เ ที่ ย ว ไ ป ต า ม ะ วั น
Group Blog
 
All blogs
 

Adventurous West Turkey (& Istanbul?) ! (9) จบแล้น

อาทิตย์ที่ ยี่สิบเก้า มกราคม สองห้าสี่เก้า (ต่ออีกซะต่อ)

ร้านเครื่องหนังที่ไกด์เอาไปปล่อยไม่ยักกะเหมือนที่เราวาดฝันไว้แฮะ ตั้งแต่ก้าวแรก ก็ทะแม่งทะแม่งซะแล้น ห้องแรกโล่งมีทางเดินแคบๆ อยู่กลางห้อง ล้อมรอบด้วยเก้าอี้ประมาณ 50 ตัวได้ ผู้หญิงวัยกลางคนพูดภาษาเยอรมันคล่องเปรี๊ยะออกมาต้อนรับ (ทำไมคนเติร์กพูดภาษาเยอรมันคล่องทุกคนเลยหว่า?) ในมือถือแผ่นตัวอย่างหนังชิ้นเล็กๆ หลายสี หลังจากนั้นพวกเราก็ได้รับการเสิร์ฟชาแอ๊ปเปิ้ลตามระเบียบ เป็นนัยว่าต่อไปเตรียมตัวเสียตังค์ซะดีดี เธอบรรยายคุณศัพท์เครื่องหนังที่นี่อย่างเลิศเลอ มีทั้งหนังลูกวัว หนังกวาง หนังกระต่าย โอ้ น่าสงสารซะจริงๆ แต่พอได้สัมผัสหนังที่คุณเจ้าของร้านเอามาเป็นตัวอย่างเท่านั้นแหละ โอ้ ทำไมเนื้อมันช่างบางนุ่มน่ากินอย่างนี้เล่า

ชื่นชมแผ่นหนังอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องหันมาตะลึงกับอย่างอื่นแทน โอ้...แม่เจ้า มันคือ แฟชั่นโชว์เสื้อหนังที่ประหลาดที่สุดในโลก !!

ทันใดนั้นเอง ไฟก็สลัว เสียงเพลงเริ่มดัง และแล้ว มนุษย์ประหลาด 4 ร่างก็ปรากฏตัวขึ้นในรูปแบบต่างๆ เดินสลับไปสลับมา


…Adventure #18 – The leather girl trying to fly !
มนุษย์ร่างแรกสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสตรี แต่งหน้าจัดเหมือนใส่น่ากาก ใส่ชุดดำพร้อมเสื้อโอเว่อร์โค๊ตหนังสีดำยาวเดินออกมาจากม่านด้านหลังตรงมายังแค็ทวอล์ก แต่มันเป็นการเดินแฟชั่นโชว์ที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนในชีวิต ไม่รู้เธอไปหัดเดินมาจากปารีสหรือนิวยอร์ก เธอเดินฉวัดเฉวียนไปมา นอกจากเท้าจะไขว้ไปก็ไขว้มาให้เราเวียนหัวแล้ว มือสองข้างยังจับชายเสื้อโค้ตหนังสะบัดไปสะบัดมาราวกับว่าจะบินได้ซะอย่างนั้น ทุกคนต่างตะลึงมองหน้ากัน จะมีอะไรประหลาดกว่านี้มั้ยเนี่ย

มนุษย์ร่างที่สองเดินตามกันมาติดๆ คนนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เป็นสตรีร่างบางสูงโปร่ง แต่งหน้าค่อยเป็นมนุษย์หน่อย ใส่ชุดดำเช่นกัน เสื้อแจ๊กเก็ตหนังที่เธอใส่ก็ค่อยดูธรรมดาขึ้นหน่อย หรือจะเป็นเพราะเธอเดินค่อนข้างปกติ ไม่ฉวัดเฉวียนก็ไม่รู้

ร่างต่อไปเป็นชายหนุ่มหน้าตาน่ากลัว นี่หรือคือนายแบบ เสื้อโค๊ตที่ใส่ท่าจะมีมูลค่า แต่พอเห็นหน้าคนใส่แล้ว จะลงทุนใส่ของแพงไปทำไมน่ะ (ไม่ดีไม่ดี ไปว่าเค้าทำไมน่ะ)

มนุษย์คนสุดท้ายก็เป็นชายหนุ่ม เอ่อ..ประหลาดอีกเช่นเคย ผมสีน้ำตาลเกือบเข้มยาวเกือบประบ่า ใส่เจลดูเปียกๆ แถมคาดผม เป็นหนุ่มชาวตุรกีแต่ตาสีฟ้า (มีอย่างนี้ด้วยเหรอเนี่ย?)

เซ็ทแรกผ่านไป เซ็ทที่สองมาเป็นคู่ชายหญิง หญิงสาวเดินนำหน้าท่าทางมั่นใจ มือสะบัดเสื้อฉวัดเฉวียนอีกตามเคย คงไม่ต้องบอกว่าเป็นหญิงคนไหน ทั้งสองเดินกลับไปกลับมา 1 รอบ รอบสองชายหนุ่มหยุดรออยู่ตรงกลาง หญิงสาวเดินกลับมาหา หันหลังให้ชายหนุ่ม ชายหนุ่มก็จับเสื้อโค๊ตของเธอไว้ หญิงสาวเดินกลับไปข้างหน้าพร้อมสะบัดมือดึงแขนเสื้อให้ตลบกับมาข้างหน้า โอ้..แม่เจ้า เสื้อโค๊ตมันใส่ได้สองด้าน !! ชายหนุ่มสะบัดเสื้อพรึ่บ หญิงสาวเดินกลับมาใส่เสื้อใหม่ แล้วทั้งคู่ก็ออกเดินพร้อมกันอีกรอบ ทุกคนอ้าปากค้าง..ตะลึง ! (เราตะลึงจนลืมถ่ายรูปมาให้ดูกันเลย ดูซิ)

คู่ต่อไปก็มาในรูปแบบเดียวกัน เซ็ทแล้วเซ็ทเล่า หญิงคนแรกก็ออกมาบินทุกครั้ง จริงๆ แล้วเสื้อบางตัวมันก็สวยจริงๆ นะ ดูเผินๆ ก็รู้ว่าคุณภาพดีมาก มีอยู่ตัวนึงเป็นแจ๊กเก็ตตัวเล็กสั้นสีดำตีตะเข็บเป็นลอนๆ เดินขลิบขาว คล้ายๆ เสื้อที่แกงค์มอเตอร์ไซด์กวนเมืองเค้าใส่กัน พรีเซนท์โดยนางแบบร่างบาง ทุกคนหันมามองเราเป็นแถว (ย้ำ..ทุกคนจริงๆ) ชุดนี้แหละ ใช่เลย ดาว เอ่อ..คือ ใจเย็นๆ น่านะ

จบแฟชั่นโชว์นรก พวกเราก็ถูกต้อนขึ้นไปด้านบน คราวนี้แหละของจริง ไหนล่ะเครื่องหนังที่วาดฝัน นึกว่าจะมีรองเท้าบู๊ท กระเป๋าหนัง เครื่องประดับหนัง นี่มีแต่เสื้อโค๊ต เสื้อแจ๊กเก็ตหนัง กางเกง กระโปรงหนังเต็มไปหมด ทุกคนโดนประกบร่างด้วยพนักงานขาย ไอ้คนที่มาเดินตามเรานี่สิ น่ารำคาญชะมัด เซ้าซี้ เอาตัวโน้นตัวนี้มาให้ลองเต็มไปหมด เราก็ลองมั่งไม่ลองมั่ง
Carrie เพื่อนรักก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก คือส่ายหัวลูกเดียว “ไอว่า ไอ้ไซส์ S นี่มันก็ยังจะใหญ่ไปนา”
ไอ้คนขายก็ว่า “ไหน ไม่เห็นจะใหญ่เลย พอดีจะตายไป ดูซิ ใส่แล้วสวยออก” (อันนี้ เราเชื่อคนขาย)
“แต่ she มาจากไทยแลนด์นะ รู้จักมั้ยไทยแลนด์ที่อยู่ตรงเส้นศูนย์สูตรน่ะ she จะไปใส่เสื้อหนังตอนไหนน่ะ”
“ก็ใส่เที่ยวยุโรปไง ใส่สวยจริงๆ นะ” แหม พูดอีกก็ถูกอีก

คุณป้าอีกคนโดนเจ้าของร้านประกบ เธอลองเสื้อโค๊ตยาวที่ใส่ได้สองด้าน โดยพยายามทำท่าเหมือนนางแบบเมื่อกี้ (สงสัยดูแฟชั่นโชว์นานไป จนถูกล้างสมอง) คนขายจับเสื้อไว้ เธอก็ถอดเสื้อสะบัดแขนพรึ่บให้แขนเสื้อตลบกลับออกมาข้างหน้า เดินบิดขาไขว้ไปมาแล้วหันกลับไปใส่เสื้ออีกด้าน โอ้...คุณป้า ขอเถอะ

เหยื่อที่แท้จริงคือ หนุ่มเยอรมัน (ที่ไม่ค่อยจะเป็นแมนเท่าไหร่) ที่มากับแม่ พนักงานเอาเสื้อแจ๊กเก็ตมาให้ลองสามสี่ตัว เธอดันไปติดใจไอ้ตัวที่หนังมันๆ สีเขียวเข้มออกดำที่ทุกคนพากันส่ายหัว โน..พลีสสสส ทุกคนทำให้หนุ่มน้อยตัดสินใจลำบาก ก็ไอ้ตัวอื่นที่ลองน่ะมันดูดีกว่าตั้งเยอะนา สีน้ำตาลเงี้ยะ สีดำเงี้ยะ หนังด้านดูดีมีคลาสออกจะตายไป ทำไมเธอช่างรสนิยมประหลาดอย่างนี้เล่า ทุกคนออกไปรอข้างนอก และในที่สุดชายหนุ่มก็ซื้อไอ้เสื้อเขียวประหลาดนั่นมาจนได้ (เอาเหอะ ไม่รู้ตอนนี้ได้ใส่ไปมั่งรึยัง)

แล้วก็ได้เวลากลับโรงแรม ทัวร์ของเราก็สิ้นสุดกันเพียงเท่านี้ แต่...หนี้ของเรายังไม่ได้ชำระ คุณไกด์เข้ามาบอกเราว่า ยังจำได้มั้ย เราติดค้างอะไรกันอยู่ เธอคำนวณมาเรียบร้อย เงิน Zusatzpaket เราสองคนต้องจ่ายเธอคนละ 35 ยูโร จากราคาเต็ม 69 แล้วเธอจะให้ใบเสร็จเราทีหลัง ปรึกษาคณะทัวร์คนอื่นแล้ว ทุกคนเห็นว่าโอเค ก็แฟร์ดี เพราะไม่ได้ไป Istanbul แต่ Carrie ก็ว่าไอ้ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์และสถานที่ต่างๆ ที่ผ่านมาทั้งหมดมันรวมกันแค่ 15 ยูโรเท่านั้นเองนะ แหม ที่เหลือก็เงินค่าตัวไกด์บ้าพลังไง ให้ๆ เค้าไปเถอะ...

พอถึงโรงแรม ลงจากรถ ตามธรรมเนียมคือ เราต้องทิปคนขับรถ (กับไกด์) ตามกำลังศรัทธา “But it’s the MUST” ไกด์ลงไปก่อน คนขับรถเดินตามลงมารอ ‘ตี๊ป’ หน้าประตูรถ แต่ด้วยความน่ารัก ไม่บ่น และด้วยความยากลำบากของทริปที่ต้องฟันฝ่าพายุหิมะ รวมถึงต้องลงไปใส่โซ่สโนว์ให้ล้อตั้งสามรอบ ทุกคนเลยให้ทิปคนขับรถอย่างล้นหลาม กลายเป็นขวัญใจประชาชนไป

แต่ไอ้ไกด์นี่สิ เธอมายืนรอทิปอยู่ในโรงแรมหน้าเคาน์เตอร์ แต่ท่าทางจะต้องผิดหวังเพราะมีแค่ไม่กี่คนที่ให้ทิป ก็เธอเล่นอาละวาด หน้าตาอารมณ์บ่จอยอยู่ตลอดเวลา เรากับ Carrie ก็ให้ตามที่เธอขอคือ แค่คนละ 35 ยูโรไม่ขาดไม่เกิน เธอรับเงินพลางกรีดธนบัตร สะบัดๆ อยู่สามสี่รอบ (ราวกับว่ายิ่งสะบัดเงินมันจะเพิ่มขึ้น) ปากก็บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เธอจะให้ใบเสร็จ รู้น่า ว่าอยากได้ทิป ...ฝันไปเหอะ...

ค่ำนั้นที่โต๊ะอาหาร ทุกคนต่างล่ำลากันเพราะต่างคนต่างกลับกันคนละ flight เรากับ Carrie กลับรอบเช้า เครื่องบินออก 11 โมง รสบัสออกจากโรงแรม 8 โมง คนอื่นทยอยกลับตอนบ่ายบ้าง เย็นบ้าง ที่ไม่น่าเชื่อคือฝรั่งเยอรมัน 6 คนร้องเพลงสามัคคีชุมนุมเวอร์ชั่นภาษาเยอรมันให้เรากับ Carrie เล่นเอาแขกโต๊ะอื่นวี๊ดวิ่วปรบมือให้เป็นแถว อ๊าย อาย คู่แม่ลูกที่ตื่นเช้าเสมอบอกว่าเดี๋ยวตอนเช้าเรามาทานอาหารเช้าด้วยกันอีกที คู่คุณลุงคุณป้าก็บอกว่า เดี๋ยวจะพยายามตื่นลงมาส่งเราขึ้นรถตอนเช้า พวกเราเลยกล่าวคำล่ำลาคู่คุณป้าคู่หูสองคนที่ก็จะนอนให้เต็มตาพรุ่งนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าผจญภัยด้วยกันไม่กี่วัน ความสัมพันธ์จะแน่นแฟ้นอย่างนี้ กรุ๊ปเราช่างน่ารักจริงๆ ไม่มีใครบ่น ไม่ว่ามันจะลำบากแค่ไหน เหตุการณ์จะเลวร้ายเพียงใดทุกคนก็สนุกสนานตลอด ถ้าเกิดเราเกิดต้องไปผจญภัยกับกลุ่มอื่นคงจะแย่ กรุ๊ปก็ใหญ่ คนก็เยอะ แถมยังสูบบุหรี่กันสะบั้นหั่นแหลก


จันทร์ที่ สามสิบ มกราคม สองห้าสี่เก้า

ในที่สุด ก็ถึงวันสุดท้าย เรามาเจอคู่แม่ลูกตามที่นัดหมาย พอทานอาหารเช้าเสร็จก็เดินลงมาข้างล่างตามหลังคู่คุณลุงคุณป้ามาติดๆ แต่ทั้งสองไม่เห็นเรา มองหาเรากันใหญ่ คุณป้าร้องถามคุณลุงเสียงหลง เค้าไปกันแล้วเหรอ (คนอื่นขึ้นรถหมดแล้ว เราสองคนสายสุดตามระเบียบ) แต่พอคุณป้าหันมาเห็นเราก็ดีใจใหญ่ น่ารักจริงๆ วันสุดท้ายก็จริง แต่การผจญภัยยังไม่สิ้นสุด

…Adventure #19 – “How was Istanbul ?”
พอขึ้นรถเท่านั้น สายตาก็ไปประทะกับสายตาอำมหิตจากไกด์สาวไซโคของเรา ประมาณว่าสายอีกแล้วนะสองคนนี้ (ไหนล่ะ ใบเสร็จน่ะ ไม่เห็นให้เราเลย เงินคงไม่ถึงบริษัทล่ะสิ) เอ...ไอ้คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดอีกฝั่งนึงมันหน้าตาคุ้นๆ นะ
“How was Istanbul ?” เสียงนรกถามขึ้น
อ๋อ..ไอ้ไกด์หนุ่มหน้าเลือด Mr. Zusatzpaket นี่เอง ฮึ่ม...กูจะฆ่ามึง มีหน้ามาถามได้ Carrie คำราม

พอไปถึงสนามบิน ระหว่างรอต่อแถวเช็คอิน ลูกทัวร์คณะอื่นๆ ที่กลับมิวนิคพร้อมเราก็รุมสัมภาษณ์เหยื่อทริปอิสตันบูลอย่างเรากันใหญ่
“How was your trip?”
“We heard about your trip all the time from our tour guide” อ๋อ ไอ้ที่ไกด์เราคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา ที่แท้ก็รายงานสถานการณ์อันอาภัพของพวกเราให้ไอ้ไกด์หนุ่มบ้าฟังนั่นเอง มันน่านัก
เราต้องอธิบาย (แก้ตัว) ให้คนอื่นฟังว่าทริปเราถึงไม่ได้ไปอิสตันบูลก็จริง แต่พวกเราก็สนุกสนานเอ็นจอยเป็นอย่างยิ่ง แล้วทริปอื่นๆ เป็นยังไงบ้างล่ะ
“Our trip didn’t have snow but it’s so cold” ก็คนอื่นแยกย้ายไปตุรกีตอนกลางบ้าง ตอนใต้บ้าง เลยไม่เจอหิมะกัน แต่ช่วงเวลานี้ ที่ไหนก็หนาวทั้งนั้นแหละ ไปทะเลแต่ว่ายน้ำไม่ได้นี่ ก็เศร้าเหมือนกันนะ
“And our hotel was bad. We didn’t have sandy beach but only rock.” คุณป้าคนนึงบรรยายต่อ เศร้าของจริง เธอต้องเดินจากโรงแรมที่พักไปหาหาดทรายที่อยู่ไกลออกไปเป็นกิโล จนขาเจ็บไปหมด น่าสงสาร


…Adventure #20 – It’s him again, Mr. Playboy !!!
“Oh no…It’s him again” Carrie กรีดร้อง
เรามองตาม โอ้ โน่ คุณลุง Playboy นั่นเอง ไม่เอานะ ถ้าต้องนั่งกับลุงโรคจิตนี่ ข้าน้อยยอมตาย

เนื่องจากเครื่องบินออกตอน 11 โมงเราจึงต้องนั่งแหง่วรออยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง พอหาที่นั่งได้ก็เหลือบไปเห็นคุณลุงเสื้อส้มเป้แดงหมวกเชอร์ล็อกโฮล์มคนเดิมเดินมา Carrie รีบเอาของวางเกะกะกินที่ไปหมด คุณลุงเลยต้องเดินเลยไปนั่งที่อื่น แต่ก็ไม่วายเดินผ่านหน้าเราไปมา ไปซื้อเบียร์มั่ง ซื้อหนังสือมั่ง หลายรอบจัด จน Carrie แซว “ลุงโรคจิตต้องสนใจยูแน่ๆ เลย”

พูดไม่ทันขาดคำไอ้ลุงโรคจิตที่ว่าก็ชะแว็บมาหาเรา กูว่าแล้ว !

“นี่หนู หนูทำงานอยู่กับ Mr.XXX ที่มิวนิครึเปล่า” Mr. Playboy ถาม
ฮือ...ชาตินี้เราไปทำอะไรให้ใครมาเหรอเนี่ย ทำไมสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งกันด้วย เราส่ายหัวเป็นการใหญ่ ประมาณว่าชั้นไม่รู้เรื่อง ภาษาเยอรมันชั้นฟังไม่ออก
“ไม่ใช่ก็แล้วไป” ว่าแล้วคุณลุงก็เดินกลับไปนั่งที่

เพี่ยง...ขอให้คุณลุงนี่ไปนั่งไกลๆ เถอะ ถ้าต้องนั่งด้วยกันอีก 3 ชั่วโมงในเครื่อง ข้าน้อยยอมตายจริงๆ ด้วย


…Adventure #21 – ตดใครหว่า ??
สวรรค์ช่างเป็นใจ สงสัยเราจะไม่ได้ทำอะไรให้ใครร้ายแรง คุณลุงนั่นได้ที่นั่งอยู่แถวหลังเครื่องโน่น คราวนี้เราได้นั่งติดหน้าต่าง Carrie นั่งตรงกลาง ติดกับคุณลุงเยอรมันร่างใหญ่ ดูแล้วท่าจะอึดอัด เพราะสองคนเบียดกันใหญ่ แต่ด้วยความเป็นคนดีของเรา...ชั้นไม่สนโว้ย...ชั้นจะนั่งติดหน้าต่าง ใครจะทำไม

Carrie หันมาบ่นตลอดเวลา ว่าเธอนั่งใช้พลังจิตต่อสู้กับลุงด้านข้างตลอด เนื่องจากไหล่เบียดติดกัน มินำซ้ำต่างคนยังต่างแย่งที่เท้าแขนด้านข้างอีกตังหาก โชคยังดีที่คุณลุงไม่ได้อ่าน Playboy ! แต่แล้ว อยู่ๆ เราก็ได้กลิ่นอะไรแม่งๆ ไม่ทะแม่งธรรมดาซะแล้ว มันเหม็นโคตร เรากับ Carrie มองหน้ากัน ต่างคนต่างปฏิเสธพัลวัน ชั้นเปล่านะ แล้วมันตดใครละเนี่ย ??

สักพักหลังจากที่สองคนนั่งหดหัวลงในคอเสื้อ คุณลุงตัวอ้วนข้าง Carrie ก็ลุกไป คาดว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วกลิ่นก็หายไปพักนึง แต่หลังจากที่แอร์เอาอาหารมาเสิร์ฟ ให้อิ่มหนำพอประมาณได้ไม่นาน กลิ่นคุ้นๆ ก็โชยมา again…ใครตดวะ !! แล้วคุณลุงอ้วนที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก็ลุกไปอีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลย ไอ้ลุงนี่แหงๆ !

ก่อนจบขอเอาภาพหมู่เกาะกรีกที่บินผ่านมาให้ชมกันมั่ง เดี๋ยวจะเบื่อซะก่อนว่าตอนนี้ไม่มีรูปให้ดูเลย

Turkey1089_Plane_s
- งามมั้ยล่ะ -


Turkey1095_Plane_s
- น้ำใสมรกต -


Turkey1098_Plane_s
- เกาะติ๊ดเดียว อุตส่าห์มีภูเขาสูง -


Turkey1101_Plane_s
- อีกซักรูป -


Turkey1105_Plane_s
- สุดท้ายแล้ว -


DSCN0335_s
- จบซะแล้น...ขอบคุณที่ติดตามนะฮ้าาาาา...จาก Carrie, Dao and Kanna -


ปล. ติดตามดูรูปตุรกีแบบเต็มๆ ได้ที่ …www.fotki.com/dao18… นะคะ




 

Create Date : 17 มีนาคม 2549    
Last Update : 17 มีนาคม 2549 6:01:38 น.
Counter : 742 Pageviews.  

Adventurous West Turkey (& Istanbul?) ! (8)

อาทิตย์ที่ ยี่สิบเก้า มกราคม สองห้าสี่เก้า (ต่อ)

11 โมง ไม่ไกลและไม่นาน ลูกหมูก็ถูกส่งเข้าโรงเชือดอีก อย่างที่บอกไว้ตอนที่แล้ว ...In Selçuk you will find shopping opportunities, especially jewelry and leather goods, for excellent price-to-value ratios that Turkey is known for…!!!

…Adventure #17 – Shopping Opportunity (again?) at Jewelry Center
คราวนี้ โรงเชือดชื่อ Golden Ephesus เป็นศูนย์ Jewelry ขนาดย่อม พอไปถึงก็ได้รับการต้อนรับด้วยน้ำชากตามระเบียบ คราวนี้ Carrie ยอมรับน้ำชาโดยดีเพราะคราวที่แล้วที่ศูนย์พรม ก็มีน้ำชาเสิร์ฟแบบไม่ยักกะเสียตังค์ ไกด์ไม่ยักกะบอกเวลานัดหมายแฮะ กะปล่อยให้พวกเราช็อปกันตามสบาย แล้วเธอก็ไปนั่งกระดิกขารออยู่มุมห้อง ที่นี่แบ่งเป็น 5 ส่วนได้ มีแผนกเพชร ทอง ทองคำขาว เงิน และแผนกนาฬิกายี่ห้อต่างๆ ที่ประดับเพชรที่ผลิตที่นี่ ถ้าเราซื้อเครื่องประดับที่นี่ก็จะได้ส่วนลดแล้วแต่ชิ้นและแล้วแต่ดวง และจะได้ลดภาษีอีก แต่ถ้าซื้อนาฬิกาส่วนลดก็จะน้อยลงเพราะเป็นแค่สินค้าฝากขาย คงจะเดาได้ว่าเราจะไปแผนกอะไร...แน่น้อน...ก็เงินน่ะสิ เพราะถ้าอยู่แผนกเพชรหรือทอง มันจะแลดูไม่เข้ากับอายุ ย้ำอีกครั้งว่า ไม่ใช่ไม่มีเงิ๊น

Carrie ดันไปปิ๊งจี้เงินห้อยสร้อยข้อมือรูป evil eye “Nazar Bonjuk” เธอเดินวนไปวนมา ดูโน่นดูนี่ พนักงานขายเดินตามยิ้มแก้มปริ เชียร์โน่นเชียร์นี่พลางหยิบเข็มกลัด แหวนเหวิน สร้อยเงิน มาวางไว้ในถาดกำมะหยี่เต็มไปหมด บอกว่าเลือกไว้ก่อน ไม่ซื้อไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยคัดออก Carrie หันมาถามว่าเราไม่สนใจบ้างหรือ คือว่าเครื่องประดับไฮโซนี่ไม่ค่อยถนัดน่ะ แม้ว่าหน้าจะให้ใส่แล้วขึ้นก็เถอะ (เดี๋ยวใส่ไป colleague ที่ทำงานจะหมั่นไส้ซะเปล่าๆ) แต่ถ้าเป็นพวกเครื่องประดับหนังดูเซอร์ๆ น่ะช้อบชอบ แม้จะหน้าไม่ให้ก็ตาม

เดินกันจนเพลินลืมเวลา เราช่วยเพื่อนเลือก เดินวกไปวนมายี่สิบสามสิบรอบ ความรู้สึกเดิมก็บังเกิด แต่คราวนี้ไม่ใช่พรมสวย แต่เป็นจี้สวย มันเป็นจี้เงินเรียบๆ ประดับพลอยสีชมพูน่ารักสมวัย เลือกให้เพื่อนแล้วเพื่อนดันไม่สน เลยขัดใจ แหม ลองเองก็ได้ วันนั้นดันใส่เสื้อดำ พอลองแล้วเจ๋งเป้ง ไฮโซมากๆ ก็บอกแล้วว่าหน้าให้ จากนั้นเราก็เลยมีถาดกำมะหยี่เป็นของตัวเองมั่ง ไม่ควรเล้ย โดนปล่อยดูของอยู่นานๆ นี่ แหม..จะซื้อแต่จี้แล้วไม่ซื้อสร้อยก็กะไรอยู่ ก็เลยได้สร้อยเงินมาอีกเส้น แต่เพื่อนเรานี่สิ พอถึงตอนจะจ่ายเงิน ก็คัดโน่นคัดนี่ออกจนเหลือแค่จี้ลูกกะตา กับแหวนแค่ 2 ชิ้นเท่ากันเลย พนักงานกดเครื่องคิดเลขคิดราคา ลดโน่นลดนี่เบ็ดเสร็จ ของเราตกยี่สิบสามยูโร (จากประมาณสี่สิบได้) และด้วยสัญชาติญาณ ปากก็ต่อทันที “ยี่สิบได้มั้ย ?” พนักงานทำหน้างงไม่คิดว่าจะมีมนุษย์หน้าไหนกล้าต่อ แต่แล้วก็เออออ เอ้อ..อ้า..คือว่า..ก็ได้วะ พอถึงตา Carrie สนนราคาหลังลดแล้วตกอยู่ที่ 25 ยูโร ก็เลยจำใจควักเงินให้ราคาเต็ม เธอมาถามเราทีหลังแบบทึ่งๆ อึ้งๆ กึ่งสรรเสริญ ว่ากล้าต่อได้ไงอ่ะ เธอจะต่อมั่งก็ไม่กล้า ก็ราคาดันมาตกอยู่ที่เลขสวยพอดี๊พอดี จะต่อมั่งก็เกรงใจ

หลังจากปล่อยให้ลูกหมูเสียทรัพย์ตามสบายอยู่เป็นชั่วโมง ไกด์ก็เดินเช็คเรตติ้ง ดูบิลของคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย แหมคืนนี้ค่อยนอนหลับฝันดีหน่อย เนื่องจากลูกหมูได้เสียตังค์กันถ้วนหน้า

หลังทานอาหารเที่ยงเป็นที่เรียบร้อย รถบัสก็พาเราไปที่หมู่บ้านเล็กๆ บนเขาใกล้ๆ หมู่บ้านนี้ชื่อว่า Şirince (อ่านว่า She-Rin-Jay) มีประชากรประมาณ 600 ชีวิต บ้านส่วนใหญ่สร้างตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 ที่กรีกครอบครองแผ่นดินผืนนี้อยู่ และเนื่องจากที่นี่ตั้งอยู่ที่ระดับ 350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ดังนั้นอากาศจึงเย็นสบายแม้ในหน้าร้อน

Turkey1027_Sirince_sหมู่บ้านนี้น่ารักมากๆ มาตุรกีตั้งนาน ก็มีวันรองสุดท้ายนี่แหละที่ได้สัมผัสชีวิตชาวบ้านจริงๆ แม้จะเป็นหมู่บ้านที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาทักทายก็เถอะ ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่มีอาชีพทำไวน์ น้ำมันมะกอก หรือไม่ก็เก็บเครื่องเทศสมุนไพรขาย มีร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกสลับกับร้านขายไวน์ กับแผงสมุนไพรเป็นระยะๆ อากาศกำลังสบาย เดินแล้วก็แอบคิดถึงหมู่บ้านชาวเขาบ้านเรา ที่มีชาวเขาขายโสม หรือฟักแม้วกำละ ‘ยี่สิบะ’

คราวนี้ไกด์ปล่อยให้เราเดินเองอีกแล้ว ไม่ว่าเดินไปทางไหนก็จะมีคนเรียกให้ชิมไวน์ตลอด จนต้องปฏิเสธ เพราะถ้าขืนเดินขึ้นเขาไปชิมไวน์ไปเรื่อยๆ อาจจะเดินกลับลงมาที่รถไม่ไหว จุดมุ่งหมายของเราคือโบสถ์คาทอลิกเก่าแก่บนยอดเขา สัญลักษณ์ที่สำคัญของตุรกีอีกอย่างคงจะเป็นบ้านหลังคามุงกระเบื้องดินเผา ที่จะพังแหล่มิพังแหล่นี่แหละ

Turkey1022_Sirince_s


Turkey1011_Sirince_s


Turkey1000_Sirince_s
- ร้านขายไวน์ มีป้ายภาษาเกาหลีด้วยนะเนี่ย ขอบอก -


Turkey1008_Sirince_s
- คุณป้านั่งถักผ้า -


Turkey1051_Sirince_s
- คุณลุงนั่งทุบเปลือกลูกนัท -


Turkey0995_Sirince_s


Turkey0992_Sirince_s
- บรรยากาศร้านค้า -

เฮ้อ สบายใจ หลังจากขึ้นไปถึงโบสถ์ข้างบน ก็ลงมาข้างล่าง กะจะแวะมัสยิดซะหน่อย แต่ปรากฎว่าไม่ได้เข้าเพราะเกิดอาการเง็ง กว่าจะหาทางเข้าได้ก็เล่นเอางงไประดับนึงแล้ว พอถึงประตูเข้าก็ยิ่งงงหนักขึ้นไปอีก มัสยิดนี้มีประตูที่ปิดอยู่อยู่ 2 บาน แต่นอกจากจะมีป้ายให้ถอดรองเท้าไว้ด้านนอกซึ่งคนมีการศึกษาอย่างเราๆ พอจะเข้าใจแล้ว ยังมีป้ายภาษาแขกพร้อมคำแปลภาษาอังกฤษอยู่อีก 2 ป้ายแปะไว้หน้าประตู ป้ายนึงบอกว่า “Please use this door” แต่อีกป้ายซึ่งแปะไว้ที่ประตูบานเดียวกันนี่แหละกลับบอกว่า “Please use that door”

ขนาดเจ้าของภาษายังงงเลย ! Carrie หันมาบอกเราว่า กลับกันเถอะ

ได้เวลาอำลาหมู่บ้านน่ารักซะแล้ว จะไปไหนต่อไปคงพอจะเดาได้เพราะ shopping opportunities in Selçuk ยังไม่หมด ต่อไปคงเป็นเครื่องหนังล่ะสิ ของชอบเลยทีนี้ แต่...อะไรกันอีกล่ะเนี่ย !!


…to be continued…Turkey (9)…








 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 17 มีนาคม 2549 5:03:26 น.
Counter : 455 Pageviews.  

Adventurous West Turkey (& Istanbul?) ! (7)

อาทิตย์ที่ ยี่สิบเก้า มกราคม สองห้าสี่เก้า

เช้านี้แสนแจ่ม มองไปนอกระเบียง โอ้..ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส มองไม่เห็นเรือใบแล่นอยู่ในทะเล ฟ้าใสปิ๊ง แดดออก แต่แสนจะหลอกลวง ความจริงแล้วมันก็ยังหนาวโคตรโคตรค่ะอยู่นั่นแหละ (เติมค่ะซะ เดี๋ยวจะหาว่าพูดไม่เพราะ)

Turkey0869_Kusadasi_s
- ฟ้าใส -


Turkey0867_Kusadasi_s
- น้ำก็ใส -


ระหว่างทานบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าที่โรงแรม สายตา Carrie ก็ประสบพบรักกับบ๋อยหนุ่มที่โดนกล่าวหาว่าเป็นขโมยโดยไม่รู้ตัว (พาดพิงถึงตอนที่ 2 Adventure #7) แต่คราวนี้เธอปฏิญาณตนอย่างเด็ดเดี่ยวว่าเธอจะไม่ยอมใจอ่อนบอกนามให้แก่หนุ่มใดอีก

วันนี้เราออกเดินทางกัน แปดโมงสี่สิบห้า จุดมุ่งหมายคือ Artemis Temple และ St. John’s Basilica ที่ Selçuk ที่นี่ตามโปรแกรมเขียนว่า ...In Selçuk you will find shopping opportunities, especially jewelry and leather goods, for excellent price-to-value ratios that Turkey is known for… แต่ตอนนี้เราพอจะรู้ชะตาชีวิตตัวเองลางๆ แบบว่าน่าจะไปเป็นหมอดูได้ เดี๋ยวคอยดูว่าจะแม่นมั้ย

Turkey0879_Kusadasi_s
- วิวระหว่างทางที่ Kuşadası -


ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เราก็มาถึง Artemis Tapınagı ตามภาษาท้องถิ่น (ภาษาอังกฤษคือ Artemission Temple) ไอ้ตัวไอไม่มีจุดข้างบนเนี่ย สร้างความสับสนมาแล้วตอนที่ไปนั่งเล่นอินเตอร์เนตที่โรงแรม ภาษาตุรกีมีทั้งตัวไอแบบมีจุด (อ่านว่าอี) และแบบไม่มีจุด (ออกเสียงประมาณเออ) แล้วไอ้ตัวที่ไม่มีจุดนี่ก็ดันมาอยู่ตำแหน่งที่เป็นตัวไอธรรมดาในคีย์บอร์ดภาษาอังกฤษ ตอนแรกๆ ก็พิมพ์ด้วยความระมัดระวัง แต่พิมพ์ไปพิมพ์มาก็รำคาญเลยใช้ไอ้ตัวไอไม่มีจุดนี่แหละ เพื่อนก็ส่งอีเมลล์กลับมาว่าพิมพ์ภาษาบ้าอะไรมาน่ะ พอกลับมาอ่านอีเมลล์ตัวเองที่บ้านถึงรู้ว่าไอ้ตัวไอนั่นมันคือตัว ý หรืออะไรประมาณเนี้ย แล้วคิดดู อีเมลล์ทั้งหน้าจะมีไอ้ตัวนี้กี่ตัวกัน ก็เพิ่งสังเกตเหมือนกันนะว่าไอ้ตัวไอภาษาอังกฤษนี่ จริงๆ แล้วมันไม่ consistent ไม่เสมอต้นเสมอปลายแฮะ ตัวเล็กดันมีจุด แต่ตัวใหญ่ดันไม่มี

โอเค กลับมาเข้าเรื่องของเราต่อ Artemis Tapınagı นี่ไม่เห็นจะเป็นวัดตรงไหนเลย เหลือแต่ซากแล้วก็มีเสาโด่หลงเหลืออยู่ 1 ต้น มองไปด้านหลังไกลๆ โน่นเห็นมัสยิดกับป้อมอยู่บนเขาลิบๆ ไกด์เล่าประวัติเสร็จก็ให้เวลาเดินดูเองอีก 15 นาที ด้วยความฉลาดก็เลยถามเพื่อนร่วมทางว่า ให้เวลาแค่เนี่ย จะเดินถึงข้างบนโน้นได้ไง เพล้ง...หน้าแตก เค้าให้เดินไปถึงแค่เสาต้นนั้นแค่นั้นแหละ เค้าถึงสั่งให้ตั้งใจฟังไง ไม่ใช่มัวแต่ถ่ายรูป ดีนะที่ไม่สะเออะไปถามไกด์ จะได้หน้าหงายเลือดอาบกลับมา

Turkey0897_ArtemisTemple_s
- เห็นอย่างนี้ เสาใหญ่ไม่ใช่เล่นนะ คนตัวสูงแค่ฐานเสาเอง -


Turkey0896_sว่าจะเดินเพ่นพ่านเล่นซะหน่อย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเมื่อหันไปเห็นป้ายริมรั้ว ไม่ควร ไม่ควร บอกแล้วที่นี่เขตทหารเยอะ มีไอ้ป้ายแดงๆ นี่เต็มไปหมด ทำตัวเป็นเด็กดีกลับขึ้นรถดีกว่า แต่กว่าจะถึงรถก็ต้องฝ่าฟันกับพวกพ่อค้าแม่ค้าช่างตื้อทั้งหลาย แล้วเราก็มุ่งหน้าต่อไปยังมัสยิดที่เห็นนั่น พอไปถึงยังไม่ทันจะลง ก็มีคนเดินมาบอกไกด์ว่ายังไม่เปิด อะไรกันมัสยิดยังไม่เปิดมีด้วยเหรอ แล้วเราก็หันรถกลับอย่างงงๆ ไม่เป็นไรเราไป St. John’s Basilica บนเขาก่อนก็ได้








Turkey0949_ChurchofStJohn_sSt. John’s Basilica เป็นที่ที่ศพของ St. John ถูกฝังอยู่ เชื่อกันว่า St. John กับ The Virgin Mary (พระแม่มารี) เคยมาอยู่ที่ Ephesus ตั้งแต่ประมาณ 37-48 A.D. ก่อนที่ St. John จะถูกเนรเทศออกนอกเมืองไปอยู่ที่เกาะ Patmos เนื่องจากการสอนศาสนา St. John กลับมาที่ Ephesus อีกครั้งเมื่อ 97 A.D. และอาศัยอยู่ที่เขา Ayasuluk ในช่วงสุดท้ายของชีวิต โบสถ์ 6 โดมนี่ถูกสร้างขึ้นภายหลัง ปัจจุบันที่ St. John’s Basilica นี่และบริเวณเขา Ayasuluk ยังอยู่ในระหว่างการขุด และบูรณะซ่อมแซมอยู่


Turkey0919_ChurchofStJohn_s


Turkey0930_ChurchofStJohn_s
- มองเห็นมัสยิดเมื่อกี้อยู่ด้านล่าง เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวไป -


หนึ่งชั่วโมงผ่านไป พวกเราก็กลับลงมาที่มัสยิด Isa Bey Mosque (เพิ่งรู้ชื่อ) อีกครั้ง คราวนี้ถึงจะถึงบางอ้อ ไอ้ที่ยังไม่เปิดน่ะ มันร้านค้าหน้ามัสยิดต่างหาก ! เมื่อกี้มัสยิดยังเงียบเชียบอยู่เลย ตอนนี้มีไข่ไข้หวัดนกระบาดอยู่แถวนี้ซะแล้ว

Turkey0950 _s


ไกด์บอกให้เตรียมใจก่อนเข้ามัสยิดว่า อย่าไปคาดหวังอะไรมาก ข้างในมันไม่มีอะไรเท่าไหร่ เออ...มันก็ไม่มีอะไรจริงๆ นั่นแหละ นอกจากพรม !

Turkey0960_JohannesBasilica_s


พวกเราทนเห็นพรมอยู่ได้ไม่นาน ก็รู้สึกเวียนหัวคลื่นไส้ รีบขอตัวออกมาข้างนอก ไปที่อื่นกันต่อดีกว่า ไกด์ก็เหมือนจะเห็นใจ ไม่อยากเห็นพรมใช่มะ ไป..เดี๋ยวพาไปเห็นอย่างอื่น

อยากรู้มั้ยว่าไกด์นรกจะพาไปไหน ถ้าอยากรู้ก็ต้องรออ่านตอนต่อไป


…to be continued…Turkey (8)…








 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2549 16:58:12 น.
Counter : 451 Pageviews.  

Adventurous West Turkey (& Istanbul?) ! (6)

เสาร์ที่ ยี่สิบแปด มกราคม สองห้าสี่เก้า (ต่อ)

11 โมง รถบัสก็เลี้ยวขวับเข้า Carpet Center กลางหุบเขา ไกด์บรรยายด้วยความภาคภูมิใจในศิลปะการทำพรมด้วยความรักชาติอย่างยิ่ง ว่าการทำพรมของตุรกีนั้นขึ้นชื่อและสำคัญมั่ก มั่ก Turkey0760_Teppichzentrum_sganz ganz wichtig (อีกแล้ว..อะไรที่เธอพูดมาแล้วไม่สำคัญบ้างนี่) คณะเราได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าของศูนย์พรมซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวเปิดดำเนินการมาแล้วหลายชั่วอายุคน ที่นี่มี 3 ชั้นแบ่งเป็นหลายตึก ชั้นล่างเป็นการสาธิตการทอพรม สามารถถ่ายรูปได้ ชั้นบนเป็นที่แสดงพรมที่ทำเสร็จแล้ว และไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูป เนื่องจากหวงวิชา ที่ชั้นล่างเราได้รับการบรรยายถึงประวัติ กรรมวิธีการทำพรม รวมทั้งการย้อมสีไหม พรมนี่มีหลายประเภททั้งที่ทำจาก Wool และจากไหม

พรมแขวนประดับผนังผืนเล็กๆ ขนาดกว้างหนึ่งฟุต ยาวหนึ่งฟุตครึ่งผืนหนึ่งอาจใช้เวลาทอถึง 2 ปี แล้วลองคิดดูดิว่าพรมปูพื้นใหญ่ๆ ผืนหนึ่งจะใช้เวลาทอมากขนาดไหน การทำพรมต้องอาศัยความชำนาญอย่างยิ่ง อาชีพนื้ถือว่าได้รับการยกย่องเนื่องจากเป็นอาชีพอนุรักษ์ของประเทศ ผู้หญิงทอพรมได้รับอนุญาตให้ทำอาชีพนี้ได้มากสุดแค่ 7 ปี เพราะหากทำนานกว่านี้อาจทำให้ตาเหล่ได้ ดูแล้วก็ท่าจะทำให้ตาเหล่จริงๆ นั่นแหละ วันวันได้แต่ก้มหน้างุดงุด นั่งดูแบบแล้วทอพรมไม่เงยหน้าเงยตา

Turkey0740_Teppichzentrum_s


Turkey0763_Teppichzentrum_s


จบจากห้องแรก ก็ถูกต้อนไปห้องที่สอง ซึ่งเป็นการสาธิตการย้อมสีไหม พวกฝรั่งเห็นตัวไหม การทำด้ายไหม และการย้อมสีก็ตื่นเต้นกันใหญ่ มันก็เหมือนไหมบ้านเรานั่นแหละ เพียงแต่เค้ามีกรรมวิธีเลี้ยงไหมแบบพิเศษ ทำให้ไหมตัวใหญ่ให้ไหมเยอะเป็นพันๆ เมตร แทนที่จะเป็นดักแด้ตัวกระจิ๋วหริวอย่างบ้านเรา อันนี้ข้าน้อยขอคารวะ แต่อย่างอื่นนี่คนบรรยายท่าจะโม้ เช่นเค้าว่าไหมของเค้าคุณภาพดีที่สุดในโลก เนื่องจากมีใบหม่อนให้ตัวไหมกินถึง 8 เดือนต่อปี ที่อื่นมีใบไม้เขียวได้แค่ไม่กี่เดือน แต่บ้านเราใบไม้มันก็เขียวตลอดนิ

จบจากห้องย้อมสีไหม ลูกหมูก็ถูกต้อนเข้าคอกชั้นบน...


…Adventure #16 – Trapped in Carpet Center Labyrinth
พอทุกคนเข้ามาถึงห้องแสดงพรมชั้นบน เจ้าของศูนย์ก็ถามว่าใครต้องการดื่มอะไร ส่วนใหญ่ขอน้ำชา เราก็เลยเอามั่ง แต่ Carrie กลับส่ายหัวกลัวเสียตังค์ หลังจากน้ำชามาเสิร์ฟ ประตูก็ถูกล็อคต่อไปนี้อีกกว่าชั่วโมง พวกเราจะถูกขังอยู่กับเจ้าของศูนย์ กับหนุ่มตุรกีวัยฉกรรจ์อีกสามคน มองไปรอบๆ ห้องก็เห็นม้วนพรมวางพิงอยู่เต็มไปหมด ท่าจะเป็นชั่วโมงจริงๆ

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ...พรมสามผืนแรก ถูกสะบัดลงกับพื้น เจ้าของศูนย์บรรยายด้วยความภาคภูมิใจว่า พรมที่นี่ทุกผืนทอด้วยมือ สืบทอดอยู่รอดปลอดภัยมาได้หลาย generation พวกลูกหมูก็เออ ออเอาใจ หู...ก็สวยนะ...ใช้เวลานานมั้ยเนี่ย กว่าจะทอเสร็จ

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ...พรมสามผืนต่อไป ถูกปูลงกับพื้น นี่คือความภูมิใจอย่างยิ่งของตระกูลเรา พรมลายนี้ ได้ถูกแสดงอยู่ที่ Aya Sofya มัสยิดเลื่องชื่อใน Istanbul ทุกคนคงเห็นมาแล้วใช่มั้ย …ดิ๊ก ดิ๊ก ดิ๊ก...ลูกหมูส่ายหัว เอ่อ...คือว่าพวกเราไปไม่ถึง Istanbul น่ะ

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ...พรมอีกสามผืน ถูกสะบัดฝุ่นกระจายลงกับพื้น ผืนนี้ย้อมด้วยสีธรรมชาติมีอายุกว่า 50 ปีแล้ว ดูสิ สียังเหมือนเดิมไม่มีผิด ไหมเรามีคุณภาพ สีย้อมของเราก็คุณภาพไม่แพ้กัน ทุกคนคงเห็นอุตสาหกรรมไหมที่ Bursa มาแล้วใช่มั้ยล่ะ เส้นทางสายไหมจากจีนทอดยาวผ่านมาถึงที่นั่นแหละ …ลูกหมูส่ายหัวดิ๊ก ดิ๊กอีกนั่นแหละ เอ่อ...พวกเราก็ไปไม่ถึง bursa อีกนั่นแหละ

“วะ...พวกยูนี่ช่างซวย เอ้ย! โชคร้ายจริงๆ อดเห็นความภาคภูมิใจของชาวตุรกีอย่างเราตั้งหลายอย่าง”
“เออ...ไม่ต้องย้ำ พวกไอก็เสียดายเหมือนกันแหละ”
(แต่ก็คงจะถือว่าโชคดีไป ถ้าเราได้ไป Silk Bazaar ที่ Bursa เราก็คงไม่พ้นจากการถูกขังให้เชือดอย่างนี้)

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ...พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ...พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ...พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ...พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ...พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ... พรมเล็กใหญ่อีกหลายร้อยผืนก็ถูกปูทับถมกันลงบนพื้น ทำให้พื้นห้องสูงขึ้นอีกหลายนิ้ว ฝุ่นตลบอบอวลคลุ้งห้อง หลังจากที่ทุกคนเห็นว่าพรมแขกแสนจะธรรมดา ก็เริ่มจะรู้สึกว่า เออ...พรมนี่มันก็สวยดีเนอะ...ความรู้สึกว่าพรมสวยขึ้นนี้เพิ่มทวีคูณขึ้นทุกสิบนาที

เอ๊...ไอ้พรมผืนเล็กๆ เนื้อนุ่มทอละเอียดสำหรับแขวนผนังนี้มันราคาเท่าไหร่กันนะ ลูกหมูเริ่มถาม คนเชือดหมูก็ตอบอย่างดีใจ ฮ่า ฮ่า..เสร็จตูแล้วทีนี้ พรมนี้ราคาแค่เบาะๆ 15,000 ยูโร (ประมาณ 750,000 บาท) เท่านั้นล่ะยู โอ้พระเจ้าจอร์จ...ทำไมมันแพงอย่างนั้นเล่า !! ความรู้สึกว่าพรมสวยหดลงครึ่งนึงทันใด

นี่ยังน้อยนะ ยิ่งดูพรมยิ่งแพง บางชิ้นสนนราคาสูงถึง 26,500 ยูโร โอ้...ล้านสามแสนกว่าบาท แทนที่จะเอาไปซื้อพรมไว้เหยียบเล่น ตูเอาไปเที่ยวรอบโลกไม่ดีกว่าเรอะ ?!?!

ยั๊งงงง...ยังไม่หมด หลังจากถูกขังอยู่ในห้องเป็นชั่วโมง ลูกหมูก็ถูกปล่อย (แต่ไม่ได้เป็นอิสระ) ไกด์แจ้งว่า จากนี้จะปล่อยให้เราเดินชมสถานที่ได้ตามสบาย อาหารเที่ยงจะพร้อมเวลาบ่ายโมงครึ่ง (อีกตั้งชั่วโมงกว่าแน่ะ) ที่บอกว่าไม่เป็นอิสระเพราะทุกคนล้วนถูกประกบด้วยพนักงานพรมทั้งสิ้น

“เป็นไงมั่ง ถูกใจผืนไหนเป็นพิเศษบ้างมั้ย” ซวยแล้วมั้ยล่ะตู
“เอ่อ..มันก็สวยดีนะ แต่ไอไม่รู้ว่าจะซื้อไปทำไมน่ะ แต่ไม่ใช่ไม่มีตังค์นะ” ต้องย้ำไว้ก่อน เดี๋ยวจะเข้าใจกันผิด
“ไม่ซื้อไม่เป็นไร ค่อยๆ ดูกันไปก่อนก็ได้ ที่นี่มีอีกหลายสิบห้อง เดี๋ยวไอจะนำยูไปเอง จะได้ไม่หลง” ซวยของจริงทีนี้ Carrie มาเดินด้วยกันซะดีๆ

ฝาผนังสองข้างทางต่างประดับประดาไปด้วยพรมหลากหลายชนิด ไม่เป็นพรมหนาๆ ทำจากไหมพรม wool สำหรับปูพื้นที่เราเห็นอยู่ปกติทั่วไป ก็เป็นพรมทอจากไหมลื่นๆ ละเอียดๆ ซึ่งส่วนใหญ่ไว้แขวนผนัง แต่มีพรมอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ค่อยเห็น เป็นพรมถักบางๆ หลายสี (สีเขียว แดง เหลือง น้ำเงินสดใสทุกสีอยู่ในผืนเดียวกัน) ที่มาต่อกันเป็นผืนใหญ่ มีรูแหวกๆ ระหว่างสี (ใครเคยดูหนังหรือสารคดีเกี่ยวกับตะวันออกกลางคงพอจะนึกภาพออก) พรมชนิดนี้เรียกว่า Kilim พอดีมันแขวนเป็นม่านกั้นระหว่างห้องอยู่ เราเห็นแปลกดี เลยจับดู เท่านั้นแหละ...Shit happens เหมือนเราทำความผิดร้ายแรง ที่สวรรค์ต้องลงโทษ

“นั่นแน่...ชอบ Kilim ล่ะสิ มาเลย เดี๋ยวจะพาไปดู Kilim นี่ไม่แพงด้วยนะ” นั่น...อย่างนี้เรียกว่าหยาม บอกแล้วว่าไม่ได้ไม่มีตังค์ แค่ไม่รู้จะซื้อไปทำไมเท่านั้นเอง พูดงี้ก็เสียลูกค้าดิ เดี๋ยวก็ไม่ซื้อซะนี่ (พูดไปงั้นแหละ ยังไงก็ไม่ซื้ออยู่ดี)
“แต่ก่อนอื่น แวะห้องนี้ก่อนละกัน ที่นี่เรามีช่างฝืมือผู้เชี่ยวชาญในการซ่อมพรม ขาดโบ๋ตรงไหนส่งมา รับรองเหมือนใหม่เดี๊ยะ” ว่าแล้วประตูห้องก็ถูกปิด เรากับ Carrie ถูกขังอยู่กับชายฉกรรจ์หน้าเหี้ยมเจ็ดคน โอ้ย..ไม่ดีมั้งพี่ เจ็ดต่อสอง เดี๋ยวแบ่งกันไม่ลงตัว เพื่อนจะผิดใจกันซะเปล่าๆ
“ฮื่อ เชื่อแล้วจ้า พาไปดู Kilim เถอะ“

และแล้วตัวประกันก็ถูกปล่อย พอออกมานอกห้องได้ เหลือบเห็นคณะลูกหมูสองแม่ลูก เลยรีบชวนมาเผชิญชะตากรรมร่วมกัน จาก 2 เลยกลายเป็น 4 ชีวิต kilim9 ระหว่างทางไปห้องโน้นห้องนี้มีพนักงานแบกพรมวิ่งไปวิ่งมาแทบจะชนกันเต็มไปหมด เพราะเวลาคนเชือดหมูเริ่มจับสัญญาณความชอบของหมูได้ ก็จะส่งสัญญาณให้พนักงานไปเอาพรมแบบนั้นๆ มาให้ดูเป็นปึก

Kilim ราคาไม่แพงจริงๆ แค่หลักพันยูโร !! ไม่แพงกว่าไอ้ผืนเล็กๆ ที่เป็นล้านบาทนั่น (แต่ก็แพงนั่นแหละ) แต่ย้ำอีกครั้งว่าไม่ใช่ไม่มีตังค์ แค่เกรงว่ามันจะผิดคอนเซปต์กับบ้านหรูๆ ขาวๆ minimalism ของเรา

หลังจากเดินวนไปวนมาอยู่ในเขาวงกตนี่อยู่นานพอสมควร ก็ใช้ความสามารถพิเศษที่เพิ่งจะเห็นผลปลีกตัวหลบมาจากโรงเชือดลงมาข้างล่างได้เป็นผลสำเร็จ ไอ้คนเชือดหมูก็สารภาพออกมาว่าขนาดตัวเองยังไม่มีพรมเป็นของตัวเองซักผืน แต่กำลังเก็บเงินซื้ออยู่ อีกสิบห้าปีคงได้เป็นเจ้าของพรมที่นี่ได้สำเร็จ

พอลงมาข้างล่างก็เจอลูกหมูตัวอื่นๆ ที่รอดชีวิตจากการถูกเชือด ทุกคนต่างบ่นอุบ บ่นไปบ่นมาท้องก็ร้อง ตอนนี้ก็บ่ายโมงกว่าเข้าไปแล้ว ไปทานข้าวได้รึยังนี่ แล้วไอ้ไกด์มันหายหัวไปไหนล่ะ หลังจากหามาหลายห้องก็เจอไกด์นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในออฟฟิศ เธอมองมาแล้วส่ายหัว เคาะนาฬิกาว่ายังไม่ถึงเวลา หิวแล้วนะโว้ย

บ่ายโมงครึ่งเวลานัดหมาย ไกด์ก็เดินหน้ายักษ์มาหา บอกว่าห้องอาหารอยู่ข้างนอกหน้าประตูนี่เอง ให้ไปทานได้ เวร..แล้วไม่บอกตั้งแต่แรกว่ามันอยู่แค่นี้เอง พอเข้าไปถึงก็พบว่าเป็นบุฟเฟต์ที่อาหารเหลืออยู่ร่อยหรอ ทุกคนต่างโมโห อาหารมันเสร็จตั้งนานแล้วนี่ ให้แบกท้องรออยู่ได้ตั้งชาติกว่า (คนรอคอยย่อมรู้สึกว่านานมากเป็นธรรมดา)

บ่ายสองสิบห้า ออกมาจากโรงฆ่าสัตว์ได้ซะที เหนื่อยแทบแย่ จุดหมายต่อไปคือเมืองโบราณ Aphrodisias ซึ่งจริงๆ อยู่ห่างจาก Pamukkale แค่ชั่วโมงครึ่ง แต่เราดันไปหลงทางในหุบเขานรกอยู่ตั้งสามชั่วโมงกว่า

Aphrodisias เป็นเมืองเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งที่เชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ห้าก่อนคริสต์ศักราช เคยรุ่งเรืองอยู่สมัยโรมัน (ตั้งแต่หนึ่งศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช จนถึงศตวรรษที่ 4 หลังคริสต์ศักราช ) และไบเซนไทน์ ก่อนจะถูกทิ้งให้รกร้างในสมัยศตวรรษที่ 13 หลังคริสต์ศักราช และถูกฝังลงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวหลายครั้งหลายครา ดูๆ ไปแล้วที่นี่มันก็คล้ายๆ กับซากเมืองเก่าทุกที่ผ่านมานั่นแหละ ล้อมรอบด้วยกำแพงเมือง มีวัดซึ่งท้ายสุดถูกเปลี่ยนเป็นโบสถ์ศาสนาคริสต์ มีโรงอาบน้ำ มีโรงละคร แต่ที่นี่มีสนามกีฬาด้วยนะ

ไกด์ของเราท่าจะอารมณ์เสียจากการที่ขาดรายได้ค่านายหน้าขายพรม พอมาถึงที่เธอก็พาพวกเราโกยอ้าวจากรถไปหน้าประตูทางเข้า เดินฉับๆ ไปที่โรงละคร แล้วอธิบายๆๆๆๆๆ เธอบอกว่าให้พวกเราตั้งใจฟังดีๆ เพราะ...พอ..พอเลย..ไม่ต้องอ้าปากทุกคนรู้ดีว่าเธอจะพูดว่า มันสำคัญมาก ganz ganz wichtig! เธอพูดเป็นไฟรวดเดียวจบ ชี้ว่าไอ้นี่อยู่ตรงนี้ ไอ้โน่นอยู่ตรงโน้น แล้วก็บอกให้เราไปเดินดูเอาเอง (เพราะกูไม่มีอารมณ์) ให้เวลา 40 นาที ส่วนเธอเองจะไปรอในรถอุ่นๆ

Turkey0801_Aphrodisias_s
- เริ่มเห็นว่าทุกที่ที่ไปมาเหมือนกันหมด -


Turkey0811_Aphrodisias_s
- Theater ที่ขาดไม่ได้ ต้องมีทุกที่ -


Turkey0822_Aphrodisias_s


Turkey0843_Aphrodisias_s
- สนามกีฬาขนาดยักษ์ ด้านหลังคงเป็นสกอร์บอร์ดดิจิตอล -


สี่โมงครึ่งก็อำลา Aphrodisias มุ่งหน้าสู่ Kuşadasi เพื่อไปพักที่โรงแรมเดิมที่เคยพักคืนแรก ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งวัน พรุ่งนี้จะเจออะไรอีกน้อ....


…to be continued…Turkey (7)…









 

Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2549 22:59:35 น.
Counter : 505 Pageviews.  

Adventurous West Turkey (& Istanbul?) ! (5)

ศุกร์ที่ ยี่สิบเจ็ด มกราคม สองห้าสี่เก้า

เช้านี้แดดออก อากาศสดใส หิมะหยุดตก…9 โมง 10 นาที ฤกษ์งามยามดี (ไม่เปียก) ได้ออกจากโรงแรมซะที แต่ไม่เอาแล้วขึ้นเหนือกับไปทางตะวันออกเนี่ย วันนี้เราจะลงใต้ไปหาความอบอุ่น (2 องศานี่อุ่นมั้ยเนี่ย) เราใช้เส้นทางเดิม มุ่งสู่ Izmir
Turkey0414_OliveOilMuseum_s
วันนี้เห็นคนเริ่มมาขุดหารถกัน มีไม้ยาวๆ มาแยงๆ หิมะ เอ..รถตูอยู่ไหนหว่า ว่าจะแวะเมืองทรอยซะหน่อย..ไกด์รีบบอก โน โน โน่...แคนน็อท ตอนนี้ทรอยจมอยู่ใต้หิมะหมดแล้ว คงต้องใช้เวลาขุดอีกเจ็ดชั่วโคตร กว่าจะเจอเมืองอีกที

ดังนั้นระหว่างทางไกด์จึงเพิ่มโปรแกรมให้พวกเราไปชมพิพิธภัณฑ์น้ำมันมะกอกที่ Küçükkuyu (เมืองอะไรไม่รู้ชื่อขยุกขยุย) แถมให้ ต่างคนต่างได้ของติดไม้ติดมือมาเป็นแถว ไม่น้ำมันมะกอก ก็สบู่น้ำมันมะกอก


Turkey0407_OliveOilMuseum_s

- ผลิตภัณฑ์มะกอก -


วันนี้วิวสองข้างทางเปลี่ยนไป ไม่ขาวโพลนอีกต่อไป เริ่มเห็นต้นมะกอกในสภาพปกติ ทุ่งหญ้าเขียวขจี มีแกะบ้าง วัวบ้าง คุณไกด์มหาโหดของเราเล่าให้ฟัง (บังคับให้ฟังเธอพูด) ว่าเศรษฐกิจของตุรกีที่สำคัญนอกจากการค้า สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์น้ำมันมะกอกแล้วเนี่ย ผลิตภัณฑ์จากแกะเนี่ย ก็สำคัญมากมาก Ganz ganz wichtig! (ไกด์พูดคำนี้อยู่ประมาณสามพันเก้าร้อยสิบหกครั้งในเจ็ดวัน) รู้มั้ย ว่าตุรกีเลี้ยงแกะเป็นอันดับสามของโลก รองจากนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย...ไอ้เด็กช่างขัดอย่างเราก็ ฮ้า..จริงเหรอ เมื่อสองเดือนก่อนไปไอร์แลนด์มา เห็นแกะมากกว่าคนอีก ที่นี่เห็นอยู่ไม่ถึงสามสิบหกตัวเลย เยอะแล้วเหรอ? แต่จะเถียงก็กลัวถูกไกด์บ้าพลังปลิดชีพก่อนจบโปรแกรม จึงได้แต่เงียบๆ ไว้ แอบกลับไปถามเพื่อนเอาก็ได้ แต่ก็อาจจะจริง เราอยู่แค่ฝั่งตะวันตก ถ้าไปถึงตุรกีตอนในไปจนถึงตะวันออกอาจจะเห็นแกะมากกว่าต้นโอลีฟก็เป็นได้ (แต่หลังจากมาค้นข้อมูลในอินเตอร์เนตแล้ว ก็ยังไม่เห็นจะมีตุรกีอยู่ในลิสต์เลย ไม่ว่าจะเสิร์ชแกะและตุรกี ตุรกีและแกะ และแกะตุรกี ก็ไม่เห็นมีข้อมูลว่าตุรกีเป็นอันดับสามของโลกเลย มั่วแล้ว ไอ้ไกด์บ้า)


Turkey0423_s


Turkey0426_s


แต่นอกจากพิพิธภัณฑ์น้ำมันมะกอกนั่นแล้ว วันนี้เราก็ไม่ได้แวะที่ไหนเป็นพิเศษอีก นอกจากปั๊มน้ำมัน (อีกแล้ว) รู้สึกเหมือนมากับรถทัวร์ บขส. ยังไงยังงั้น ไกด์ประกาศกร้าวว่าเดี๋ยวเราจะแวะล้างรถก่อน ก็ดีเหมือนกันรถจะได้สะอาดๆ หน่อย ถ่ายรูปดูวิวจะได้ไม่ขัดหูขัดตา แล้วจะได้แวะดูของในร้าน เผื่อมีอะไรเด็ด แต่พอเข้าไปในร้านปุ๊บ ก็รู้สึกคุ้นตา เอ..ร้านนี้เราเคยฝันเห็นตอนไหนหว่า ไม่ใช่สิ เราเคยแวะที่นี่ตอนขามาแล้วนี่ เรายังซื้อที่ติดตู้เย็นรูปม้าไม้เมืองทรอยไปฝากพี่ๆ เลย (ไอ้ม้าเมืองทรอยที่ไปไม่ถึงน่ะ) อย่างนี้มันยิ่งเหมือน บขส. เข้าไปใหญ่ ไอ้รถทัวร์นี่มันชอบแวะร้านเดิม ที่คงเป็นสปอนเซอร์มีส่วนได้ส่วนเสียกันซะจริง

Turkey0424_s
นอกจากแม่เหล็กติดตู้เย็น โปสการ์ด หนังสือประวัติเมือง และชาแอ๊ปเปิ้ลที่ถามเพื่อนตุรกีแล้วไม่มีใครบอกว่าเคยดื่มซักกะคน (มีไว้หลอกขายนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่) ที่นี่ยังมีตากันภัยขายด้วย Nazar Bonjuk เป็นเครื่องรางปัดเป่าสายตาอำมหิต ความประสงค์ร้าย และคำสาปแช่งต่างๆ บางบ้านมีตาสีน้ำเงินนี้ติดไว้เหนือประตูบ้านด้วย ขนาดกระดาษทิชชู่ที่ขายในปั๊มยังมีลายตากันภัยอยู่ด้วยเลย Carrie ซื้อพวงแขวนรูปดาวที่มีรูปตานี้กลับบ้าน กะว่าจะไปแขวนประดับต้นคริสต์มาสปลายปี (คู่กับพวงกุญแจ devil ตัวดำเขาแดงที่เราซื้อมาฝากจากเมืองไทย เข้ากั๊น เข้ากัน) ไว้ขอยืมแขวนกันพลังอำมหิตจากไกด์โหดของเราหน่อยนะ

Turkey0425_s


Turkey0447_Flamingos_s
ประมาณเที่ยงๆ ก็มาถึงเมือง Ayvalik ที่เราจำได้ว่าไอ้แถวๆ นี้แหละ ที่มีนกฟลามิงโก้ยืนเอาหัวจุ่มน้ำอยู่ สองสาวเริ่มเตรียมอาวุธมาถือไว้ สอดส่องหาศัตรู ในที่สุดก็จับภาพฟลามิงโก้เบลอๆ ได้มารูปนึง (ตั้งรูปนึงแน่ะ) อุตส่าห์มีตัวนึงเอาหัวโผล่ออกมาให้เห็นว่าชั้นเป็นฟลามิงโก้นะ ยืนขาเดียวก็ได้นะจะบอกให้

ประมาณบ่ายสามโมง ก็มาถึงเมือง Izmir (เป็นรอบที่ 3) เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ มีประชากร 3.3ล้านคน เยอะเป็นอันดับ 3 ของตุรกี รองจาก Istanbul (10 ล้าน) และ Ankara (4 ล้าน) (ไปไม่ถึงทั้งคู่นั่นแหละ)

Izmir เป็นเมืองท่าที่สำคัญมาก (ganz ganz wichtig!) มีทั้งสนามบิน และท่าเรือพาณิชย์ เห็นบ้านที่ปลูกเรียงกันถี่ยิบบนภูเขาก็ไม่สงสัยเลยที่เวลาแผ่นดินไหวที คนมันถึงตายกันเป็นพันๆ บ้านคงล้มระเนระนาดเป็นโดมิโน เวลาเมาก็คงกลับบ้านไม่ถูกเพราะบ้านมันหน้าตาเหมือนกันหมด บ้านที่สร้างไม่เสร็จก็มีเยอะมาก ไปที่ไหนๆ ก็มีแต่บ้านที่สร้างไม่เสร็จ คนที่นี่เค้าค่อยๆ สร้าง แบบว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่าถ้าฝากเงินในแบงค์แล้วจะถอนได้รึเปล่าก็ไม่รู้ สู้เอามาสร้างบ้านดีกว่า มีเงินก็สร้างบ้านไปเรื่อยๆ สร้างแบบเสร็จก็อยู่ ไม่เสร็จก็อยู่

Turkey0499_Izmir_s


Turkey0492_Izmir_s


Turkey0472_Izmir_s
เราเริ่มเห็นชีวิตคนท้องถิ่นจริงๆ มากขึ้น ข้างทางเริ่มมีภาพชีวิตที่ไม่ใช่พวกพ่อค้าแม่ค้าที่แห่เข้ามาขายโปสการ์ด หรือของที่ระลึกตอนเราลงจากรถทัวร์ เริ่มเห็นรถเก๋งเก่าๆ (ที่ไม่ได้ติดหิมะอยู่) รถซาเล้ง วัว ม้า ลา ล่อ (ไม่ได้โม้!) มัสยิด ร้านค้า ร้านเฟอร์นิเจอร์ ร้านขายหินอ่อน ไอ้ร้านเฟอร์นิเจอร์นี่มันเยอะจริงๆ ไม่รู้ว่าไอ้บ้านๆ นึงนี่มันมีโซฟาซักกี่ตัวกัน ก็เพิ่งรู้เหมือนกันนะว่าตุรกีน่ะไฮโซกว่าบ้านเราอีก ขนาดป้ายรถเมล์ยังมีโซฟามาตั้งเป็นที่นั่งผู้โดยสารเลย

Turkey0454_s
อีกอย่างที่น่าสนใจ บ้านที่นี่แต่ละบ้านมีโซล่าเซลล์ไว้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อยู่เกือบทุกหลังคา (แม้แต่บ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ)

Turkey0470_Izmir_sสถานที่ราชการทหารก็เยอะ อย่างภาพนี้ ถ่ายไปเสียวไปกลัวพ่อหนุ่มจะหันกระบอกปืนมายิง รถดันมาติดไฟแดงอยู่หน้าประตูพอดี



พ้นเมืองได้ไม่นานก็เป็นภูเขาสูงตระหง่านบนยอดมีหิมะปกคลุม ที่นี่ภูมิศาสตร์สุดยอดจริงๆ ทะเลกับภูเขาอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม ใครอยากไปเล่นน้ำทะเลตอนเช้า แล้วไปปีนเขาเล่นตอนบ่ายก็สามารถทำได้ วิวสวยจนเคลิ้ม ในที่สุดพวกเราก็มาถึงโรงแรมที่พักในเมือง Denizli

วันนี้ผู้ดีไฮโซอย่างเรารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เนื่องจากวันนี้โรงแรมมีดาวไม่ถึงห้าดวง (นอนหรูจนชิน) ห้องน้ำก็ดูโลว์ผิดหูผิดตา ผ้าห่มก็เป็นผ้าหนาๆ ขนๆ มีผ้าขาวรองเท่านั้น ยี้...รับไม่ด้ายยยย อาหารบุฟเฟ่ต์ก็ไม่อลังการงานสร้างเลย แต่ที่พิเศษหน่อยก็ที่ระหว่างอาหารเย็น มีระบำแขกให้ดู เพิ่มรสชาติอาหารชืดๆ เพลงตุรกีก็ช่างไพเราะจนบาดแก้วหู หวี่..วี้ อี่..อี๊ (เสียงปี่โหยหวน) ฟังนานๆ คงประสาทกิน สะโพกสาวตุรกีนักแดนซ์ก็สะบัดแทบจะหลุดกระเด็นเข้าลูกกะตา แล้วถ้าสามหนุ่มแดนซ์เซอร์จะหล่อกว่านี้หน่อยซักสิบเท่า โชว์คืนนี้คงจะน่าดูกว่านี้เยอะ พอโชว์จบ นักแสดงก็ออกล่าหาเหยื่อตามระเบียบ ต่างก็มาถ่ายรูปกับแขกเพื่อหาทิป แต่ไฮโซใจทะเลอย่างเรารู้แกวซะก่อน เลยรีบสะกิดกันกลับห้องไปนอนเตียงแข็งๆ มีรึจะยอมเสียตังค์ให้หนุ่มไม่หล่อ!

Turkey0453_Izmir_s
ก่อนนอนก็คุยกับ Aylin แอบถามเรื่องแกะ Aylin ก็ส่วยหัว (เห็นได้ไงน่ะ) ไอไม่รู้ อ้าว ไม่รู้เหรอ งั้นเราถามเรื่องมัสยิดก็ได้ ทำไมเอ่ย บางทีมัสยิดมีเสาหอคอยข้างหน้าสองเสา บางที่มีเสาเดียว เคยเห็นเหมือนกันที่ไม่มีเสาเลย (สงสัยจะยังสร้างไม่เสร็จ) แต่แล้วคำตอบจากปาก Aylin ก็เหมือนเดิมคือ ‘กูไม่รู้’ วะ..ถามอะไรก็ไม่รู้ สงสัยที่ไอ้ไกด์ นาย Zusatzpaket จากตอนที่หนึ่งพูดมันจะจริง “เพื่อนยูจะอยู่ที่ไหน เกิดที่ไหน ก็ได้ เค้าไม่มีทางรู้จัก Istanbul หรอก” เออ..มันก็มีเหตุผล ไม่งั้นโลกนี้จะมีอาชีพไกด์ไว้ทำลิงอะไร

จะว่าไป เราก็รู้จักบ้านเราไม่ดีไปกว่าที่เพื่อนเรารู้จักบ้านเค้าหรอก รำคาญเหมือนกันที่ฝรั่งชอบถามอะไรจุกจิกไร้สาระ อย่าง...แม่น้ำเจ้าพระยายาวกี่กิโล ทำไมคลองแสนแสบน้ำเน่า ทำไมหมาข้างถนนเยอะจัง แล้วทำไมหมาไม่มีการศึกษา (หมาเยอรมันพูดรู้เรื่องทุกตัวเลย) ใครมันจะไปตอบได้วะ คนมันยังไม่มีการศึกษาเลย นับประสาอะไรกับหมา

เนื่องจากเราเหนื่อยอ่อนจากการที่หาความรู้อะไรจากเพื่อนไม่ได้ เราจึงต้องจำใจนอนหลับไปบนเตียงโลโซของเรานั่นเอง



เสาร์ที่ ยี่สิบแปด มกราคม สองห้าสี่เก้า

เสาร์ซะแล้ว มะรืนนี้ก็ต้องกลับแล้วดิ วันนี้โปรแกรมทัวร์เราเริ่มกลับเป็นปกติ หลังจากหายต๋อมไปตะลุยไซบีเรียมาสองวัน วันนี้เราจะไป Pamukkale ซึ่งเป็นที่ราบสูงปกคลุมไปด้วยแคลเซียมสีขาวและน้ำแร่ จากนั้นก็จะแวะศูนย์พรม แต่ไกด์จะเพิ่มโปรแกรมไป Aphrodisias ซากเมืองเก่าอีกแห่งนึงชดใช้ความผิดที่แถมโปรแกรมไซบีเรียโดยไม่ได้นัดหมาย

บิดขี้เกียจ มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นอากาศสดใสก็ใจชื้น แต่ไอ้สีขาวๆ บนเขาไกลลิบๆ นั่นมันอะไรน่ะ ไม่น่าจะเป็นหิมะนะ เพราะเขาที่เลยไปหน่อยไม่เห็นจะขาวเลย ใช่แล้ว! มันต้องเป็น Pamukkale แน่ๆ เลย

หลังอาหารเช้าที่ไม่มีระบำแขกให้ดู เราก็ขึ้นรถทัวร์มุ่งหน้าสู่ไอ้เขาขาวๆ นั่น มันคือ Pamukkale จริงๆ ด้วย 8 โมงครึ่งเราก็ขึ้นไปถึงยอดเขา
Turkey0589_Hierapolis_s
ก่อนจะถึง Pamukkale เราถึง Hierapolis ก่อน ก่อนจะเจออย่างอื่น เราก็เจอสุสานฝังศพต้อนรับคณะทัวร์กันก่อนเลย สุสานขนาด 1200 เตียงอยู่กระจัดกระจายสองข้างถนน ยาวถึง 2 กิโลเมตร มีทั้งแบบเตียงคู่เตียงเดี่ยว แบบโลงสี่เหลี่ยมธรรมดา หรือใครล่ำซำหน่อยก็จะเลือกที่นอนเป็นรูปบ้านมีหลังคา หรือคอนโดก็แล้วแต่กำลังทรัพย์ จากนั้นถึงจะเป็นโรงอาบน้ำที่ภายหลังถูกดัดแปลงเป็น Basilica และกลายเป็นโบสถ์ในที่สุด (เป็นไปได้ไงเนี่ย ฟังแล้วก็งง) ถัดไปก็เป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่างๆ ถัดไปอีกเป็นสถาบันสอนกรีฑา พิพิธภัณฑ์ โรงมหรสพ ประตูเมือง (ทำไมลำดับมันแปลกพิกล) วัด ตลาด โรงละคร Theater amplifier ขนาดยักษ์เห็นอยู่ไกลโพ้นบนเขา พื้นดินตรงนี้ก็ยังเป็นดินแห้งๆ ปกติอยู่ แต่อีก 4 กิโลถัดไป ถึงเริ่มจะเป็นสีขาวสุดลูกหูลูกตา

Turkey0585_Hierapolis_s


Turkey0605_Hierapolis_s


Pamukkale แปลตรงตัวว่า Cotton Castle ปกคลุมไปด้วยหินแคลเซียมสีขาวทอดออกไปเป็นชั้นๆ อัศจรรย์ลูกกะตา มีน้ำแร่ร้อนขังอยู่เป็นช่วงๆ หลายสิบปีก่อนคนนิยมมาเล่นน้ำอาบแดดกันที่นี่ แต่การท่องเที่ยวคงเพิ่งนึกได้ว่าถ้าปล่อยให้คนลงเล่นน้ำแร่อย่างนี้ คงไม่เป็นผลดีต่อรายได้ในอนาคตแน่ จึงกั้นเขตแดนห้ามคนลงไปเหยียบย่ำทำลาย แต่ก็ยังไม่วายทำพื้นที่จำลองให้นักท่องเที่ยวสามารถเอาเท้าไปแหย่น้ำอุ่นในหน้าหนาวเล่นนิดหน่อยพอให้หายอยาก เพราะฉะนั้นถ้าใครเห็นภาพสาวน้อยใส่ชุดบิกินี่เล่นน้ำแร่อยู่ที่ Pamukkale นี่ ก็ให้รู้ไว้เลยว่าตอนนี้สาวๆ เหล่านั้นคงจะอายุใกล้ไปอยู่โรงแรม 1200 เตียงด้านหน้าแล้วล่ะ

Turkey0684_Pamukkale_s


Turkey0697_Pamukkale_s


Turkey0711_Pamukkale_s


รื่นรมย์กับธรรมชาติหนาวๆ ร้อนๆ อยู่พอสมควร ก็แวะชมพิพิธภัณฑ์ Hierapolis ก่อนจะออกเดินทางไปแสวงหาความตื่นเต้นต่อไป

และแล้วการผจญภัยที่ห่างหายไปก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง...

…to be continued…Turkey (6)…








 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2549 17:50:24 น.
Counter : 1103 Pageviews.  

1  2  

daonari
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add daonari's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.