Group Blog
 
All blogs
 
ทำได้ แม้ไม่มีตังค์

วันนี้ฉันจะขอแนะนำวิธีทำความดีหรือทำบุญ โดยไม่ต้องใช้สตางค์ค่ะ จริงๆ มีหลายวิธีมากๆ แต่วิธีนี้ฉันเพิ่งทำเป็นครั้งแรกที่อเมริกา แต่เป็นครั้งที่สองของการทำค่ะ วิธีที่ว่าก็คือการบริจาคเลือดค่ะ

บางคนทำบ่อยเป็นประจำ ฉันก็ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ ส่วนใครจะอนุโมทนาบุญกับฉัน ก็เชิญนะคะ สาธุค่ะ

ปีที่แล้วที่ฉันกลับไทย ฉันไปบริจาคเลือดที่สภากาชาติไทย บ้านฉันอยู่ใกล้สภากาชาติไทยนะคะ แต่ไม่เคยไปบริจาคเลือดเลย ให้ตายเหอะ ยอมรับค่ะว่าตอนเป็นวัยรุ่น กลัวค่ะ กลัวเข็มฉีดยา เหมือนหลอนตัวเองเข้าไว้ว่ากลัวเข็มฉีดยาเหอะ เพระภาพที่จำได้คือ ตอนเด็กๆ เวลาเค้าให้เข้าแถวฉีดยาวัคซีน อีนี่เดินลัดเลาะ จนเป็นคนสุดท้ายทุกที แล้วจริงๆ ก็ไม่ได้กลัวเข็มอะไรกับเค้าหรอกค่ะ กระแดะไปงั้น ที่บอกว่าไม่ได้กลัว เพราะว่าตอนโตขึ้นมา เวลาที่บริษัทเค้ามีให้ตรวจสุขภาพหรืออะไร ฉันก็นั่งมองพยาบาลเอาเข็มมาเจาะนิ้วฉันหน้าตาเฉย ถ้ากลัวจริงๆ ฉันคงจะร้องไห้ หรือ ไม่กล้ามองไปแล้ว ฉันเลยคิดว่าฉันกระแดะ หลอนจิตวิญญาณมาแต่เด็ก เหมือนจริงๆ ไม่ได้กลัวอะไรมาก แต่สั่งใจไปแล้วว่า กลัว มันก็เลยกลัวตามประสาใจสั่งมา

ทีนี้แรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ เกิดจากการที่ฉันอ่านนิตยสารเล่มนึง จำไม่ได้ชัดว่าชื่ออะไร แหม จะให้เครดิตซักหน่อย คือ ไม่แพรวก็ซีเคร็ตอ่ะค่ะ เอานะ เค้าเครือเดียวกัน นิตยสารเล่มนั้นลงบทความเกี่ยวกับการบริจาคเลือด อ่านแล้วประทับจิต ติดใจมากๆ ฉันตั้งปณิธานเลยว่าฉันต้องบริจาคเลือดให้ได้ แล้วพอดีฉันมีโอกาสกลับไทย ฉันก็เลยลองค่ะ ไปมันคนเดียวเลย จำไว้นะคะ คือ ไม่ต้องจำก็ได้ อ่านผ่านๆ แต่นึกได้เมื่อไหร่ก็จะดีค่ะ คือ ถ้าคุณตั้งใจทำความดีด้วยตัวเอง คุณจะรู้สึกได้ถึงความตั้งใจ ความมั่นใจ และความเข้มแข็งของตัวคุณเองค่ะ เพราะคนส่วนใหญ่เวลาจะไปทำบุญ มักจะชวนเพื่อนพ้อง พี่น้อง และคุณแฟน ไปด้วย แต่ถ้าเค้าเหล่านั้นไม่สามารถไปได้ คุณก็อาจจะอดไปด้วย ยกเว้นคุณจะแบบ ไปเองก็ได้ฟ่ะ นั่นแหละค่ะ คุณถึงจะได้ไป แต่ส่วนใหญ่มักจะลงเอยที่ว่า อืม งั้นไว้คราวหน้าค่อยไปด้วยกัน วันนี้ไม่ไปหล่ะกัน

สรุปว่าฉันลุยเดี่ยวค่ะ ไปคนเดียว หลังจากกรอกเอกสารต่างๆ นาๆ เสร็จ โดนเจาะนิ้วดูว่า พร้อมจะให้เลือดได้มั๊ย ก็ได้เบอร์ค่ะ ตอนรอเรียกเบอร์ กลับปอดแหกซะนี่ คือ ใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะ ทนไม่ไหวแล้วเว้ย จะเดินหนีก็ใช่ที่ แม่ไม่เคยสอน เหอะ เหอะ เลยโทรหาเพื่อนค่ะ เพื่อนคนนี้เคยบริจาคเลือดมาแล้ว และเป็นคนบอกให้ฉันทานอาหารมาก่อนจะบริจาค และไม่ควรกินอาหารมันๆ นะคะ เพราะสีเลือดพลาสม่าจะเปลี่ยนค่ะ โชคดีเป็นของฉันที่เพื่อนฉันไม่ปอดแหกตาม กลับบอกมาเสียงเรียบๆว่า ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ฟังแล้วฉันก็ใจเต้นเป็นปกติตามเดิม ดีใจจัง เพื่อนฉันแอบแถมท้ายนิดนึงว่า แต่พยาบาลมือหนักนะ อิ อิ อันนี้ฉันไม่กลัวเท่าไหร่ ฉันมาคิดทีหลังว่า ถ้าเพื่อนฉันบอกว่า เฮ้ย อยู่ที่บริจาคเลือดเหรอ โห รู้ป่ะ โคตรน่ากลัวเลย แล้วเวลาพยาบาลจิ้มนะ โห สุดยอดดดด หนาวเยือกๆๆ ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันคงเผ่น เพราะงั้นถ้าคุณไปคนเดียวและกลัว ขอแนะนำค่ะว่า ให้โทรหาเพื่อนที่เค้าเคยไปบริจาคเลือดและเค้าจะสามารถทำให้คุณสงบลงได้ด้วยคำพูดสบายๆ แบบพี่เบิร์ดค่ะ

ที่เมืองไทย อารมณ์จะประมาณโบเบ๊หรือสำเพ็งในความรู้สึกของฉัน เพราะเตียงเรียงกันเป็นตับ พอฉันใจสงบลงแล้ว ก็ถึงคิวค่ะ ไปถึง ไอ้ฉันก็ไม่รู้อะไร เค้าก็ถามเสียงให้วอก ขวาได้มั๊ยค่ะๆๆๆๆ ฉันก็อะไรอ่ะ ได้ก็ได้ (ว่ะ) มาถึงแล้วนี่ ขวาก็ขวา เราก็แฟนเพลงพี่หนุ่ย อำพลอยู่แล้ว วิธีการก็ไม่ได้น่ากลัวเลยค่ะ นอนเฉยๆ แล้วพี่เค้าก็จะให้ถือแท่งกระดาษ กำแล้วปล่อยๆๆ น่าจะประมาณนี้นะคะ รอจนเลือดเต็มถุง แล้วเครื่องมันจะมีดัง ตั๊กๆๆๆ พี่เค้าก็จะเดินมาเยาะเย้ยว่า เป็นไงค่ะ โอเคเปล่า เสร็จแล้วเค้าก็จะให้เราเดินผ่านไปห้องติดกัน มีโกโก้และขนมให้ทานเล่น นึกถึงตอนเด็กๆ ที่โอวัลตินชอบมาแจกตามโรงเรียนเลยค่ะ นั่งพักให้พอไม่มึน ถ้าคุณมึน แล้วคุณก็จะสุขใจที่ได้ทำอะไรดีๆ เพื่อคนอื่น

แต่ที่นี่ แคลิฟอร์เนีย อเมริกาค่ะ เค้าไม่วางเตียงเป็นตับและไม่ต้องเดินขึ้นลงเวลากรอกเอกสาร ฉันหาข้อมูลในเน็ตอยู่นานเหมือนกัน พอดีฉันชวนเพื่อนไปบริจาคเลือดด้วยกัน เพื่อนฉันไม่เคยบริจาคเลือดมาก่อนในชีวิต เค้าดีใจมาก อารมณ์แบบอยากนอนเตียงข้างกัน มองหน้ากัน มันส์ (ว่ะ) ได้ทำความดี ฉันกล่อมเค้ามาแล้วว่า ไม่น่ากลัวเลย ขอเพียงพี่มีสุขภาพแข็งแรง พี่เค้าก็บอกว่า โห น้อง พี่อึด โอมากข้อนี้ แล้วก็ขอแค่พี่มีใจ พี่เค้าก็บอกว่า ถ้าไปด้วยกันก็โอ อิ อิ โอเคค่ะ ฉันเลยหาศูนย์ Red Cross ที่อยู่ตรงกลางระหว่างบ้านฉันและพี่เค้า ก็ได้ที่ Fullerton City ค่ะ เข้าไปเค้าจะให้กรอกชื่อเพื่อรอเรียก ระหว่างรอ คุณจะได้อ่านเอกสารก่อนการบริจาคเลือด สำคัญมากนะคะ ต้องอ่านค่ะ

หลังจากนั้นคุณจะถูกเรียกเข้าไปในห้อง อ๋อ ลืมบอกค่ะ ศูนย์เค้าจะเป็นห้องโล่งๆ คุณสามารถมองเห็นคนอื่นที่กำลังบริจาคเลือดอยู่ได้ แต่เตียงเค้าไม่ได้เรียงกันเหมือนเมืองไทยค่ะ แต่เตียงเค้าจะวางเหมือนร้านหมอฟัน คือวางเฉียงๆ สลับกันไปมาค่ะ แต่ห้องที่คุณจะถูกเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ก่อน จะปิดมิดชิดค่ะ ก่อนอื่นเค้าก็จะสอบถามข้อมูลธรรมดาๆ ชื่อ ที่อยู่ อะไรเทือกนั้น แล้วก็เจาะนิ้วเลยค่ะ ตอนเจาะนี่ก็สะดุ้งเฮือกนึง เฮือกเล็กๆ ค่ะ อย่ากังวลไปเลย แต่ฉันว่า รวมๆ แล้ว ไอ้เฮือกนี่เจ็บกว่าตอนบริจาคเลือดอีก หลังจากตรวจธาตุเหล็ก ความดันและสุขภาพโดยรวมแล้ว เค้าก็จะให้คุณตอบคำถามในคอมพ์ค่ะ ถ้าอันไหนไม่เข้าใจให้เปิดห้อง แล้วเจ้าหน้าที่จะเข้ามาอธิบายให้คุณฟังค่ะ

ตอบเสร็จ เจ้าหน้าที่จะเข้ามาทวนคำตอบที่เราตอบไปทั้งหมดว่ามีอันไหน ประหลาดๆ หรือเปล่า กระบวนการกรอกข้อมูลและสัมภาษณ์ คุณจะถูกถามชื่อตัวเองหลายครั้งมาก จนคุณประหลาดใจว่า ถามชื่อบ่อยๆ ทำไม เช่นเจ้าหน้าที่จะถามว่าเคยบริจาคเลือดในชื่ออื่นหรือเปล่า แล้วเดี่ยวๆ ก็ถามอีกที ชื่อต้นคุณอะไรนะ อ๋อออ ชื่อคุณสะกดยังไงนะ ประมาณนั้น ทีเด็ดคือ ให้เราบอกเพศ และเชื้อชาติ เพื่อนฉันเล่าให้ฟังทีหลังว่า เค้าทนไม่ไหวเลยถามเจ้าหน้าที่ว่า ทำไมต้องถามเพศด้วยอ่ะ ก็เห็นๆ อยู่นะ เจ้าหน้าที่บอกมา ไม่ได้ ต้องตอบให้ชัดเจน เพราะพลาสม่าเค้าจะแยกชายหญิง บางคนไปแปลงเพศมา ดูไม่ออก เออ อันนี้ฉันก็เพิ่งรู้ แล้วเดี๋ยวๆ เค้าก็จะถามชื่อคุณอีกค่ะ เจ้าหน้าที่เฉลยอีกว่า เพราะว่าบางคนตอนสัมภาษณ์เป็นคนนึง แต่พอสัมภาษณ์เสร็จ เดินออกจากห้อง ไปนอนที่เตียงบริจาค เป็นอีกคนนึง ทำเป็นเล่นไป มีนะคะ พวกขายเลือดเอาเงินอ่ะค่ะ เค้าเลยถามย้ำ ถามซ้ำๆ ว่าเราชื่ออะไร นามสกุลอะไร ส่วนสูงและน้ำหนักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจหรือหงุดหงิดที่เค้าถามบ่อยๆ นะคะ

ตอนบริจาคเลือด เค้าจะทาไอโอดีนที่แขนซะเหลืองอ๋อยเลย ต่างจากเมืองไทย ที่ถ้าฉันจำไม่ผิด เค้าจะใช้แอลกฮอล์ แต่ที่นี่เค้าใช้ไอโอดีนและเค้าจะถามก่อนว่าเราแพ้มั๊ย แล้วตูจะรู้ได้ไงเนี่ยยยย เลยตอบว่าไม่แพ้มั๊งค่ะ เหอะ เหอะ แต่ฉันก็ไม่แพ้จริงๆ แหละ แล้วเค้าก็จะใช้เข็มที่หน้าตาเหมือนพลั่วอ่ะค่ะ แต่อันเล็กมากๆ นะคะ อย่าไปเชื่อที่ใครบอกว่าเข็มเจาะใหญ่เท่าควาย ไม่จริงค่ะ ไม่ขนาดนั้น เค้าจะเอาพลั่วเล็กๆ อันนั้นมาเจาะแล้วก็เงย แล้วก็คาไว้อย่างงั้นแหละค่ะ ที่นี่เค้าจะให้เราบีบลูกบอลค่ะ แต่เหมือนจะให้เราหมุนลูกบอลเล่นซะมากกว่า บีบเฉพาะตอนแรกที่เอาพลั่วเจาะแค่นั้นแหละค่ะ เพราะจากนั้นเลือดก็จะพุ่งกระฉูดเลยค่ะ ก่อนไปบริจาคเลือด ทานน้ำเยอะๆ นะคะ เพราะน้ำจะช่วยให้เลือดไม่เหนียวข้น ของฉัน พลั่วเจาะปั๊บ แป๊บเดียว ครึ่งถุงเลย เพราะฉันเป็นคนกินน้ำเยอะมากๆ ปกติก็กินเยอะอยู่แล้ว ยิ่งวันบริจาค ฉันแห่ดื่มน้ำซะเยอะกว่าเดิมอีก อิ อิ

เสร็จแล้วเค้าก็จะให้กินน้ำผลไม้และขนมที่จัดไว้ให้ค่ะ ที่นี่ต่างจากเมืองไทยอีกแหละค่ะ ตรงที่คุณสามารถบริจาคได้ทุก 56 วัน แต่ที่เมืองไทยคือ 90 วัน ตรงนี้ฉันถามหมอหนุ่มหน้าเด็กเพื่อนฉันแล้วบอกว่า จริงๆ ก็ 2 เดือนแหละ ที่เลือดสร้างใหม่และพร้อมใช้งาน แต่ที่เมืองไทยเค้าเอาเซฟๆ เลยให้ 90 วันค่ะ และฉันก็เพิ่งรู้ว่ามีการบริจาคหลากหลายเช่นเฉพาะเกล็ดเลือด เฉพาะพลาสม่า และอื่นๆ อีกมากมาย ที่บริจาคกันส่วนใหญ่คือ บริจาคเลือดโดยรวมที่มีส่วนประกอบเยอะแยะ ฉันกะว่าจะลองบริจาคแบบอื่นๆ ดูบ้าง บางอย่างใช้เวลานานค่ะ เพราะเค้าจะเจาะแขนเช่นข้างซ้าย เอาเลือดเราออกไป เสร็จแล้วผ่านเข้าเครื่อง แยกๆๆๆ แล้วก็เอาส่วนประกอบของเลือดที่เค้าไม่ต้องการ กลับคืนมาให้เราที่แขนขวา อะไรประมาณนั้น แต่ใช้เวลาเยอะกว่าบริจาคทั่วไป เค้าเลยให้เราดูหนังเป็นเรื่องเลยค่ะ เอาไว้ถ้าฉันลองแล้วเป็นไง จะมาเล่าให้ฟังนะคะ

แรงบันดาลใจสำหรับคนที่ยังลังเลว่าจะไปดีมั๊ย ถ้าบ้าดารานิดหน่อย ขกยกตัวอย่างพี่ดู๋ สัญญา คุณากรค่ะ ฉันเพิ่งรู้ว่าแม่พี่ดู๋เสียชีวิตเพราะไม่มีเลือดบริจาคมากพอ แม่พี่เค้าป่วยเป็นโรคไขสันหลังไม่ผลิตเกล็ดเลือด เวลาเป็นแผลเลือดจะไหลไม่หยุดค่ะ ทางโรงพยาบาลต้องการเลือดกรุ๊ปอะไรก็ได้มาปั่นแยกเอาเกล็ดเลือดเพื่อมาใส่ให้แม่พี่เค้า ตอนนั้นพ่อพี่ดู๋บอกพี่ดู๋ แล้วเช้าวันถัดมาเป็นวันกีฬาสี พี่ดู๋ก็ถามเพื่อนๆ ว่า มีใครสามารถบริจาคเลือดได้บ้าง แต่พอตอนเย็นกลับมาบ้านปรากฎว่าแม่พี่ดู๋เสียแล้วค่ะ เช้าวันถัดไปที่จะไปรับศพแม่ เพื่อนพี่ดู๋มากันเต็มโรงพยาบาลเลย เขาไม่รู้ว่าแม่พี่ดู๋เสียแล้ว เขาจะมาบริจาคเลือดกัน หยุดเรียนมายกห้องเลยนะคะ ครูประจำชั้นก็มา พี่ดู๋บอกว่า จากไม่ร้องจนร้อง เพราะคิดว่ามนุษย์ที่แสดงความปรารถนาดีต่อมนุษย์คนอื่นที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่อะไรเลย เป็นสุดยอดของความยิ่งใหญ่ที่มนุษย์พึงกระทำต่อกัน ทุกวันนี้พี่ดู๋บอกว่า พี่ดู๋พยายามบริจาคเลือดบ่อยเท่าที่มีโอกาสจะทำได้เลยค่ะ

อีกตัวอย่างนึงสำหรับคนที่ชอบคนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ก็นี่เลยค่ะ พี่ขาบ สุทธิพงษ์ สุริยะ พี่เค้าเป็นฟู้ดสไตลิสท์หรือนักออกแบบตกแต่งอาหารให้ดูสวยงามค่ะ พี่เค้าเล่าว่าตอนอายุ 10 ขวบ แม่พี่เค้าแท้งและตกเลือดอย่างรุนแรง ถ้าไม่ได้รับเลือดทันเวลา ก็อาจเสียชีวิตได้ หมอที่รักษาพยายามหาเลือดกรุ๊ดเดียวกับแม่ คือ AB หมู่พิเศษ แต่ลองเจาะจากญาติพี่น้องและคนรู้จักเท่าไรก็ไม่พบค่ะ พวกพี่เค้าเกือบสิ้นหวังแล้ว แต่ลุงซึ่งเป็นเพื่อนพ่อเดินทางมาเยี่ยมญาติและได้ข่าวพอดี และบังเอิญที่ลุงมีกรุ๊ปเลือดเดียวกับแม่พี่เค้า คุณหมอจึงจัดการถ่ายเลือดให้ทันที พี่เค้าเล่าว่า ภาพที่เห็นในตอนนั้นยังติดตาและฝังลึกในใจ คือ แม่นอนในสภาพที่มีเลือดเปรอะเต็มตัว มีสายยางให้เลือดห้อยระโยงระยาง นอกจากกลัวว่าแม่กำลังจะตายตามประสาเด็กแล้ว พี่เค้าก็ได้รู้ว่าการให้เลือดสามารถช่วยชีวิตคนอื่นได้ด้วย...ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ พี่เค้าเลยบริจาคเลือดอย่างสม่ำเสมอค่ะ

หลังจากบริจาคเลือดทุกครั้ง ฉันจะบอกให้แม่ฉันอนุโมทนาบุญกับฉันค่ะ อย่าค่ะ อย่าหวังว่าแม่ฉันจะอนุโมทนาง่ายๆ ครั้งแรกแม่ฉันเสียงแหลมมาเล้ยยย โอ๊ยยยยยยยย ไปบริจาคทำไม รู้มั๊ยบริจาคไป กว่าจะสร้างเลือดมาได้มั๊ยนะ โน่นนนนนน บลา บลา บลา ฉันปล่อยแม่ฉันพล่ามไปหลายนาที ฉันได้แต่นั่งอมยิ้มแล้วฉันก็บอกว่า ม้า พอเลย แค่บริจาคเลือดไม่ตายหรอกน่า เอ้า นี่เค้าให้เหรียญมาด้วยนะ ม้าเก็บไว้ เพราะม้าไปบริจาคเลือดไม่ได้ ให้ม้านะ พอครั้งนี้ ฉันโทรบอกแม่ฉันๆ ก็....ไปอีกแหละ...เสียงลากยาวมาเลย เพิ่งไปมาไม่ใช่เหรอ คือว่านั่นมันเดือนสิงหาปีที่แล้วนะ ม้า นี่เดือนมกราปีใหม่แล้ว ฉันรู้เลยว่าแม่ฉันยังไม่พร้อม แต่ฉันเป็นคนมีความอดทนสูงค่ะ โดยเฉพาะเรื่องดีๆ แบบนี้ ฉันจะบริจาคไปเรื่อยๆ บอกให้แม่ฉันอนุโมทนาบุญทุกครั้ง วันนึงแม่ฉันก็จะเข้าใจและอนุโมทนาบุญกับฉันด้วยความเต็มใจ อาจเป็นเพราะว่าครอบครัวและญาติพี่น้องฉันไม่เคยมีใครต้องได้รับเลือดจากใคร มันเลยดูเหมือนเรื่องไกลตัวมากๆ ที่จะต้องบริจาคเลือดให้ใคร มันเหมือนเลือดเราเอง ทำไมต้องไปให้คนอื่นประมาณนั้น แต่อย่าคิดแบบนั้นเลยนะคะ เลือดของเรานี่แหละค่ะ ถ้าเราให้คนอื่นได้และโดยเฉพาะช่วยชีวิตคนๆ นั้นได้ มันจะเป็นความสุขใจของเราผู้ให้ และความมหัศจรรย์ของผู้รับนะคะ เพราะใครบางคนจะมีชีวิตขึ้นมาได้ใหม่ เพียงเพราะคุณให้ค่ะ และคุณทำได้ แม้คุณไม่มีตังค์ แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องแข็งแรงนะคะ ^^


Create Date : 23 มกราคม 2553
Last Update : 24 มกราคม 2553 15:55:49 น. 4 comments
Counter : 425 Pageviews.

 
อนุโมทนา สาธุค่ะ

แอมป์ก็ไปบริจาคครั้งแรกเมื่อต้นเดือนนี้เองค่ะ ไม่เจ็บอย่างที่คิดไว้ สุขใจมากค่ะ


โดย: COCOSWEET วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:19:36:47 น.  

 
^^
จิ๊บเข้ามาอนุโมนทนาสาธุพี่จขบด้วยนะคะ

ส่วนตัวจิ๊บยังไม่เคยบริจาคเลยค่ะ
จิ๊บกลัววววเลือดค่ะ เข็มกลัวเจ็บอย่างเดียวค่ะ แต่เวลาเห็นเลือดแล้วมันลมจะใส่เอาค่ะ
อิอิ
แต่อ่านที่พี่จขบเขียนแล้ว จริงๆการบริจาคเลือดเป็นกุศลอย่างยิ่งเลยค่ะ ไม่มีเงินก็สามารถช่วยคนได้ค่ะ

เข้ามาบล๊อคนี้อิ่มใจจริงๆค่ะ


โดย: แฟนสาวฮัตโตริคุง วันที่: 27 มกราคม 2553 เวลา:13:30:28 น.  

 


แวะมาทักทายพี่เดซี่ค่ะะ
มาชวนไปดูหลานจิ๊บนับเลขกันค่ะ

ตลกมากมายค่ะพี่เดซี่

แฮปปี้วีคเอนนะคะะะ



โดย: แฟนสาวฮัตโตริคุง วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:27:55 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณเดซี่


ช่วงนี้ป้ากุ๊กไม่ค่อยได้เข้าบล็อกเลย
งานประจำ…แจ๋ว ดึงเวลาป้าไปหมดค่ะ
อย่างเก่งก็แค่แว๊บเข้ามาอ่าน….แล้วก็แว๊บหายไป
แต่แม้จะไม่ได้ฝากคำไว้ก็ยังระลึกถึงค่ะ




โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 12 มีนาคม 2553 เวลา:21:39:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

daisyntulip
Location :
California United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add daisyntulip's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.