลินกล่าวด้วยความทึ่ง “แล้วทำไมถึงได้ผ่านอาณาเขตของเฟนริลเข้ามาได้ล่ะ ทำไม...” เจ้าตัวไม่พูดต่อเพราะคำว่า ‘ทำไม’ นั้นมีอยู่เต็มหัวไปหมด

“ถ้าฉันจำประวัติศาสตร์ไม่ผิด เขตแดนที่ยืมพลังจากท่านตาน่าจะมีผลอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้...”

“หรือจะเป็นมนุษย์” คอร์ลินเปรย แต่เขาก็ค้านคำพูดตัวเองในทันที “ไม่ใช่อยู่แล้ว ตัวแทนจ้าวแห่งเดมอสยังไงก็ต้องเป็นปีศาจ มนุษย์ที่ไหนจะไปเอื้อมถึงตำแหน่งสูงๆขนาดนั้นได้ บ้าชะมัด มีแต่เรื่องที่ยังไม่เข้าใจทั้งนั้น” ประโยคท้ายลอดริมฝีปากออกมาอย่างหงุดหงิดซึ่งแคเรนก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง เธอเหลือบมองใบหน้าราวเทวดาของเจ้าชายปีศาจที่นิ่งเฉยผิดคาด ไม่สิ...เขากำลังคิดหนักต่างหาก

“เฟนริล” แคเรนเอ่ยเรียกแผ่วเบา นัยน์ตาคู่สวยไม่ฉายแววรับรู้ ทำให้เธอมั่นใจว่าพี่ของเธอตกอยู่ในภวังค์จนไม่สนใจรอบข้างอีกแล้ว

“เฮ้ๆ แม่กับพ่อปรึกษากันใหญ่เลย” คอร์ลินบรรยายภาพให้คนที่ไม่ได้ดูฟัง “สงสัยจะปรึกษากันว่าจะไปเรียกเลโมธีดีไหมแหง”

“มันติดอยู่แค่ว่าจะไปเชิญมหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอดินเบิร์กมาที่ห้องของหัวหน้าชั้นปีสามอันเล็กกระจ้อยร่อยยังไงดีน่ะสิ แต่ฉันว่ามันสรุปได้ง่ายมากเลยล่ะ” แคเรนออกความเห็น

“นั่นสิ แม่คงพูดให้นายนี่เป็นฝ่ายไปพบเลโมธีแน่ ถือว่าเป็นคำสั่งของธิดาแห่งความมืด คงยากที่ชาวเดมอสจะขัดล่ะ นั่นไงๆ แม่เริ่มเจรจาแล้ว แต่...เอ... ไม่รู้ฉันคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่ผู้ชายคนนี้ดูจะ... ท่าทางเหมือนหลงเสน่ห์เจ้าหญิงของตัวเองเลยแฮะ” คอร์ลินเดาแล้วก็นึกขำ “มีสิทธิ์นะ”

เสียงหัวเราะจากปากของคนที่ปิดมาหลายนาทีดังขึ้นให้น้องทั้งสองประหลาดใจแกมสงสัย

“พี่หัวเราะอะไรน่ะ หรือว่า...พี่รู้อะไรแล้วไม่ยอมบอกพวกเรา” คอร์ลินเอ่ยอย่างจ้องจะจับผิด เฟนริลยิ้มซื่อ ตอบด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงว่า

“ฉันจะรู้อะไรล่ะ”

คอร์ลินสบถอุบอิบ เพราะไม่มีความสามารถพอจะบีบบังคับให้พี่ชายเปิดปากได้จึงทำได้เพียงรอว่าเมื่อไหร่ที่คนปากหนักจะยอมเผยออกมาเอง ซึ่งคงอีกนานแหงๆ



เฟรินก้าวเดินตามหลังบุรุษลึกลับที่มีเจ้าชายน้ำแข็งคนขรึมนำทาง เธอรู้สึกได้ว่าเรี่ยวแรงยังไม่ค่อยมีมากนักแต่ก็ถือว่ามันกลับคืนมาเร็วจนน่าเหลือเชื่อ เธอยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าในตอนนั้นพลังของเธอหายไปไหน จะบอกว่าเธอกลัวจนเข่าอ่อนมันก็เว่อร์เกิน หากบอกว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับ...

นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่เล็กลงอย่างพยายามจับสังเกตหาร่องรอยอะไรบางอย่างที่อาจจะพิสูจน์สมมุติฐานของเธอที่มีต่อนายปีศาจที่อ้างตัวว่าเป็นตัวแทนของจ้าวแห่งเดมอส...ท่านพ่อของเธอ

ครั้งสุดท้ายที่พบท่านคือศึกชี้ชะตาเอเดน-เดมอสที่ไม่น่าจดจำเอาเสียเลย หลังจากที่จบหมากระดานนั้นเธอก็ไม่ได้ไปพบท่านเพราะกำลังอยู่ในอารมณ์หดหู่ แล้วจากนั้นเธอก็คิดจะหนีไปเกาะสวรรค์แดนใต้กับพ่อมาดัสอีก รู้สึกผิดกับพ่อปีศาจยังไงก็ไม่รู้

คาโลหยุดอยู่หน้าประตูบานใหญ่ที่ชวนให้เฟรินนึกถึงของเก่าในพิพิธภัณฑ์ที่พ่อเคยพาไปด้อมๆมองๆ จนเกิดความสงสัยว่า...หรือมันจะมีอายุพอๆกับเลโมธี?

คาโลยังไม่ทันเคาะประตูหรือทำเสียงให้รู้ว่ามีคนอยู่ ประตูบานเก่ากึกก็เปิดออกอย่างเชื่องช้าแต่ไร้เสียงเอี๊ยดอ๊าดเหมือนไขลานเก่าๆที่ขยันหยอดน้ำมัน หากมันไม่ใช่ห้องของเลโมธีเฟรินก็คงจะตกใจมากกว่านี้ล่ะนะ แต่ในเมื่อมันใช่ เธอก็เลยแค่จ้องมันอย่างสนใจแล้วค่อยมาลังเลว่าจะเข้าไปด้วยดีไหม

“เจ้าหญิง”

คำเรียกขานที่เธอเผลอตอบสนองอย่างไม่พอใจด้วยการมองด้วยแววตาหาเรื่องแล้วปากที่ไวเกินจะแก้ไขก็กล่าวขึ้นว่า

“อย่าเรียกให้ฉันขย้อนของเก่าน่า”

และได้รับสายตาเข้มๆของคนเป็นเจ้าชายตอบแทน แต่ชายหนุ่มร่างสูงกลับเผยยิ้มขบขัน เอ่ยกลับไปอย่างไม่น่าเชื่อ

“งั้นขอเรียกว่าเฟลิโอน่า...ได้ไหม” พร้อมส่งสายตาระยับอย่างที่เธอคงคิดว่าหมอนี่กำลังจีบเธออยู่แน่ๆ จีบ...ทั้งที่เธอเป็นธิดาแห่งความมืด

ความคิดที่เธอนึกถูกใจเจ้าคนใจกล้าหรือบางทีอาจขี้เล่นเกินขนาด แต่ไม่ว่าจะยังไง เธอก็รู้สึกถูกชะตาเจ้าหมอนี่ซะแล้ว เธอจึงส่งยิ้มที่ใครบางคนอาจมองว่า...หว่านเสน่ห์

“ถ้าเป็นนาย ฉันให้เรียกว่าเฟริน”

ก่อนที่บุรุษในชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าจะเอ่ยอะไรอีก เสียงของเลโมธีก็กล่าวเชิญบุคคลทั้งสองเข้าไปในห้อง แน่นอน เจ้าหญิงแห่งเดมอสและบารามอสต้องตามเข้าไปด้วยโดยที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เฟรินมองไปทางคาโลที่กลับเป็นนายเจ้าชายมาดมากซึ่งพอทำหน้าที่คนนำทางเสร็จก็ทำท่าจะเดินไปไม่สนใจเธอ ให้หัวขโมยสาวนึกสงสัยว่ามันเป็นอะไรอีกล่ะ

แต่เธอก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันอีกเมื่อได้ก้าวเท้าเข้ามาในห้องของมหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของเอเดนซึ่งให้บรรยากาศของความเก่าแก่ เคร่งขรึม ด้วยผนังสีไม้เก่าๆที่บางแห่งก็มีรอยถลอกรอยเปื้อนกระดำกระด่าง ชั้นหนังสือที่อัดแน่นนั้นกินเนื้อที่กว่าครึ่งของห้องที่น่าจะกว้างกว่านี้หากไม่มีกองอุปกรณ์ต่างๆนานาซึ่งเฟรินไม่คิดอยากจะทำความเข้าใจเพราะรู้ดีว่ามันหนักเกินกว่าสมองของหัวขโมยจะรับไหว พื้นปูด้วยพรมที่เมื่อหลายร้อยปีก่อนอาจจะจัดอยู่ในของล้ำค่าที่มีราคาแพงระยับแต่ปัจจุบันนี้มันดูเหมือนผ้าเช็ดเท้าขาดๆมากกว่า เก้าอี้สามตัวที่ไม่ต่างจากของภายในห้องนี้คือทั้งเก่าและโทรม ถัดไปคือโต๊ะไม้ตัวใหญ่ซึ่งมีของหลายๆอย่างวางบนนั้นจนแทบจะบดบังชายชราผู้เป็นเจ้าของห้องไปจากสายตาของผู้มาเยือน

ชายชราที่มองมาด้วยสายตาใจดีไม่เปลี่ยน

ไม่เคยมีสักครั้งที่หัวขโมยธรรมดาๆจะได้รับเกียรติให้เข้ามายืนตัวลีบเล็กอยู่ในห้องของจอมปราชญ์เลโมธี

ความคิดที่เฟรินเห็นด้วยในใจเพราะเธอไม่ใช่หัวขโมยธรรมดาๆ และถึงพ่อมาดัสของเธออาจจะได้เคยเข้ามาในห้องนี้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เธอก็ตอบได้ว่าเพราะพ่อห่างไกลจากคำว่าคนธรรมดาหลายขุม

“เลโมธี” ชายหนุ่มข้างตัวเอ่ยเรียกขานนามของมหาปราชญ์แห่งเอเดนแบบที่เฟรินคาดว่าชาวเดมอสส่วนใหญ่คงจะเป็น เห็นได้จากเจ้ากวางที่มีตำแหน่งไม่สมกับตัวนั่น

เฟรินเลือกที่จะเป็นฝ่ายเงียบแล้วมองดูภาพเบื้องหน้าอย่างสงบปากสงบคำ แต่เธอเกือบจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นเลโมธีลุกขึ้นยืนแล้วคำนับตัวแทนจากเดมอสอย่างที่เรียกได้ว่านอบน้อมเอามากๆ

“เป็นเกียรติอย่างสูงที่ท่านมามาเยือนห้องเก่าซอมซ่อของข้า”

“ก็เจ้าบอกมาอย่างนั้นแล้วข้าจะมีทางเลือกอื่นด้วยหรือ ไม่ต้องมากพิธีหรอกน่าเลโมธี ข้ารำคาญ” คนแปลกหน้าที่ยังไม่ยอมบอกชื่อเสียงเรียงนามบอกปัดอย่างไม่สนใจแล้วนั่งลงที่เก้าอี้โทรมๆพลางกวักมือเรียกเจ้าหญิงแห่งเดมอสให้มานั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ เฟรินทำตามงงๆ เธอยังติดใจอยู่ที่อากัปกิริยาของเลโมธีที่ทำยังกับว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับกษัตริย์อย่างนั้นแหละ

“ท่านบอกเจ้าหญิงหรือยัง”

คำถามของเจ้าของห้องเรียกสีหน้าตื่นๆของเจ้าหญิงให้มองคนนั้นทีคนนี้ที ชายหนุ่มยิ้มขัน ตอบว่า

“ยัง เพราะข้านึกว่าเฟลิโอน่าจะจำได้เสียอีก” นัยน์ตาสีดำฉายแววระยับ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเมื่อมองมายังเฟริน “แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นไปไม่ได้จริงๆที่เด็กอายุไม่ถึงขวบจะจำหน้าคู่หมั้นคู่หมายของตัวเองได้”

นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิ่งกว้างจนแทบจะเป็นถลนมองคนที่พูดเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับเธออย่างไม่เชื่อสายตา เฟรินผุดลุกขึ้นทันที มือน้อยกำแน่นอย่างระงับความรู้สึก เจ้าหญิงแห่งแดนปีศาจกล่าวออกไปอย่างดื้อดึง

“นายมีหลักฐานอะไรมาบอกว่านายเป็นคู่หมั้นของฉัน”

คู่หมั้นที่เธอไม่เคยรู้ว่ามีเลิกคิ้วกวนๆ “คำยืนยันจากพ่อของเจ้านี่พอไหม”

“...พ่อ พ่อส่งนายมาเพื่อบอกเรื่องนี้กับฉันงั้นเหรอ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...เจ้าจะว่ายังไง”

คำตอบที่ไม่ใช่คำตอบเกือบทำให้เจ้าหญิงผู้ฟังเรียกดาบผ่าปฐพีมาฟันคนตรงหน้าให้ขาดสองท่อน ถ้าไม่ติดที่เหตุผลหลายๆอย่าง และเมื่อไม่อาจทำอะไรได้ดังใจ เจ้าหญิงคนสวยจึงสะบัดหน้าพรืดอย่างหงุดหงิดแล้วเดินเร็วจนเกือบเป็นวิ่งออกไปจากสถานการณ์ที่เธอไม่อาจทำใจยอมรับได้

เลโมธีถอนใจเนือยๆ แล้วมองมายังบุรุษที่ยังมีรอยยิ้มอารมณ์ประดับใบหน้าคมคาย แววตาคมดำขลับที่บอกความรู้สึกในยามนี้ได้เป็นอย่างดีเพราะเจ้าของไม่คิดจะปกปิดเบือนมาจับจ้องชายชราที่เกิดความสงสารเจ้าหญิงแห่งเดมอสจนต้องเอ่ยถาม

“ท่าน...”

“ข้ารู้ดีน่าว่ากำลังทำอะไรอยู่” บุรุษผู้มีเรือนผมสีดำยาวชิงตอบก่อน “เรื่องเฟลิโอน่าเดี๋ยวข้าจะจัดการให้ เจ้ามีอะไรจะบอกข้าก็รีบๆพูดมา”

อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนพระราชาทำตามที่อีกฝ่ายสั่งอย่างน่าประหลาดใจ



ไม่จริง! ไม่เชื่อเด็ดๆ!! เป็นไปไม่ได้!!!

เฟรินสาวเท้ามุ่งตรงกลับไปยังห้องของตนเอง เส้นทางที่ผ่านมานั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของหญิงสาวที่ทำหน้าเหมือนเพิ่งจะเห็นยมทูตมาหมาดๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลใสยังเบิ่งโต เรียวปากอิ่มกัดเม้มอย่างขุ่นเคือง และเป้าหมายของอารมณ์ทางลบของเธอก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าหมอนั่น!

โธ่เว้ย! คนอุตส่าห์ถูกใจจนอยากเป็นเพื่อนด้วย นี่อะไรวะ ดันเสือกมาบอกว่าเป็นคู่หมั้น งี่เง่าเป็นบ้า!

เฟรินเงยหน้าขึ้นสบกับนัยน์ตาสีม่วงของหนุ่มนักฆ่าตรงหน้าห้องพอดี คิลเอ่ยปากทักทายว่า

“เป็นไรไปวะเฟริน”

เฟรินมองสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนรักแล้วความรู้สึกอันละเอียดอ่อนซึ่งพักหลังๆนี่เกิดบ่อยเหลือเกินก็แสดงออกมา คิลทำตาโตตกตะลึงกับเจ้าหญิงที่น้ำตาร่วงผล็อย พูดด้วยเสียงเครือแบบคนร้องให้

“คิล ฉัน...ฉันตายแน่ๆเลย”

ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็โถมกอดนักฆ่าที่ยืนอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูก หากเจ้าเฟรินมันเป็นปกติเขาก็คงถีบมันได้อย่างไม่รู้สึกผิดอะไร แต่นี่มันกำลังของขึ้นอีกแล้ว เขาเลยทำได้แค่ปล่อยเลยตามเลย แล้วปลอบด้วยการลูบหัวมันซึ่งให้ผลตรงกับข้าม เพราะเจ้าหัวขโมยบ้าดันยิ่งซาบซึ้งหนัก ถังน้ำตาแตกมากขึ้นอีก ให้คิลลอบปลงกับตัวเองว่าดันอยู่ผิดที่ผิดเวลาเองนี่นะ

“ไปคุยกันในห้องมั้ย” คิลถามเบาๆ เฟรินพยักหน้ารับพลางยกมือปาดน้ำตา

หลังจากที่เฟรินเดินเข้าห้องไปอย่างว่าง่าย คิลที่มองตามก็คิดไปว่าโชคดีแล้วที่ไม่มีใครอยู่แถวนี้ เพราะฉากเมื่อกี้ของเขากับเฟรินมันชวนเข้าใจผิดยังไงชอบกล ถ้าหากไอ้คาโลมันเห็น...ไม่แน่ว่าเขาอาจต้องโดนมันเขม่นจนแข็งตายแหง

หารู้ไม่ว่า...เหตุการณ์นั้นอยู่ในสายตาสามคู่ที่จ้องอย่างตะลึงและงงงัน นัยน์ตาสีฟ้าของแม่มดสาวฉายแววไม่เชื่อชัดเจน ส่วนนัยน์ตาสีเขียวคมของเจ้าหญิงแห่งอเมซอนมีรอยสงสัย และนัยน์ตาคู่สวยของเจ้าหญิงแห่งแดนนักรบนั้นฉายแววหวั่นไหวประหลาดอย่างที่เจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจ



“เอ้า มีอะไรก็ว่ามาสิ” คิลบอกอย่างเตรียมพร้อมรับมือไม่ว่าเรื่องที่ได้ฟังจะใหญ่จะเล็กแค่ไหน แต่เขาไม่ได้เตรียมใจไว้พร้อมสำหรับเรื่องที่ว่า...

“พ่อส่งคู่หมั้นมาที่นี่ล่ะคิล” มันออกจะฟังยากสักหน่อยเพราะเฟรินมัวแต่ปาดน้ำตาที่ไหลนองหน้าอยู่นั่นแหละ ผู้ฟังจึงทำหน้างงก่อนจะถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“แกพูดไหมทีซิ”

“ฉันบอกว่า...พ่อส่งคู่หมั้นของฉันมาที่นี่ ที่ป้อมอัศวิน”

ปฏิกิริยาของคิลคือยกมือขึ้นกุมหัวอย่างแสนละเหี่ยใจ เงยหน้ามองดวงหน้าหวานสวยที่ขณะนี้ดูไม่ได้เอาเสียเลย

“คู่หมั้นแกจริงเหรอวะ”

เฟรินพยักหน้ารับ “ถ้าแกเห็นเวลาหมอนั่นพูดกับเลโมธี แกน่าจะเข้าใจ”

คิลเลิกคิ้วสูง “ขนาดนั้น”

“ใช่ เลโมธีทำยังกับพูดกับพ่อฉันเองแน่ะ ทั้งที่หมอนั่นเป็นแค่ตัวแทน”

“งั้นก็คงอย่างที่นายว่า คู่หมั้นของนายคนนั้นท่าทางจะมีอำนาจมาก”

พอทั้งสองฝ่ายต่างก็เงียบ คิลก็ถอนหายใจอีกครั้งซึ่งหลังๆนี้ดูจะมีเรื่องให้กลัดกลุ้มมากเหลือเกิน

“แล้วนายคิดยังไงกับเรื่องนี้” คิลเปรยถามขึ้น “คิดว่าเอวิเดสจะเลือกคู่หมั้นให้นายเองเหรอ”

เฟรินขมวดคิ้วงง “แกตั้งใจจะพูดอะไร”

“ก็ตอนที่พ่อของนายบอกให้ส่งคาโลไปเป็นราชบุตรเขย” พอพูดถึงความทรงจำน่าอายครั้งนั้น เฟรินก็ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ถ้ามีคู่หมั้นอยู่แล้วเขาจะทำอย่างนั้นทำไม สู้บอกแกว่า ‘น้ำแข็งตายซากพรรค์นั้นลืมมันไปเถอะลูก พ่อหาคนที่ดีกว่าไว้ให้แล้ว’ อย่างนี้ไง”

เฟรินหลุดเสียงหัวเราะกั๊กๆกับท่าทางที่คิลมันตั้งใจจะให้เหมือนพ่อปีศาจของเธอ แต่ดันผ่าไปเหมือนเวลาที่พ่อมาดัสจะเล่นลิเกหลงโรงมากกว่า

“แกไม่เข้าใจ พ่อเอวิเดสไม่เหมือนพ่อธรรมดาทั่วๆไปนะ” เฟรินแย้ง “ตอนนั้นพ่อคงเข้าใจผิดว่าฉันทำร้ายตัวเองเพราะไอ้คาโล ก็เลย...”

เฟรินรู้ว่าเป็นความผิดพลาดก็เมื่อคิลทำหูผึ่งกับสิ่งที่เพิ่งได้ฟังสดๆร้อนๆ ซวย! ลืมไปว่าเธอยังไม่ได้เล่าให้พวกมันฟัง นอกจากนายโร เซวาเรสแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องตอนที่โรครักของเธอกำลังพลุ่งพล่านขึ้นสมองอย่างที่ถูกมันประณาม

เฟรินเบือนหน้าที่ขึ้นสีจางๆหนีแล้วรีบพูดก่อนที่คิลจะได้ถาม

“นายตัวแทนของท่านพ่อนั่นบอกฉันว่าเป็นคู่หมั้นของฉันตั้งแต่...อาจจะตั้งแต่เกิด” พอพูดเองถึงตรงนี้เฟรินก็ทำหน้าครุ่นคิด แปลก...ถ้างั้นทำไมช่วงที่เธออยู่เดมอสเจ้าหมอนี่ถึงได้ไม่มาให้เธอได้เห็น มันผิดวิสัยคู่หมั้นคู่หมาย แถมไม่มีใครพูดถึงมันสักคน เป็นเพราะอะไรกันล่ะ

เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะเวลาใช้ความคิดอันหาได้ยากของหัวขโมยแห่งบารามอสที่บอกให้คิลเป็นคนเปิดประตู

เมื่อประตูเปิดออก เฟรินก็อ้าปากค้าง ตาเบิ่งโตเท่าไข่ห่านยักษ์อย่างห้ามไม่ทัน



เด็กสาวผมทองช้อนนัยน์ตาสีฟ้าขึ้นจับจ้องอาการเหม่อลอยของเพื่อนสาวตรงหน้าที่แม้จะก้มมองหนังสือเล่มหนาอยู่ก็ตาม แต่ก็เหมือนมองผ่านเลยไปยังสิ่งอื่นที่เจ้าหล่อนกำลังคิดถึงอยู่ แองเจลิน่ามองสบกับนัยน์ตาสีเขียวของเจ้าแม่แห่งป้อมอัศวินอย่างลำบากใจ

มาทิลด้าถอนใจเฮือกแล้วรับหน้าที่ทนายสอบปากคำจำเลยที่หากปล่อยให้เหม่ออย่างนี้ต่อไปอาจจะแย่ก็ได้

“เรนอน”

กว่าที่เจ้าของชื่อจะฟื้นคืนสติได้ มาทิลด้าก็จำไม่ได้แล้วว่าเรียกไปกี่ครั้ง

“อะไรเหรอมาทิลด้า” เรนอนถามเสียงซื่อ

“จะอะไรซะอีกล่ะ เธอน่ะมัวแต่เหม่ออยู่นั่นแหละ คิดมากเรื่องนั้นหรือไง” แองเจลิน่าว่าอย่างอดไม่ได้

“เปล่า...” เสียงปฏิเสธไม่เต็มปากถูกหยุดไว้ด้วยคำพูดของทนายมือดีที่ถึงกับทำให้โจทก์แสดงอาการผิดคาดออกมา

“เธอคิดมากเรื่องเฟริน หรือว่า...คิล”

มาทิลด้ากับแองจี้ถึงกับทึ่งที่เพื่อนสาวคนสวยของพวกเธอหน้าขึ้นสีจางๆ แถมต่อด้วยการเบือนหน้าหนีหวังจะหลบซึ่งเจ้าตัวก็คงจะรู้ว่าไร้ผล แต่ก็ยังก้มหน้างุดอย่างกระดากอาย ให้เจ้าหญิงคนกล้าแห่งอเมซอนถอนใจอีกเฮือกใหญ่ พลางคิดในใจว่า

...อะไรจะซื่อขนาดนี้นะเพื่อนฉัน

“ว่าแต่...เธอคิดว่ายังไง ถ้าฉันมองไม่ผิด เฟรินมันร้องให้อยู่นี่” แองเจลิน่ากล่าวขึ้นด้วยเป็นห่วงคนที่พูดถึงอยู่ซึ่งยามนี้เธอก็พอจะยอมรับได้ว่าหัวขโมยหนุ่มคนนั้นกลายเป็นเจ้าหญิงไปแล้ว แม้ไม่อยากจะยอมรับ...แต่เพราะมันเป็นความจริงที่เธอปฏิเสธไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

“แปลกเหมือนกัน เพราะคนอย่างหมอนั่นใช่จะร้องออกมาง่ายๆ แต่ถ้าพูดถึงสาเหตุที่ทำให้เฟรินเป็นได้ถึงขนาดนี้ก็คงไม่พ้นคุณชายน้ำแข็งหรอก”

เมื่อมีการเอ่ยถึงเจ้าชายแห่งคาโนวาล สาวน้อยคนที่ก้มหน้างุดก็กำมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว

“หรือจะเป็นเรื่องที่เรนอนบอก” แม่มดสาวเปรยถาม

“แต่ฉันว่าไม่น่าใช่ ถ้าเป็นอย่างที่เธอว่า ทำไมเฟรินถึงเพิ่งมาร้องให้ล่ะ สงสัยจะมีปัญหาใหม่ๆอีกแล้วล่ะ ช่างเถอะ ปล่อยให้คาโลทำหน้าที่ไป ขืนเข้าไปยุ่งมากมันอาจจะทำให้ยิ่งแย่ไปกว่าเดิม” มาทิลด้าตัดบทง่าย แองจี้ก็เห็นด้วยจึงไม่พูดขึ้นมาอีก

ปล่อยทิ้งไว้เพียงความรู้สึกหวั่นไหวของสาวน้อยที่ไร้เดียงสาเกินคาดกับคำถามที่ทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นระรัว

‘เธอคิดมากเรื่องเฟริน หรือว่า...คิล’

คำถามที่เรนอนตอบตัวเองไม่ได้...ไม่สิ เธอไม่กล้ายอมรับในคำตอบต่างหาก

ไม่กล้าที่จะรับรู้ว่า...ความรู้สึกของเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว



คิล ฟีลมัส เดอะคิลเลอร์ ออฟ ซาเรสมองสลับไปมาระหว่างพระพักตร์สวยหวานที่ยามนี้บูดสนิทกับใบหน้าคมคายที่มีรอยยิ้มแฉ่งอย่างชวนให้จับเจ้าคนชอบก่อปัญหาไปต้มยำทำแกงอย่างที่ใจอยากนัก...แน่นอนว่าต้องเป็นใจของธิดาแห่งความมืดซึ่งถูกบดบังด้วยโทสะที่พุ่งเป้าไปยังบุรุษแห่งเดมอส

บุรุษผู้มองสบนัยน์ตาสีน้ำตาลบ่งความอาฆาตรุนแรงด้วยดวงเนตรสีนิลอ่อนโยน

อ่อนโยน...อย่างที่เคยเห็นมาก่อน

และอะไรบางอย่างในดวงตาคู่นั้นก็บอกให้เฟรินรู้ว่า...คำพูดของคนตรงหน้าเป็นความจริง

บุรุษแปลกหน้าผู้ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายของเธอ แท้จริงก็คือ...

พ่อของเธอเอง!

พ่อผู้เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องเหมือนเคย... พ่อผู้มีนิสัยแปลกประหลาดจนยากจะยอมรับว่ามีส่วนที่น่ากลัวสมเป็นจ้าวปีศาจแห่งเดมอส พ่อที่ควรจะตรากตรำทำงานในฐานะคิงของแดนปีศาจอยู่ที่อีกฝากหนึ่งนู่นกลับมาเอ้อละเหยลอยชายอยู่ที่บ้านเมืองของมนุษย์!

เฟรินนึกอยากเอาหัวโขกกำแพงโทษฐานที่ไม่ได้รับเชื้อความฉลาดไม่ว่าจากพ่อคนไหนๆมาทั้งนั้น เอ... หรือเธอจะซื่อเหมือนแม่?

คิลซึ่งเลือกจะเงียบเสมือนเป็นของตกแต่งภายในห้องขณะที่พ่อของเพื่อนเล่าความจริงให้ประจักษ์แก่สมองน้อยๆที่คาดไม่ถึงว่า...ปีศาจอายุมากอย่างนี้ยังจะเล่นอะไรไม่เข้าท่าอีก

สงสัยจะเป็นอย่างที่เฟรินเคยเล่าว่า พ่อมันยังเป็นหนุ่มรุ่นกระทงอยู่

“แทบแย่แน่ะกว่าจะหนีออกมาได้ ดีนะที่พ่อยังไม่ลืมเวทสร้างร่างตัวแทนไว้หลอกเจ้าโกโดมกับเอริเซ่ ไม่งั้นพ่อคงหนีออกมาไม่ได้แน่”

คำคุยที่ฟังแล้วนึกสงสัยในฐานะของผู้พูดยิ่งนัก

“ฝ่าบาทมาทำไมที่นี่ล่ะกระหม่อม มีวังให้อยู่อย่างสุขสบายไม่ชอบ” เฟรินที่ยังโกรธไม่หายถามอย่างเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้และไม่วายประชด ซึ่งผู้เป็นเป้าของความไม่พอใจนั้นก็เพียงยิ้มขำเหมือนกับเห็นเรื่องตลกแล้วเอ่ยตอบว่า

“เลโมธีส่งข่าวไปหาพ่อน่ะสิ บอกว่าลูกก่อปัญหาจนอยู่ในสภาพนี้ พ่อถึงต้องมาไงล่ะ” เอวิเดสบอกยิ้มๆ พลางเคาะหน้าผากลูกสาวสุดที่รักเบาๆ เฟรินย่นหัวคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ บ่นอุบอิบว่าไม่ใช่ความผิดของเธอสักหน่อย

“แล้วฝ่าบาทจะช่วยหม่อมฉันด้วยวิธีไหน” เฟรินมองพ่อตัวเองอย่างไม่ไว้ใจ

เอวิเดสขยับยิ้มมีเลศนัยซึ่งชวนให้เด็กๆทั้งสองรู้สึกขนลุกขนพองด้วยความหวั่นระแวงว่าปีศาจผู้ยิ่งใหญ่เบื้องหน้ากำลังวางแผนการอะไรอีก

“เรามาเล่นหมากรุกกัน” ข้อเสนอที่ทำให้เฟรินตาเบิ่งโต ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

“ฝ่าบาทว่าไงนะ”

“พ่อบอกว่าเรามาแข่งหมากรุกกัน ถ้าเจ้าชนะ สิ่งนี้จะเป็นของเจ้า” เอวิเดสกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังออกว่าเจ้าตัวกำลังสนุกกับปฏิกิริยาของพระธิดาพลางยกมือขึ้นให้เฟรินได้เห็นสิ่งที่เพิ่งจะปรากฏโฉม

แหวนสีทองเกลี้ยงซึ่งเธอจำได้ไม่มีวันลืม!

“ว่าไง” เอวิเดสถามเสียงเย้า เฟรินกลืนน้ำลายเอื๊อก คำตอบมันแน่นอนอยู่แล้ว

“แข่งกันหนึ่งกระดาน รับรอง หม่อมฉันไม่แพ้อีกเด็ดขาด”

เอวิเดสเลิกคิ้วกับคำพูดแสดงความมั่นใจของคนที่เคยแพ้มาก่อน

“มันก็ต้องดูกันต่อไป”



ถึงไม่อยากจะยอมรับก็ต้องยอมรับ...ในฝีมือที่พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของราชาแห่งเดมอส

เฟรินครุ่นคิดอย่างหนักใจและไม่ลืมกลบซ่อนความคิดนั้นไม่ให้แสดงออกทางสีหน้าโดยการดึงหน้ากากฟาโรห์ขึ้นมาปกปิด ดวงหน้าหวานของเจ้าหญิงคนงามจึงยังบ่งถึงความมั่นใจล้นเหลือ

สมองอันชาญฉลาดของหัวขโมยเริ่มคิดหาวิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายก้าวพลาด ก่อนจะได้ยินเหมือนเสียงดีดนิ้วเปาะในหัว แล้วตามมาด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยที่เรียกให้พระขนงจ้าวปีศาจมุ่นเล็กน้อยอย่างสงสัยว่าพระธิดาคิดจะทำอะไร แต่ไม่ทันต้องเอ่ยถาม นาทีถัดมาแผนการของยอดหัวขโมยก็เริ่มต้นขึ้น

“หม่อมฉันสงสัยจริง ฝ่าบาทมาที่นี่ด้วยวิธีไหน ถึงจะหลอกเจ้าโกโดมได้ แต่เสนาบดีอีกสองคนนั่นล่ะ ในความคิดของหม่อมฉัน เขาน่าจะชินกับการกระทำของท่านแล้วนี่นา ไม่น่าจะติดกับได้ง่ายๆ” เฟรินนึกไปถึงเสนาบดีที่เพิ่งจะเคยเห็นไม่กี่ครั้งเมื่อตอนไปอยู่เดมอสครั้งล่าสุด

เอวิเดสเดาะลิ้นอย่างที่เฟรินไม่เคยเห็นท่านทำที่เดมอสเลย แล้วตอบว่า

“โชคดีนะที่เลโมธีส่งข่าวไปในเวลาที่เหมาะเจาะ อาเดลกลับไปเยี่ยมครอบครัว ส่วนเอริเซ่ ตอนนี้เหม่อๆอยู่เพราะคิดถึงลูกสาว” ประโยคท้ายหัวเราะขบขันและยิ่งขำหนักเข้าไปอีกเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตกใจของคนที่เปิดฉากสนทนา

“ฝ่าบาท... แน่ใจเหรอว่าเค้ามีลูก” คำถามพิลึกที่สุดของเฟรินเกือบทำให้คิลหัวเราะตามคิงเดมอสไปแล้ว

“แน่สิ ก็ภรรยาของเอริเซ่เป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกันกับพ่อนี่”

คำบอกเล่าที่เรียกให้นัยน์ตาสองคู่เบิ่งกว้างอย่างงุนงงแกมอยากรู้อยากเห็น

“เพื่อนของฝ่าบาท... แล้วเค้าอายุเท่าไหร่เหรอกระหม่อม” เฟรินถามแห้งๆ เธอยังจำได้แม่นยำถึงความรู้สึกที่มีต่อเสนาบดีเอริเซ่ครั้งแรก...ยังกับเห็นพี่ชายของซีบิล

“อืม คงจะน้อยกว่าฉันไม่กี่ร้อยปี พอๆกับภรรยาของอาเดลน่ะแหละ”

เงียบไปครู่ ก่อนที่เฟรินจะกระตุกยิ้ม เอ่ยทวงคำตอบที่พ่อตัวดียังไม่ยอมตอบ

“ตกลงว่าฝ่าบาทมาที่นี่ได้ยังไงล่ะกระหม่อม แถมเป็นวิธีพิสดารเหลือเชื่อซะด้วย ให้ตายเถอะ ทำเอาตกใจแทบแย่” ประโยคท้ายเป็นเสียงบ่นหงุงหงิงด้วยความเจ็บใจไม่หายที่เผลอแสดงความกลัวไปตั้งมากมายต่อหน้าเจ้าบ้าขี้เก๊กนั่น

เอวิเดสกอดออก ทำสีหน้าครุ่นคิดประมาณว่าบอกดีไหมนะ นั่นยิ่งเป็นการบอกให้เฟรินรู้ว่าวิธีที่ว่านั่นอาจจะ...

“หรือว่า...ตอนนั้นที่หม่อมฉันหมดแรงไปดื้อๆก็เพราะ...”

คำตอบคืออาการสะดุ้งราวกับเด็กถูกจับผิดของราชาปีศาจ ตามมาด้วยรอยยิ้มสำนึกผิดที่เอาลูกสาวไปเกี่ยวข้องกับการหลบหนี

“พ่อขอโทษ แต่มันไม่มีวิธีไหนสะดวกเท่านี้อีกแล้วนี่” คำออกตัวถูกขัดด้วยรอยยิ้มหวานของเจ้าหญิงแห่งเดมอสที่ควรจะเรียกให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อยแต่คำพูดที่ตามมานั้นกลับทำให้เกิดยิ้มแห้งๆบนใบหน้าคมคาย

“หม่อมฉันจะไม่ถือสาหาความ ถ้าฝ่าบาทจะบอกวิธีสะดวกๆนั่นมาอย่างละเอียด”

เอวิเดสถอนใจเฮือกอย่างรู้ตัวว่าไม่มีทางเลือกอื่น พลางคิดว่าสงสัยคำทำนายของพวกเอเดนจะเป็นจริง

ธิดาแห่งความมืด...ผู้สยบราชาปีศาจ



“การมายังเอดินเบิร์กที่มีเขตแดนอยู่ วิธีที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดก็คือการเดินทางผ่านกระจก ต้นทางคือที่เดมอสพ่อใช้เวทมนตร์ได้ แต่ปลายทางที่นี่พ่อจำเป็นต้องใช้พลังของลูก ยังดีนะที่พลังปีศาจในตัวเจ้ายังไม่แสดงออกมา ไม่งั้นพ่อคงแย่”

คำอธิบายที่คนฟังทั้งสองฟังด้วยความเลื่อมใส...นับถือในความรอบรู้ขยันหาทางหนีของจ้าวแห่งเดมอส และทึ่งกับเวทที่แสนจะสะดวกสบาย

เฟรินมองคนเป็นพ่ออย่างสงสัย ถามในสิ่งที่ตนรู้สึกประหลาดใจ “พลังปีศาจในตัวหม่อมฉัน ฝ่าบาทหมายความว่ายังไงหรือกระหม่อม”

เอวิเดสที่มีสมาธิกับเกมของมนุษย์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ก็เจ้าเป็นลูกครึ่งปีศาจกับมนุษย์ สิบห้าปีที่เจ้าอยู่กับพวกมนุษย์ดีอยู่อย่างคือมันเป็นการผนึกสายเลือดของปีศาจทางอ้อม ถึงแม้เจ้าจะรู้ว่าอีกครึ่งหนึ่งเป็นปีศาจ เจ้าก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นพวกเดียวกับมนุษย์ ใช่ไหมล่ะ” ประโยคท้ายเงยหน้าขึ้นจากกระดานมาสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลใสที่มีรอยไหววูบ “ดีแล้วล่ะที่เจ้าคิดอย่างนั้น เพราะหากเจ้าใช้พลังปีศาจได้ ในสงครามครั้งที่ผ่านมาเจ้าคงไม่พ้นตกเป็นเครื่องมือของพวกมนุษย์หรอก”

“แล้ว...ถ้าหม่อมฉันต้องเป็นศัตรูกับฝ่าบาทจริง” ประโยคที่เปรยขึ้นอย่างห้ามปากตัวเองไม่ได้เรียกให้แววตาของบุรุษตรงหน้ามีประกายอ่อนโยนแฝงรอยประหลาด เสียงสรวลดังจากจ้าวปีศาจ ก่อนจะดำรัสตอบ

“ในฐานะราชาปีศาจ...ไม่อาจแพ้ แต่ในฐานะของพ่อ...ไม่อาจชนะ” แล้วบุรุษผู้ตอบกำกวมก็เบือนสายตาลงมา นัยน์ตาสีดำเป็นประกายวับให้เฟรินกลับมาให้ความสนใจกับหมากกระดานตรงหน้า ก่อนจะชะงักกับเกมที่อีกฝ่ายเป็นต่ออยู่ขณะนี้

เฟรินกัดฟันแย้มยิ้ม

“ฝ่าบาทเก่งขึ้นเยอะ”

“จะได้เอาไว้เล่นกับลูกไงล่ะ ตอนที่เจ้าอยู่เดมอส เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฝึกของลูน่า พอว่าง เจ้าก็เอาแต่ขลุกอยู่กับราชบุตรเขยจากทริสทอร์ แล้วถึงจะเจอกันไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกเหมือนเวลาเจ้าอยู่กับเดอะทีฟ มาดัส เดอเบอโรว์ มนุษย์ที่เลี้ยงเจ้ามาเลย”

มันฟังดูเหมือนจ้าวปีศาจผู้ยิ่งใหญ่กำลังน้อยใจ...ที่พระธิดาเพียงองค์เดียวไม่ให้ความสนิทสนมเหมือนกับยอดหัวขโมยซึ่งเป็นพ่อผู้เลี้ยงดู แล้วยิ่งส่งเสริมความเชื่อนี้ของคิลเมื่อนัยน์ตาสีดำมองเหมือนค้อนเจ้าเฟรินที่ยิ้มฝืดๆ

“แล้วตอนที่เจ้าจะหนีไปเที่ยวแดนใต้”

เฟรินสะดุ้งสุดตัวเมื่อพ่อกล่าวถึงความผิดที่แม้แต่ตัวเธอเองยังรู้ว่าผิด

“ที่เจ้าไม่มาส่ง พ่อก็เข้าใจอยู่ว่ายังอารมณ์ไม่ดี แต่เจ้ากลับไม่บอกพ่อสักคำว่าจะไปกับเจ้าขโมยนั่น แถมยังเป็นการไปที่ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ จริงอยู่ที่มันไม่เหนือบ่ากว่าแรงพ่อหรอกที่จะตามหาลูก แต่พ่อสมควรจะโกรธนะสำหรับเรื่องที่เจ้าไปโดยไม่ลา”

เฟรินไม่มีอะไรจะเถียงจึงฟังอย่างสงบเสงี่ยมแล้วยิ้มซื่อๆหวังจะให้บิดาใจอ่อนไม่รื้อฟื้นอดีตที่ผ่านมาแล้ว แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลใสแจ๋วนั้นก็ไร้ผลเมื่อราชาปีศาจแย้มพระโอษฐ์บาง ก่อนจะดำรัสต่อราวกับธิดาแห่งความมืดมีชนักปักหลังมากมาย...ซึ่งก็อาจจะจริง

“หลังจากที่พ่อรู้ว่าเจ้าไม่ไปเกาะทางใต้แล้วเพราะราชบุตรเขยจากคาโนวาลตามมาง้อทัน...”

เฟรินไม่วายค้านว่า “ใครบอกว่าจะเอาไอ้บ้านั่นเป็นราชบุตรเขยเล่า”

แต่ท่านจ้าวก็ทำหูทวนลมไม่สนใจซะงั้น เล่นเอาคิลที่ขอมองอยู่ห่างๆกะพริบตาปริบๆอย่างทึ่งสุดขีดว่านี่น่ะหรือ...ราชาปีศาจผู้ที่เคยเกือบจะทำลายล้างเอเดน บังเกิดความสงสัยในใจของนักฆ่าเนื่องจากบุรุษเบื้องหน้านั้นไม่มีตรงไหนที่ดูยิ่งใหญ่สมเป็นราชาปีศาจเลยสักนิด คิลกลับมองเห็นพ่อคนหนึ่งที่กำลังงอนลูกสาวมากกว่า

“...แล้วเจ้าก็กลับไปกับเกวียนของพวกเพื่อนป้อมอัศวิน เห็นว่าเจ้าแวะที่เมืองนู้นเมืองนี้จนทำให้กลับมาถึงช้ากว่าที่กำหนดไว้มาก” เอวิเดสเลิกคิ้วก่อนถามขึ้นว่า “มีเวลาเที่ยวเหลือเฟือ แล้วทำไมกะอีแค่ส่งข่าวบอกพ่อ เจ้าจะเจียดเวลามาทำไม่ได้เลย”

เฟรินอ้ำๆอึ้งๆพูดไม่ออกบอกก็ไม่ถูก โดยหารู้ไม่ว่าตัวเองนั้น...หลงติดกับดักของบิดาผู้มีชั้นเชิงมากกว่าไปเรียบร้อยแล้ว และผลลัพธ์ของมันก็ก่อให้เกิดความพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงของเจ้าหญิงผู้เรียกขานตัวเองว่าหัวขโมย ความพ่ายแพ้ที่เรียกให้ดวงหน้าสวยน่ารักซีดสนิทเพราะความหวังที่จะได้ของรางวัลมาดับวูบ พร้อมกับที่มีบางสิ่งที่ทั้งหนักอึ้งและใหญ่มหึมาหล่นทับในความรู้สึก บางสิ่งที่ไม่ต่างจากกรง...กรงที่ขังเธอไว้ไม่ให้ไปไหนได้ เพราะเสน่ห์ของปีศาจที่ไม่ควรเกิดขึ้นตอนนี้!

คิลรอดูว่าเพื่อนซี้ของตนจะทำยังไงเมื่อหมากกระดานที่ต้องชนะกลับแพ้...แพ้เพราะหลงติดกับดักที่มันคงจะเป็นฝ่ายตั้งใจใช้ แต่โดนอีกฝ่ายเล่นเข้าให้ก่อน หากมันจะร้องให้ เขาก็ไม่คิดจะปลอบมันอีกแล้ว (เบื่อที่สุดก็น้ำตาผู้หญิงนี่แหละ) ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพ่อมันที่ต้องคอยปลอบลูกตัวเองดีกว่า

ก่อนที่เฟรินจะน้ำตาซึมอีกรอบเนื่องจากอารมณ์ยังไม่ปกติ สุรเสียงของจ้าวปีศาจก็กล่าวถึงสิ่งที่เหมือนเป็นแสงสวรรค์สำหรับผู้ฟังอย่างเจ้าหญิงแห่งเดมอส และเรียกเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากนักฆ่าผู้รอดตัวจากอารมณ์สาว

“ถึงเจ้าจะแพ้ แต่ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ พ่อเลยเตรียมสิ่งนี้มาด้วย” เอวิเดสแบมือให้เห็นแหวนทองเกลี้ยงๆที่มีลักษณะภายนอกไม่ต่างจากแหวนวิเศษที่มีกลิ่นไอกับพลังเวทแบบเดียวกัน แต่อำนาจของมันคงจะ...

เฟรินมองแหวนเบื้องหน้าด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโต ใบหน้าหวานที่ขมวดคิ้วนิดๆดูน่าเอ็นดูในสายตาของผู้เป็นพ่อและลูกผู้ชายอย่างคิล(มองข้ามสภาพความเป็นจริงไปก่อน) เรียวปากอิ่มสีกุหลาบเม้มอย่างขัดใจ

“ฝ่าบาทก็บอกหม่อมฉันสิว่ามันใช้ทำอะไร”

เอวิเดสหัวเราะในคอ ก่อนเอ่ยตามใจพระธิดา “แหวนนี่ไม่ได้ช่วยให้เจ้าเป็นผู้ชายเหมือนอีกวงหนึ่ง แต่มันจะช่วยผนึกเสน่ห์ของเจ้าได้”

ดวงตาคู่สวยเป็นประกายวิบวับพลางแย้มยิ้มอย่างดีอกดีใจ

“เพียงแต่ว่ากลิ่นหอมของภูติดอกไม้จะยังคงอยู่ มีแค่เสน่ห์ของปีศาจที่แรงขึ้นเรื่อยๆเท่านั้นที่ถูกผนึกไว้ พ่อไม่รับผิดชอบมนุษย์ที่มาหลงรักลูกเนื่องจากกลิ่นหอมนะ”

“แค่นี้ก็ดีถมไปแล้วล่ะ” เฟรินนึกอยากกระโดดโลดเต้นซะเดี๋ยวนั้นเลย

“แต่พ่อไม่ให้ลูกฟรีๆหรอกนะ”

พระพักตร์รื่นเริงเบิกบานของเจ้าหญิงสองดินแดนหุบฉับลงแล้วเบือนกลับมามองพ่อของตนอย่างไม่อยากเชื่อสายตาว่าจะงกมากกว่าเธอเองซะอีก

เอวิเดสฉีกยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อนกับสายตาต่อว่าต่อขาน บอกกลับไปว่า

“เจ้าก็ผ่านหุบเขาหัวกะโหลกมาแล้วนี่นา ลูซิฟินไม่ได้สอนเจ้าหรอกรึว่าโลกนี้ไม่มีคำว่าฟรี”

ประโยคที่ทำให้เฟรินสะอึก แต่ด้วยศักดิ์ศรีของตระกูลเดอเบอโรว์ ยังไงก็ขอเถียงสักหน่อยเถอะ

“ฟรีที่ไหนกัน หม่อมฉันก็เล่นหมากรุกเป็นเพื่อนแล้วไงล่ะ”

เอวิเดสยิ้มให้คนที่เถียงคำไม่ตกฟาก ซึ่งสายเลือดเดียวกันก็คงจะรู้แกวกันอยู่ ประโยคต่อมาของราชาปีศาจจึงเรียกอาการเม้มปากอย่างบูดบึ้งของธิดาแห่งความมืดได้ในที่สุด

“ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะหลงลืมได้ขนาดนี้นะเฟลิโอน่า ที่เจ้าแข่งหมากรุกกับพ่อก็เพราะของรางวัลไม่ใช่หรือ ซึ่งผลคือเจ้าแพ้และไม่ได้แหวนวงนั้น แล้วเจ้าจะบอกว่า...”

“ก็ได้ๆ!” เฟรินร้องอย่างลืมไปเลยว่าควรจะพูดกับบิดาอย่างไร นี่ถ้าท่านอาลูน่ารู้เข้าล่ะก็...มีหวังเธอได้โดนลากกลับไปเรียนวิชาว่าด้วยการเป็นเจ้าหญิงแห่งเดมอสที่น่าสะพรึงกลัวใหม่แน่



เฟรินมองแหวนทองที่สวมติดนิ้วอย่างพอใจที่นับแต่นี้คงไม่มีไอ้ผู้ชายหน้าโง่คนไหนหลงมาติดกับเสน่ห์เธออีก และเธอจะได้มีอิสระเสียที ลาขาดกันเลยกับการเป็นเจ้าหญิงในหอคอย ทีนี้คงจะทำอะไรได้ตามใจเหมือนเดิม...

“อย่าผิดสัญญาล่ะเฟลิโอน่า ไม่งั้นพ่อจะเอาแหวนคืนแน่” คำขู่ที่เรียกสีหน้ามุ่ยของเจ้าของชื่อลิเก(ตามที่เจ้าตัวเรียกเอง)

“หม่อมฉันจะทำตามสัญญา ถ้าฝ่าบาทเลิกเรียกชื่อนั้นน่ะ”

“ทำไม ชื่อนี้ไม่ดีเหรอ แม่เจ้าเป็นคนตั้งเชียวนะ”

เฟรินยิ้มเฝื่อนรีบแก้ตัว “ไม่ใช่ไม่ดี เพียงแต่...หม่อมฉันยังทำใจกับสภาพของตัวเองไม่ค่อยได้”

“ทั้งที่เจ้ามีคู่หมั้นแล้วน่ะหรือ” คำตอกกลับเรียกให้ดวงหน้างามขึ้นสีจัด ก่อนแย้งอย่างชินปาก

“เจ้าหมอนั่นไม่ใช่คู่หมั้นสักหน่อย”

“ถึงจะยังไม่หมั้นตอนนี้ แต่ยังไงก็ต้องจับหมั้นกับเจ้าอยู่แล้ว” ยังไม่ทันที่เฟรินจะซักถาม เอวิเดสก็พูดต่อให้เจ้าหญิงที่หน้าขึ้นสีก่ำอยู่แล้วแทบจะกลายเป็นสุก “นี่ขนาดยังไม่ได้หมั้นเป็นทางการยังล่วงเกินขนาดนี้ แล้วนี่ถ้า...”

“พ่อ!!!”

เฟรินตะโกนก้องอย่างหวังจะให้บุรุษผู้พูดอุดปากตัวเองไว้อย่างแน่นหนา นัยน์ตาสีน้ำตาลปราดมองไปยังเพื่อนซี้ที่หันหลังให้ หากสังเกตดีๆ เจ้าเพื่อนตัวดีของเธอกำลังกลั้นหัวเราะจะเป็นจะตายอย่างที่เห็นแล้วทรมานแทน

ราชาปีศาจฉงนกับปฏิกิริยาของพระธิดาคนโปรด คิ้วเข้มมุ่นฉับ ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ชวนติดเรทอย่างน่าสยองว่า

“หรือเจ้าจะ...ไปแล้ว”

คำที่ว่างเว้นเหมือนจะเด่นชัดอยู่ในสมองของเด็กๆผู้ฟังถึงก่อให้เกิดสีก่ำสุกบนใบหน้าขาวของนักฆ่าที่ขอเป็นเพียงผู้ฟังและสีแดงจัดอย่างน่าเป็นห่วงว่าเจ้าของพระพักตร์สวยจะไม่สบายไปเพราะขีดวัดระดับความอายพุ่งสูงเกินระดับ

“จะ..จะ...จะบ้าเรอะ!!!”

พระเนตรของกษัตริย์แห่งเดมอสยังมีแววสงสัยอยู่แต่ก็ไม่กล่าวต่อให้พระธิดาโกรธแล้วงอนไปตามระเบียบ เขาว่าไปอีกเรื่อง

“ที่พ่อมานี่รู้ใช่ไหมว่าต้องเป็นความลับ”

เฟรินเบือนสายตากลับมามองพ่อตนเอง ถามอย่างแปลกใจในความว่างงานของอีกฝ่าย “พ่อจะอยู่ต่อหรือ”

“แหงสิ นานๆพ่อถึงจะได้พักสักที ระหว่างนั้นพ่อจะให้ลูกพาชมโรงเรียนของลูกเสียหน่อย อืม... อาจจะต้องบอกเจ้าชายจากเจมิไนคนนั้นด้วย จะได้สะดวกในหลายๆเรื่อง แต่ว่า...ห้ามบอกเจ้าชายคาโลล่ะ”

คำสั่งที่ผู้ฟังทั้งสองไม่เข้าใจในจุดประสงค์ของบุรุษตรงหน้า แต่ก็ไม่อาจขัดได้ด้วยคนละเหตุผล

เฟรินที่โดนยื่นเงื่อนไขให้ทำตามคำสั่งของพ่อปีศาจที่แสบไม่แพ้พ่อหัวขโมย เงื่อนไขที่ปฏิเสธไม่ได้หากยังคิดจะได้ออกไปเดินเล่นตามใจชอบเสียที

ส่วนคิล หมอนี่กลัวพ่อเธออยู่แล้ว ไม่ต้องบอกก็เห็นได้ แต่ว่าพ่อคนนี้ของเธอเนี่ยน่ากลัวจริงๆน่ะแหละ...แม้จะน่ากลัวเฉพาะตอนเอาจริงก็เถอะ ด้วยเหตุผลนี้จึงไม่ต้องห่วงว่ามันจะเผลอปากสว่างแน่

แต่หากไม่มีอะไรรับประกัน ไม่ว่าใครก็คงจะวางใจไม่ได้

พระเนตรของราชาปีศาจชวนให้ผู้อ่อนวัยกว่ามากทั้งสองเกิดหนาวเหน็บตามไขสันหลัง เฟรินเผลอกลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อพ่อของเธอยื่นหัตถ์มากระชับรอบคอของนักฆ่าเพื่อนซี้อย่างชวนให้ใจหาย เธอนับถือไอ้คิลมันจริงๆ ขนาดอยู่ในสถานการณ์เฉียดๆโดนบีบคอ มันก็ยังไม่แสดงทีท่ากลัวสักนิด

นัยน์ตาสีม่วงมองสบกับอีกฝ่าย แม้ว่าพระเนตรสีนิลนั้นฉายแววของความเป็นมิตรที่พาให้อุ่นใจ แต่อำนาจอันลึกล้ำของจ้าวปีศาจก็ยังก่อให้เกิดความหวาดกลัวในใจมนุษย์ตัวจ้อยอย่างเขาอยู่ดี

ความหวาดกลัวที่ข่มไว้ไม่ให้แสดงออกมาซ่อนเร้นอยู่ในดวงตาสีม่วงของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ และมันก็เรียกแววตาระยับบ่งความถูกใจจากกษัตริย์แห่งเดมอส พร้อมกับรอยแย้มสรวล จากนั้น แสงก็สว่างวาบจากมือของบุรุษผมดำมาสู่คอของคิล ความอุ่นวูบประหลาดตามติดอย่างกระชั้นชิด

เอวิเดสคลายมือออก รอยแย้มพระโอษฐ์ยังไม่จางหายไปจากพักตร์คมคาย

“ฝ่าบาททำอะไรมัน” เฟรินร้องถามเสียงสูงด้วยความตระหนกแทนเพื่อนสนิทที่เอามือลูบคอตัวเองอย่างสำรวจตรวจตรา

“ใช้เวทวาจาสิทธิ์” คำตอบเรียบๆเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ให้ผู้ฟังรับรู้

“ไหนว่าฝ่าบาทใช้เวทที่เอเดนไม่ได้”

“ไม่เชิง สิ่งที่พ่อทำกับเพื่อนของลูกคือการใช้พลังของเขามาร่ายเวท พูดง่ายๆก็เป็นการขโมยหรือยืมพลัง พ่อก็ใช้วิธีนี้ตอนที่ยืมพลังของเจ้า”

เฟรินกับคิลอึ้งในสิ่งที่รับทราบราวกับเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครก็ทำได้

“แล้วฝ่าบาททำยังไงล่ะกระหม่อม” เฟรินยังไม่เลิกซัก เอวิเดสลูบเรือนผมสีน้ำตาลนั้นอย่างเบามือ บอกด้วยสุรเสียงทุ้มอ่อนโยน

“มันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดหรอกนะ สักวันเจ้าก็คงจะทำได้...ถ้าหมั่นฝึกฝน”

เฟรินตีหน้าแหยกับประโยคท้ายที่เป็นการกระเซ้าคนไม่ชอบฝึกเวทมนตร์ ไม่สิ คนไม่ขยันฝึกซ้อมไม่ว่าจะอะไรทั้งนั้นน่ะแหละ

“ฝ่าบาทยังไม่ยอมบอกเลยว่าจะให้หม่อมฉันทำอะไร” เฟรินถามคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวด้วยความหวาดระแวง และยิ่งระแวงหนักเข้าไปอีกเมื่อรอยยิ้มของจ้าวปีศาจบ่งบอกถึงความเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าครั้งใด

...ทำไมรอบตัวเธอถึงมีแต่คนแบบนี้นะ ไอ้บ้าเฟนริลก็อีกคน แล้วพักนี้เจ้าน้ำแข็งมาดมากก็ชักจะออกแวว นี่ถ้ามีพ่อตัวแสบมาร่วมขบวนการด้วย ชะตาชีวิตของเธอจะสับสนอลหม่านขนาดไหนหนอ

ไม่อยากจะคิดเลย...


----->



Create Date : 11 มกราคม 2549
Last Update : 11 มกราคม 2549 10:37:46 น.
Counter : 598 Pageviews.

0 comment
10 บทง้อของเจ้าชายน้ำแข็ง
10 บทง้อของเจ้าชายน้ำแข็ง



เฟริน เดอเบอโรว์ หรือ เฟลิโอน่า เกรเดเวล นอนทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะความที่อารมณ์สาวแปรปรวนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เธอจำได้ว่าไม่ได้ตั้งใจจะต่อล้อต่อเถียงกับหมอนั่น แต่...พอฟังมันพูดอย่างนั้นแล้วมันเหมือนขีดความอดทนขาด ทั้งที่เคยทนมาได้ตั้งนานสองนานกับนิสัยแข็งๆเย็นๆของนายเจ้าชายขี้เก๊กนั่น


ตอนที่เป็นเพื่อนกันก็ไม่เห็นจะมีอะไรวุ่นวายขนาดนี้เลย ทำไมพอเลื่อนเป็นคนรักถึงได้มีแต่ปัญหานะ หรือเพราะนิสัยเราเข้ากันไม่ได้จริงๆ


เฟรินคิดทบทวนถึงความเป็นไปในแต่ละวันของตน เธอรู้ว่าทะเลาะกับคาโลบ่อยด้วยเรื่องไร้สาระที่เกิดขึ้นเรื่อยๆไปในชีวิตประจำวัน อันที่จริง เธอเถียงแทบขาดใจว่ามันเป็นสิ่งที่เธอปฏิบัติมานานแล้ว จะให้มาเปลี่ยนปุบปับเพราะฐานะของเจ้าหญิงที่ค้ำคออยู่มันก็ลำบากหนักหนาเกินกว่าที่อดีตหัวขโมยอย่างเธอจะรับได้ ถ้ามันไม่ได้ดีแต่พูดแล้วมาช่วยเธอสักหน่อย เธอก็คงไม่เก็บกดอยู่อย่างนี้หรอก


ขณะที่เจ้าหญิงคนสวยกำลังคิดเพลินๆกับชีวิตของตนเองนั้น อยู่ๆเจ้าหล่อนก็ร้องอุทานออกมาแล้วผุดลุกขึ้น มือเรียวค่อยๆเลื่อนมากุมท้องซึ่งปวดขึ้นมากะทันหันให้เธอไม่เข้าใจ อาการนั้นยังไม่จบ แถมมันยังปวดขึ้นเรื่อยๆและหนักในบริเวณที่เธอนึกสาปแช่งตัวเองที่เกิดมาเป็นผู้หญิงนัก ตอนนี้เธอพอจะรู้แล้วว่ามันเป็นอาการปวดท้องของคนที่มีฤดูนาง แต่ว่า...ทำไมเธอถึงเพิ่งจะมาปวดเอาไอ้ตอนนี้ล่ะ


ราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ให้เจ้าหญิงแห่งเดมอสต้องตกระกำลำบากอย่างหนำใจ ทะเลาะกับเจ้าชายขี้เก๊กนั่นยังไม่พอ ยังต้องเผชิญกับ...อาการอันเลวร้ายของวันแดงเดือดหรือวันนั้นของเดือนซึ่งแย่ที่สุด!!!


โอ้ พระเจ้า จะกลั่นแกล้งลูกแกะตาดำๆไปถึงไหนนะ แต่ถึงจะสลดหดหู่ไปก็ใช่ว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น ถ้าเธอได้แต่ทนอยู่อย่างนี้ น่ากลัวว่าเข็มวัดระดับอารมณ์จะยิ่งลดต่ำลง มันจะมียาอะไรช่วยบรรเทาได้บ้างรึเปล่านะ แต่จะให้ไปขอที่ห้องพยาบาลก็กระดากชะมัด ยังไงก็ไปถามจากเจ้าคนแสนรู้แสนฉลาดที่เพียบพร้อมไปด้วยของวิเศษก่อนดีกว่า


แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าอย่างไหนมันจะน่าขายหน้าน้อยกว่ากัน แต่เธอก็รู้ดีอยู่หรอกว่านายพ่อมดคนนั้นปิดปากสนิทแน่ เพียงแต่ไม่ชอบสายตามันก็เท่านั้น แววตาที่คล้ายกับว่าทะลวงลึกเข้าไปในใจ เธอล่ะไม่ชอบหมอนี่จริงๆเลย แต่ก็งงกับตัวเองเหมือนกันว่าถ้าไม่ชอบแล้วทำไมถึงสนิทกันขนาดนี้


นั่นสินะ...บางทีเธออาจจะไม่เข้าใจไปตลอดเลยก็ได้





ในห้องที่มีบรรยากาศของความขลังและเก่าแก่ที่สุดในโรงเรียนพระราชานั้นมีสองบุรุษกำลังสนทนากัน ฝ่ายหนึ่งมากด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งอ่อนวัยหากก็เห็นโลกมามากกว่ารูปลักษณ์ภายนอกที่คล้ายไม่เคยเจอกับความลำบาก


“เป็นยังไงบ้างล่ะ” เสียงของชายชราที่น่าเคารพเอ่ยถามขึ้น ให้เด็กหนุ่มขยับยิ้ม ตอบไปว่า


“วุ่นวายน่ะสิครับ”


คำอธิบายสั้นๆที่กินใจความทั้งหมดทำให้มหาปราชญ์เลโมธีอดหัวเราะเบาๆไม่ได้ ก่อนที่แววตาจะทอดมองต่ำลง แล้วเปลี่ยนมาสบกับนัยน์ตาสีฟ้าที่ฉายประกายของความมั่นใจที่ไม่เคยหายไป


“เหตุผลที่ฉันเรียกเธอมา คงจะรู้นะ”


“ครับ ผมทราบว่าท่านเรียกผมมาด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน” เฟนริลตอบ


ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอดินเบิร์กลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าจากเก้าอี้ไปยืนริมหน้าต่าง แววตาที่บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยและแก่ชรามองออกไปไกลเลยแผ่นดินเอเดน...ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ของเหล่าปีศาจ


“ฉันอยากจะบอกเธอว่า...เธอสมกับที่มีสายเลือดของจ้าวเอวิเดสจริงๆ” ประโยคที่ไม่แน่ใจว่าเป็นคำชมรึเปล่าเรียกมุมปากของผู้ฟังให้กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม


“พลังนั้น มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น น่าแปลกที่แคเรนกับคอร์ลินมีความสามารถแตกต่างออกไป ปกติผมจะควบคุมมันได้โดยการผนึก แต่...”


“คทานั่นเป็นของที่ท่านจ้าวให้เธอมาหรือ”


“ครับ ผมเองก็เพิ่งจะนึกออกว่าเคยได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับมันมาบ้าง คทาแห่งรัตติกาลใช้วัตถุดิบพิเศษทำให้มันมีอานุภาพร้ายกาจ มันต่างจากคทาทั่วๆไปตรงที่มันมีชีวิต”


จอมปราชญ์ขมวดคิ้วแปลกใจ “มีชีวิต มันเป็นไปได้หรือ”


“มันเป็นไปได้เพราะลูกแก้วสีดำน่ะฮะ ผมเองก็ยังไม่แน่ใจนัก แต่คิดว่าคงจะใช่ ถึงผมจะอยากลองเป็นเจ้านายคทาจอมพยศนี่มาก แต่ก็ไม่อยากให้อดีตต้องเปลี่ยนแปลง คงต้องพยายามไม่ใช้มันล่ะ”


“ยากนะ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใกล้ๆแม่ของเธอ” มหาปราชญ์แห่งเอดินเบิร์กเอ่ยอย่างเข้าใจ


เฟนริลยิ้มขัน เสริมว่า “และน้องชายของผมด้วย”


หลังจากนั้นจอมปราชญ์เลโมธีก็บอกเล่าถึงธุระอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งธุระนี้สร้างความกังวลระคนกับความไม่สบายใจให้เฟนริลหนักยิ่งขึ้น แต่มันก็น่าสนุกดี อยากจะรู้นักว่าหากมันเป็นอย่างที่เขาคาดเดาจริงๆ สถานการณ์ที่อลเวงไม่รู้จักจบจักสิ้นอย่างขณะนี้จะเป็นยังไงต่อไป





มันเป็นความบังเอิญที่เหมือนโชคชะตาเล่นตลกกับชีวิตที่ควรจะวุ่นวายจนเกินพอแล้วของนักฆ่าคนหนึ่ง ที่เมื่อได้รู้จักกับเจ้าชายน้ำแข็งและหัวขโมยตัวแสบแล้ว ความสงบสุขก็คล้ายจะพรากจากเขาไปตลอดกาล


เริ่มตั้งแต่นายนักรบตาเดียวดันตาไวมองไปเห็นฉากการสวีตหวานไม่อายฟ้าอายดินของคู่รักที่ไม่รู้ว่าคืนดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเลยลากเขากับโรไปชมบทที่หาดูได้ยากของเจ้าชายน้ำแข็ง และมันก็หาดูได้ยากจริงๆกับการที่ได้เห็นคาโลทำในสิ่งที่มาดมันไม่ให้ จบลงที่เฟรินทำตัวสมหญิงกับเค้าได้ แต่มันออกจะสมหญิงเกินไปเลยทำให้การงอนง้อนี้ไม่มีบทจบเสียที


น่าเหนื่อยแทนคาโลจริงๆพับผ่าเถอะ (สงสารตัวเองด้วยที่ต้องมาเป็นคนกลางให้เจ้าพวกนี้ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ค่อยจะถนัดนัก)


ขากลับ พวกเราก็พูดคุยกันด้วยเรื่องที่ไปแอบชมมา เจ้าครี้ดนึกวิธีดีๆที่จะให้คาโลไปลองใช้ดู แต่ก็โดนโรขัดเสียทุกครั้งไป ถึงโรจะไม่ขัดเขาก็จะขัดล่ะ แต่ละวิธีที่มันนึกได้ชวนติดเรตชะมัด ถึงไอ้คาโลมันจะยอม(รับรองไม่ใช่จำใจหรอก) แต่เฟรินมันคงไม่มีวันยอมอยู่แล้ว และมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะโดนหางเลขของการสำเร็จโทษคนคิดอะไรบ้าๆแบบนี้


“ไอ้นู่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ งั้นพวกนายก็ลองว่ามาซิว่ามีแผนการอะไรดีๆที่น่าจะใช้ได้ผล” ครี้ดพูดอย่างหมดความอดทนหลังจากโดนขัดซะทุกครั้ง


สองฝ่ายที่ได้แต่รับฟังหันมามองหน้ากัน นักฆ่ารักสนุกยักไหล่ประมาณว่าช่วยไม่ได้ และขอทานแสนรู้ก็ส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงปฏิเสธ


“ปัญหาอย่างนี้คนนอกเข้าไปยุ่งมากไม่ได้หรอก ต้องให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลดทิฐิหรือเข้าใจกัน เรื่องมันถึงจะลงเอยอย่างมีความสุข” โรเอ่ยคล้ายๆจะสั่งสอน ครี้ดยิ้มรับ


“นายนี่เหมือนพ่อเลยแฮะ ไอ้เฟรินมันคงจะมีความสุขที่ได้นายคอยดูแล”


“เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนเป็นเรื่องธรรมดา”


“น่านสิ มันจะไม่ธรรมดาก็ต่อเมื่อความรู้สึกของเพื่อนที่มีต่อเพื่อนเปลี่ยนเป็นความรัก เนอะ” ครี้ดทำสายตารู้ดีขึ้นมาทันใด คิลเลือกที่จะเป็นฝ่ายเงียบ มองการสนทนาที่ชักจะล้วงลึกเรื่องส่วนตัว


โร เซวาเรสขยับยิ้มขรึม ไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน เอ่ยตอบกลับไปว่า


“แล้วนายจะเข้าใจว่า...บางครั้งมิตรภาพก็ยืนยงยิ่งกว่าความรัก”


ครี้ดกับคิลที่ได้ฟังถึงกับเบิ่งตากว้างงุนงงกับคำตอบที่ไม่ตรงกับที่ต้องการ ไม่ทันที่จะถาม นายขอทานกิตมศักดิ์ก็เดินผละไปเสียแล้ว


พออยู่กันสองคน ครี้ดก็ถอนหายใจยาว “ฉันก็เข้าใจที่โรบอกหรอกนะ แต่มันก็ทนไม่ได้ที่เห็นเพื่อนสองคนต้องมาเป็นอย่างนี้ ฉันอยากจะช่วย แต่ก็รู้ดีว่าบางทีอาจจะทำให้สถานการณ์มันยิ่งแย่เข้าไปอีก เฟรินน่ะถ้ามันอารมณ์ดีก็ดีอยู่หรอก แต่คาโลนี่สิ แย่ชะมัด”


“คาโลทำไมเหรอคะ” เสียงหวานใสที่ถามอย่างสุภาพนั้นเรียกอาการสะดุ้งราววัวสันหลังหวะจากสองหนุ่มผู้รู้ทันทีว่าใครคือเจ้าของเสียงนี้


สาวน้อยคนงามแห่งป้อมอัศวินผู้แสนจะอ่อนหวานหากก็มีส่วนที่สมกับเป็นจ้าหญิงแห่งประเทศของนักรบใช้นัยน์ตาคู่สวยจับจ้องอาการน่าสงสัยของหนึ่งนักรบและหนึ่งนักฆ่าซึ่งอยู่ๆก็หันหน้าหนีเจ้าหล่อนทันที


“ว่าไงล่ะคะ คาโลเป็นอะไรเหรอ” เรนอนคาดคั้น แววตาสาวเจ้าบ่งว่าชักเริ่มเอาจริง ให้ครี้ดกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ถึงจะเป็นนักรบที่เก่งกาจมาจากไหนก็ยังต้องยอมพ่ายให้กับสาวงาม นี่เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่แม้แต่ในตำราพิชัยสงครามก็ยังมี


“อ่า... ฉันนึกขึ้นได้ว่านัดกับเจคเอาไว้ กะจะไปลิ้มชิมรสเหล้าดีๆที่ลดราคาน่ะ เรนอนถามคิลแล้วกันนะ โชคดีนะเพื่อน” ครี้ดหาข้ออ้างไปเรื่อย ส่งยิ้มขอโทษขอโพยเมื่อเห็นใบหน้าของเพื่อนเริ่มแดงอย่างที่ยากจะบอกได้ว่าเพราะเขินหรือโกรธ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่คิดจะอยู่ต่อด้วยเหตุผลที่รู้ดีแก่ใจ แต่เจ้าคิลมันจะรู้หรือเปล่านะ


เมื่อปราศจากร่างใหญ่ของนักรบแห่งไนล์ เจ้าหญิงคนสวยก็เปลี่ยนทิศทางมาลงที่นักฆ่าที่ขณะนี้ไม่ใช่หนุ่มหล่อซึ่งมีสีหน้าเหมือนถูกเฟรินแซวเรื่องส่วนตัว ที่เขากลุ้มมากขนาดนี้ก็เพราะว่าหากบอกไป แม่สาวตรงหน้าอาจจะ... ยังไงก็ตาม เขาไม่ชอบน้ำตาผู้หญิงที่สุดเลย ถึงว่า ไอ้ครี้ดมันถึงได้รีบชิ่งหนีไปก่อน


“คุณคิล มันเป็นเรื่องที่บอกฉันไม่ได้หรือ” เรนอนเปลี่ยนคำถามเสียใหม่


“ก็...ทำนองนั้น” คิลตอบแบบประหยัดคำพูด


“คุณเฟรินทะเลาะกับคาโลอีกแล้วเหรอคะ”


ไม่ต้องบอก อาการสะดุ้งเฮือกใหญ่ของคิลก็เป็นคำตอบที่ดีได้ ก่อนจะรีบกลบเกลื่อน


“ชะ..ใช่ เจ้าพวกนั้นมันก็ทะเลาะกันทุกวันสามเวลาหลังอาหารแหละน่า”


“ถ้าทะเลาะกันธรรมดา ทำไมคุณคิลกับพวกคุณโรถึงได้ปรึกษากันด้วยเรื่องคาโลล่ะคะ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเดินผ่านแล้วได้ยินพวกคุณสามคนพูดเรื่องนี้ ตกลงจะบอกมั้ยคะ คุณคิล” น้ำเสียงตอนท้ายชักจะไม่เข้ากับดวงหน้าหวานซึ้งของสาวน้อยคนงามเสียแล้ว


คิลที่โดนไล่จนมุมอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวกลืนน้ำลายเอื๊อก ก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม พลางคิดในใจว่า...ผู้หญิงนี่ช่างวุ่นวายดีแท้





ตั้งแต่เด็กมาแล้ว...ที่เธอเชื่อมั่นมาตลอดว่ามีเธอคนเดียวเท่านั้นที่ได้อยู่ใกล้ชิดเขาคนนั้นกว่าใคร ได้เห็นอารมณ์หลากหลายมากกว่าคนอื่นรอบข้าง แต่เมื่อได้มาอยู่ที่แห่งนี้ ป้อมอัศวินที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ เขาได้เจอกับเพื่อน...เพื่อนที่ควรค่าแก่การเชื่อใจ แม้กระนั้น เธอก็ยังคิดอยู่ดีว่าผู้หญิงที่รู้ใจเขาที่สุด...คือเธอ


แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อความจริงปรากฏออกมาว่าเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเขาคือเจ้าหญิง หัวขโมยที่กลายเป็นสาวสวยน่ารักทำให้ความมั่นใจของเธอคลอนแคลน และความกังวลก็เข้าครอบงำจิตใจเมื่อสายตาของคนเย็นชาแต่เปลือกคนนั้นมีประกายบางอย่างที่เธอเข้าใจดี แววตาอ่อนโยนที่มีให้กับเธอผู้นั้นแฝงไว้ด้วยความรู้สึกอื่นที่เธอไม่อยากจะยอมรับ


หลังจากสงครามจบลง ความสัมพันธ์ของเจ้าชายแห่งคาโนวาลกับธิดาแห่งความมืดก็เหมือนจะมีรอยร้าว ซึ่งเธอเกลียดตัวเองเหลือเกินที่เผลอดีใจไปกับสถานการณ์ที่ยังความเจ็บปวดมาให้เขา แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ใช่โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ทั้งๆที่เธอก็เข้าใจดีอยู่แล้ว หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าในใจลึกๆของเธอรู้ว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิม


ไม่ใช่เธอไม่รู้ ว่าเขามองเธอเป็นญาติที่สนิทที่สุด เป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น แต่เธอก็ยังมีความหวัง...หวังว่าความสัมพันธ์นี้จะเปลี่ยนแปลงไป เธอได้แต่หวังว่าเขาจะมองเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ใช่น้องสาว หากยังไม่ทันที่จะเริ่ม เธอก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเธอคนนั้นเสียแล้ว แต่มันเป็นการแพ้ที่มีความสุข เพราะเขาคนที่เธอรักจะไม่ต้องจมอยู่กับความเศร้า และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ...คงจะมีเพียงเจ้าหญิงในคราบหัวขโมยเท่านั้นกระมังที่หลอมเหลวหัวใจของเจ้าชายน้ำแข็งคนนี้ได้





คิลรอว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าหญิงโฉมงามตรงหน้าจะแสดงปฏิกิริยา เขาเองก็ไม่ได้ซื่อไม่ได้โง่ขนาดดูไม่ออกว่าเรนอน ธีน็อท เดอะปรินเซส ออฟ คาโนวาลรู้สึกอย่างไรกับนายน้ำแข็งขี้เก๊กเพื่อนสนิทของเขา มันเป็นเรื่องที่หลายๆคนพอจะเดาได้ตั้งแต่ปีหนึ่ง อาจจะมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองเสน่ห์แรงแค่ไหน


“ถ้าเธอหมดธุระแล้ว ฉันไปนะ” คิลหมุนตัวจะเดินไปแต่ชายเสื้อของเขาก็ถูกยึดไว้ด้วยมือน้อยซึ่งผู้เป็นเจ้าของช้อนนัยน์ตาคู่โตขึ้นมอง สายตาอันว่องไวของนักฆ่าเห็นร่องรอยเล็กน้อยที่เจ้าตัวพยายามปกปิดด้วยการยิ้ม...ยิ้มอย่างหวังดี


“มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้บ้างไหมคะ”


คิลถึงกับงงหนักเมื่อได้ฟังประโยคที่ต้องมองว่าคนพูดเป็นแม่พระมาจากไหนถึงได้อาสาช่วยในเรื่องที่ก็รู้อยู่แกใจว่าทำให้ตัวเองเจ็บ เขาเผลอมองสบกับนัยน์ตาคู่สวยที่แม้จะแสดงถึงความกระตือรือร้น หากก็หม่นมัวไปด้วยความเศร้าที่เจ้าของพยายามอย่างเหลือเกินที่จะซ่อนเร้น


“อย่าเลย ฉันว่าปล่อยๆไปเดี๋ยวพวกมันก็คืนดีกันเองแหละ เธออย่าไปสนใจมันนักเลยน่า”


การแสดงออกของคิลดูจะผิดสังเกต ไปสักหน่อย ยิ่งเมื่อเจอกับคำพูดเป็นเชิงปลอบในแบบฉบับของหนุ่มอ่อนหัด ก็ยิ่งทำให้สาวเจ้าชักจะคาดการณ์อะไรได้


เรนอนขมวดคิ้วสงสัย “ถ้าคุณคิลว่าอย่างนั้น แต่ว่าถ้ายังไม่มีวี่แวว ฉันไม่คิดจะปล่อยไปเฉยๆหรอกนะคะ” เจ้าหล่อนบอกอย่างไม่เลิกล้ม คิลนึกสบถอยู่ในใจ แล้วถามอีกฝ่ายว่า


“แล้วเธอคิดว่าจะช่วยอะไรได้ล่ะ”


“คุณคิลบอกเองไม่ใช่หรือคะว่าที่ทะเลาะกันอีกครั้งนี่เพราะอยู่ๆคุณเฟรินก็เกิดโมโหอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้”


“ใช่ พวกฉันเองยังงงๆพอกับเจ้าคาโลเลย”


เมื่อเอ่ยถึงคนที่สาวน้อยผู้ฟังพยายามจะตัดใจ คิลก็อยากจะตบหัวตัวเองสักครั้งแล้วไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์เจ้าคนที่เชี่ยวชาญการจีบสาวนัก ยิ่งเมื่อสาวเจ้าหน้าเจื่อนลง คิลกระแอมไออย่างผิดธรรมชาติ พูดต่อไปเหมือนไม่เห็นความผิดปกติที่อีกฝ่ายไม่อยากให้รู้


“ยังไงก็ตาม อย่าเพิ่งไปยุ่งกับเฟรินตอนนี้จะดีกว่า สงสัยว่าเจ้านั่นจะอยู่ในช่วงคลื่นลมแรงอีกแล้วล่ะ” พอเห็นว่าอีกฝ่ายงงๆก็ขยายความให้อย่างลืมนึกไปว่าคนที่ตนกำลังพูดด้วยนั้นก็เคยอยู่ในช่วงคลื่นลมแรงเช่นกัน


“ก็ไอ้นั่นไง ฤดูนา...” ไม่ใช่ว่าเจอเข้ากับต้นเหตุของเสียงฝ่ามือกระทบกับผิวแก้มหรือรอยแดงเป็นปื้นสวยงามบนผิวขาวๆ แต่เพราะก่อนที่คนเอ่ยจะเผลอปากเปราะเหมือนเพื่อนซี้ก็ยั้งตัวเองไว้ทันเนื่องจากความทรงจำของรอยชาที่น่าระลึกถึงเข้ามาสอดแทรกให้คำต่อมาที่จะพูดกลืนหายไปในคอ


แต่เพียงเท่านี้ มันก็ให้ความกระจ่างแจ้งแก่ผู้ฟังที่สมเป็นกุลสตรีดีแท้ ดีหน่อยที่ครั้งนี้แม่คุณทูนหัวไม่ได้โชว์ความหนักหน่วงของฝ่ามือพิฆาต


“ถ้างั้นให้ผู้หญิงจัดการน่าจะดีกว่านะคะ แล้วฉันจะขอให้มาทิลด้ากับแองจี้ช่วยด้วย” แม้ดวงหน้าหวานจะมีสีเรื่อ แต่เรนอนก็ข่มความอายที่แสดงให้เห็นชัดกล่าวออกไปจนได้


“แองเจลิน่า... จะดีเหรอ” คิลถามขึ้นลอยๆ เขาเกาแก้มอย่างนึกหาคำตอบเมื่อโดนนัยน์ตาคู่โตจับจ้อง “ก็...เรื่องเมื่อตอนปีสามไง”


“ที่ว่าแองจี้...เอ้อ” เรนอนพูดไม่ออก ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าภายใต้ท่าทางไม่ยี่หระกับฐานะที่เปลี่ยนแปลงดุจนิทานของเจ้าหญิงแห่งเดมอส น้องนุชแห่งป้อมอัศวินจะเจ็บเพียงใดกับการรักคนที่ไม่สมควรรัก


คิลจับสังเกตท่าทางที่เหมือนเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเพื่อนของเจ้าหล่อน ทีตัวเองทำเป็นไม่เป็นไร ทีเพื่อน... ซึ่งมันก็ดีอยู่หรอก แต่เขาก็ไม่ชอบใจเลยที่เจ้าหญิงงี่เง่านี่ชอบทำตัวเป็นแม่พระไม่เข้าเรื่อง


“ฉันไม่คิดว่าคนอย่างแองเจลิน่าจะอยู่กับอดีตหรอกนะ เธอคงจะก้าวผ่านมันไปได้...ในสักวันหนึ่ง”


ประโยคที่ผู้ฟังเลือกที่จะเงียบ เพราะไม่แน่ใจว่านักฆ่าตรงหน้ากล่าวถึงใคร แองจี้ หรือ...เรนอน


“ฉันจะลองเกริ่นๆดูก่อนดีกว่าค่ะ”


“ก็ดี”


เมื่อไม่มีใครพูดอะไร ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความเงียบจะเข้ามาปกคลุมและส่งผลให้ความเครียดเริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างกัน คิลใช้สมองอย่างหนักครุ่นคิดหาหัวข้อเรื่องที่จะมาทำลายความเงียบที่ชวนอึดอัดนี้ แต่ก็ไม่ทันอีกฝ่าย


“คุณคิลคะ คือฉัน...”


หนุ่ม(?)นักฆ่ามองสตรีเบื้องหน้าอย่างสนใจว่าหล่อนจะพูดอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพบว่าใบหน้าที่สวยหวานนั้นขึ้นสีให้ยิ่งมีเสน่ห์ชวนมอง


“ฉันอยากจะขอโทษที่เมื่อตอนนั้น...ที่ไปตลาดด้วยกัน ฉัน...ตบหน้าคุณ...”


ทายาทนักฆ่าแห่งซาเรสก็ตกอยู่ในภาวะเดียวกับเจ้าหญิง ผิวหน้าขาวที่ตัดกับผมสีดำนั้นร้อนผะผ่าวอย่างกระดากอาย หวนนึกไปถึงวีรกรรมที่ตนเคยทำไว้โดยไม่ได้ตั้งใจก่อนจะกลับมายังเอดินเบิร์ก


“ช่างมันเถอะ ฉันผิดเองแหละ”


“ไม่หรอกค่ะ ก็คุณคิลไม่ได้ตั้งใจนี่นา มันเป็นอุบัติเหตุ แล้วฉันก็ยังตบไปซะเต็มแรงเลยด้วย” เจ้าหล่อนว่าแล้วยิ้มเฝื่อน


คิลเผลอยกมือขึ้นสัมผัสกับบริเวณที่เคยมีรอยแดงอย่างน่ากลัวจนต้องให้เพื่อนสนิทรักษาให้และโดนเพื่อนซี้อีกคนมีโอกาสล้อไปอีกนาน เขายอมรับว่าขณะนั้นโกรธมาก แต่เมื่อมีเวลาคิดทบทวนบวกด้วยเข้าใจความรู้สึกของหล่อนในเวลานั้นจึงยอมรับว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดได้อย่างไม่ยากเย็น


“ไม่ว่าจะตั้งใจหรือเป็นอุบัติเหตุ ความจริงที่ว่าฉัน...ง่า ล่วงเกินเธอมันก็สมควรแล้วล่ะที่จะโดนน่ะ ฉันว่าเราจบเรื่องนี้กันดีกว่า ตกลงนะ” คิลส่งยิ้มที่เรียกหัวใจดวงน้อยให้สั่นไหว นัยน์ตาสีม่วงมีชีวิตชีวาต่างจากใครคนหนึ่งที่สาวน้อยเจ้าของหัวใจพยายามลบออกไปนั้นสร้างความรู้สึกแปลกๆแก่เจ้าหญิงคนงามผู้อยู่ๆก็เกิดสับสนในตัวเองขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน รีบผละไปจากตรงนั้นหากก็ยังไม่ลืมบอกทิ้งท้ายไว้ว่า


“เรื่องคุณเฟริน ถ้ามีอะไรคืบหน้าฉันจะเล่าให้คุณฟังนะคะ” ก่อนจะรีบร้อนเดินไปราวกับคนที่ตนยืนคุยด้วยตั้งนานสองนานเป็นผีที่เพิ่งเห็นว่าไร้ขา ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมบางๆของขนมหวานที่เจ้าตัวชอบทำเป็นงานอดิเรกให้หนุ่มนักฆ่านึกอยากกินขนมขึ้นมาตะหงิดๆ





แม่จอมยุ่งตัวปัญหากำลังนอนอย่างสงบเพราะฤทธิ์โอสถวิเศษที่ได้มาจากพ่อมดที่วิเศษยิ่งกว่ามาบรรเทาอาการปวดฤดูนางในเวลาไม่กี่นาที ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยและมีความสบายเข้ามาแทนที่ สบายจนหนังตาคล้อยต่ำลงเรื่อยๆพอกับที่ระยะจากหลังถึงเตียงค่อยหดแคบลง จนในที่สุด หญิงสาว(แต่เปลือก)ก็นอนหลับตาพริ้มอย่างแสนสุขสม สบายกายสบาย...ใจ เท่าที่สมองจะผลักดันความทรงจำที่นำความกลัดกลุ้มมาให้ไปห่างจากเวลานี้


เด็กหนุ่มที่รอให้หัวขโมยสาวเข้าสู่นิทรานั้นก็ขยับยิ้มน้อยๆที่ฉายชัดถึงความอ่อนโยน เรือนผมสีน้ำตาลทองที่ยาวกว่าบุรุษทั่วไปตกละลงมาข้างแก้มเนื่องจากเจ้าตัวชะโงกไปข้างหน้าเล็กน้อย เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าใช้นิ้วที่แม้จะไม่เล็กเท่าสตรีแต่ก็เรียวสวยจับปลายเส้นเกศาที่นุ่มมือ แววตาอ่อนโยนแปรเปลี่ยนวูบหนึ่งก่อนจะซ่อนกลบจนมิด รอยยิ้มมุมปากที่ปรากฏนั้นไม่อาจคาดเดาอารมณ์ของผู้เป็นเจ้าของได้


ร่างเพรียวของพ่อมดหนุ่มแห่งเดมอสขยับเล็กน้อยเมื่อโสตประสาทอันฉับไวได้ยินเสียงเปิดประตูอย่างแผ่วเบา เขาตวัดสายตาไปมองแล้วก็เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยฉีกยิ้มกว้างอย่างระรื่นไม่เคยเปลี่ยนส่งมาให้ หัวขโมยหนุ่มขยับปากที่ผู้เข้าใจอ่านได้ความว่า


‘มาแล้ว เตรียมตัวได้เลย’


เพียงเท่านั้นคนที่คอยอยู่ก็ลุกขึ้น พระพักตร์ของเจ้าชายปีศาจแห่งแผ่นดินนักรบชวนให้คนที่รู้จักเขาดีอกสั่นขวัญแขวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบังเกิดรอยยิ้มมีเลศนัยให้ผู้มองได้เห็นภาพจำแลงของเทวดาซึ่งมีปีกเป็นสีดำสนิท


เจ้าชายหนุ่มน้อยผู้ชื่นชอบอาชีพหัวขโมยมากกว่ายิ้มอย่างอ่อนใจและปลงตกกับเกมที่คนเป็นพี่จะลงมือเล่น...เกมที่ฝ่ายตรงข้ามไม่มีหนทางแห่งชัยชนะ เพราะใครก็ตามที่ได้เห็นเดอะปรินซ์ ออฟ คาโนวาลในมาดนี้ จะได้รู้ซึ้งเลยว่า...สมญานามเจ้าชายปีศาจไม่ได้ตั้งขึ้นเล่นๆ!





หากว่าหนึ่งในเจ้าของห้องจะประหลาดใจที่มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมานั่งบนเตียงว่างซึ่งเจ้าของไม่อยู่ก็ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัด นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมมีประกายของความเย็นชา สีหน้าไร้อารมณ์เป็นปกตินั้นกระตุ้นให้สัญชาตญาณซึ่งได้รับมาจากบุพการีของผู้มองนึกอยากหลอมท่าทางแข็งเครียดนั้น


“มีธุระอะไร” น้ำเสียงยังคงรักษาไว้ด้วยฉายาเจ้าชายน้ำแข็งที่ใครบางคนชอบเรียก


เฟนริล วาเนบลีใช้นัยน์ตาสีเดียวกันมองภาพของเจ้าชายแห่งคาโนวาลในโลกอดีต เห็นในมือของอีกฝ่ายมีหนังสือสองเล่มที่คาดว่าเจ้าตัวคงไปห้องสมุดอย่างที่ทำเป็นกิจวัตร ให้เฟนริลต้องขำในใจว่า...น่าจะเอาเวลาไปคิดหาทางง้อสาวดีกว่ามั้ง แต่คงจะหวังพึ่งคนคนนี้ไม่ได้หรอก


“ห้องสมุดคงไม่มีคู่มือง้อสาวหรอก จริงไหม” เขาเอ่ยกระเซ้าคนมาดไม่เคยหลุดที่เกิดอาการหน้าขึ้นสีซึ่งงัดวิชาหน้ากากฟาโรห์ขึ้นมาใช้ไม่ทัน แต่ก็รีบกลบซ่อนในทันที แล้วตอบอย่างชวนให้คนปกติหนาวเหน็บ


“ไม่ใช่เรื่องของนาย”


คนสอดเรื่องคนอื่นเลิกคิ้วสูงอย่างกวนโมโห รอยยิ้มยังไม่หายไปจากดวงหน้าขาวที่ติดจะสวย “ถ้าฝ่ายหนึ่งไปขอนอนด้วยนี่ถือว่าฉันเป็นผู้เกี่ยวข้องแล้วล่ะ”


“งั้นก็ไปขอเกี่ยวกับเฟริน อย่ามายุ่งกับฉัน” คาโลกล่าวเสียงเด็ดขาดเป็นเชิงเตือนกลายๆ แต่ผู้ฟังที่หัวไวก็แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้


“คงจะไม่ได้ เพราะตอนนี้เฟรินกำลังไม่สบาย”


คำพูดเรื่อยๆแต่กลับเป็นหมัดเด็ดที่เรียกสีหน้าเป็นกังวลจากคนเย็นชาแค่ภายนอก เจ้าชายมาดมากขอละทิ้งหน้ากากน้ำแข็งชั่วคราว ให้พ่อมดจอมวางแผนได้นึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ


“มันเป็นอะไร” น้ำเสียงร้อนรนจนรู้สึกได้ แต่เฟนริลก็ทำเป็นไม่สนใจ ตอบกลับเหมือนกำลังสนทนากันด้วยเรื่องของดินฟ้าอากาศ


“เห็นว่าปวดท้อง นอนหน้าซีดเชียว” ประโยคสั้นๆที่ทำให้มาดน้ำแข็งนั้นละลายหายไปกับอากาศ เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ที่ระมัดระวังในการแสดงออกแทบจะลืมไปเลยว่าตัวเองยังไม่คืนดีกับเจ้าหญิงแห่งเดมอส เดินเร็วจนเกือบจะเป็นวิ่งเพื่อไปหาคนป่วยทั้งที่คนที่คิดถึงก็อยู่แค่ห้องข้างๆนี่เอง


เฟนริลเดินออกจากห้องนั้นมายืนพิงประตูอยู่ด้านนอก เขากอดอกครุ่นคิดว่าจะใช้เวทไหนดีในการล็อคประตู ซึ่งต้องคิดหนักเพราะด้วยความที่พ่อของตนก็เป็นถึงพ่อมดปีศาจแห่งคาโนวาล หากลงเวทธรรมดาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะขังท่านไว้ข้างใน และเขาก็ใช้เวทที่ต้องอาศัยคทาไม่ได้ด้วย จึงเหลือทางเดียวคือ...วาจาสิทธิ์


พ่อมดหนุ่มยกมือข้างขวาขึ้น วาดวงเวทกลางอากาศ เกิดแสงเป็นรูปวงกลมเวทมนตร์ที่เพียงแค่เขาวาดดาวหกแฉกลงไป อักขระโบราณก็ปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติ


“ข้าแต่มหาเวทมนตร์ดำอันยิ่งใหญ่ โปรดประทานพลังแก่ข้า ในนามของผู้มีสายเลือดปีศาจ ขอสั่งให้อาณาเขตที่ข้าสร้างขึ้นเป็นดั่งปราการที่ไม่มีใครทลายได้”


วงเวทเล็กๆเบื้องหน้ากลายสภาพในบัดดล มันใหญ่ขึ้นและหมุนวนเร็วจนมองไม่ทัน ก่อนจะสลายไปราวกับภาพลวงตา ซึ่งมีเพียงผู้ใช้เท่านั้นที่รู้ว่ามันกำลังทำงานได้เป็นอย่างดี


วาจาสิทธิ์คือเวทมนตร์ชั้นสูงที่มีเพียงปีศาจเท่านั้นที่ใช้ได้ คาถาที่ร่ายจะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ผู้ใช้ ขอเพียงอยู่ภายใต้เงื่อนไขบางประการที่ทำให้เวทนี้จัดอยู่ในระดับสูงจนหาผู้ใช้แทบไม่ได้


“เฟนริล พี่จะทำอะไรน่ะ” คำถามจากเดอะทีฟที่มีสีหน้าสงสัยซึ่งเมื่อครู่ไปแอบที่ไหนสักแห่งในป้อมอันทรุดโทรมหลบสายตาของผู้เป็นบิดา เขาเดินเคียงมากับพี่สาวฝาแฝดที่ดูแล้วไม่มีส่วนไหนเหมือนกันเลย


“ไหนพี่บอกว่าท่านแม่หลับเพราะฤทธิ์ยา” แคเรนเปรยขึ้น


“ใช่ ยาวิเศษเหมือนในนิทานไงล่ะ” เฟนริลกล่าว ก่อนจะระบายยิ้มเจ้าเล่ห์ให้น้องทั้งสองนึกสงสารคนสองคนที่อยู่ในห้องซึ่งไม่ได้รู้ตัวเลยว่าถูกขังไว้ในนั้นเพื่อปรับความเข้าใจ


“นิทานเรื่องไหนล่ะ” คอร์ลินถามเนือยๆอย่างขี้เกียจจะเดาแล้ว แต่พี่ชายก็ยังไม่ยอมบอก


“นิทานอมตะน่ะสิ”


นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยแพรวพราวอย่างที่มักจะเกิดขึ้นในยามที่เจ้าตัววางแผนการอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...แผนการสำหรับแกล้งใครสักคน





เฟรินไม่ยักรู้ว่าฤทธิ์ของยาวิเศษที่ได้รับมาจากเจ้าพ่อมดมากเล่ห์นั่นจะครอบคลุมไปถึงความฝันด้วย


หัวขโมยแห่งบารามอสหรือเจ้าหญิงแห่งเดมอสกระพริบนัยน์ตาสีน้ำตาลอย่างตะลึงงัน พลางถามตัวเองว่าทำไมความฝันของเธอถึงได้...ออกแนวหวานแหววได้ขนาดนี้หนอ


คำเรียกขานภาพตรงหน้าที่ไม่ได้โอเว่อร์เกินไปเลย


เพราะมันเป็นสีชมพู... ทุ่งดอกไม้ที่แม้จะมีหลากสีสันแต่ก็เน้นที่สีชมพูซึ่งแสดงถึงภาพลักษณ์ของความอ่อนหวาน ...หวานอย่างที่คนเคยเป็นผู้ชายมาก่อนชวนเลี่ยน กระอักกระอ่วนในใจพิกล


...หรือเราจะสมเป็นผู้หญิงกับเขาแล้ว


ไม่สมหรอก มันเป็นไปแล้วล่ะ


เสียงกระซิบของปีศาจที่ห่างหายไปนานบอกอย่างที่เจ้าตัวไม่ต้องการ แล้วเสริมประโยคที่เจ้าของหัวใจเต้นผิดจังหวะ


ถ้านายทำตัวสมเป็นเจ้าหญิง แม้สักเศษเสี้ยว เจ้าหมอนั่นคงดีใจแหละน่า


...บะ..บ้าสิ แล้วทำไมต้องอยากให้มันพอใจด้วยล่ะ


นายไม่รู้จริง?


คำย้อนถามที่เรียกให้ดวงหน้าร้อนวูบวาบกับคำตอบที่คล้ายจะสลักอยู่ในส่วนลึกตลอดเวลา และเป็นคำตอบที่ต้องยอมปราชัยให้กับเจ้าปีศาจบ้าซึ่งมักจะถีบศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของเฟริน เดอเบอโรว์ให้กระเด็นไปไกล


เจ้าหล่อนถอนหายใจลึกยาว ก่อนจะผลักปัญหาที่ไม่จำเป็นในโลกของความฝันไปให้ไกลๆจากความสงบสุขยามนี้


เรื่องพรรค์นั้น...ไว้ตื่นแล้วค่อยคิด


หากขาที่เตรียมจะก้าวก็พลันหยุดชะงักเพราะสาวเจ้าผู้เป็นเจ้าของเกิดนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ตนทำอะไรไว้ และผลลัพธ์ของมันคือการที่เธอต้องอยู่ในช่วงสงครามกับเจ้าชายน้ำแข็งแห่งคาโนวาลซึ่งควรจะจบๆไปโดยเร็ว หากไม่เป็นเพราะอาการบ้าๆของคนเป็นฤดูนาง


แล้วจะทำยังไงดี?


ถามตัวเองอย่างคนไร้หนทาง ไอ้การง้อน่ะ...ไม่ยาก แต่สิ่งที่เธอถนัดมันใช้ได้กับผู้หญิงเท่านั้น แล้วการจะง้อคนอย่างคาโล เจ้าชายผู้ไม่เคยหลุดมาดก็มีลางสังหรณ์ว่าจะเปลืองตัวใช่เล่น


เธอไม่ได้คิดไปเองแน่ ที่ว่า...ตั้งแต่มันไปตามง้อเธอที่เมืองสกอร์ปิโอ้ ความ...เอ่อ จะเรียกว่าความหื่นมันก็ออกจะรุนแรงไป ลามกเหรอ...ไม่ถึงขนาดนั้น มันแค่...สมเป็นผู้ชายขึ้น...ก็เท่านั้น ไม่งั้นมันก็เป็นเหมือนตุ๊กตาน้ำแข็งมีชิวิต ถ้าให้เลือก ขอเป็นอย่างตอนนี้แหละดีแล้ว เพราะนอกจากจะสมเป็นคนแล้วยังจะยั่วง่ายหลอมเร็วสมใจเธอนัก


สิ่งที่เธอติดใจที่สุดในมาดใหม่ของมันก็คงไม่พ้น...แววตา แน่นอนว่ามีเสน่ห์อย่างที่มันไม่ยอมใช้พร่ำเพรื่อ


อ่อนโยน...อย่างที่น้อยคนนักจะได้เห็น


เจ้าเล่ห์...อาจจะมีเพียงเธอกับคิลล่ะมั้งที่รู้ว่ามันก็ใช่เล่น


และ...แววตาที่ฉายชัดถึงความรู้สึกที่มันมีให้เธอ พอเจอมันจ้องอย่างนี้ทีไรเธอชอบใจอ่อนทุกที


มีด้วยหรือ เตาหลอมคุณภาพเยี่ยมกลับโดนหลอมซะเอง แถมคนที่หลอมยังเป็นน้ำแข็งอีก แปลกพิลึก


ที่สุดแล้ว คนหัวไวผู้เชี่ยวชาญเรื่องรักๆใคร่ๆก็หาหนทางแก้ปัญหาของตัวเองไม่เจอ


...จะยอมให้คิลรู้ไม่ได้เด็ดขาด


เจ้าตัวไม่วายคิดไปเรื่องอื่น ทั้งที่ควรจะกลุ้มใจเหมือนคนปกติกับเขาบ้าง แต่ก็นั่นแหละ ถ้าหากเจ้าเพื่อนซี้คนใดคนหนึ่งของเธออยู่ด้วย มันคงจะพูดประมาณว่า


‘จะไปหวังอะไรกับผู้ชายก็ไม่ใช่ผู้หญิงก็ไม่เชิงอย่างนายกันล่ะ’


คำสมประมาทที่แค่คิดเองก็ทำเอาพักตร์สวยๆมุ่ยลงไปถนัดตา มองกราดไปทั่วทุ่งดอกไม้ที่ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของเจ้าหญิงโฉมงามเย็นลงเลย ตรงกันข้าม ทิวทัศน์ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ยิ่งเพิ่มระดับความกรุ่นโกรธเข้าไปอีก


หากยังไม่ทันที่เฟรินจะได้อาละวาดหรือตะโกนให้สมใจอยาก ภาพที่ต้องยกมือขึ้นมาขยี้ตาซ้ำสองสามครั้งก็ปรากฏขึ้นห่างจากเธอไม่กี่ก้าว ถามตัวเองว่าตาฝาดไปหรือเปล่า เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่...


อะไรล่ะที่เป็นไปไม่ได้


เจ้าปีศาจบ้ากระซิบถามอีกครั้ง แต่มันเป็นน้อยครั้งหรืออาจจะเป็นครั้งแรกที่เธอยอมรับคำพูดของมันอย่างไม่มีคำค้าน พลางด่าตัวเองที่ดันขี้ลืมขนาดหนัก ลืมไปได้อย่างไรกันว่านี่คือความฝันของเธอ เป็นธรรมดาที่คนที่เธอคิดถึงสุดใจจะมาปรากฏให้เห็น


แม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่เธอก็รู้สึกดีใจ ที่อย่างน้อย...นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นไม่ได้ฉายแววเย็นเยียบที่ในยามนี้เธอแสนจะชิงชัง


“คาโล...” เธอเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าบุรุษเบื้องหน้าจะหายไป มือน้อยๆกำแน่น เรียวปากเม้มอย่างกลัดกลุ้ม


จะพูดยังไงกับมันดีฟะ!


นัยน์ตาสีน้ำตาลมองสบกับนัยน์ตาคู่สีฟ้าที่ผู้เป็นเจ้าของเอื้อมมือมาสัมผัสกับใบหน้าเธอ ส่งผลให้หัวใจเจ้ากรรมสั่นสะท้าน ดวงหน้าร้อนผ่าว แต่เธอก็ไม่ได้ปัดมือของคนถือสิทธิ์ฉวยโอกาสนั้น เธอกลับค่อยๆปรือตาเป็นสัญญาณบอกใบ้อีกฝ่ายว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป


คาโลแย้มยิ้มละไม ก่อนที่พักตร์คมคายของเจ้าชายแห่งแผ่นดินนักรบผู้ป่าเถื่อนจะโน้มลงมาเพื่อแสดงที่สุดของความโรแมนติกให้กับเจ้าหญิงโฉมงามแห่งบารามอส


สัมผัสแผ่วเบานุ่มนวลที่ริมฝีปากเหมือนจริงจนเธอต้องย้ำเตือนตัวเองว่านี่คือความฝัน และคนตรงหน้าก็ไม่ใช่ของจริง ใช่แล้ว บางทีเมื่อเธอลืมตา บุรุษผู้มอบจุมพิตอาจจะเลือนหายไปจากเบื้องหน้าเธอ


เร็วเท่าความคิด เปลือกตาค่อยๆลืมขึ้นพร้อมจังหวะของหัวใจที่เต้นระรัวลุ้นกับการเดิมพันที่น่าจะรู้ผลอยู่แล้ว หากทว่า...มันกลับไม่เป็นเช่นที่เธอคิด





เพียงได้ยินว่าแม่จอมวุ่นของเขาไม่สบาย ก่อนที่สมองอันชาญฉลาดจะคิดทบทวนว่าจริงหรือไม่จริง ขาก็พาก้าวมายังห้องข้างๆซึ่งหัวขโมยสาวนอนหลับอยู่เสียแล้ว


ความเป็นห่วงลดลงเหลือแค่ครึ่งเดียวเมื่อได้ยลชัดๆว่าคนป่วยอยู่ในสภาพไหน เท่าที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า คนที่ทำตัวไม่สมกับเป็นเจ้าหญิงนั้นหลับพริ้มอย่างไม่มีที่ท่าป่วยไข้ แถมยังเป็นการนอนที่แสนสบายมาก ดูได้จากที่แม้จะหลับไม่ได้สติก็ยังมีรอยยิ้มพราย จนผู้มองสงสัยนักว่ามันกำลังฝันอะไรอยู่หนอ


หรือจะฝันว่าได้เขมือบอาหารมื้อใหญ่?


การเดาที่คาโลคิดว่าเป็นไปได้มาก จนเกิดความรู้สึกเหนื่อยใจกับเจ้าหญิงที่นอนอย่างมีความสุขซึ่งไม่ได้รู้เลยว่าเขา...ต้องปวดหัวมากแค่ไหนตั้งแต่มีเจ้าหล่อนเข้ามาเพ่นพ่านในหัวใจ


ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับตัว หรือเรื่องการรับมือกับอารมณ์สาวที่คนเป็นสาวมาไม่นานเริ่มหัดกับเขาบ้างแล้ว และยังทำได้ดีจนเกินพออีกต่างหาก


“อือ...” เสียงครางในลำคอเรียกสติที่เริ่มลอยไปของเจ้าชายให้กลับมาสนใจคนที่นอนยิ้มอย่างสุขี นัยน์ตาสีฟ้าทอดมองอย่างเอ็นดูเมื่อแลเห็นคนหลับหัวเราะคิกคัก ถ้าไม่รู้มาก่อนว่ามันขี้เซามาก เขาคงคิดว่ามันกำลังแกล้งหลับ


ความตั้งใจทีแรกที่เพียงจะมาดูให้เห็นว่าเฟรินไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วค่อยกลับมลายหายไป เมื่อเรียวปากอิ่มขยับคล้ายพูดบางอย่าง เรียกให้คาโลที่กำลังจะก้าวหยุดชะงัก มองคนที่ยังหลับตานิ่งอยู่ด้วยความฉงน ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงแล้วก้มลงจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย


“อืม... คาโล...”


ดวงตาคนข้างบนเบิ่งกว้างหลังจากที่ได้ยินชัดๆว่าเจ้าหญิงยอดยุ่งเอ่ยอะไร ภาพสะท้อนบนนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยคือดวงหน้าหวานงดงามของเจ้าหญิงแห่งสองดินแดนที่เป็นหญิงสาวผู้มีเสน่ห์มากจนสติของเขาเริ่มจะคลอนแคลน


ขณะนั้น เขาห้ามตัวเองไม่ได้ ไม่สิ ถึงจะมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เขาก็เลือกที่จะทำเช่นนี้


สัมผัสเพียงแผ่วเบานั้นไม่ควรทำให้คนขี้เซาปลุกยากเย็นแสนเข็ญลืมตาตื่นขึ้นมาได้ แต่...เจ้าคนที่ตื่นยากเสียยิ่งกว่าใครกลับลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย


นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ปรือขึ้นมองสบกับเขาตรงๆนั้นทำให้คาโลถอนจุมพิตอย่างแสนเสียดาย หากยังไม่ยอมผละจากตำแหน่งที่ล่อแหลมนั้น


“คาโล...” เฟรินเอ่ยออกมาอย่างเลื่อนลอย “ฉันยังฝันอยู่อีกเหรอ”


คาโลอยู่นิ่งเฉย ปล่อยให้คนอวดดีเอื้อมมือเรียวมาสัมผัสกับใบหน้าอย่างผู้มีสิทธิ์...สิทธิ์ของหัวขโมยที่ช่วงชิงหัวใจของเจ้าชายในปราสาทน้ำแข็ง


มือใหญ่ยกขึ้นกุมมือน้อยไว้แล้วเลื่อนลงมาอยู่ในตำแหน่งของหัวใจ...ซึ่งกำลังสั่นไหวรับกับความรู้สึกของเจ้าตัวที่มีต่อสตรีตรงหน้า


นัยน์ตาสองคู่สบประสาน ฝ่ายหนึ่งที่คิดว่านี่เป็นความฝันคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ขณะอีกฝ่ายฉายชัดถึงความรู้สึกที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้


“เฟริน ฟังนะ”


ประโยคสั้นๆที่เรียกหัวคิ้วให้มุ่นด้วยความสงสัย ก่อนที่นัยน์ตาสีน้ำตาลจะบ่งอาการรับรู้ มองภาพเบื้องหน้าอย่างงุนงงด้วยดวงตาที่เบิ่งโต รับรู้ถึงความอบอุ่นจากมือของคนตัวใหญ่กว่าซึ่งกุมไว้แน่น รับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจทั้งของตนเองและของบุรุษที่แสนจะอยู่ใกล้ชิดเธอ


เฟรินตะลึงมองคนที่ปกติเลือกจะใช้สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์แบบเจ้าชายน้ำแข็ง หากยามนี้กลับมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้าคมคายซึ่งลดความเย็นลงไปมาก...มากจนแทบเรียกได้ว่ากลายเป็นอบอุ่นอย่างที่หาดูได้ยากยิ่ง


พอเห็นสาวเจ้าตื่นเต็มตาแล้ว เจ้าชายแห่งแผ่นดินเถื่อนของนักรบก็กล่าวเสียงจริงจัง ให้คนฟังยิ้มหวาน นึกขำในใจว่าคนที่ควรจะพูดไม่ใช่มัน แต่ควรเป็นเธอต่างหาก


“เฟริน ฉันขอโทษ”


พระพักตร์ของเจ้าหญิงแห่งเดมอสเผยรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของเจ้าชายหนุ่มบนหอคอยงาช้างแทบหยุดเต้น นัยน์ตาสีฟ้าที่เก็บอารมณ์ได้ดีเสมอทอดมองสตรีผู้อยู่เบื้องล่างอย่างเต็มไปด้วยความรัก ก่อนจะทำตามที่ความรู้สึกเรียกร้อง


ทว่า...บรรยากาศที่แสนหวานกลับพังทลายลงในทันใด เนื่องจากปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่เรียกให้นัยน์ตาสองคู่เบิ่งกว้างอย่างตะลึงงัน


ปรากฏการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในโรงเรียนพระราชา...





To Be Continued...

- - - - - >




Create Date : 10 มกราคม 2549
Last Update : 20 มกราคม 2549 23:01:16 น.
Counter : 321 Pageviews.

0 comment
9 บทงอนของเจ้าหญิงหัวขโมย
9 บทงอนของเจ้าหญิงหัวขโมย



เพื่อนซี้ผู้แสนดีอย่างนายนักฆ่ารอด้วยความหวังว่าคู่รักคู่ตัวปัญหาจะปรับความเข้าใจกันดีแล้ว จนเมื่อเห็นใบหน้าหงิกงอเป็นจวักของเจ้าหญิงเสน่ห์แรง(ชั่วคราว)ที่มาพร้อมกับเสียงเดินลงส้นอย่างกับอยากจะกระทืบใครบางคนให้ติดดิน คิลก็รู้แน่แก่ใจว่าตัวเขาต้องเป็นคนกลางความรักอันแสนหนักใจอีกแล้ว


“เฟริน” คิลส่งเสียงทักอย่างกล้าๆกลัวๆ เจ้าของชื่อหันมาจ้องเขม็งใส่ด้วยแววตาดุดันจนคนเรียกตัวลีบ “เฮ้ เพื่อน แกเป็นอะไรไปเล่า”


เฟรินสบถขรมยกใหญ่ด้วยคำที่ไม่เหมาะกับฐานะในยามนี้ของตนเลย “ก็ไอ้น้ำแข็งตายซากนั่นน่ะสิวะ! พับผ่าห่าเหวเถอะ!”


“คาโลมันไปทำอะไรแก” คิลถามอย่างสงสัย แม้ในใจพอจะเดาได้รางๆ


“แกไปถามมันเองซี่!!!” เฟรินสะบัดหน้าพรืดอย่างสมหญิง แต่ในเวลานี้ไม่มีใครอยากแซว “บ้าๆๆ บ้าบัดซบที่สุดเลย!!”


เจ้าหญิงสองแผ่นดินคงจะด่าต่ออีกยาวเหยียด แต่คิลก็พิศวงเหลือที่จะกล่าวเมื่อมันสะดุ้งเฮือกใหญ่ หน้าที่แดงเพราะแรงโทสะกลับเป็นเผือดซีด และริมฝีปากก็หุบฉับปิดลงทันใดจนผู้ฟังอย่างคิลงงเป็นไก่ตาแตก


“แกเป็นอะไรเฟริน” ถามอย่างเป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากคนที่คล้ายป่วยกะทันหัน ร่างของหญิงสาวแสนสวยวิ่งผ่านนักฆ่าที่สุดจะประหลาดใจไปอย่างรวดเร็วเพื่อตรงเข้าห้องของตนเอง


คิลหน้าเอ๋อ ทำอะไรไม่ถูก ขณะที่เขากะจะตามเข้าไป เจ้าหล่อนก็ออกมาพร้อมกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบเล็กให้คิลต้องงงหนัก


“คิล ฉันจะไปนอนที่อื่นนะ” คำบอกเรียบง่ายของแม่คุณทำให้เพื่อนสนิทอย่างเขายังคิดตามไม่ทัน


“ว่าไงนะ เฮ้ย แล้วแกจะไปนอนที่ไหนวะ ห้องสามสาวหรือไง”


“ไม่มีทาง” เฟรินปฏิเสธเสียงเด็ดขาด “เรื่องอะไรฉันจะไปนอนห้องเดียวกับยัยนางมารแองจี้ด้วยเล่า”


“แล้วแกจะนอนที่ไหน” คิลซักถาม ก่อนนัยน์ตาสีม่วงจะเบิกกว้างขึ้นเมื่อนึกถึงอีกหนึ่งตัวเลือกที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน “หรือว่า...”


“แกคิดถึงฉันเมื่อไหร่ก็มาเยี่ยมได้นะ ถ้าเป็นแกฉันยินดีต้อนรับ”


มันพูดราวกับว่าเจ้าของห้องยินยอมให้อาศัยอยู่ด้วยแล้ว


ไม่ทันที่คิลจะเอ่ยคำทักท้วง เจ้าหล่อนก็หอบผ้าหอบผ่อนผลุบเข้าไปในห้องใกล้ๆกันแล้ว ทิ้งให้นักฆ่าแห่งซาเรสยืนมองอย่างอึ้งกิมกี่





“แกไปพูดอะไรให้มันโกรธอีกวะ คาโล” คิลถามขึ้นอย่างระงับความสงสัยไว้ไม่อยู่เมื่อเพื่อนซี้ออกฤทธิ์สาวอีกครั้ง และครั้งนี้หอบผ้าหอบผ่อนอับเปหิตัวเองไปอีกห้องหนึ่งของสามพี่น้อง ปล่อยนักฆ่าหัวเน่าไว้กับคำถามที่ไร้คำตอบ จนเวลาผ่านไปสักพัก เจ้าชายน้ำแข็งที่แทบจะเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งไปจริงๆก็กลับมาในสภาพที่ดูไม่ได้


คิลให้เวลาเพื่อนสนิทอีกคนได้อาบน้ำอาบท่าก่อนจะเปิดฉากสอบปากคำโดยตั้งเป้าไว้ว่าต้องง้างปากมันให้ได้


คาโลทำท่าจะไม่ตอบ แต่โดนเพื่อนที่สนิทเกินไปดักทางไว้


“หรือแกหึงจนหน้ามืดเผลอไปพูดว่าไอ้เฟรินมันชอบลูคัส” เขาแค่เดาเองนะ ขอบอกว่าแค่เดาจริงๆ แต่อาการสะดุ้งเฮือกของมันก็บอกเขาว่าประโยคที่เขาแค่คาดเดาเป็นความจริง


“แกรู้ได้ยังไง” คาโลแทบจะอุดปากตัวเองไม่ทัน แต่พอเห็นรอยยิ้มกว้างของเจ้านักฆ่าที่สมองไวกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วก็เปลี่ยนใจอยากจะอุดปากเจ้าคนสู่รู้แทน “ถ้านายรู้แล้วฉันจะได้ไม่ต้องบอก”


“ฮื๊อ! แกนี่ พูดสักหน่อยบอกสักนิด มันไม่ทำให้ปากแกแหกหรอกน่า ฉันจะได้ช่วยแกคิดไงว่าจะไปง้อมันวิธีไหน”


คำที่คาโลต้องมองคนพูดอย่างสงสัยและสนใจ เพราะโดยปกติแล้ว คนที่จะอาสาช่วยสอนวิธีการทำนองนี้มีแต่เจ้าหัวขโมยที่ขณะนี้คงไม่มีอารมณ์สอนแน่ เขาเพิ่งรู้ว่าคิลมันก็มีเคล็ดลับเหมือนกัน ใช่สินะ ตอนไปเดมอสมันเคยพูดว่ามีวิธีประจำตระกูล แต่ไม่รู้ว่าจะใช้ได้ผลหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝ่ายหญิงเคยเป็นชายมาก่อน และเป็นผู้เชี่ยวชาญยิ่งกว่า


แต่เขาคงต้องลองเสี่ยงกับมันดู





เฟนริลกลั้นรอยยิ้มขบขันอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง นัยน์ตาสีฟ้าจับจ้องร่างของหญิงสาวผู้กำลังพล่ามบ่นนิสัยอันเหลือทนของเจ้าชายน้ำแข็งให้ลูกๆในอนาคตฟัง


แคเรนกับคอร์ลินนั่งบนเตียงฟังแล้วพยักหน้าตามไปด้วย ไม่มีอาการเบื่อหน่าย พวกเขาชินเสียแล้วกับการทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆของสามีภรรยาคู่นี้ เอ๊ย ยังเป็นแค่คู่หมั้นนี่หว่า


“ให้ตายสิ รู้ทั้งรู้ว่าฉันกลัวรุ่นพี่เค้าจะตาย มันดันเอาสมองน้ำแข็งที่ฉลาดไปซะทุกเรื่องแต่ดันโง่เรื่องนี้ไปคิดจนได้คำตอบเน่าๆพรรค์นั้น มันน่าจับอัดนัก เผื่อจะฉลาดขึ้นมาบ้าง” และยังมีอีกเป็นหางว่าว จนหยุดได้ก็ต่อเมื่อแคเรนพูดขึ้นว่า


“แล้วตกลงจะยกโทษให้ไหมคะ”


คนที่พล่ามด่ายาวเหยียดกลับหยุดชะงักแล้วทำหน้าหนักใจ คิดอยู่ได้ประเดี๋ยวเดียวก็โคลงหัวแล้วพูดว่า


“คงต้องไปง้อมันอีกแล้วล่ะ”


แต่สาวน้อยคนฟังกลับรีบคัดค้านด้วยเหตุผลที่ว่า


“ถ้าเป็นฝ่ายยอมก่อนอย่างนี้ทุกครั้งผู้ชายจะเคยตัวนะคะ เราต้องเล่นตัวบ้างสิ แล้วมาดูกันว่าพี่คาโลจะทำอย่างไง เขาจะง้อพี่หรือจะปล่อยไปเรื่อยๆจนกว่าพี่จะมาง้อ”


คำแนะนำของแคเรนน่าสนใจอย่างยิ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลใสพราวระยับอย่างนึกสนุก ให้น้ำแข็งมาง้อหรือ ความคิดเข้าท่าอะไรแบบนี้นะ แต่มันยังมีปัญหา...


“แล้วถ้ามันไม่ง้อล่ะ”


แม่สาวน้อยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เขาต้องทำแน่ค่ะ เชื่อฉันเถอะ”


ระหว่างการวางแผนของสองสาว(แม่และลูก) คอร์ลินก็ถือโอกาสปลีกตัวออกห่างเพื่อบรรเทาอาการหูชา และเปิดปากที่ถูกสถานการณ์บังคับให้ปิดกับพี่ชายซึ่งเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ


“ไม่ห้ามเหรอ” เขาหมายถึงแผนการของแคเรน


“ทำไมต้องห้าม น่าสนุกดีออก”


จริงสินะ เขาก็ลืมไปเลยว่าถึงเฟนริลจะสุขุมเยือกเย็นขนาดไหน พอถึงเวลาเล่นแผลงๆแล้วก็ร่วมด้วยช่วยกันมาตลอด บางที อาจจะมีความคิดที่ร้ายเหลือรับกว่าเขาและแคเรนเสียอีก


ท่าจะได้เลือดทางฝั่งเดมอสมาเยอะ ทั้งรอยยิ้ม ทั้งแววตา ทั้งการกระทำ ไหงเหมือนคุณตาเอวิเดสกับคุณยายลูน่าซะจนน่ากลัวขนาดนี้ล่ะ คอร์ลินคิดอย่างขยาด


“งั้นพี่จะช่วย” เขาเปรยถาม


คอร์ลินไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มมุมปากนั้นใช่คำตอบตกลงหรือเปล่า





คาโลบอกกับตัวเองว่าคิดถูกแล้วล่ะที่ไม่ใช้วิธีการของตระกูลฟิลมัส เพราะแค่ฟังก็เห็นรางความสำเร็จไกลเกินเอื้อม และเขาก็ไม่น่าไปขอความช่วยเหลือกับเจ้านักฆ่าไร้หัวคิดเลย เพราะมันดันไปสาธยายให้เพื่อนคนอื่นๆฟัง ไม่มากหรอก แค่นายนักรบตาเดียวกับเจ้าขอทานจอมรู้มากเท่านั้นเอง


เพราะไอ้คิลคนเดียวที่ทำให้เขาต้องมานั่งอยู่กลางวงของเหล่าเพื่อนผู้อาสาเป็นศิราณีไม่เจียมตัวเหล่านี้


“วิธีที่ฉันเคยบอกไปล่ะ สองสูตรภาคปฏิบัติน่ะ” ครี้ดผู้เคยเป็นอาจารย์แนะบทเรียนชวนติดเรทซึ่งเคยสอนไว้ แต่คาโลกลับเงียบ โรจึงพูดขึ้นมาว่า


“นายลองใช้วิธีเดียวกับคราวที่แล้วสิ”


“ว่าแต่คราวที่แล้วนายใช้วิธีไหนกันล่ะ” คิลถามอย่างสนใจ


เป็นคำถามที่คนถูกถามจนคำพูด หน้าขาวๆขึ้นสีเรื่ออย่างไม่ทันงัดหน้ากากฟาโรห์มาใช้ และมันเรียกรอยยิ้มจากเพื่อนแสนดีได้ทุกคน


“เอ๊ หรือนายใช้วิธีของฉันไปแล้ววะคาโล” ครี้ดเย้าแหย่


“หุบปากของนายซะ” น้ำเสียงเด็ดขาดกับสายตาคู่คมเตือนว่า ‘ถ้ามีคำต่อไป นายไม่รอดแน่’ ครี้ดจึงหุบปากสนิท ปล่อยให้คนปากดีเป็นคนให้คำแนะนำแทน


“มันยากนะคาโล ยิ่งนายไม่ชอบพูดอะไรทำนองนั้นด้วยแล้วจะไปง้อสาวยังไงดีล่ะ” โรพูดเป็นเชิงบอกว่า ‘เพราะนายมันไม่ได้เรื่องเองนะ’


คาโลตีสีหน้าขึงเครียด จนคิลที่รับหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างพวกมันประจำต้องปลอบ


“เอาน่า เฟรินมันคงไม่โกรธนานหรอก นายก็ลองไปขอโทษมัน บอกจะพาไปเที่ยวหรือเลี้ยงข้าวมันก็ได้ เดี๋ยวมันก็คงหายโกรธนายเองแหละ”


“แกพูดยังกับไอ้เฟรินมันเป็นหมา พาไปเดินเล่นกับให้ข้าวกิน” ครี้ดที่เงียบได้ไม่นานรีบพูด


“มันก็เคยเป็นจริงๆนี่ พันธุ์ดีซะด้วย” โรกล่าวยิ้มๆ


สรุปแล้ว ศิราณีที่คิลไปรวบรวมมาก็ไม่มีใครให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์เลยสักคน นอกจากมาจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนิสัยของเขาและเรื่องระหว่างเขากับเฟรินแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีก


ไม่รู้จะแห่มาทำไมให้เปล่าประโยชน์...





เป็นที่แปลกใจในสายตาผู้อยู่ในเหตุการณ์ยิ่งนักเมื่อเฟรินแยกตัวไปทานมื้อเช้ากับสามพี่น้องจากเดมอสโดยไร้เพื่อนซี้อย่างคิลและคู่หมั้นอย่างคาโล (ถึงเรื่องหมั้นจะไม่เป็นทางการก็เถอะ แต่คนอื่นเขาคิดกันอย่างนี้แล้วนี่) โรกับครี้ดเลยถือวิสาสะร่วมโต๊ะด้วย และกระซิบกระซาบกับคิลถึงเรื่องของคู่รักที่ฝ่ายชายนั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล


“สงสัยจะไม่เป็นอย่างที่แกคิดว่ะคิล เฟรินมันไม่มองหน้าคาโลเลยนะนั่น” ครี้ดพูดเบาๆ


“ไม่มองหน้ายังน้อยไป เรียกว่าทำเหมือนคาโลไม่มีตัวตนดีกว่า ขนาดเจอกันตรงๆมันยังทักแค่ฉันไม่สนไอ้คาโลเลย” คิลกระซิบเสริม


“หมายความว่าคาโลเจอวิกฤติแล้วสินะ” โรกล่าวสรุป คิลกับครี้ดพยักหน้าเห็นด้วย อากัปกิริยาที่เรียกไอเย็นจากหนุ่มที่โดนสาวเมิน


ไอ้พวกนี้ พอเห็นไม่ใช่เรื่องของตัวเองแล้วเล่นงี้เลยนะ คาโลได้แต่คิดในใจ เพราะถึงพูดไปก็คงโดนพวกมันล้อเลียนอีก


“เออ แล้วใครมีความคิดดีๆมั่งล่ะ” ครี้ดถามขึ้น “ความคิดเด็ดๆที่จะทำให้เฟรินมันยอมคืนดีกับคาโลน่ะ”


“ถ้าขนาดนายยังไม่มีแล้วจะไปหวังกับใครได้ล่ะ” คำพูดของโรคล้ายจะบอกว่า ‘ในเมื่อนายถือว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็จงคิดหาวิธีมาซะสิ’


“โธ่เอ๊ย ฉันมันเชี่ยวชาญที่สุดก็เรื่องจีบสาว” ครี้ดแก้ตัวอย่างลื่นไหล “ไม่ค่อยถนัดเรื่องตามง้อหรอก แล้วอีกอย่าง อารมณ์ของผู้หญิงน่ะเข้าใจยากยิ่งกว่าสิ่งๆใดเลยรู้มั้ย”


“ทางที่ดีที่สุดคงต้องไปถามผู้หญิงสินะ” คิลพูดเรื่อยๆออกไปอย่างไม่ทันคิด แต่ครี้ดกลับทุบโต๊ะดังปัง และโรยิ้มขำๆ


“ใช่เลยแกเอ๋ย เรื่องของผู้หญิงก็ต้องถามผู้หญิง ไอ้เฟรินเดี๋ยวนี้มันสมหญิงขึ้นเยอะ นิสัยมันก็คงไม่แตกต่างจากสาวๆเท่าไหร่หรอก ลองไปปรึกษากับพวกแม่คุณดูสิ น่าจะมีความคิดดีๆ” ครี้ดพูดอย่างสนุกปาก


“ถ้าหวังพึ่งสามสาวของเราได้น่ะนะ” โรพูดแล้วจิบน้ำชาเฉย ในขณะที่คิลก็ตกอยู่ในภวังค์


สามสาวป้อมเราน่ะเหรอจะช่วยเป็นที่ปรึกษาเรื่องพรรค์นี้ได้ มาทิลด้า...ไม่ต้องพูดถึงเลย แองจี้...นี่ก็คงไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก วันๆดีแต่ตามเขกกบาลหัวขโมยกับไล่ด่านักรบตาเดียว แล้วแม่เจ้าหญิงผู้แสนอ่อนหวานแต่มือหนักกว่าที่คิดนั่นล่ะ นิสัยไปคนละทางกับเฟรินเลย จะหวังพึ่งสาวสามนี่ได้เหรอเนี่ย ดูท่าช่วงเวลาของความหนาวเหน็บนี้จะคงอยู่อีกนานแล้วล่ะสิ





ตามแผนการของแคเรน เธอต้องทำเป็นไม่สนใจคาโล ยิ่งทำเหมือนมันไม่มีตัวตนยิ่งดี เวลาพูดกันก็ทำเย็นชาเข้าไว้ จะได้รู้ซะมั่งว่าเธอไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องง้อตลอด


แต่เฟรินเกิดคิดหนักเมื่อเจ้าคนไม่รู้จักง้อนั่นไม่มีการเปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่ท่าทางใดๆ หรือเธอจะคิดผิดที่ทำแบบนี้กันนะ แต่นานๆเธอก็อยากจะให้มันทำตัวเป็นคนรักที่ดีบ้างนี่นา


เอ... นี่เธอมีความคิดแบบผู้หญิงยังงี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันก็ไม่ได้ขัดกับอะไรนี่ เธอเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว ถ้าทำใจยอมรับได้ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ตอนนี้ต้องมาคิดเรื่องเจ้าน้ำแข็งฟอร์มจัดนั่นต่างหาก เธอจะรอดูซิว่าคนอย่างมันจะง้อสาวยังไง


“พี่เฟริน เมื่อไหร่จะได้เรียนเหรอคะ นี่มันเปิดเทอมแล้วนี่นา” แคเรนถามอย่างฉงน


“เรื่องนั้นฉันก็เพิ่งรู้ เห็นว่ามีปัญหาเรื่องหาอาจารย์มาแทนนิดหน่อย ตอนแรกเสียอาจารย์สอนดาบไป พอมาตอนนี้อาจารย์เจ้าชายแกก็งานยุ่งจนเลือกงานเดียวไปเป็นคิงบารามอส ตำแหน่งที่ว่างเลยต้องคัดเลือกหามาแทน อาจารย์ในโรงเรียนพระราชาต้องมีคุณสมบัติเยอะแยะวุ่นวาย คงคัดกันนานพอดู แล้วอีกอย่างก็ยังมีปัญหาขลุกขลักด้วย เวลาเรียนเลยเลื่อน อาจจะสักอาทิตย์หนึ่งมั้ง”


คำอธิบายยืดยาวจนน่าแปลกใจว่าคนตรงหน้ารู้เรื่องรอบๆตัวด้วยหรือ ทั้งที่ปกติไม่เห็นจะสนใจอะไร พอจวนตัวก็ค่อยถามคนข้างๆ เป็นนิสัยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยไม่ว่าจะผ่านไปนานเพียงใด


“ฟังมาจากโร เซวาเรสเหรอ” ประโยคถามลอยๆจากเฟนริลทำให้หัวขโมยสาวยิ้มแยกเขี้ยว


“แกมันแสนรู้ มีเรื่องอะไรมั่งที่แกไม่รู้ฮะ”


“มีสิ อย่างเช่นว่าเจ้าชายน้ำแข็งคนขี้เก๊กจะขอสาวคืนดียังไงน้า” พ่อมดผู้ร้ายกาจกล่าวได้กระแทกใจสุดๆจนดวงหน้าหวานสวยแดงเรื่อ ก่อนเจ้าหล่อนจะแสยะยิ้ม เอ่ยว่า


“คอยดูไปเถอะ สักวันฉันต้องทำให้แกหน้าบางให้ได้เลย”


หน้าบาง... คอร์ลินนิ่วหน้างง ก่อนจะคิดขึ้นได้ว่าท่านแม่คงจะหมายถึงอยากเห็นเฟนริลเขินบ้างล่ะมั้ง จะว่าไปแล้ว พี่ชายของเขาเคยรู้สึกเขินอายบ้างไหมนะ เขารู้ดีว่าเฟนริลเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่งมาก ส่วนมากเขาจะเห็นเฟนริลควบคุมตัวเองได้เสมอ ตั้งแต่จำความได้แล้วที่เขาจดจำภาพของพี่ชายผู้อายุห่างกันปีกว่าเป็นเจ้าชายผู้สมบูรณ์แบบ...ในแบบที่อีกฝ่ายอยากให้เห็น


จนเมื่อเติบโตขึ้นทำให้เขาเห็นโลกได้มากกว่าเดิมและเข้าใจถึงสถานภาพความเป็นไปของเฟนริล เข้าใจว่าสิ่งที่เฟนริลแสดงออกอาจไม่ใช่ความต้องการของเขาเสมอไป แต่เขาก็รู้อีกเช่นกันว่ายามที่อยู่กับครอบครัวและคนใกล้ชิด เฟนริลจะเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด...และสิ่งนั้นทำให้ทั้งพ่อและแม่เหน็ดเหนื่อยใจเป็นอย่างยิ่ง





วันที่ว่างแสนว่างเช่นวันนี้ หัวขโมยสาว(สวย)ใช้ประโยชน์จากอาคมของเฟนริลที่ยังไม่หมดฤทธิ์เพื่อไปไหนคนเดียวตามใจ หลังจากที่ต้องทนอุดอู้อยู่ในความคุ้มครองของเหล่าเพื่อนซี้มาเสียนาน และสถานที่ซึ่งเจ้าหล่อนเลือกจะไปพักผ่อนก็คือ…บนต้นแอปเปิ้ลสุดโปรด


ถือเป็นโชคดีของเธอที่ได้กลับมาใส่ชุดผู้ชายเหมือนเดิมอีกครั้ง เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่ในขณะนี้เป็นของเฟนริลที่เจ้าของเต็มใจให้ยืม หลังจากที่ต้องทนฟังเสียงหงุงหงิงขอยืมจนดึกจนดื่น แต่เธอกลับคิดว่ามันนึกสนุกกับการกระทำของเธอมากกว่า เพราะเธอไม่เห็นมันจะเดือดร้อนที่ตรงไหน แม้จะไปรบกวนเวลาที่มันต้องใช้สมาธิอย่างการอ่านหนังสือ เฟรินสรุปได้ว่านายคนนี้นี่มีสมาธิดีเยี่ยมมาก...ดีจนเกินไป


เวลาไม่นานที่ได้รู้จักกันนั้นนานพอจะทำให้เธอเข้าใจถึงนิสัยอันเหลือทนของพ่อมดลึกลับจากเดมอส แต่ในความเหลือทนนั้นก็มีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้เธอเกลียดมันไม่ลง ช่างเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ พับผ่าเถอะ


เฟรินโยนผลไม้สีแดงในมือเล่นอย่างเหม่อลอย พลางคิดไปถึงใครบางคนที่เย็นเหมือนน้ำแข็ง แถมจีบสาวไม่เอาอ่าว เป็นเจ้าชายที่อยู่บนหอคอยงาช้าง แต่ก็เป็นเพื่อนที่ดี และ...มันจะเป็นคนรักที่ดีได้ถ้ารู้จักทำอะไรหวานๆซะบ้างนะ เธอเข้าใจว่ามันไม่เคยถูกสั่งสอนเรื่องพวกนี้มาก่อน อีกทั้งพ่อของมันก็...อ่ะนะ คงจะไปหวังอะไรมากไม่ได้ แต่เธอต้องทำให้มันรู้จักสอนตัวเองมั่ง ไม่งั้นคงเกิดเรื่องแบบนี้ซ้ำๆซากๆแน่


“เฟริน”


เสียงเรียกกะทันหันดังขึ้นจากเบื้องล่างทำให้คนที่ไม่ทันตั้งตัวสะดุ้ง เพราะเสียงที่คุ้นเคยนั้นคือคนที่เธอกำลังนึกถึงอยู่ มันเลยทำให้เธอตกใจจนลืมไปเลยว่าตรงที่เธอนอนอยู่นั้นมันเป็นกิ่งไม้ที่ถึงจะแข็งแรงแต่ก็ใช่ว่าจะมีเนื้อที่มากมายอะไร และผลคือเธอต้องตกลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกโดยที่ความสามารถของหัวขโมยไม่อาจช่วยอะไรเธอได้แม้แต่น้อย


เฟรินทำใจรับความเจ็บปวดที่จะเกิดตามมาหลังจากที่ตัวเธอถึงพื้น เธอเคยชินกับการเจ็บตัวโดยตกจากที่สูงแล้วแม้หลังๆจะห่างหายไปเพราะฝีมือในวิชาชีพพัฒนาขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอกลับไม่รู้สึกเจ็บอย่างที่ควรจะเป็น หากกลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อยู่ล่างตัวเธอ ไม่สิ เหมือนกับมีใครมาเป็นที่รองให้เธอ และคนๆนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนซึ่งคล้ายๆจะเป็นต้นเหตุทำให้เธอร่วงหล่นลงมาจากที่พักผ่อนส่วนตัว


นายคนขี้เก๊กที่เธอกำลังคิดถึงอยู่นั่นเป็นเบาะรองรับให้เธอสมกับที่เป็นสุภาพบุรุษซะจริง


เฟรินใช้นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมแป๋วที่แสร้งกะพริบปริบๆมองสบกับนัยน์ตาสีฟ้าที่มองมาดุๆ ดวงหน้าคมคายนั้นยังเป็นเหมือนเคยคือเย็นชา ไร้อารมณ์ อย่างที่เธออยากจะหลอมมันนัก


“ขึ้นไปทำอะไรบนนั้น” คาโลถามเสียงเรียบๆตามปกติ ซึ่งคนฟังไม่ถูกใจเอาเสียเลย จึงทำหูทวนลมไม่ยอมตอบไปซะเฉยๆ แล้วพยุงตัวลุกขึ้นด้วยศอกข้างหนึ่งแต่ติดที่มือของเจ้าน้ำแข็งเดินได้ที่กอดเธอแน่นเกินความจำเป็น เธอขมวดคิ้วหงุดหงิด เอ่ยอย่างไม่พอใจที่โดนแต๊ะอั๋ง


“ปล่อยสิฟะไอ้น้ำแข็ง” แต่อีกฝ่ายก็ทำเหมือนไม่ได้ยินที่เธอพูด เฟรินเลยถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะฉีกยิ้มอย่างที่อีกฝ่ายชักเริ่มรู้อะไรลางๆ และก็เป็นอย่างที่คาดไว้เมื่อเจ้าหล่อนพ่นวาจาบูดๆอีกครั้ง


“เอาสิ แกจะว่าอะไรก็ว่ามา ให้ตายเถอะนะ บอกดีๆก็ได้ว่าจะขอคุยด้วย แค่นี้มันไม่ทำให้มาดแกหลุดหรอก ถึงยังไงฉันก็รู้อยู่แล้วว่าแกมาหาฉันเรื่องอะไร”


“เฟริน” เสียงปรามดุๆไม่ทำให้เจ้าหล่อนหุบปากสนิทได้ คาโลจึงเลือกใช้วิธีที่ออกจะ...ล่อแหลมไปสักนิด


เฟรินไม่ทันตั้งตัวเมื่อร่างของตนถูกเปลี่ยนท่ากลับเป็นฝ่ายอยู่เบื้องล่าง หัวขโมยสาวอ้าปากเหวอค้าง เบิ่งตากว้างตะลึงงันกับรอยยิ้มของคนเบื้องบนที่ถือโอกาสกับเธออย่างที่ปกติมันไม่เคยทำเลย เอ้อ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เพราะมันไม่ได้ทาบทับเธอเต็มๆตัว แค่คร่อมเธอไว้เท่านั้น แต่ว่ามันก็รู้สึกระดากอายอยู่ดีนั่นแหละ


เจ้าหญิงคนสวยในคราบหัวขโมยสาวห้ามไม่ให้หน้าแดงซ่านไม่ได้ เธอร้องอย่างขัดเคือง “แก... ไอ้คนฉวยโอกาส! ลุกไปนะเว้ย!”


“ถ้านายหยุดพูด ฉันจะลองคิดดู” ประโยคนี้ของคาโลได้ผลชะงัด หรืออาจจะได้ผลตราบเท่าที่เจ้าหล่อนตีความลึกๆได้


เมื่อหญิงสาวปล่อยเลยตามเลยให้คนที่อยู่เบื้องบนนึกโล่งอกในใจ ถูกอย่างที่เฟรินพูด เขามาหามันจริงๆนั่นแหละ แต่การจะบอกออกไปตรงๆมันก็ขัดกับนิสัยตัวเอง เขาเลยเลือกที่จะทำเงียบดีกว่า แม้แม่ยอดยุ่งจะถือว่านี่เป็นการตอบรับไม่ใช่ปฏิเสธก็ตามที


สักพัก เฟรินก็เปิดปากขึ้นอีกรอบ


“นี่คาโล ฉันให้เวลานายแล้วนะ คิดได้หรือยังว่าจะขอโทษฉันยังไง”


พอเจอแม่เจ้าประคุณถามเอาดื้อๆ คาโลก็ถึงกับตั้งตัวไม่ติดเอาเหมือนกัน เขาลืมไปเลยว่าเจ้าหล่อนหัวไวโดยเฉพาะเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้


“เอ้า ว่าไงล่ะ” หล่อนเร่งยิกๆ พลางก็หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน ผิดกับคนที่ต้องพูดอะไรที่ไม่เคยชินซึ่งเงียบกริบ พูดไม่ออก


คาโลทำสีหน้าขรึมเครียดอย่างพยายามอดกลั้น เขารู้ว่าเฟรินขำกับสถานการณ์นี้และนึกสนุกกับอาการที่เขาแสดงออก นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขารู้ว่าตนเองผิด เขาคงจะไม่อดทนถึงเพียงนี้หรอก


“ฉันขอโทษ...ที่พูดไม่ดีกับนาย” เขาเลือกหาคำพูดที่ตรงเป้าที่สุด แต่ดูเหมือนมันจะตรงเป้าจนเกินไป ผู้ฟังที่คาดว่าจะได้รับฟังเจ้าชายน้ำแข็งง้อสาวก็ถึงกับตะลึงในความอ่อนหัด ถามอย่างคาดคั้นว่า


“แค่นี้งั้นเหรอ”


“แล้วจะมีอะไรอีกล่ะ” คาโลถามกลับอย่างไม่รู้จริงๆ เฟรินระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วค่อยเผยอยิ้ม


“ช่างเถอะ คงหวังอะไรกับนายมากไม่ได้” เธอแสร้งทำเอือมระอา แล้วพูดโดยไม่ดูสถานการณ์ตามนิสัยคนปากไม่อยู่สุข “ทีหลังนายก็คิดก่อนจะพูดล่ะ ไม่ใช่ว่าดีแต่สอนคนอื่นทีตัวเองน่ะดันทำไม่ได้ อย่างนี้มันไม่เอาอ่าวเลยรู้มั้ยคาโล”


เจ้าชายหอคอยงาช้างที่มีช่องโหว่ให้หัวขโมยตัวแสบเอามาโยนใส่หน้าคิดอยากจะปิดปากแม่ยอดยุ่งนี่ด้วยวิธีที่แสนถนัด แต่เจ้าตัวคงจะรู้เพราะเคยโดนมาหลายครั้งจึงใช้มือทั้งสองข้างออกแรงผลักไหล่ของคนตัวสูงกว่าด้วยแรงทั้งหมดที่ร่างนี้จะมี และผลที่ได้คือการเป็นอิสระจากเจ้าคนที่นับวันยิ่งฉวยโอกาสเก่งขึ้น


“นายนี่ เผลอเป็นไมได้” คาโลบ่นเมื่อถูกผลักก้นกระแทกพื้น


“แกต่างหากเล่าที่เผลอไม่ได้ ไอ้บ้า” เฟรินแยกเขี้ยวตอกกลับขณะยืนปัดด้านหลังที่เปื้อนเล็กน้อย แต่คนถูกว่าก็ไม่สลดใจ กลับยิ้มกริ่มอย่างที่ผู้มองชักจะหนาวๆร้อนๆ และก่อนที่จะโดนไล่จนมุมไปมากกว่านี้จึงเปลี่ยนเรื่องพูด...แต่ไม่รู้ว่ามันคือความผิดพลาดหรืออย่างไรถึงทำให้สถานการณ์ที่ควรจะสงบกลับคุกรุ่นและยิ่งบานปลาย


“เอ้อ ตอนนั้นโชคดีจังที่พวกนายมาเร็ว”


เจ้าชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างชักเริ่มหงุดหงิดเมื่อกล่าวถึงเรื่องที่ไม่อยากจะนึกถึง


“ถึงจะโดนแต๊ะอั๋งนิดหน่อยแต่ฉันรู้สึกว่ามันคุ้มค่ายังไงก็ไม่รู้ เพราะได้เห็นคนอย่างลูคัสพูดแบบนั้น ฉันยังคิดอยู่เลยว่าจะไปเล่าให้คนอื่นฟังดีไหม แต่ก็กลัวว่าพี่เค้าจะฆ่าฉันซะก่อน” เจ้าหล่อนพูดอย่างหวังให้อีกฝ่ายโดนหลอม แต่รู้สึกว่าเตาหลอมครั้งนี้จะดีเกินไปจนน้ำแข็งเย็นยะเยือกกลับกลายเป็นน้ำร้อนจัดจนเดือด


“งั้นถ้าพวกฉันมาช้าไปกว่านี้นายก็คงจะยอมให้ลูคัสจูบล่ะสินะ”


เฟรินมองคาโลงงๆ พอสบกับนัยน์ตาสีฟ้าที่เริ่มจะกลับมาเป็นแบบเดิมอีกแล้วก็นึกหมั่นไส้ เธอฉีกยิ้มที่รู้ว่ากวนโทสะอีกฝ่ายได้ดีเยี่ยมและตอบด้วยน้ำเสียงหาเรื่องว่า


“ไม่เห็นเป็นไรสักหน่อย แค่จูบเอง แล้วฉันก็ใช่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงบนหอคอยงาช้างนี่นา” นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววท้าทายมองอย่างไม่ยอมแพ้


คาโลพยายามอดกลั้นอารมณ์โกรธที่ชักเริ่มปะทุขึ้นอีกคำรบ แต่มันก็ยังแสดงออกในน้ำเสียงที่เย็นชากว่าปกติ และแม่สาวตัวยุ่งตรงหน้าก็ไม่คิดจะสนใจ


“นายหมายความว่าไม่รังเกียจถ้า...” เขาจงใจเว้นไว้ไม่จบประโยค หัวขโมยสาวซึ่งเป็นเตาหลอมดีๆนี่เองก็เข้าใจ และตอบรับด้วยรอยยิ้มที่คนมองบอกไม่ได้ว่าต้องการจะสื่อถึงอะไร


“ทำไม ทีนายยังจูบกับเรนอนได้เลย นายบอกว่านั่นเป็นการรักษาแผล งั้นฉันก็บอกได้สิว่านี่เป็นการเอาตัวรอด”


“การที่ปล่อยให้เขาจูบมันไม่ใช่วิธีเอาตัวรอด” คาโลค้านเสียงเรียบ หากนัยน์ตาสีฟ้ามีประกายเข้มจัด


“มันใช่...วิธีของหัวขโมย” คนช่างต่อล้อต่อเถียงบอกพร้อมยิ้มกว้างซึ่งเป็นการยั่วให้ร่างสูงกว่าใกล้จะฟิวส์ขาดและอยากจะจับเจ้าหล่อนสั่งสอนนัก


“แต่ตอนนี้ นายควรจะจำไว้ให้ขึ้นใจว่าตัวเองเป็นใคร นายไม่ใช่หัวขโมยแต่เป็นเจ้าหญิง และเจ้าหญิงก็ควร...”


“หุบปากของแกไปเลยนะ ไอ้เจ้าชายงี่เง่า!” เฟรินคล้ายจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างในตัวเธอขาดผึง “แกมันก็ดีแต่ท่ามาก ทรีตสาวไม่เอาอ่าว ซื่อบื้อไม่เข้าท่า หัดทำตัวหวานซะบ้างสิฟะ!” เฟรินหยุดไปนิดเหมือนครุ่นคิดหาถ้อยคำมาด่าต่อ แต่ก็ไม่มีคำใดหลุดลอดจากริมฝีปากที่เม้มอย่างขัดเคือง ดวงหน้าหวานสวยขึ้นสีเล็กน้อยก่อนจะใช้ฝีเท้าที่ว่องไวอย่างเหลือเชื่อของยอดหัวขโมยไปให้พ้นจากบริเวณนั้น


...ปล่อยทิ้งไว้เพียงสีหน้าเอ๋อรับประทานของเจ้าชายมาดมากแห่งคาโนวาล


คาโล วาเนบลีงุนงงเป็นที่สุดว่านี่เขาโดนโกรธเรื่องอะไรอีกล่ะ จำได้ว่าเขาควรจะเป็นฝ่ายโกรธเรื่องลูคัสมากกว่า แต่ไปๆมาๆเขากลับโดนเจ้าหญิงแห่งเดมอสคนสวยงอนอีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่เพิ่งจะคืนดีไปเอง และครั้งนี้เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าหล่อนโกรธเขาด้วยเรื่องอะไร...ไม่รู้เลย





ดวงเนตรสามคู่ฉายแววหนักใจระคนขบขันกับภาพที่ฉายในกระจกบานขนาดพกพาที่ไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป หากมันเป็นของวิเศษจากแดนปีศาจซึ่งสามารถฉายภาพของอะไรก็ตามที่เจ้าของปรารถนาภายใต้กฎข้อบังคับบางประการ และภาพที่มันฉายอยู่ในขณะนี้ก็คืออาการตะลึงงงของเจ้าชายน้ำแข็งขี้เก๊กที่ควรจะน่าขำหากไม่ใช่ว่าสถานการณ์มันไม่อำนวย


“เอาไงดี” น้องเล็กสุดถามพลางยิ้มแหย “ถึงฉันจะอยากแกล้งพวกท่านมากแค่ไหนก็ใช่ว่าจะอยากให้ทะเลาะกันมากขนาดนี้นะ”


“อือ” เฟนริลขานรับในลำคอ เด็กหนุ่มทำสีหน้าหนักใจอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับเจ้าชายปีศาจผู้เก่งกาจไปเสียทุกอย่าง และมันก็ทำให้คอร์ลินสงสัยจนต้องเอ่ยถาม


“มีอะไรเหรอเฟนริล”


เฟนริลขยับยิ้มมุมปาก “แค่กลุ้มใจกับอารมณ์สาวนิดหน่อย”


ประโยคนั้นยิ่งทำให้คอร์ลินงุนงงหนักขึ้น สมองที่คงจะฉลาดทำงานอย่างหนัก และเอาประสบการณ์ทั้งหมดของตนมาผสมปนเปกันจนกระทั่งในหัวส่งเสียงบอกว่าประมวลผลสำเร็จแล้ว


“อ่ะฮ้า! วันนั้นของเดือนใช่...” หมอนใบโตเท่าตัวถูกปาแรงมากระแทกใส่หน้า


“รู้แล้วก็ไม่ต้องบอกย่ะ” สาวน้อยเอ่ยน้ำเสียงไม่พอใจ


เฟนริลเลิกคิ้วกวนประสาทน้องชายที่ถูกหมอนใบใหญ่ทับซะจนนอนแบ๊บอย่างหมดท่า “เข้าใจแล้วสิ”


หัวขโมยหนุ่มทำความเข้าใจสิ่งที่แฝงมากับคำพูดของเจ้าชายมากเล่ห์ได้ในทันที เขานึกขุ่นเคืองกับการเล่นไม่เข้าท่าที่ไม่ยอมเตือนเขาถึงเรื่องอารมณ์อันแปรปรวนของหญิงสาวในวันนั้นของเดือน เอ... แต่ถึงจะไม่ใช่วันนั้น แคเรนก็อารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยอยู่แล้วนี่นา


ไม่ใช่สิ ตอนนี้ที่เขาควรสนใจไม่ใช่แคเรน เป็นท่านแม่ต่างหาก ทีนี้เขาก็รู้แล้วว่าทำไมท่านถึงได้ทำตัวสมเป็นผู้หญิงขนาดนั้น ที่แท้ก็เพราะมันอยู่ในช่วงวัยเจริญพันธ์อย่างที่ป้าผีสอนนั่นเอง ถึงหล่อนจะเคยบอกเขาแค่ตอนเด็กๆไม่กี่ครั้งเขาก็ยังจำได้ดี เนื่องจากมันจะเป็นช่วงที่เขาไม่ควรเข้าใกล้ท่านแม่หรือแหย่ให้ท่านโกรธ ทั้งที่ปกติเขากับท่านแม่จะสนิทสนมเล่นหัวกันเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาจำได้จนถึงเดี๋ยวนี้


ถ้าท่านแม่อยู่ในช่วงอารมณ์ไม่คงเส้นคงวาก็ยากที่ท่านพ่อจะง้อได้ แล้วอย่างนี้...เมื่อไหร่ทั้งคู่จะคืนดีกันล่ะ





To Be Continued...

- - - - - >




Create Date : 10 มกราคม 2549
Last Update : 20 มกราคม 2549 22:59:44 น.
Counter : 404 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

Dark_Angel MIDNIGHT
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]