Inherit the Stars: James P. Hogan - จากดาวสู่ดาว
Giants Series
Inherit the Stars ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1977 The Gentle Giants of Ganymede ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1978 Giants Star - ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1981 Entoverse - ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1991 Mission to Minerva - ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2005
ชื่อ: Inherit the Stars ผู้แต่ง: James P. Hogan Series: Giants Book 1 Genre: Science Fiction (ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1977)
Dr. Victor Hunt เป็นนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ผู้คิดค้นและประดิษฐ์ Trimagniscope ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำงานโดยการยิง neutrino beams 3 ลำไปที่วัตถุใดๆก็ตามที่เราต้องการดู ไส้ใน โดยไม่ต้องแกะ/ผ่า/เปิดมันออก โดย Dr. Hunt ได้ค้นพบว่า neutrino beam มีคุณสมบัติที่เมื่อเดินทางผ่านวัตถุที่เป็นของแข็งจะทำปฏิกิริยาอย่างหนึ่งในบริเวณ atomic nuclei และดังนั้นโดยการใช้ raster scanning (คล้ายๆกับเวลาเราถ่ายทอดสัญญาณภาพทางโทรทัศน์) ด้วย neutrino beams 3 ลำ เขาสามารถดึงข้อมูลสิ่งที่อยู่ภายในของอะไรก็ตามออกมาสร้างเป็นภาพสี hologram 3 มิติ ที่เหมือนจริงสุดๆได้
และตอนนี้ Dr. Hunt ก็กำลังอยู่บนเครื่องบินเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากเกาะอังกฤษบ้านของเขาไปยังสหรัฐอเมริกา (Suborbital Skyliner: ใช้เวลาเดินทางจากลอนดอนไปยังซาน ฟรานซิสโกแค่ 1.50 ชม.) เขาถูกเรียกตัวอย่างเร่งด่วนให้ไปยัง IDCC (International Data and Control Corporation) สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Portland, Oregan โดยที่เขาหรือแม้แต่คนที่แจ้งข่าวนี้กับเขาก็ไม่ทราบว่านี่มันเรื่องอะไรกัน, ทำไม IDCC ต้องการใช้ Trimagniscope ของเขา และที่สำคัญทำไมต้องเจาะจงว่าเป็นเขาที่เดินทางไปด้วยตัวเอง ทั้งๆที่ทีมงานคนอื่นๆของเขาก็มีความสามารถพอที่จะใช้เครื่องมือนี้ได้
นี่คือเหตุผลว่าทำไม:
UNSA (UN Space Arm) ซึ่งในขณะนั้นได้ตั้ง Survey base บนดวงจันทร์และกำลังทำการขุดค้นตามจุดต่างๆ ได้ค้นพบสิ่งที่เหลือเชื่อมากๆอย่างหนึ่งในถ้ำแห่งหนึ่ง: ศพของชายคนหนึ่ง เสียชีวิตในชุดอวกาศสีแดงซึ่งไม่ใช่ชุดของ UNSA พวกเขาไม่รู้ว่าชายคนนั้นเป็นใคร (จึงได้ตั้งชื่อให้ว่าชาร์ลี), ไม่รู้ว่าเขาตายได้ยังไง และไม่รู้ว่าเขามาจากไหน, ID Card ของเขาเป็นภาษาที่ไม่มีใครเคยเห็น และจากการตรวจสอบ Carbon dating พวกเขาก็ได้ค้นพบความจริงที่น่าตื่นตะลึง: ชาร์ลีเสียชีวิตเมื่อกว่า 50,000 ปีที่แล้ว!
ใช่แล้ว อย่าว่าแต่เมื่อ 50,000 ปีที่แล้ว มนุษย์ยังไม่สามารถเดินทางไปดวงจันทร์ได้เลย เมื่อ 50,000 ปีที่แล้วยังไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน (Homo Sapiens) อยู่บนพื้นผิวโลกด้วยซ้ำ!
เล่าได้แค่นี้ค่ะ เรื่องนี้สนุกมากๆๆๆๆค่ะ และ hard science มากๆๆๆๆด้วยค่ะ ถูกจริต จขบ. ยิ่งกว่าอะไร แม้ทฤษฎีที่ใช้ในเรื่องหลายๆประเด็นในปัจจุบันจะได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผิด/เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าคิดว่ามองๆข้ามมันไปเพราะหนังสือก็ตีพิมพ์ตั้งแต่ก่อนเราเกิด (เกือบ 40 ปีที่แล้ว) และสนใจกระบวนการทางความคิดที่ใช้ในการสืบค้นหาความจริงเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสรุปสุดท้ายที่น่าเหลือเชื่อ เพียงแค่นั้นก็นับว่ามันส์มากๆแล้วค่ะ เหมือนเขียนประวัติศาสตร์ระบบสุริยะของเราขึ้นมาใหม่ยังไงยังงั้น หนังสือเล่มนี้จะบิดเบือนความเชื่อเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มนุษย์ทุกอย่างที่คุณเคยเชื่อค่ะ 555+
เราขอสมัครเป็นแฟนพันธุ์แท้คุณ James P. Hogan เลยค่ะ ฮีเป็นนักเขียนนิยายไซไฟที่ไม่ดังเท่าไหร่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ คือไม่ใช่คนที่พอเอ่ยชื่อไปแฟนๆชาวไซไฟจะรู้จักหรือเคยอ่านงานของฮีกันทุกคนแน่ๆล่ะ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 ของเฮียที่ จขบ. มีโอกาสได้อ่าน (เรื่องแรกคือ Voyage from Yesteryear) และเราชอบมากๆเลยทั้ง 2 เรื่องค่ะ สำหรับเรื่องนี้เราให้ 4/5 คะแนน ที่ไม่ให้ 5 เนื่องจากเราว่าการเดินเรื่อง linear ไปหน่อย ตรงๆทื่อๆไม่ซับซ้อน (หรือเราชินกับเรื่องที่ชอบทำให้ตัวเองซับซ้อนมากเกินไป? แบบยิ่งสลับ sequence มั่วไปหมดยิ่งชอบ งงดี?) แต่โดยรวมแล้ว เนื้อหา ความน่าตื่นเต้น ภาษา วิทยาศาสตร์ และ plot twist แต่ละอันนี่เยี่ยมมากค่ะ จัดให้เป็นนิยายในดวงใจของเราเรื่องหนึ่งเลย
เราชอบประโยคสุดท้ายในเรื่องมากๆค่ะ
"And so, gentlemen, we inherit the stars. Let us go out, then, and claim our inheritance. We belong to a tradition in which the concept of defeat has no meaning. Today the stars and tomorrow the galaxies. No force exists in the Universe that can stop us."
ต้องอ่านจนจบเรื่องนะคะถึงจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ มันช่าง inspiring มากๆ
ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ เรื่องนี้มีฉบับ Manga ด้วยนะคะ เรายังไม่ได้ลองอ่านแต่เท่าที่อ่านคอมเมนต์เหมือนมีคนบอกว่ามีบางจุดที่ใส่วิทยาศาสตร์ส่วนที่นอกเหนือจากหนังสือลงไป ใครขี้เกียจอ่านฉบับนิยาย (แต่เราแนะนำจริงๆนะคะ นิยายเล่มสั้นๆอ่านไม่ยาก) ก็ลองอ่านฉบับ Manga ไปก่อนก็ได้ค่ะ มีแต่ภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นนะคะ และยังไม่จบค่ะ (ไม่แน่ใจว่ายังเขียนไม่จบหรือยังแปลไม่จบกันแน่นะคะ) ตามลิงค์ไปเลยค่ะ
ตัวอย่างงาน art ของฉบับ Manga ค่ะ
Giants Series นี่ตอนนี้ไม่มีตีพิมพ์เป็นเล่มย่อยๆแล้ว มีแต่ฉบับรวม มีแบบรวมเล่ม 1-2 โดยใช้ชื่อว่า The Two Moons และเล่ม 3-4 ใช้ชื่อว่า The Two Worlds (ส่วนเล่ม 5 มาทีหลัง 10 กว่าปี เลยยังแยกอยู่ค่ะ)
กับฉบับรวมเล่ม 1-3 (Original Trilogy) ใช้ชื่อว่า The Minervan Experiment
ขอส่งท้ายด้วยเกร็ดเล็กๆน้อยๆตลกๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ ตา James P. Hogan คนเขียนแกได้ไอเดียการเขียนเรื่องนี้มาจากภาพยนตร์ 2001: A Space Odyssey ที่เขียนโดยปรมาจารย์ไซไฟ Arthur C. Clarke ค่ะ ถ้าใครเคยดูจะรู้ว่าตอนจบมันอาร์ตและงงแค่ไหน (เราขออนุญาตลิงค์ไปยังรีวิวของหนังเรื่องนี้ที่ชาวบล็อกท่านหนึ่งได้เขียนไว้นะคะ เผื่อใครสนใจไปหาดู หนังดีค่ะ คอไซไฟ/หรือแม้แต่คอหนังโดยรวมไม่ควรพลาด เราไม่มีปัญญารีวิวหนังจริงๆค่ะ แต่ถ้าเป็นเวอร์ชั่นหนังสือกำลังคิดไว้ว่าจะเอามารีวิวนะคะ เพราะกำลังจะตั้งสติอ่านเล่มต่อในซีรีส์ Space Odyssey ค่ะ) เฮียโฮแกนแกก็คิดไม่ต่างกันค่ะ แกก็เลยเอาไปบ่นกับเพื่อนๆที่ทำงานว่าหนังจบไม่ได้เรื่องเลย ทำไมไม่จบแบบนี้ๆๆ เพื่อนๆที่ทำงานของแกก็เลยพนันกันว่าเฮียแกไม่มีทางเขียนและตีพิมพ์นิยายไซไฟได้หรอก
ด้วยความต้องการลบคำสบประมาทของเพื่อน เฮียแกก็เลยเขียนเรื่อง Inherit the Stars ขึ้นมาค่ะ! และก็ได้ตีพิมพ์เสียด้วย! (Inherit the Stars กับ 2001: A Space Odyssey มีจุดเริ่มเรื่องคล้ายๆกันตรงที่มีการค้นพบอะไรบางอย่างบนดวงจันทร์ ใครที่เคยดูหนังหรืออ่านหนังสือจำกันได้ใช่ไหมคะ?) หลังจากที่แกดังแล้วแกได้มีโอกาสพบกับท่าน Arthur C. Clarke และได้ถือโอกาสถามถึงความหมายของตอนจบของภาพยนตร์เรื่อง 2001: A Space Odyssey
ทั้งนี้ ท่าน Clarke ได้ตอบกลับมาว่าWhile the ending of Hogans Inherit the Stars made more sense, the ending of 2001 made more money.
จบค่ะ
Create Date : 06 มีนาคม 2559 |
Last Update : 6 มีนาคม 2559 16:22:55 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1984 Pageviews. |
|
|