"If you only read the books that everyone else is reading, you can only think what everyone else is thinking." - Haruki Murakami

Voyage from Yesteryear: James P. Hogan - เมื่อโลกนี้ไม่มีเงินตรา

โอ้ว เราหายหัวไปนานมากๆเลยแหละ ฮี่ๆฮู่ๆฮ่าๆ

ยังค่ะยัง เจ้าของบล็อกยังไม่ตาย แม้จะหายหัวไปเป็นปี แต่มันก็อ่านหนังสือจบไปแค่ไม่กี่เล่ม นิสัยขี้เกียจครอบงำขั้นสุด ไหนๆได้ฤกษ์อ่านนิยายไซไฟเล่มที่ดองมาเป็นปีเช่นกันเล่มนี้จบ (เริ่มเปิดอ่านหน้าแรกเดือน ส.ค. ปีที่แล้วเช่นกัน เพิ่งอ่านจบเมื่อวานนี้ ดองนิยายข้ามปีจริงๆชั้น) ก็เลยเอามารีวิวฉลองซะหน่อย แล้วก็จะพยายามทยอยรีวิวเรื่องอื่นๆที่เพิ่งอ่านจบไปเร็วๆนี้ด้วย (มีไม่กี่เรื่องหรอก เชื่อเถอะ)





ชื่อ: Voyage from Yesteryear
ผู้แต่ง: James P. Hogan
Genre: Science fiction, Libertarian
(ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1982)




'Mayflower II' ยานอวกาศที่บรรทุกมนุษย์โลกจำนวน 30,000 คนเดินทางข้ามห้วงอวกาศระยะทาง 4 ปีแสง (20 ปีโลกมนุษย์) มีจุดหมายปลายทางคือดาว Chiron ในกลุ่มดาว Alpha Centuri อันห่างไกล

แต่ดาว Chiron ได้ถูกจับจองมาก่อนหน้านี้แล้ว จากยาน 'กวนอิม' ซึ่งเป็นยานอวกาศลำแรกที่บรรทุก 'เมล็ดพันธุ์' ของมนุษย์โลกเดินทางท่องไปในอวกาศเพื่อเสาะหาดวงดาวที่เหมาะสมที่จะเป็นโลกมนุษย์แห่งที่ 2 และค้นพบดาว Chiron ดวงนี้เมื่อ 50 ปีมาแล้ว ก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 บนโลกระหว่างสหภาพโซเวียตและอเมริกาเหนืออันนำไปสู่สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกอยู่ในขณะนี้ ยานกวนอิมปักหลักในวงโคจรของดาวชิรอน และหุ่นยนต์ซึ่งเป็นผู้ดูแลยานอวกาศก็ได้ลงไปทำการสำรวจและปรับสภาพแวดล้อมของดาวให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของมนุษย์ ในขณะเดียวกันก็เริ่มทำการ 'เพาะพันธุ์' มนุษย์รุ่นแรกจำนวน 10,000 คน

ใช่แล้ว ยานกวนอิมเดินทางข้ามห้วงอวกาศอันเวิ้งว้างมา 20 ปีโดยไม่มีมนุษย์อยู่บนยานเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงหุ่นยนต์และธนาคารเมล็ดพันธุ์มนุษย์ที่มีโค้ดยีนของประชากรทุกลักษณะทางชาติพันธุ์อยู่ในนั้น เหล่าหุ่นยนต์เป็นผู้ผลิตอาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่มห่ม และปัจจัยอื่นๆที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ และชาวชิรอนรุ่นแรกก็เติบโตขึ้นมาโดยมีหุ่นยนต์เป็นทั้งพ่อและแม่ของพวกเขา

ไม่มีมนุษย์รุ่นเก่า ไม่มีพันธะผูกพัน ไม่มีกรอบทางสังคม การแบ่งชั้นวรรณะ พวกเขาเกิดมาอย่างเท่าเทียมและเป็น Free men โดยแท้จริง

และชาวชิรอนก็ได้สร้างสังคมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเองขึ้นมาตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ถูกโดดเดี่ยวบนดาวดวงนี้ พวกเขาไม่มีผู้นำ ไม่มีรัฐบาล ไม่มีกฎหมาย และในเมื่อความต้องการพื้นฐานของทุกคนได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพออยู่แล้ว โลกใบนี้จึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเงินตรา

ชาว Mayflower II เดินทางมาถึงและต่างงุนงงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นบนดาวดวงนี้ พวกเขาตราหน้าว่าชาวชิรอนเป็นพวกป่าเถื่อนไร้อารยะธรรม และประกาศว่าจะเป็นผู้สอน 'อารยธรรม' ให้กับชาวชิรอนเอง

พวกเขาจะทำได้จริงหรือ?



Voyage from Yesteryear ชนะรางวัล Prometheus Award สาขา Libertarian Science Fiction ในปี 1983 ตอนแรกที่เปิดอ่านเรื่องนี้ (ไม่มีความรู้อะไรมาก่อนเลยว่าเรื่องมันเกี่ยวกับอะไร สุ่มอ่านเอาโดยแท้) คิดว่าเรื่องนี้จะเป็น Military Science Fiction ซึ่งเป็นแนวที่เราไม่ค่อยพิสมัย เนื่องจากเปิดเรื่องขึ้นมาโดยมีกองทัพและนักการเมืองเป็นตัวเดินเรื่อง เราเลยอ่านไปแค่ 20-30 หน้าและดองเอาไว้นานมากๆ 5555+

พอได้ฤกษ์เปิดอ่านอีกครั้ง จขบ. ก็เลยรีบๆอ่านไปกะให้มันจบๆ พอเรื่องเดินไปถึงตอนที่ยาน Mayflower II เดินทางถึงดาวชิรอนเท่านั้นแหละ...อืม...วางไม่ลง

จขบ. พบปัญหาอย่างหนึ่งในการอ่านนิยายเรื่องนี้ นั่นก็คือ ตัวละครเยอะมากๆๆๆๆๆๆ -*- ไม่อยากจะบอกเลยว่าสับสนมาก นักการเมืองเอย นายทหารเอย ชาวชิรอนเอย แล้วยังแฟนๆเมียๆชู้ๆและลูกๆของท่านเหล่านั้นอีกเล่า คนเขียนใช้ตัวละครเยอะ เนื่องจากต้องการจะแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละครแต่ละตัวที่อยู่ในสถานะทางสัมคมที่แตกต่างกัน ว่าเมื่อเจอสภาพสังคมที่ใหม่และแปลกประหลาดบนดาวชิรอน พวกเขาจะมีปฏิกิริยาและรับมืออย่างไร ซึ่งการต่อสู้ทั้งทางจิตวิทยาและทางร่างกายระหว่างชาวชิรอนและชาว Mayflower II ก็เกิดขึ้นมากมายหลายแบบหลากวิธี

สงครามครั้งนี้ ใครจะชนะน่าจะเดาได้ไม่ยาก แต่วิธีการเอาชนะน่ะสิที่มันส์ซะยิ่งกว่า โดยหนึ่งในตัวละครในเรื่องได้กล่าวเอาไว้ว่า

"This whole society has gone through a phase-change of evolution, You can't make it go backward again anymore than you can change birds back into reptiles."



แล้วเจอกันค่ะ ^^





 

Create Date : 24 สิงหาคม 2554    
Last Update : 14 ตุลาคม 2557 15:42:10 น.
Counter : 788 Pageviews.  

The Windup Girl: Paolo Bacigalupi - ประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 12 กับอุบัติการณ์ ‘เงาะ’ กู้โลก




ชื่อ: The Windup Girl
ผู้แต่ง: Paolo Bacigalupi
Genre: Science Fiction, Dystopia, Biopunk
(ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2009
)




เอมิโกะ หญิงสาวชาวญี่ปุ่น เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ (New People หรือ Windup) ที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรมให้เชื่อง (ใช้ genetic code จากสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์), ให้มีรูขุมขนน้อยกว่ามนุษย์ธรรมดาเพื่อผิวเรียบลื่นดุจกระเบื้องเคลือบ, ให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เคลื่อนไหวได้รวดเร็วผิดมนุษย์ และจะไม่แก่ไม่เฒ่าสามารถมีชีวิตอยู่ไปตลอดกาล เธอถูกนำมาที่กรุงเทพฯ, ประเทศไทยในฐานะเลขาฯและคู่นอนของนายจ้างชาวญี่ปุ่น หน้าที่หลักคือเป็นล่ามแปลภาษา แต่เมื่อนายจ้างกลับไป เอมิโกะถูกทิ้งไว้ที่นี่เพราะค่าโดยสารเรือเหาะกลับไปยังญี่ปุ่นแพงระยับ เขาสามารถไปจ้าง Windup คน(ตัว?)ใหม่เมื่อกลับไปถึงได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า และดังนั้นชะตากรรมที่ถูกต้องหนึ่งเดียวตามกฎหมายระหว่างประเทศของเอมิโกะ ก็คือ ‘ถูกย่อยสลาย’ ให้ตายไปเสียที่นี่

แต่ชีวิตของเธอจับพลัดจับผลูไปจบลงในซ่องโสเภณีแห่งหนึ่งในย่านเพลินจิต ใจกลางกรุงเทพมหานครในสมัยรัชกาลที่ 12 ที่แทบไม่เหลือเค้าความเป็นนครแห่งเทพเจ้า

อารยธรรมเจริญขึ้นแล้วก็เสื่อมถอย เมื่อน้ำมันหมดโลกและมนุษย์หาพลังงานทดแทนไม่ได้ กระบวนการเผาไหม้ก็ย้อนกลับไปใช้ถ่านหิน มีเทน หรือใช้แรงงานมนุษย์และสัตว์ในการขับเคลื่อน โลกร้อนขึ้นจนถึงขั้นน้ำท่วมโลก นิวยอร์คกับลอนดอนจมอยู่ใต้น้ำไปแล้วเช่นเดียวกับฝั่งธนบุรีของกรุงเทพฯ แต่เขื่อนขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเร่งด่วนยังสามารถป้องกันฝั่งพระนครของ City of Angels แห่งนี้เอาไว้ได้ ความชื้นที่มีอยู่สูงทำให้เกิดสนิมพันธุ์ใหม่ (ว่าแต่สนิมมันกลายพันธุ์ได้ด้วยเหรอ?) ที่กัดกินทุกสิ่งอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าแร้งรุมกินซาก และดังนั้นวัตถุที่เป็นเหล็กจึงไม่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ให้มนุษย์ใช้งานได้เลยในโลกยุคนี้ แต่ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คือโรคระบาดที่คร่าชีวิตทั้งมนุษย์และพืชผล ต้องอาศัยการตัดต่อพันธุกรรมที่เจริญก้าวหน้าถึงขีดสุดสร้างพันธุ์พืชที่สามารถต้านทานโรคติดต่อร้ายแรงได้ยาวนานขึ้นอีกหน่อย และแน่นอนการตัดต่อพันธุกรรมไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ต้นไม้ มันลามมาถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วยไม่ว่าจะเป็นช้าง แมว หรือคน

อะไรมันจะอีรุงตุงนังกันขนาดนี้หว่า

แอนเดอร์สันเป็นนายทุนต่างชาติจากบริษัท AgriGen ผู้ถือลิขสิทธิ์การผลิตขดลวดแบบใหม่ที่พวกเขาอ้างว่าสามารถต้านทานสนิมพันธุ์ดุได้ วันหนึ่งแอนเดอร์สันเดินเที่ยวในตลาด แล้วพบผลไม้ชนิดหนึ่งหน้าตาพิลึกพิลั่นวางขายอยู่ ผลของมันกลมๆสีแดงแจ๊ด มีขนงอกออกมามากมายบนผิวเปลือกรู้สึกจั๊กกะเดียมแปลกๆยามสัมผัส เขาขอแม่ค้าลองชิมรสชาติข้างใน ก็พบว่ามันหวานเจี๊ยบนุ่มลิ้นอร่อยเหาะเกินต้านทานไหว

แม่ค้าบอกว่ามันเรียกว่า ‘เงาะ’

แอนเดอร์สันซื้อมันกลับไปให้เพื่อนๆชาวฝรั่งมังค่าของเขาชิม แล้วใครคนหนึ่งก็บอกว่ามันเป็นผลไม้ที่สูญพันธุ์ไปนานแล้วจากโรคระบาด ช่างน่าแปลกใจว่ามันกลับมามีชีวิตแล้วยังถูกวางขายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตลาดได้อย่างไร

แต่แอนเดอร์สันรู้ว่าทำไม

มีความลับอยู่บนแผ่นดินนี้ บนผืนทองของแดนไทยที่เคยเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำ เคยหลากด้วยผลไม้นานาพันธุ์อุดมด้วยสิงสาราสัตว์()นานาชนิด ใครบางคนกำลังกุมความลับของการตัดต่อพันธุกรรมและครอบครองคลังสมบัติล้ำค่าของเมล็ดพันธุ์ที่สูญหายไปอยู่ และแอนเดอร์สันจะต้องรู้ให้ได้ ว่าคลังสมบัตินี้ซุกซ่อนอยู่ที่ไหน

เพราะเขาจะรวย เละ



พอดีกว่า รีวิวเรื่องนี้เขียนยากมากเลยอ่ะ เพราะตัวละครหลักไม่ได้มีอยู่แค่ 2 คนที่กล่าวถึงข้างบน มันมีมากกว่านั้นอีก แล้วดูเหมือนทุกคนจะมีกิมมิคของตัวเอง ตัวละครทุกตัวจึงแค่แชร์ context ของความเป็น Dystopian Bangkok ด้วยกันเท่านั้นแล้วต่างก็เดินเรื่องไปทางใครทางมัน ความตลกของเรื่องนี้ก็คือ อ่านๆไปแล้วจะเจอภาษาไทยคาราโอเกะปะปนอยู่เป็นนิจ จนเรารู้สึกว่ามันพิลึกไปเลย อย่างเช่นประโยคนี้

"No! I don't want the mangosteen." Anderson Lake leans forward, pointing. "I want that one, there. Kaw pollamai nee khap. The one with the red skin and the green hairs." หรือ

"And so what does that make you? Some villager of Bang Rajan, reincarnated? Holding back the farang tide? Fighting to the last man? That sort of thing?’

อะไรอย่างงี้แหละค่ะ

ความตลกอีกอย่างนึง ที่คนอื่นอาจจะไม่เห็นว่ามันตลก แต่เราอ่านเจอแล้วขำมาก คือชื่อ-สกุลตัวละคร ไม่รู้ว่าคุณพี่เปาโลแกเปิดหนังสือพิมพ์แล้วลอกเอาเลยรึเปล่า เพราะอ่านๆไปตอนแรกเจอนามสกุล ‘คำสิงห์’ ...โอเค นั่นยังไม่เท่าไหร่ สักพักมา ‘ภิรมย์ภักดี’ ...อืม...อีกสักพักใหญ่ ‘จิราธิวัฒน์’

ถ้าเป็นเจ้าของนามสกุลมาอ่านเจอคงตลกไม่หยอก

นิยายเรื่องนี้ ชนะ Nebula Award ประจำปี 2009 ไปแล้ว ติดโผโนมินี Hugo Award 2010 สำหรับ Best novel และ Locus Award 2010 สาขา Best First Novel ด้วยค่ะ คาดว่าน่าจะกวาดทั้งหมดนะคะ ดูจากสภาพการณ์แล้ว




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2553    
Last Update : 29 กันยายน 2557 11:48:26 น.
Counter : 33189 Pageviews.  

We: Yevgeny Zamyatin – เรา




ชื่อ: We
ผู้แต่ง: Yevgeny Zamyatin
Genre: Science Fiction, Dystopia
Original Language: รัสเซีย
(ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1921)




หากพูดถึงนิยายแนว Dystopia* ใครๆก็พูดถึงแต่ 1984 ของ George Orwells หรือ Brave New World ของ Aldous Huxley แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม We เป็นนิยายแนวเสียดสีที่เขียนถึงรัฐแบบสังคมนิยมและเผด็จการเบ็ดเสร็จในอนาคตเรื่องแรก และถือเป็นต้นแบบของนิยายแนวนี้รุ่นต่อๆมา George Orwell เขียน 1984 หลังจากเขาอ่าน We จบ 8 เดือน (28 ปีหลังจาก We ถูกเขียนขึ้น) และยังกล่าวหาว่า Aldous Huxley ลอกพล็อตเรื่องของ We มาเขียนเป็น Brave New World ด้วย แม้ Huxley จะปฏิเสธหัวชนฝาก็ตาม

เหมือนไม่เหมือนไม่รู้ เพราะเราเคยอ่านแต่ We ยังไม่มีบุญ (ปัญญาและเวลา) อ่านทั้ง 1984 และ Brave New World เลยอะ 55+



D-503 เป็นสมาชิกคนหนึ่งใน One State เขาเป็นวิศวกรชั้นแนวหน้าที่รับผิดชอบการสร้างยานอวกาศ ‘Integral’ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเดินทางออกไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่นและเผยแพร่แนวความคิดการปกครองของ One State

อย่างที่เห็นว่าประชากรใน One State ไม่มีชื่อ ทุกคนถูกระบุตัวตนด้วยโค้ดและรหัส นอกจากนี้ชีวิตประจำวันของทุกคนยังถูกกำหนดด้วยตารางการใช้ชีวิตที่เหมือนกันเป๊ะๆ ทุกๆเช้า ‘เรา’ จะถูกปลุกให้ตื่นในเวลาเดียวกัน ลุกออกจากเตียงพร้อมๆกัน เดินออกจากที่พักอาศัยตรงไปยังโรงอาหาร นั่งประจำที่ และในจังหวะเดียวกัน ‘เรา’ ตักอาหารเข้าปากอย่างพร้อมเพรียงด้วยความเป็นหนึ่งเดียว

We เล่าเรื่องจากบันทึกประจำวันของ D-503 เขาตั้งใจจะเขียนบันทึกนี้เพื่อสาธยายความดีงามของระบอบการปกครองของ One State และส่งไปพร้อมกับยาน Integral เขาอยากให้ชาวดาวเคราะห์อื่นๆมีความสุข อย่างเช่นที่ชาว One State มีความสุข เขาเล่าความคืบหน้าของการสร้างยานอวกาศ เล่าถึงชีวิตประจำวันอันแสนมีความสุขของเขาและการใช้ชีวิตตามตารางที่สมบูรณ์แบบที่สุด จนกระทั่งเขาได้พบผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีรหัสว่า I-330

แล้วชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป เขาเริ่มฝัน ทั้งๆที่ความฝันถือเป็นโรคร้ายแรงชนิดหนึ่งใน One State อยู่ดีๆเขาก็เกิดอยากเขียนบทกวี ทั้งๆที่ศิลปะถือเป็นสิ่งไร้แก่นสารที่ไม่ยังความก้าวหน้าใดๆมาให้ในการพัฒนารัฐ เขาเริ่มแหกตารางไม่ยอมทำตามหน้าที่ที่ถูกระบุไว้ เขาอยากใช้เวลากับเธอ...



Zamyatin เขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้น 4 ปีหลังการก่อตั้งสหภาพโซเวียต เป็นนิยายเล่มบางๆที่อ่านยากมาก แต่ก็เขียนดีมากเช่นกันค่ะ

ปกเวอร์ชั่นอื่นๆค่ะ




Remark *: Dystopia คือนิยายที่เล่าถึงสภาพสังคมที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ต่างจาก Utopia ตรงที่ Utopia เป็นสังคมในอุดมคติ ในขณะที่ Dystopia คือสังคมที่อาจเกิดขึ้นแต่ไม่ใช่สังคมในอุดมคติค่ะ




 

Create Date : 29 มีนาคม 2553    
Last Update : 29 มีนาคม 2553 22:54:31 น.
Counter : 1012 Pageviews.  

The Island of Dr. Moreau: H.G.Wells - ทำยังไงให้เป็นคน?



ชื่อ: The Island of Dr. Moreau
ผู้แต่ง: H.G.Wells
Genre: Science Fiction
(ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1896)



ขอประเดิมบล็อกด้วยเรื่องนี้ก็แล้วกัน เพิ่งอ่านจบไปหมาดๆ

ไปเจอหนังสือเล่มนี้ที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง เห็นเป็นของ Penguin Classic ก็เลยหยิบขึ้นมาดู เล่มบางๆดี พลิกอ่านปกหลังแล้วก็เริ่มรู้สึกตะหงิดๆ งืม...ทำไมลักษณะทางกายภาพของ ‘สิ่ง’ ที่บรรยายมันดูคุ้นๆ?

เหมือนเคยเห็นใน One Piece เลยนี่ฝ่า!

แล้วเราก็ติดใจหนังสือเล่มนี้มานับแต่นั้น แล้วยังจะชื่อ ‘มอเรีย’ บนปกอีก (จริงๆไม่รู้อ่านให้ถูกว่าไง แต่ขอออกเสียงตามใจฉันว่ามอเรียก็แล้วกัน ) ขอสารภาพว่าค่อนข้างเลว อยากอ่านใจแทบขาดแต่ไม่ยอมเสียเงินซื้อ กลับมาบ้าน search google ทันที

แล้วก็ได้ e-book มาด้วยประการฉะนี้แล



เอ็ดเวิร์ด เพรนดิก นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ หายตัวไปหลังจากเรือ Lady Vain ที่เขาโดยสารล่มกลางมหาสมุทรแปซิฟิกและการค้นหาผู้รอดชีวิตล้มเหลว อีกหนึ่งปีต่อมา ชาวเรือพบเพรนดิกลอยลำอยู่ในเรือบด ตำแหน่งใกล้เคียงกับจุดเดิมที่เรือ Lady Vain จมลงเมื่อปีก่อน

(...ทำไมเขียนไปเขียนมาชักจะเหมือนนิยายลึกลับประเภทสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าฟะ?)

เมื่อเพรนดิกกลับมาถึงอังกฤษ เขาปิดปากเงียบไม่ยอมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ใครฟัง บอกแต่เพียงว่าจำอะไรไม่ได้เลยในช่วงเวลาที่เขาหายตัวไปกลางทะเลนั้น

แต่หนังสือเล่มนี้ คือบันทึกเรื่องราวที่เขาเขียนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาในระหว่าง 1 ปีที่เขาหายไป

หลังจากเรือจม เพรนดิกได้รับการช่วยชีวิตจากจากเรือลำหนึ่งที่ขนสินค้าน่าสงสัย เป็นเหล่าสัตว์ป่าที่ผู้ดูแลสินค้านามว่ามอนต์โกเมอร์รี่ อ้างว่าจะนำไปส่งให้สวนสัตว์แห่งหนึ่ง เรือเทียบท่าที่เกาะๆหนึ่งกลางมหาสมุทรแปซิฟิค มอนต์โกเมอร์รี่ลงไปพร้อมเหล่าสรรพสัตว์ และเพรนดิกที่ไม่เป็นที่ต้องการบนเรือลำนี้ ก็ถูกถีบส่งลงไปด้วย

ที่นั่นเพรนดิกจึงได้ค้นพบว่าสัตว์เหล่านั้นถูกนำตัวมาทำไม และความหมายที่แท้จริงของการเป็น ‘มนุษย์’



เนื้อเรื่องดาร์กใช้ได้ เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน รุนแรง และการฆ่าฟัน ตัวละครมนุษย์ 3 ตัวบนเกาะมีคาแรคเตอร์คนละแบบ

1) ด็อกเตอร์มอเรีย – นักวิทยาศาสตร์ผู้อุทิศตนกับความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์โดยไม่สนใจวิธีการ

2) มอนต์โกเมอร์รี่ – ผู้ช่วยขี้เหล้าของมอเรีย เป็น loser ผู้ไม่เคยได้รับการยอมรับในสังคมจนกระทั่งมาที่เกาะนี้...อยู่กับความรุนแรงจนเคยชินแต่กระนั้นก็ซ่อนความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ประสบเคราะห์กรรมเหล่านี้ไว้ลึกๆ

3) เพรนดิก - นักวิทยาศาสตร์ติดเกาะที่รับไม่ได้อย่างสิ้นเชิงกับการทดลองของมอเรีย

นอกจาก 3 คนนี้ ยังมีอีกตัวละครหนึ่งคือ M’ling (อ่านไม่ออก) คนรับใช้ของมอเรียและมอนต์โกเมอร์รี่ ซึ่งเป็นคนแต่เพียงรูปลักษณ์ (แบบที่ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้) และเป็นคนเดียวที่มอนต์โกเมอร์รี่บอกว่ายอมรับเขาอย่างแท้จริง

และลึกเข้าไปในป่าบนเกาะ สิ่งมีชีวิตที่เป็นผลผลิตจากการทดลองของมอเรียอาศัยอยู่ด้วยกันร่วม 60 กว่าชีวิต พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกับ M’ling ที่พูดได้และเข้าใจภาษามนุษย์ เดินสองขาและใช้มือหยิบจับสิ่งของ มีกฎในการรวมหมู่และข้อห้ามต่างๆนานา มีกระทั่งพระเจ้าที่พวกเขานับถือร่วมกัน

เพียงแต่พวกเขาไม่ใช่มนุษย์...

...ว่าแต่มนุษย์ที่แท้จริงนี่มันเป็นแบบไหนกัน?



เนื้อเรื่องดีมากๆ แต่แอบขัดใจตอนท้ายเรื่องนิดหน่อย เราว่าถ้า Wells เขียนเล่าชีวิตตอนเพรนดิกกลับมาจากเกาะแล้วให้ละเอียด(ยาว)กว่านี้สักนิด จะได้อรรถรสมากเพราะมีประเด็นให้เล่นเต็มเลย

แถมปกหนังสือเวอร์ชั่นอื่นค่ะ ชอบปกนี้อะ สวย



ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ตั้ง 3 ครั้งแล้วแหนะ

เวอร์ชั่นปี 1932 ใช้ชื่อ The Island of Lost Souls



ปี 1977




ปี 1996 ใหม่ล่า Val Kilmer นำแสดง





 

Create Date : 01 มีนาคม 2553    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2557 20:03:27 น.
Counter : 2121 Pageviews.  

1  2  3  

@Dakki_Chan@
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add @Dakki_Chan@'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.