วันนี้ ทุกจอคอมพิวเตอร์ ในบ้านคุณ

รีวิวหนัง : Taken 3 หนีเพื่อล่า


กลายเป็นหนังแอ็คชั่นไตรภาคไปแล้วสำหรับ Taken ภาพยนตร์คุณพ่อจอมเครียดที่พร้อมข้ามนํ้าข้ามทะเล ตะลุยแก๊งค์คนร้าย เปิดศึกมาเฟีย ไปช่วยครอบครัวทุกครั้ง ซึ่งตลอด3ภาคในเวลา8ปี ตัวละคร ไบรอัน มิลส์ อดีตสายลับฝีมือดีได้เป็นคาแร็กเตอร์ประจำตัวของ เลียม นีสัน นักแสดงวัยเก๋าไปแล้ว หนังเรื่องต่อๆมาของเขาส่วนใหญ่จึงได้บุคลิกเดิมๆ อาทิ Unknown , The Grey , Non Stop และ A Walk Among the Tombstones

แม้ว่า Taken 2 จะค่อนข้างล้มเหลวในแง่เสียงวิจารณ์และรายได้ แต่ทีมผู้สร้างก็ยืนยันที่จะสร้าง Taken 3 ออกมา ภายใต้เงื่อนไขกับ เลียม นีสัน ที่ว่าหากอยากให้เขากลับมาแสดงนำเหมือนเดิม ภาคนี้ต้องไม่มีตัวละครหลักถูกลักพาตัว และต้องเป็นภาคสุดท้าย

เนื้อหาของหนัง ไบรอัน มิลส์ สายลับสูงวัยที่เก่งกาจด้านการต่อสู้กำลังจะคืนดีกับภรรยาเก่า แต่กลับพบเรื่องไม่คาดฝันเมื่อต่อมาเธอกลายเป็นศพอยู่ในห้องของเขา ไบรอันต้องหนีโดยมีตำรวจนับร้อยตามล่าไปทั่วเมือง แฟรงค์ ดอทซ์เลอร์ นักสืบสมองดีพยายามเกลี่ยกล่อมให้เขามอบตัว แต่ ไบรอัน เลือกที่จะออกตามล่ากลุ่มคนร้ายที่ฆ่าเมียเขาด้วยตัวเอง

พล็อตของภาคนี้ไม่ได้เดินตามรอย2ภาคก่อนหน้า ทว่า ถึงจะฉีกไปเส้นทางใหม่ แต่ก็ยังไปซํ้าเดิมกับหนังแนวอาชญากรรมหลายเรื่อง เพียงแต่การมี ไบรอัน มิลส์ ทำให้ Taken 3 ดูต่างออกไป อีกอย่างที่ไม่เหมือนภาคก่อนๆคือครั้งนี้ ไบรอัน ไม่ได้เป็นทีมเยือน เรื่องราวเกิดขึ้นในสหรัฐฯ เท่ากับว่าเขาเป็นเจ้าบ้าน เราจึงได้เห็นเขามีทีมคอยช่วยเหลือ ไม่ได้ฉายเดี่ยวแบบที่ผ่านมา ซีนทรมานคนด้วยการเอาผ้าเช็ดหน้าปิดแล้วราดนํ้านี่เหมือนจงใจเสียดสีพฤติกรรมทหารอเมริกัน

บทแบ่งเป็น บู๊ สืบสวน ดราม่า ฉากแอ็คชั่นมีโอเวอร์ไปบ้างแต่ก็ยังดูสนุก ขณะที่การสืบสวนก็ลุ้นระทึกพอสมควร บางช่วงให้อารมณ์เหมือนกำลังดูหนังสายลับประมาณ เจมส์บอนด์ เจสัน บอนด์ แจ็ค ไรอัน กลางเรื่องดราม่าเข้มข้น ความแค้นของตัวเอกไม่บ้าเลือด ดุเดือด ลุยแหลก เหมือนเก่า ดูสมเหตุผลกับอายุที่มากขึ้น เสียดายที่ตอนท้ายเดินเรื่องตามสูตรสำเร็จไปหน่อย

การแสดงของ เลียม นีสัน ชนิด ลืมแก่ ลืมเจ็บ ลืมตาย ทำให้ตัวละครของเขาขึ้นหิ้งระดับตำนานไม่แพ้ จอห์น แม็คเคลน ใน Die Hard  กระนั้น ภาคนี้ยังมีตัวละครอีกคนที่โดดเด่นคือ แฟรงค์ ดอทซ์เลอร์ ตำรวจนํ้าดี ฉลาดเป็นกรด รู้ทันตัวเอกเราไปเสียหมด รับบทโดย ฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์ ส่วนตัวชอบการสร้างคาแร็กเตอร์เด่นๆ ด้วยการใช้ของง่ายๆอย่าง หนังยางเส้น กับ ตัวหมากรุก

Taken 3 เป็นบทสรุปของหนังชุดคุณพ่อสายลับจอมโหดที่ค่อนข้างลงตัว ป๋าเลียมไม่ทำให้แฟนๆผิดหวัง เหมาะกับคนที่ชอบภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นสืบสวน อาจมีคนบอกว่ามันมีหลายส่วนที่หยิบยืมมาจากหนังสืบสวนดังๆก่อนหน้า แต่ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ภาคแรก Taken ออกฉาย ก็มีหนังหลายเรื่องหยิบยืมบางอย่างจากหนังเรื่องนี้ไปใช้เช่นกัน

คะแนน 8/10

โดย นกไซเบอร์

ดูตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/145780/?link=4




 

Create Date : 09 มกราคม 2558    
Last Update : 9 มกราคม 2558 18:43:37 น.
Counter : 1399 Pageviews.  

รีวิวหนัง : Stand by me doraemon มิตรภาพข้ามเวลา


ครั้งหนึ่ง พี่โน๊ต อุดม เคยเล่าให้ฟังว่าใส่ โดราเอมอน ลงในบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับรายชื่อหนังสือสามเล่มที่ชอบในชีวิต ทีมงานท้วงว่าไม่ได้เพราะเป็นหนังสือการ์ตูน แต่พี่โน๊ตแกก็ยังยืนยันที่จะไม่เปลี่ยน สุดท้ายทีมงานจึงยอมแพ้ ส่วนตัวคิดว่า โดราเอมอน ไม่ใช่แค่หนังสือการ์ตูน  ความรู้ แนวคิด คำสอน ที่สอดแทรกอยู่ทำให้บางคนยกให้มันเป็นหนังสือเรียนที่สอนทั้งวิชา วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และ ชีวิต

โดราเอมอน ก็ไม่ใช่แค่ตัวการ์ตูน ใครที่เติบโตมากับยุคช่อง9การ์ตูนย่อมมีเพื่อนในโลกจินตนาการที่ชื่อ โดเรมอน ด้วยกันทั้งนั้น เช่นเดียวกับเด็กในหลายๆประเทศทั่วโลก ส่วนในญี่ปุ่นประเทศบ้านเกิด เจ้าแมวตัวกลมสีฟ้าได้รับเกียรติแต่งตั้งให้เป็นทูตโอลิมปิกฤดูร้อนปี2020ที่กำลังจะมาถึง เหล่านี้คือเสี้ยวความพิเศษของ โดราเอมอน ในวาระครบรอบ100ปี ฟุจิโกะ เอฟ ฟุจิโอะ ผู้เขียนเรื่องนี้(ครบรอบเมื่อปี2557ที่ผ่านมา) ค่ายหนังในญี่ปุ่นจึงทำอนิเมชั่น Stand by me doraemon ขึ้นมาคาราวะ

เนื้อหาของภาพยนตร์เล่าถึงวันแรกที่ โดราเอมอน หุ่นยนต์แมวตัวสีฟ้าของ โนบิ เซวาชิ (หลานของหลานโนบิตะ) ซึ่งเดินทางข้ามเวลามาช่วยเปลี่ยนแปลงอนาคตของ โนบิตะ เด็กชายผู้ไม่เอาไหนที่สุดในญี่ปุ่น จนถึงวันสุดท้ายที่เขาปฏิบัติภารกิจสร้างความสุขให้เด็กแว่นชุดสีเหลืองที่มีจิตใจบริสุทธิ์ได้สำเร็จ 

สำหรับ โดราเอมอน ในเวอร์ชั่น ทาคาชิ ยามาซากิ ผู้กำกับ Always sunset on third street ที่ถนัดทั้งเรื่องการรำลึกอดีต รวมถึงสร้างบรรยากาศซึ้งๆเรียกนํ้าตาคนดู ก็ไม่ทำให้แฟนๆผิดหวัง หนังบอกเล่าความสัมพันธ์และมิตรภาพของ โดเรมอน กับ โนบิตะ ได้อย่างสนุก น่ารัก อบอุ่น ชวนให้เราอมยิ้ม หัวเราะ อย่างมีความสุข ไปจนถึงร้องไห้อย่างตื้นตัน

บทหนังลงตัว มีการปรับเนื้อหาให้มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น น่าติดตามตลอด แถมยังมีเซอร์ไพรส์ผู้ชมช่วงท้าย สามารถอินได้ทุกวัย ความรู้สึกคล้ายตอนดู Toy Story 3 คือเหมือนได้กลับไปเจอเพื่อนเก่าในวัยเด็กอีกครั้ง เสียดายที่หลายฉากบึ้วอารมณ์คนดูมากไปนิด และมีความไม่สมเหตุผลอยู่บ้าง อาทิ การที่จู่ๆโนบิตะส่งกระแสจิตทะลุมิติได้ ด้านเทคนิคภาพสวยงามใช้ได้ แม้ลายเส้นตัวละครจะแปลกๆ ไม่คุ้นตา แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรมาก 

เรื่องนี้ต้องบอกว่า ดูพากย์ญี่ปุ่นก็ได้ ดูพากย์ไทยก็ดี ได้อารมณ์กันคนละแบบ พากย์ญี่ปุ่นมีความเป็นออริจินอล พร้อมกับซับไทยที่บอกเล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา ขณะที่พากย์ไทยให้ความรู้สึกเก่าๆ คาแร็กเตอร์ของตัวละครในอดีตถูกปลุกให้มีชีวิตขึ้นมาใหม่ 

Stand by me doraemon ย่นเวลา45ปีของการ์ตูนที่ครองใจเด็กๆทั่วเอเชียให้อยู่ใน95นาทีได้ดีระดับหนึ่ง เป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบที่สมบูรณ์ของ โดราเอมอน บทสรุปยากจะคาดเดา ส่วนตัวมันคือหนึ่งในความประทับรับปีใหม่ใจที่ไม่อยากให้จบลงเลย หวังว่าคงมีโอกาสได้กลับมาเล่นด้วยกันอีกนะ เพื่อนตัวสีฟ้า

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/134830/?link=4




 

Create Date : 06 มกราคม 2558    
Last Update : 6 มกราคม 2558 18:11:15 น.
Counter : 1612 Pageviews.  

รีวิวหนัง : รักหมดแก้ว เมามายไปกับปรัชญาในวงเหล้า



ช่วงวัยรุ่นตอนที่ผมยังไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในปาร์ตี้เล็กๆเคยมีรุ่นพี่คนหนึ่งถามเหตุผล ผมตอบไปว่าเพราะยังไม่รู้สึกว่ามันอร่อย ครั้งนั้นพี่เขาค่อนข้างพอใจในคำตอบและไม่ได้ตื้อให้ผมดื่มแต่อย่างใด ผมผ่านช่วงที่ดื่มแอลกอฮอล์หนักๆในชีวิตมาแล้ว จนถึงวันนี้มีดื่มบ้างตามโอกาส แต่มีสติมากขึ้น ซึ่งก็ยังไม่รู้สึกว่าเหล้ามันอร่อย คงดื่มเหมือนคล้ายกับใครหลายคนที่ยึดตามคำของ โกวเล้ง ที่ว่า ข้าพเจ้ามิได้นิยมชมชอบในรสชาติของสุรา แต่ข้าพเจ้าชอบบรรยากาศของการร่ำสุรา

รักหมดแก้ว เป็นภาพยนตร์ที่กำกับโดย ษรัณยู จิราลักษม์ (Last Summer,Together วันที่รัก) ว่าด้วยเรื่องราวของ เหล้า ความรัก และ ชีวิต จากค่ายM39ซึ่งนิยามแนวหนังใหม่ว่าเป็นโรแมนติกปาร์ตี้ แม้จะมีนักร้องดังๆมาร่วมแสดงมากมาย แต่เขาเลือกที่จะใช้นักแสดงนำชายหญิงหน้าใหม่เป็นตัวนำ

เนื้อเรื่องเล่าถึง ไฟเลี้ยว สาวสุดติสต์ที่ต้องการค้นหาความหมายของชีวิตและความรัก กับ บักโจ้ หนุ่มสุดแนวที่ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง พอเรียนจบก็ขอเงินพ่อมาเปิดร้านเหล้า ที่ร้านแห่งนั้นเองได้กลายมาเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของกลุ่มเพื่อนในวงเหล้า ประกอบด้วย พี่อุ๊ สาวโสดรุ่นใหญ่ที่หาเรื่องดื่มเหล้าได้ทุกวัน , ยาย่า เพื่อนสาวคนสนิทของ ไฟเลี้ยว , พี่แมน เกย์หนุ่มลูกน้องของ พี่อุ๊ , พี่โบ้ นักดื่มร่างใหญ่ตัวฮา , พี่นุ ลูกคนรวยที่เกาะพ่อแม่กินไปวันๆ และ ไอ้เจ๊ด เพื่อนหนุ่มจอมกวนจากสมัยมัธยมของ ไฟเลี้ยว

บทหนังไม่มีอะไรมาก เป็นแค่เรื่องราวของคนที่ชอบดื่มที่มาใช้ชีวิตร่วมกันระยะหนึ่ง ทุกคนหลงใหลในการดื่มและเมามาย มีแอลกอฮอล์เป็นเครื่องมือในการสร้างความสุข ตัวละครของค่ายนี้ยังคงความเป็นแฟนตาซีอยู่บ้าง ไล่ตั้งแต่ชื่อของตัวละครนำชายหญิง แถมตัว ไฟเลี้ยว ยังมีแนวคิดแปลกๆด้วยการตั้งกฏบางอย่างทำให้เรื่องง่ายๆกลายเป็นยากโดยนำเอาข้อเขียนของ คาริล ยิบราล กับ เพลงที่ว่าง มาเป็นกิมมิกแบบไม่มีที่มาที่ไป ทำให้ตัวละครขาดความเป็นธรรมชาติไป แต่ที่พัฒนาขึ้นคือเราได้เห็นตัวละครเหล่านั้นทำงานทำการบ้าง แม้เพียงไม่กี่ฉาก ซึ่งมันช่วยให้พวกเขาหลุดออกมาใกล้โลกความจริงมากขึ้น

สิ่งที่น่าชื่นชมคือการทำหนังแนวโรแมนติกดราม่าแบบเต็มตัว ไม่ใช่โรแมนติกคอเมอดี้แบบสมัยนิยม เนื้อหาบางช่วงพยายามตั้งคำถามทั้งในเรื่องชีวิต ความรัก ถึงนํ้าหนักของมันจะเบาไปแต่ก็น่าให้คะแนนความพยายาม ส่วนคำคม กับ ปรัชญาต่างๆที่ออกมาจากปาก พี่อุ๊ เท่ก็จริง แต่ฟังแล้วดูประดิษฐ์เกินไปนิด เนื่องจากเราไม่ได้โอกาสและเวลาทำความรู้จักกับตัวละครนี้เพียงพอ ตอนท้ายของหนังก็รวบรัด บทสรุปง่ายดายไปหน่อย ไทอินสินค้ายังคงโจ่งแจ้ง ขาดชั้นเชิง โยงเขามาหาเนื้อเรื่องแบบทื่อๆ

การแสดง แม้ว่าความรักของ ไฟเลี้ยว กับ โจ้ จะดูฉาบฉวย (เปลี่ยนสรรพนามเรียกกันบ่อยมาก เดี๋ยว ฉันแก แกเรา เธอเรา) แต่ พิไลพร สุปินชมภู นางเอก นับว่าเล่นได้น่าสนใจทีเดียว เธอไม่ใช่คนสวย ทว่าก็มีบุคลิกมั่นใจ โดดเด่นกว่าผู้หญิงทั่วไป ด้าน ณปรัชญ์ รัตนนิตย์ พระเอกของเราก็มีคาแร็กเตอร์ชัดเจนดี กระนั้น ยังขาดเสน่ห์ทางการแสดงที่จะทำให้คนดูเห็นอกเห็นใจ หลายคนจึงหันไปชื่นชม มาช่า วัฒนพาณิช ในบท พี่อุ๊ ซึ่ีงถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครออกมาได้ลึกซึ้งจนผู้ชมบางคนเสียนํ้าตา

หนังไม่ได้สอนตรงๆว่าเหล้ามันดีหรือไม่ดี เพียงแต่จำลองชีวิตหลายๆแบบในวงเหล้าออกมาให้ดู มีเสียดสีสังคมบ้างโดยเฉพาะตัว นุ กับ โบ้ ซึ่งวันๆไม่ทำอะไรนอกจากกินเหล้า แน่ละว่าในชีวิตจริงรอบตัวเราอาจจะมีคนแบบนี้อยู่ คนที่หมกมุ่นกับของเหลวในภาชนะอันบอบบาง จุดที่ชอบที่สุดในหนังคงเป็น เพลงประกอบอย่าง ใจความสำคัญ ของวง Musketeers เนื้อเพลงแทบจะคลอบคลุมทุกอย่างที่ภาพยนตร์ต้องการจะบอก เช่นในท่อนหนึ่งร้องว่า ไม่ใช่ความรักที่เราฝันใฝ่ มันคือความรักที่เราเข้าใจ 

คะแนน 6.5/10

โดย นกไซเบอร์

ดูตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/155575/?link=4




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2557    
Last Update : 30 ธันวาคม 2557 17:18:26 น.
Counter : 2361 Pageviews.  

รีวิวหนัง : The Hobbit The Battle of The Five Armies สงครามในหุบเขาเดียวดาย


เดินทางมาสู่ภาคจบเสียทีสำหรับตำนานมิดเดิลเอิร์ธของภาพยนตร์มหากาพย์ไตรภาคอย่าง The Hobbit ที่สร้างจากหนังสือนิยายชื่อดัง เรื่องราวก่อนหน้าของ The Lord of the Rings หนังแอ็คชั่นแฟนตาซีเจ้าของรางวัลออสการ์ ฝีมือการกำกับของผู้กำกับคนเดียวกันคือ ปีเตอร์ แจ็คสัน

ใน The Hobbit The Battle of The Five Armies ได้นักแสดงชุดเดิมกลับมาพร้อมหน้าทั้ง มาร์ติน ฟรีแมน,ริชาร์ด อาร์มิเทจ,เอียน แม็คเคลเลน,ลุค อีแวนส์ และ ออร์ลันโด บลูม ความน่าสนใจคือมันเป็นตอนสุดท้ายของ The Hobbit ที่เชื่อมโยงเนื้อหาไปสู่ The Lord of the Rings รวมถึงเป็นการปิดตำนานมหากาพย์ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง

หนังเดินทางมาสู่จุดแตกหักเมื่อเหล่าคนแคระเดินทางไปถึงหุบเขาเดียวดายแล้วบังเอิญไปปลุก มังกรสมอว์ก ที่ยึดครองสมบัติในอาณาจักรเอเรบอร์ให้ตื่นขึ้นมาจากการจำศีล สมอว์ก บุกไปอาละวาดเผาเมืองริมทะเลสาบ แม้ว่ามันจะถูก บาร์ด ยิงธนูสังหาร แต่ว่านั่นก็เป็นชนวนเหตุให้กองทัพทั้ง5เผ่ายกกำลังมาแย่งชิงสมบัติมหาศาล ได้แก่ 1. มนุษย์ 2. คนแคระ 3. เอลฟ์ 4. ออร์ค 5. วอร์ก 

ขณะที่ ธอริน โอเคนชิลด์ ราชาแห่งคนแคระที่อยู่ด้านในวังเอเรบอร์ป่วยเป็นไข้พิษมังกร เขากลายเป็นคนคลั่งสมบัติ เห็นแก่ตัว และเลือดเย็น บิลโบ ฮอบบิทหนึ่งเดียวในดินแดนแห่งอำนาจได้แอบเก็บ อาร์เคนสโตน ไว้ไม่ยอมให้ ธอริน เพราะกลัวว่าเขาจะอาการหนักกว่าเดิม พร้อมทั้งพยายามยุติสงครามระหว่างเอลฟ์กับคนแคระ ส่วนอีกฟาก แกนดัล์ฟ กาลาเดรียล ซารูมาน และ เอลรอนด์ ก็กำลังต่อสู้กำอำนาจมืดของ เซารอน

บทของหนังลดความเข้มข้นลงจากภาคที่แล้ว โดยเฉพาะความพีคในช่วงท้ายที่เทียบกันไม่ได้เลย ปีเตอร์ แจ็คสัน เทนํ้าหนักให้กับความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ ด้านมืดของสงความ และ อาการป่วยของ ธอริน มากไปหน่อย ทำให้แทบไม่มีเวลาในการสรุปความช่วงท้าย เนื้อเรื่องตอนจบเลยดูรวบรัดแปลกๆ กับการคลี่คลายสถานการณ์ตรึงเครียด ยุติสงครามอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าเป็นเกมก็ต้องบอกว่าดูโกงนิดๆ

จุดเด่นของภาคนี้คือฉากต่อสู้สวยงามอลังการ ดูดีแทบทุกทัพไล่ตั้งแต่ เอลฟ์ แสนสง่า คนแคระ เข้มแข็ง ส่วน ออร์ค กับ วอร์ก ก็ดุดัน น่ากลัว จะมีก็แต่มนุษย์ที่นอกจากจะคนน้อยนิดแล้ว ยังแทบไม่มีทีเด็ดอะไรไปสู้เขาได้เลย เทคนิคภาพในหนังเนียนตาไม่แพ้ The Lord of the Rings ซีนประทับใจผู้ชมคงเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันสู่ของพันธมิตร เอลฟ์ คนแคระ ที่บาดหมางกันมานาน แต่ร่วมมือเพราะมีศัตรูเหมือนกัน แน่นอนว่าบางคนอาจจับเอาไปตีความกับสงครามโลกครั้งที่1-2หรือสงครามการเมืองระหว่างประเทศในโลกปัจจุบันที่ยังคงมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอยู่เสมอมา

มาร์ติน ฟรีแมน โดดเด่นกว่าใคร ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านมุมมองของ บิลโบ ฮอบบิทตัวน้อยจิตใจดีได้ยอดเยี่ยม แต่ที่ขโมยซีนต้องยกให้ อีแวนเจไลน์ ลิลลี ในบท ธอเรียล กับดราม่ารักข้ามสายพันธุ์ระหว่างเอลฟ์สาวกับคนแคระมาดเข้ม คีลี (ไอแดน เทอร์เนอร์) ที่หวานและซาบซึ้งจนทำเอารักข้ามชนชั้นของเธอกับเจ้าชายเอลฟ์สุดเท่อย่าง เลโกลัส (ออร์ลันโด บลูม) ดูแห้งแล้งไปเลย 

โดยรวมสงคราม5ทัพไม่ใช่ภาคที่ดีที่สุดของ The Hobbit เพราะใช้เวลาหลายชั่วโมงไปไม่คุ้มค่าเท่าภาคก่อนหรือเท่า The Lord of the Rings ภาคจบ กระนั้นก็ไม่ถึงกับน่าผิดหวัง เพราะช่วงท้ายมีการปูทางไปสู่หนังมหากาพย์แห่งแหวนได้สมบูรณ์พอสมควร แน่นนอนว่ามันจะเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานกันต่อไป

คะแนน 7.5/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/134609/?link=4 




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2557    
Last Update : 26 ธันวาคม 2557 18:42:14 น.
Counter : 1272 Pageviews.  

รีวิวหนัง : Kill the messenger ความจริงสีเทา


ตอนที่เลือกเรียนสาขาที่จบออกมาทำงานนักข่าว ผมยังนึกภาพตัวเองในอนาคตไม่ออก แม่ผมพูดติดตลกว่าต้องไปวิ่งทำข่าวตำรวจจับชาวบ้านพนันไก่ชนรึเปล่า ขณะที่เพื่อนผมบอกว่าคงนั่งหน้าตาเคร่งเครียดอยู่หน้าคอม มือนึงสูบบุหรี่ อีกมือจับแก้วกาแฟดำ ซึ่งภาพในปัจจุบันไม่ใช้ทั้งสองแบบ ส่วนตัวเคยแค่ถือสมุดจดวิ่งตามรัฐมนตรีตอนฝึกงาน ออกไปสัมภาษณ์แหล่งข่าวตอนที่อยู่นสพ.เศรษฐกิจ แต่หลังจากนั้นก็มาเป็นนักข่าวออนไลน์เต็มตัว นั่งหน้าคอมอย่างที่เพื่อนบอก แต่ก็ไม่ได้เครียดขนาดดูดบุหรี่หรือซดกาแฟดำ

ภาพของนักข่าวทุกวันนี้เปลี่ยนไปมากตั้งแต่มีโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คเข้ามา ในโลกยุคดิจิตอล คนอ่านข่าวตามทีวีบอกว่าตัวเองเป็นนักข่าว คนที่คอยก็อปปี้ข่าวคนอื่นตามเน็ตเรียกตัวเองว่านักข่าว คนที่สะพายกล้องตัวนึงแล้วไปกินหรือรับแจกของฟรีตามงานต่างๆอ้างตัวเองว่าเป็นนักข่าว ข่าวดังแต่ไร้สาระเกิดขึ้นจากกระแสในสังคมออนไลน์ทุกวัน สำนักข่าวแห่เล่นข่าวตามกันโดยไม่มีการตรวจสอบข้อมูลถูกผิดหรือข้อเท็จจริง และสุดท้าย บ่อยครั้งเราก็ถูกหลอกกันเกือบทั้งประเทศ ในความคิดของผม นักข่าวตัวจริง มีคุณสมบัติง่ายๆแค่การ กล้าที่จะพูดความจริง

ในแต่ละปีทั่วโลกมีนักข่าวถูกฆ่าไม่ตํ่ากว่า50คน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่สาเหตุมาจากความกล้าที่จะพูดความจริงของพวกเขา Kill the messenger คือภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่พูดถึงการเสียชีวิตของนักข่าว แกรี่ เว็บบ์ ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์จากการเปิดโปงข้อมูลลับของ CIA ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของยาเสพติดในสหรัฐฯ รวมถึงการสนับสนุนทางอาวุธให้กับกลุ่มกบฏในนิการากัว (นี่มันยิ่งกว่าคอรัปชั่นซะอีก) คดีของเขาค่อนข้างเป็นปริศนา เจ้าหน้าที่พบร่างของเขาถูกยิงที่ศีรษะ2นัดในที่พัก โดยตำรวจสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย

เนื้อหาในหนังเล่าถึง แกรี่ เว็บบ์ ผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์หัวเล็กๆอย่าง San Jose Mercury News ที่ได้รู้ข้อมูลลับของรัฐบาลจากคดีของพ่อค้ายาเสพติดรายหนึ่ง แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องอันตรายมากหากจะเผยแพร่ออกไป ระหว่างนั้นมีเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานของทางการพยายามทำทุกทางให้เขาหยุดทำข่าวนี้ ทว่าเขามีจรรยาบรรณมากพอที่จะไม่เก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเองคนเดียว 

บทหนังค่อนข้างเข้มข้น ตรึงเครียด บอกเล่าชีวิตคนข่าวตัวจริงได้ถึงแก่น สร้างบรรยากาศชวนสงสัย น่าหวาดระแวงได้ดี ฉากและเครื่องแต่งการของตัวละครย้อนยุคไปประมาณช่วงปี90 บทสนทนาค่อนข้างเยอะ การดำเนินเรื่องไม่หวือหวา บางคนอาจตามเรื่องไม่ทัน ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบหนังสืบสวน ทีเด็ดของเรื่องคือการลากไส้หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯมาสับจนเละ รวมถึงแฉเบื้องหลังดำมืดของชาติที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้นำประชาธิปไตย และสะท้อนสภาพสังคมทุนนิยมที่มีช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย คนขาวกับคนดำ

สิ่งที่ทำให้ผู้ชมอินคือมันสร้างจากเหตุการณ์จริง ข้อมูลที่ได้รับรู้นั้นขนาดเราไม่ใช่คนอเมริกันยังขนลุก กระนั้นหนังก็ไม่ได้เอาแต่เชิดชู แกรี่ เว็บบ์ ว่าเป็นฮีโร่ในวงการสื่อมวลชนแต่อย่างใด การต่อสู้แบบแทบจะเดียวดายของเขาน่าเห็นใจ แต่คนดูก็ยังได้รู้ข้อมูลในอีกด้านว่า เขาเคยทำสิ่งผิดพลาดในอดีต มีนิสัยมั่นใจในตัวเองมาก ดื้อรั้น มุทะลุ โมโหร้าย และควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หนังนำเสนอแบบกลางๆ ไม่ขาว ไม่ดำ ทุกสิ่งในเรื่องล้วนเป็นสีเทา ไม่ว่าจะเป็น ข่าว ความจริง หรือแม้แต่ตัว แกรี่ เว็บบ์ เอง

เจเรมี เรนเนอร์ แสดงดีมาก แทบจะเป็นวันแมนโชว์ของเขาเลย บุคลิกน่าเชื่อว่าเป็นนักข่าว ส่วนตัวละครอื่นๆยังไม่ค่อยมีใครโดดเด่น Kill the messenger เยี่ยมพอๆกับหนังนักข่าวแนวเดียวกันอย่าง State of Play หรือเก่าหน่อยก็ต้อง All the president’s men สิ่งที่น่าชื่นชมของค่ายหนังและผู้กำกับซึ่งสร้างภาพยนตร์ประเภทนี้ก็คือ ความกล้าที่จะเปิดเผยข้อมูลอันอ่อนไหวเปราะบางต่อความมั่นคงของประเทศตัวเอง

คำตลกที่คนในวงการสื่อมวลชนชอบพูดหยอกล้อกันที่ผมได้ยินบ่อยๆมีสองประโยค ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดความจริงอาจตาย กับ ยิ่งจริง ยิ่งผิด (ยิ่งอันตราย) แน่นอนว่ามันจริงจนเราหัวเราะไม่ออกเลย

คะแนน 7.5/10

โดย นกไซเบอร์

ดูตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/143157/?link=4




 

Create Date : 17 ธันวาคม 2557    
Last Update : 18 ธันวาคม 2557 11:31:13 น.
Counter : 1185 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

mninho
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




นกไซเบอร์ วิจารณ์หนัง
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add mninho's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.