"If you only read the books that everyone else is reading, you can only think what everyone else is thinking." - Haruki Murakami

A Princess of Landover: Terry Brooks – ประกาศขายอาณาจักรแห่งเวทมนตร์เล่ม 6




ชื่อ: A Princess of Landover
ผู้แต่ง: Terry Brooks
Series: The Magic Kingdom of Landover (ประกาศขายอาณาจักรแห่งเวทมนตร์) - Book 6
Genre: Fantasy
(ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2009)




Terry Brooks เขียนเล่ม 5 ของ The Magic Kingdom of Landover – Witches’ Brew (ภาษาไทยชื่อตอนว่า ‘ชำระแค้น’) ไปเมื่อปี 1995 อีก 14 ปีต่อเขาได้เขียนเล่มต่อ ซึ่งมีวี่แววว่าจะไม่ใช่เล่มสุดท้าย ชื่อว่า A Princess of Landover


เล่มนี้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ มิสตาย่า ฮอลิเดย์ ลูกสาวแสนสวยจอมป่วนของเบน ฮอลิเดย์-กษัตริย์แห่งแลนโดเวอร์ กับวิลโลว์-นางไม้ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชาวแลนโดเวอร์เรียกกันว่า Once-Fairies (อดีตชาวฟ้า หรืออะไรก็แล้วแต่ จำไม่ได้แล้วว่าภาษาไทยแปลว่าอะไรค่ะ) เล่มนี้มิสตาย่าหายตัวไป(อีกแล้ว!) คราวนี้ไม่ได้ถูกลักพาตัวเหมือนตอนเล่ม 5 แต่มิสตาย่าในวัย 15 ปีหนีออกจากบ้านเพราะพ่อแม่ไม่มีใครเข้าใจเธอ

ปัญหาวัยรุ่นจริงๆ

หลังจากโดนไล่ออกจากโรงเรียน(ที่พ่อของเธอจับส่งไปเรียนในโลกมนุษย์) เบนก็ตั้งใจจะส่งเธอไปยัง Libiris หอสมุดแห่งแลนโดเวอร์ที่สาบสูญโดยหวังจะให้มิสตาย่าฟื้นฟูมันขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่าจะโดนจับแต่งงานกับ Lord แห่ง Greensward คนใหม่อีกด้วย มิสตาย่าผู้สุดจะทนจึงหนีออกจากบ้าน(ปราสาท)ในคืนหนึ่ง พร้อมกับ Haltwhistle-เจ้า Mud Puppy คู่ใจและ G’home Gnome อีกหนึ่งตัว

แล้วระหว่างทางเธอก็พบกับเอ็ดจ์วูด เดิร์ค แมวปริซึมผู้ลึกลับ



ไม่ได้อ่านซีรีส์เรื่องนี้มานานมากจนลืมไปแล้วว่ามีเจ้าแมวปริซึมนี่ด้วย ตอนมันโผล่มานี่ดีใจสุดๆ คิดถึง 555+ เอ็ดจ์วูด เดิร์กทำตัวลึกลับกวนประสาทเหมือนเคย เนื้อเรื่องอ่านง่ายๆสบายๆตามสไตล์แลนโดเวอร์พร้อมเรื่องลุ้นระทึกเป็นพักๆ (ตอนอยู่ที่หอสมุดมันส์มากเลยขอบอก) และเราชอบเล่มนี้มากกว่าทุกเล่มที่ผ่านมาอีกต่างหาก อาจจะเป็นเพราะตัวเอกคราวนี้เป็นเด็กผู้หญิง เราเลยเข้าถึงมากกว่าเบน ฮอลิเดย์ 555+

แต่ลุงเทอร์รี่ จบแบบนี้แปลว่ามีเล่มต่อ(อีก)ชิมิ

ปกอีกเวอร์ชั่นค่ะ






 

Create Date : 22 เมษายน 2553    
Last Update : 22 เมษายน 2553 1:37:05 น.
Counter : 1502 Pageviews.  

The Last Unicorn: Peter S. Beagle – หยุดหลอกตัวเองสักที




ชื่อ: The Last Unicorn
ผู้แต่ง: Peter S. Beagle
Genre: Fantasy
(ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1968)




ยูนิคอร์นสาวตัวหนึ่งอาศัยอยู่เดียวดายในป่ามานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ยูนิคอร์นเป็นอมตะ ดังนั้นเธอจึงไม่เคยใส่ใจเรื่องเวลา สุนัขจิ้งจอก กวาง และสัตว์อื่นๆในป่าเกิด มีลูกหลาน แล้วก็ตายไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่ยูนิคอร์นยังอยู่ในป่านี้ที่เดิม

วันหนึ่งนายพรานสองคนเข้ามาในป่า ยูนิคอร์นเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากรู้อยากเห็น เพราะเธอมีชีวิตยืนยาวจนไม่รู้จะทำอะไรอื่นดีไปกว่านี้แล้ว เธอวิ่งเลียบเคียงไปกับม้าของพวกนายพราน แต่แน่นอนไม่มีใครเห็นเธอถ้าเธอไม่ต้องการให้พวกเขาเห็น ป่านี้เป็นของเธอและเธอก็รู้ดีว่าจะต้องพรางตัวอย่างไร

นายพราน 2 คนกำลังถกเถียงกันว่ายูนิคอร์นมีจริงหรือไม่

เธอจึงตระหนักว่าเผ่าพันธุ์ของเธออาจจะใกล้สูญพันธุ์เต็มทีแล้วเพราะไม่มีมนุษย์คนใดเคยเห็นยูนิคอร์นมานานนักหนา ยูนิคอร์นสาวจึงตัดสินใจเดินทางออกจากป่าทั้งๆที่ไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายไปยังต้นไม้ต้นที่อยู่สุดชายป่า แต่เธอต้องไป ด้วยความหวังที่จะรู้ว่าเผ่าพันธุ์ของเธอที่เหลือหายไปไหน

เธอเดินทางช้าๆผ่านหมู่บ้าน เมื่อชาวบ้านเห็นเธอ พวกเขาคิดว่าเธอเป็นเพียงม้าแสนสวยสีขาว พวกเขาไม่รู้จักยูนิคอร์น หรือถึงรู้ พวกเขาก็ไม่คิดว่าเธอคือยูนิคอร์น เพราะยูนิคอร์นมีจริงที่ไหนกัน

เธอถูกจับตัวไปเข้าคาราวานเร่ร่อนระหว่างการเดินทาง ที่ซึ่งสิ่งมีชีวิตหลายชนิดถูกจับใส่กรงโชว์ให้กับผู้เข้าชมอ้างว่าเป็น ‘สัตว์วิเศษ’ แม่หมอเจ้าของคาราวานมีเวทมนตร์ เธอใช้เวทย์ทำให้ผู้คนเห็นสุนัขธรรมดาเป็น Cyberus-หมาสามหัว ทำให้เห็นสิงโตเจ้าป่าเป็น Manticore-สัตว์ที่มีศีรษะเป็นคน ลำตัวเป็นสิงโต หางเป็นแมงป่อง

และทำให้พวกเขาเห็นยูนิคอร์น เป็นยูนิคอร์น



เนื้อเรื่องเต็มไปด้วยประเด็นเรื่องความเชื่อ ทุกคนในเรื่องเชื่อแต่ในสิ่งที่ตนอยากเชื่อ พวกเขามีกรอบความคิดของตัวเองและปฏิเสธทุกสิ่งอย่างที่อยู่นอกเหนือกรอบนั้นแม้ความจริงจะทนโท่อยู่ตรงหน้า พวกเขาสร้างภาพลวงตาขึ้นหลอกตัวเองหรือไม่ก็หลอกคนอื่น บ้างรู้ว่านั่นไม่จริงแต่ก็ดึงดันจะเชื่อ บ้างไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือภาพลวงตาและเชื่อสนิทใจว่านั่นคือความเป็นจริงอันน่ารื่มรมย์แบบที่เขาใฝ่ฝันมาตลอด

บางทีภาพลวงตานั่นก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป มันอาจทำให้เราได้เห็นมุมมองอะไรที่เราไม่เคยเห็น และสอนบทเรียนแสนวิเศษที่จะจารึกอยู่ในหัวใจเราไปตลอดชีวิตก็ได้



เรื่องดำเนินไปแบบเอื่อยๆ แต่มีประเด็นเหล่านี้สอดแทรกอยู่ตลอดเวลา อ่านจนจบแล้วเราประทับใจในการใช้สัญลักษณ์ของคนเขียนนะ แต่กลับไม่ประทับใจเนื้อเรื่องเท่าไหร่ มันไม่ complex เท่าไหร่ ตอนแรกที่เราอ่านเรื่องนี้ก็เพราะอยากรู้ว่ามันดังอะไรนักหนา อ่านจบก็ได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วเนื้อเรื่องมันไม่ได้วี้ดว้ายกระตู้ฮู้วขนาดนั้น แต่ขายแนวคิดของคนเขียนมากกว่า ดังนั้นถ้าจะอ่านเอามันส์ ก็คงไม่มันส์แน่ๆอ่ะค่ะ เนื้อหามีอะไรให้ตีความเยอะมากนอกจากประเด็นที่ยกตัวอย่างไป แต่ปัญญามีแค่นี้ค่ะ 555+



***สปอยล์***


การที่ยูนิคอร์นถูกเสกให้เป็นมนุษย์เพื่อหนี ‘The Red Bull’ ทำให้เธอเปลี่ยนจากสิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะ มาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายได้ นั่นทำให้เธอมองโลกในมุมที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เดิมทียูนิคอร์นไม่เคยมีความรัก เธอไม่เคยสนใจอะไรนอกจากตัวเองด้วยถือว่าตนเป็นสิ่งมีชีวิตที่สวยที่สุดในโลก และไม่มีอะไรสลักสำคัญในชีวิตเพราะเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน แต่การที่เธอเป็นมนุษย์ทำให้เธอรู้ว่าการรักใครสักคนมันเป็นยังไง รู้ว่าการอยากรักใครสักคนไปตลอดจนจบชีวิตลงด้วยกันให้ความรู้สึกแบบไหน เธอได้รู้ว่าเวลาคือสิ่งมีค่า ทั้งๆที่เธอจะไม่มีวันเรียนรู้ได้ในร่างอมตะของยูนิคอร์น ถึงขั้นที่เธอประกาศว่าจะไม่ยอมคืนร่างเดิมแต่จะอยู่กับเจ้าชายตลอดไป ถึงขั้นหลอกตัวเองได้สนิทใจว่าเธอคือเจ้าหญิงชาวมนุษย์และไม่เค๊ยไม่เคยรู้จักหรือเคยเห็นยูนิคอร์น

ปราสาทของ King Haggard ทำให้ยูนิคอร์นสูญเสียตัวตนของตัวเอง เราไม่เข้าใจตรงนี้นิดนึงว่าถ้าปราสาทมีเวทมนตร์นั้นทำไมถึงมีผลกับยูนิคอร์นคนเดียว คนอื่นไม่เห็นลืมเลยว่าตัวเองมาที่นี่ทำไมล่ะ? หรือการที่ยูนิคอร์นลืมว่าตัวเองเป็นใครเป็นผลจากการอยู่ในร่างเจ้าหญิง ไม่เกี่ยวอะไรกับปราสาท? หรือจริงๆแล้วมันเป็นเพราะความแห้งแล้งของ King Haggard ที่ทำให้เธอเป็นแบบนั้น? ใครอ่านแล้วช่วยบอกที

King Haggard ราชานักสะสมยูนิคอร์น มีความสุขกับการเลี้ยงยูนิคอร์น ‘ไว้ดูเล่น’ โดยขังพวกมันเอาไว้ในทะเลหน้าปราสาท King Haggard เป็นคนเดียวที่เห็นยูนิคอร์นนับพันในฟองคลื่น เพราะเขา ‘เชื่อ’ และ ‘รู้’ ว่าพวกมันอยู่ตรงนั้น ดังนั้นเขาจึงบอกว่าเขาเห็นมันตลอดเวลา แต่เราคิดว่านั่นเป็นภาพลวงตาของ King Haggard เอง ยูนิคอร์นอยู่ในทะเลจริง แต่พวกมันไม่เคยขึ้นมาโลดแล่นอยู่บนฟองคลื่นแบบที่ King Haggard คิด เขาคิดไปเองว่าฟองคลื่นคือยูนิคอร์น และดังนั้นมันจึงเป็นฟองคลื่นที่สวยที่สุด ทั้งๆที่ความงามอยู่ในตัวฟองคลื่นเองอยู่แล้วและเขาก็เห็นมัน แต่เขาไม่เชื่อว่ามันเป็น ‘แค่’ ฟองคลื่นธรรมดา ยังปักใจเชื่อว่าเป็นเพราะยูนิคอร์นเท่านั้น มันจึงเป็น ‘ความจริง’ สำหรับเขา แต่ไม่ใช่สำหรับคนอื่น

นอกจากนี้คนเขียนยังนำเสนอประเด็นสัตว์สูญพันธุ์และระบบนิเวศน์ที่ถูกทำลายเพราะการที่สัตว์ชนิดนั้นหายไปจากระบบ แผ่นดินของ King Haggard แห้งแล้งหนักหนา แม้ชาวเมืองจะบอกว่าเป็นเพราะคำสาปของแม่มด แต่พอฝูงยูนิคอร์นถูกปล่อยออกมาจากทะเลแผ่นดินก็กลับอุดมสมบูรณ์ดังเดิมพร้อมๆกับที่ปราสาทของ King Haggard ถล่ม

หรือจริงๆแล้วคำสาปของแม่มดก็เป็นแค่ ‘ความเชื่อ’ ไม่ใช่ ‘ความจริง’ ถ้าหากว่าเราไม่เชื่อซะอย่างมันก็ไม่มีวันเป็น ‘ความจริง’ ไปได้


***จบสปอยล์***




ยิ่งเขียนยิ่งงง จบแค่นี้ดีกว่า เป็นหนังสือที่น่าอ่านอีกเล่มหนึ่งค่ะ ลองอ่านดูนะคะ แล้วจะได้แง่คิดอะไรดีๆ



แถมท้ายด้วยปกเวอร์ชั่นอื่นๆ (แต่เราชอบปก 40th Anniversary Edition ที่สุดเลย งามมาก กรี๊ดๆ เอามาทำเป็น wallpaper desktop เรียบร้อยแล้วด้วย ก๊าก~ เป็นคนตัดสินหนังสือที่ปก ตัดสินคนที่หน้าตาค่ะ นิสัยไม่ดีจริงๆเรา )




ปก DVD สำหรับภาพยนตร์การ์ตูน The Last Unicorn ค่ะ โนเนะสุดๆ ลายเส้นเหมือนญี่ปุ่นเลย แต่รู้สึกจะของตะวันตกเขานะ





 

Create Date : 11 เมษายน 2553    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2557 20:06:11 น.
Counter : 3690 Pageviews.  

American Gods: Neil Gaiman – ได้โปรดอย่าลืมฉัน




ชื่อ: American Gods
ผู้แต่ง: Neil Gaiman
Genre: Fantasy
(ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2001)




14,000 ปีก่อนคริสตกาล เทพเจ้าแมมมอธ Nunyunnini เป็นที่สักการะบูชาสูงสุดของชนเผ่าหนึ่งที่ตั้งรกรากอยู่บนผืนดินอเมริกา หลายพันปีต่อมา ชาว Norse รุ่นแรกเดินเรือมาถึงแผ่นดินนี้ และเอาเทพเจ้าของพวกเขามาด้วย

มนุษย์สมัยนั้นไม่สามารถหาคำตอบให้กับภัยพิบัติทางธรรมชาติ พวกเขาบูชาเทพเจ้าเพื่อให้พวกท่านช่วยเหลือเรื่องลมฟ้าอากาศ บูชายัญด้วยวิธีพิสดารบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อเอาอกเอาใจพวกท่าน ตำนานมากมายของเหล่าเทพเจ้าถูกเล่าขาน แตกต่างกันไปในแต่ละดินแดน และมาผสมปนเปกันอยู่บนผืนแผ่นดินอเมริกาเมื่อชาวอพยพหลากเชื้อหลายชาติเดินทางมายังดินแดนใหม่เพื่อแสวงหาโชคลาภและโอกาสใหม่ๆให้กับตัวเอง

แต่โลกเปลี่ยนไป อเมริกาเติบโตขึ้นพร้อมๆกับเทคโนโลยี เหล่าเทพเจ้าเก่าแก่ถูกลืมเลือน มนุษย์หันมาสนใจแต่อินเตอร์เนต เคเบิ้ลทีวี โทรศัพท์มือถือ...

แล้วเทพเจ้าที่พวกเขาพาติดตัวมาด้วยตอนข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลแสนไกลนั่นเล่าหายไปไหน?

พวกเขาไม่ได้ไปไหน ยังต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในซอกหลืบที่ลึกและเล็กที่สุดในจิตใจมนุุษย์บนผืนดินอเมริกา



American Gods เล่าเรื่องราวการผจญภัยของ ‘Shadow’ ชายหนุ่มธรรมด๊าธรรมดาที่ถูกลากเข้าไปพัวพันกับสงครามเทพเจ้า เทพเจ้าเก่าแก่ที่บางตนอาศัยอยู่บนผืนดินนี้มาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล กำลังจะถูกเทพเจ้ารุ่นใหม่...เทพเจ้าแห่งไซเบอร์สเปซ เทพเจ้าแห่งรถสปอร์ต เทพเจ้าแห่งโทรทัศน์ และอื่นๆอีกมากกกกก...กวาดล้างออกไปจากผืนดินอเมริกา เหล่าเทพเจ้ารุ่นเก่าสูญสิ้นพลังไปมากตลอดเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา เพราะมนุษย์ที่นำพวกเขามายังทวีปนี้ได้ทอดทิ้งและลืมเลือนพวกเขาไปเกือบสิ้นแล้ว พวกเขาจึงต้องรวมตัวกันครั้งยิ่งใหญ่เพื่อต่อสู้ให้กับความอยู่รอดของตนเอง

แต่พวกเขาจะทำยังไงล่ะ?



ความสนุกของเรื่องนี้อยู่ที่การยำใหญ่ของเหล่าเทพเจ้า เราอ่านไปก็เปิด Wikipedia ไปเพราะตัวละครที่ปรากฏในเรื่องส่วนใหญ่ไม่คุ้นหูเอาเลย มีทั้งเทพเจ้านอร์ส อียิปต์ ตะวันออกกลาง มีพระพิฆเนศด้วย แต่ไม่ยักมีเหล่า Olympains โผล่มาซักตนเลยแหะ

เนื้อเรื่องแรกๆก็ตื่นเต้นดี พออ่านไปกลางๆเรื่องชักจะเริ่มเบื่อ รู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันอืดอาด(ไปไหน) พอถึงตอนเฉลยเรื่องก็...เราไม่ชอบอะ รู้สึกมันง่ายไปหน่อย และค้างๆคาๆไงไม่รู้


เรา google ไปเจอเวบนี้มา

//frowl.org/gods/

คนทำช่างเสียสละเวลายิ่งนัก รวบรวมเทพเจ้าที่ปรากฏในเรื่องทั้งหมดพร้อมรายละเอียด เริ่ดมากเพราะอ่านๆไปเราก็ชักขี้เกียจเปิดหาว่าใครเป็นใคร 55+ ซึ่งบางทีลุงกูเกิ้ลยังหาไม่เจอก็มีด้วยเหอะ ขอบคุณคนทำด้วย ให้ความกระจ่างได้เยอะเลยค้า

แต่ขอเตือนว่าถ้ายังไม่ได้อ่านหนังสือ อย่าอ่านเนื้อหาในเวบแบบละเอียดเชียวนะ สปอยล์ทั้งนั้น


เอาปกเวอร์ชั่นอื่นๆมาให้ดูค่ะ




เรื่องนี้ชนะ Hugo, Nebula, Bram Stroker, SFX และ Locus Award ได้รับการแปลแล้ว 22 ภาษา แต่ยังไม่มีภาษาไทยค่ะ 55+




 

Create Date : 23 มีนาคม 2553    
Last Update : 23 มีนาคม 2553 13:57:58 น.
Counter : 3163 Pageviews.  

1  2  

@Dakki_Chan@
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add @Dakki_Chan@'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.