วันนี้ ทุกจอคอมพิวเตอร์ ในบ้านคุณ

รีวิวหนัง : The Theory of Everything ความลับของจักรวาล



แม้ว่าหลายคนจะรู้จัก สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง ในฐานะนักฟิสิกส์ชื่อดังผู้ไขความลับจักรวาล เจ้าของทฤษฎีหลุมดำ ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นมนุษย์ซึ่งฉลาดที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ แต่หากไม่ใช่คนในวงการวิทยาศาสตร์หรือคนที่เคยอ่านหนังสือของเขา น้อยคนนักจะได้ทราบเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของบุรุษที่ร่างกายอาจจะไม่สมบูรณ์พร้อมเท่าสมองและหัวใจของเขา

The Theory of Everything เป็นหนังชีวประวัติของ สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง ที่ได้ เอ็ดดี้ เรย์มานด์ นักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษมารับบทนำร่วมกับ เฟลิซิตี้ โจนส์ เป็นผลงานการกำกับของ เจมส์ มาร์ช ที่ได้โอกาสสร้างชื่อกับภาพยนตร์กระแสหลักสักที ก่อนที่จะเข้าฉายหนังเรื่องนี้ผ่านตา ฮอว์กิ้ง มาแล้ว และเขาเสียนํ้าตาให้มัน

หนังเริ่มต้นเมื่อ สตีเฟ่น ฮอว์คิง ในวัย 21 ปี ที่กำลังศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์อยู่ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ประเทศอังกฤษ ได้พบรักกับ เจน ไวลด์ ภรรยาที่กำลังศึกษาในสาขาวรรณกรรม ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาก็พบกับความผิดปกติในร่างกาย หมอบอกว่าเขาเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนอ่อนแรง หรือ ALS (โรคที่ปีที่แล้วทั่วโลกแห่ทำ ice bucket challenge เพื่อบริจาคเงินให้ผู้ป่วย) มีชีวิตอยู่ได้อีก2ปี สตีเฟ่น ตัดสินใจแต่งงานกับ เจน และทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการวิจัยเรื่องจุดกำเนิดของจักรวาล

บทภาพยนตร์เล่าเรื่องราวความรักและชีวิตของ ฮอว์กิ้ง ได้ลึกซึ้ง กินใจ โดยเฉพาะพาร์ทดราม่าครอบครัว แต่ก็ไม่ได้ ฟูมฟาย หดหู่ ขายความน่าสงสาร เหมือนกับหนังเรื่องอื่นๆที่ตัวเอกป่วยเป็นโรคร้าย กลับกันมันเป็นหนังที่สร้างแรงบันดาลใจและให้กำลังใจทุกคนบนโลกนี้ ไม่ว่าคุณจะปกติดี หรือ มีสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ จุดนี้ต้องชมคนเขียนบทที่เลือกหยิบช่วงเวลาในชีวิตที่น่าสนใจของเขามานำเสนอได้ดี

จะบอกว่า The Theory of Everything เป็นหนักรักก็ได้ โรแมนติกแบบเนิร์ดๆ ส่วนที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มีไม่เยอะอย่างที่คิด บทสนทนาไม่ซับซ้อน คนไม่ชอบวิทยาศาสตร์ก็ดูรู้เรื่อง เทียบได้กับเรื่อง A Beautiful Mind สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างคือมันเป็นหนังย้อนยุคที่มีการถ่ายภาพออกมาสวยงาม สร้างบรรยากาศของอังกฤษปี1960 ได้สมจริง จุดอ่อนพอมีให้เห็นบ้าง อาทิ การเล่าเรื่องที่เอื่อยเกินไปนิด บางฉากก็นํ้าเน่าไปบ้าง ท้ายเรื่องแผ่วไปหน่อย ขาดความเข้มข้นในซีนสำคัญ กระนั้น สิ่งที่กลบข้อเสียต่างๆของหนังเอาไว้ได้หมดคือพลังการแสดงของนักแสดงนำ

เอ็ดดี้ เรย์มานด์ แสดงเป็น ฮอว์กิ้ง ได้สุดยอดมาก สมจริง เข้าถึงอารมณ์แบบไร้ที่ติ เขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย เพียงแค่ขยับกล้ามเนื้อบางส่วนเราก็เข้าใจได้ มันวิเศษชนิดดูจบแล้วอยากยืนปรบมือให้ยาวๆ เป็นหนึ่งในผู้ที่คู่ควรแก่รางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชาย ขณะที่ เฟลิซิตี้ โจนส์ แจ้งเกิดแบบเต็มตัวกับบท เจน ภรรยาของฮอว์กิ้ง เธอโดดเด่นท่ามกลางนักแสดงมากฝีมือ ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ละเอียดอ่อน จากที่ตอนต้นผู้ชมเห็นอกเห็นใจ สตีเฟ่น พอมาตอนท้ายหลายคนอาจเปลี่ยนมาเทใจให้ เจน แทน เคมีของทั้งคู่เหมือนการหลอมรวมที่ลงตัวของ วิทยาศาสตร์ กับ ศิลปะ หากใครจะเสียนํ้าตาในโรงหนังก็คงไม่พ้นฝีมือของสองคนนี้

ฮอว์กิ้ง มีชีวิตรักที่โลดโผนแต่ก็งดงาม ถึงเขาจะไขความลับของจักรวาลออก แถมยังว่างพอที่จะหาทฤษฎีมาหักล้างทฤษฎีของตัวเอง แต่สิ่งที่หลายคนเห็นว่าเป็น ความลับของจักรวาล จริงๆก็คือการที่เขายังคงมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ทั้งๆที่ในทางการแพทย์เขาควรจะจากโลกนี้ไปตั้งแต่วัยหนุ่ม ผมคิดว่าบางทีสิ่งที่ทำให้เขามีอายุยืนจนถึงวินาทีนี้คงจะเป็นสองสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตเขา ฟิสิกส์ กับ ความรัก

คะแนน 8/10

โดย นกไซเบอร์




 

Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2558 17:56:51 น.
Counter : 1796 Pageviews.  

รีวิวหนัง : Project Almanac โอกาสที่สอง



เชื่อว่าเราทุกคนเมื่อได้มองย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมาจะพบกับข้อบกพร่อง ข้อผิดพลาดมากมายที่น่าเสียดาย เพราะมันเป็นโอกาสครั้งเดียวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ซึ่งส่งผลมาถึงชีวิตในปัจจุบัน ว่าแล้วก็ได้แต่บ่นกับตัวเองว่า รู้แบบนี้ตอนนั้นไม่น่าทำแบบนั้นเลย แล้วก็มีแว่บหนึ่งที่คิดเล่นๆขึ้นมาว่า ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องราวเหล่านั้นได้ก็คงดี

Project Almanac คือหนังที่จับประเด็นนี้มาเล่น เมื่อ เดวิด กับเพื่อนอีกสองคน ที่เป็นกลุ่มเด็กเนิร์ดในโรงเรียนไฮสคูล และน้องสาวบ้าถ่ายวีดีโอของเขา พบแบบพิมพ์เขียวอุปกรณ์บางอย่างของที่พ่อตายไปนานแล้วในห้องใต้ดิน ซึ่งต่อมาพวกเขามั่นใจว่ามันคือ ไทม์แมทชีน หรือ เครื่องย้อนเวลา 

เดวิด กับพวกหมกตัวในบ้านเพื่อสร้างไทม์แมทชีนจนสำเร็จ โดยมี เจสซี่ สาวสุดฮ็อตประจำรุ่นที่ เดวิด แอบชอบเข้ามาเป็นสมาชิกเพิ่มในกลุ่ม พวกเขา5คนตัดสินใจเดินทางข้ามเวลากลับไปใช้โอกาสที่สองแก้ไขสิ่งต่างๆในอดีตของแต่ละคนอย่างสนุกสนาน แถมยังย้อนเวลาไปโกงล็อตเตอรี่จนได้เงินมาใช้สบายๆ โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งต่างๆที่พวกเขาทำมีผลกระทบเป็นวงกว้างกว่าที่คิด

แม้พล็อตจะไม่ได้แปลกใหม่ แต่หนังก็ไปได้สุดทางในความบันเทิงแบบหนังวัยรุ่น หากเรามองข้ามเรื่องเหตุผลกับความสมจริง จุดเด่นในหนังกลับเป็นดราม่าในเรื่องความรักและชีวิตของตัวเอก ความน่าสนใจอยู่ที่ผลลัพท์ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างเหตุการณ์ก่อนที่จะย้อนเวลา กับ หลังจากย้อนเวลาแล้ว จุดนี้คล้ายๆกับเรื่อง About time เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ได้โรแมนติกหวานแหววเท่าไหร่ การถ่ายภาพแนว hand-held camera แบบเดียวกับหนังเรื่อง As Above So Below , Project X  และ Chronicle ทำให้คนดูเวียนหัวไม่น้อย แต่ถือว่าหนังหาเหตุมารองรับให้ตัวละครถือกล้องถ่ายตลอดเรื่องได้ดี แถมยังเอากล้องวีดีโอมาใช้เป็นกิมมิกในช่วงท้ายได้ด้วย

หนังมีช่วงน่าเบื่อคือใช้เวลากับฉากที่ กลุ่มเดวิด ลองผิดลองถูกในการทำเครื่องไทม์แมทชีนนานไปหน่อย หลังจากที่พวกเขาเดินทางข้ามเวลาไปสร้างความเกรียนต่างๆเนื้อเรื่องจึงค่อยๆเข้มข้นขึ้น ความสนุกคือพวกเขาเหมือนเป็นตัวแทนผู้ชมในการย้อนเวลากลับไปทำสิ่งต่างๆที่พวกเราก็เคยอยากทำแบบนั้นบ้าง แถมบางอย่างที่พวกเขาทำยังบ้าบอจนอดขำไม่ได้ อีกอย่างที่ชอบเป็นการส่วนตัวคือเพลงประกอบเพราะๆในเรื่องมีหลายเพลงเลย ไม่เสียชื่อหนังที่ผลิตโดยค่าย MTV

จอนนี่ เวสตัน กับบท เดวิด ถือว่าสอบผ่าน ด้วยความที่หนังไม่มีนักแสดงรุ่นใหญ่เลย ถือว่าเขาเป็นรุ่นพี่ที่คุมน้องๆอยู่ โซเฟีย แบล็ค ดาเลีย ที่เล่นเป็น เจสซี่ ดูสวยน่ารัก แต่ก็ไม่ถึงขนาดทำให้เราเชื่อว่าเธอเป็นนักเรียนสาวเบอร์1ของโรงเรียน ส่วนความรักของตัวละครทั้งสองปูพื้นน้อยไป ทำให้ความสัมพันธ์ดูฉาบฉวย ทำให้คนดูอินตามไม่ได้ แต่ที่ต้องชื่นชมคือ แซม เลิร์นเนอร์ กับ อลัน อีแวนกิลิสตา ที่แสดงเป็นเพื่อนซี้ของ เดวิด พวกเขาสร้างสีสันได้อย่างมาก คุมโทนหนังให้ดูไม่เครียดเกิน

โดยรวม Project Almanac ไม่ใช่หนังย้อนเวลาถึงขั้นยอดเยี่ยม แต่ก็น่าสนใจพอสมควร แม้จะมีการให้แง่คิดเรื่องผลลัพธ์จากการเปลี่ยนแปลงอดีต แต่นอกจากตอนจบจะได้ได้สอนสั่งอะไรคนดูแล้ว ยังนำไปสู่ความกวนอีกแบบหนึ่ง ด้วยสไตล์ที่ชัดเจนกับประเด็นสดใหม่ นับว่าผลงานการกำกับหนังยาวเรื่องแรกของ ดีน อิสราเอลไลท์ ใช้ได้ทีเดียว

คะแนน 7/10

โดย นกไซเบอร์

ดูตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/98029/?link=4




 

Create Date : 29 มกราคม 2558    
Last Update : 29 มกราคม 2558 17:14:14 น.
Counter : 1904 Pageviews.  

รีวิวหนัง : American Sniper กระสุนระยะไกล


สไนเปอร์ หรือ พลแม่นปืน เป็นทหารหน่วยสำคัญในทุกสงคราม ในความชุลมุนหรือความเงียบของสมรภูมิรบ พวกเขาสามารถซุ่มปลิดชีพข้าศึกได้จากระยะไกลโดยที่เหยื่อไม่ทันรู้ตัว แง่หนึ่งผู้คนสรรเสริญในความแม่นยำ ความชำนาญในการใช้อาวุธปืนยาวของพวกเขา ทว่า หลายคนก็ตราหน้าพวกเขาว่าเป็นคนขี้ขลาด เป็นหมาลอบกัดที่ฆ่าคนแบบหลบซ่อนในที่ลับหรือมุมมืด

ต้นปีที่ผ่านมาสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออกกลางดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับการบาดหมางของศาสนาคริสต์และอิสลาม โลกไม่มีวันเหมือนเดิมหลังเหตุการณ์กราดยิงนิตยสารชาร์ลีแอบโดในฝรั่งเศส หนทางยุติสงครามต่อต้านก่อการของสหรัฐฯกับประเทศยุโรปดูรางเลือน เช่นเดียวกับความสิ้นหวังของสันติภาพในดินแดนอาหรับ

การเข้าฉายของ American Sniper น่าจะมีส่วนทำให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางแย่ลงอีก หนังสร้างจากหนังสือขายดีประจำปี2012ของ คริส ไคลย์ พลซุ่มยิงมือหนึ่งในประวัติศาสตร์ของหน่วยซีลสหรัฐฯที่ปลิดชีพคนมา160รายในเวลา10ปี เป็นทหารอเมริกันซึ่งถูกกลุ่มก่อการร้ายตั้งฉายาว่า ปีศาจ พร้อมค่าหัวสูงถึง20,000ดอลลาร์สหรัฐฯ ภาพยนตร์กำกับโดย คลินต์ อีสต์วูด และมี แบรดลีย์ คูเปอร์ นักแสดงมากฝีมือมารับบทนำ

หนังเล่าถึงชีวิตของ คริส ไคลย์ แบบเจาะลึก ละเอียด ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวันที่ลั่นกระสุนสังหารชีวิตแรกในต่างแดน สะท้อนผลกระทบของสงครามที่มีต่อชายคนหนึ่งผ่านมุมมองส่วนตัว โดยเฉพาะเรื่องสภาพจิตใจ ขณะเดียวกันก็ฉายภาพความเป็นอเมริกันฮีโร่ในตัวเขา ยึดโยงจากความสามารถในการยิงปืนที่แม่นยำและความเสียสละ ทุ่มเทเวลาที่ควรจะอยู่กับครอบครัวมาให้กับประเทศ ประเด็นศาสนามีการนำสัญลักษณ์บางอย่างมาใช้บ้าง แต่ก็จับเพียงผิวเผิน

บทแต่งเติมเนื้อหาเพิ่มพอสมควร มีจุดให้ลุ้นบ้าง จุดหลุดก็เยอะ บางส่วนก็ไม่สมจริง อย่าง มุสตาฟา (ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริงไหม) มือสไนเปอร์ฝ่ายอาหรับที่หนังบอกว่าเขาได้เหรียญทองจากกีฬายิงปืนโอลิมปิกถูกสร้างขึ้นมาเป็นศัตรูคนสำคัญของ คริส กระนั้นฉากดวลไรเฟิลของสองนักแม่นปืนก็สั้นและง่ายเกินว่าจะเป็นไฮไลต์ของหนัง จุดนี้เป็นรอง Enemy at the Gates หนังแนวพลซุ่มยิงคล้ายกัน และความบ้าบิ่นรักเพื่อนของ คริส ที่สลัดการพรางตัวลงจากยอดตึกมาร่วมตะลุมบอนกับศัตรู ดูขัดกับตำแหน่งของสไนเปอร์มากๆ

เมื่อนำภาพรวมมาเทียบกับหนังสงครามในเมืองกลางทะเลทรายเรื่องก่อนๆจึงจัดว่าไปไม่สุดสักทาง แอ็คชั่นไม่สนุกเข้มข้นเท่า Black Hawk Down การถ่ายภาพ การบีบคั้นอารมณ์ยังด้อยกว่า The Hurt Locker สุดท้าย ดราม่าชีวิตทหาร มิตรภาพของเพื่อนพ้อง ก็สื่อออกมาไม่กระทบใจเหมือนเรื่องของทีมนาวิกโยธินใน Lone Survivor ผู้ชมแค่นับถือในความกล้าหาญของ คริส แต่มิอาจยกย่องในสิ่งที่เขาทำ ดูแล้วผมออกจะสงสารครอบครัวของเขาซะมากกว่า

แม้จะมีเนื้อหาอิงการเมืองไม่มากแต่ American Sniper พยายามชูความเป็นตำรวจโลกของสหรัฐฯเข้าไปมากมาย สร้างความถูกต้องด้วยคำพูดของ ไคลย์ ที่ว่า ทุกคนที่ถูกเขาสังหารเป็นคนไม่ดี สิ่งที่เขาทำเป็นไปเพื่อปกป้องเพื่อนๆ ครอบครัว ประเทศชาติ มันเป็นหน้าที่เขาจึงไม่รู้สึกผิด เช่นเดียวกับการใส่ฉากที่มีธงชาติสหรัฐฯนับ10ฉาก ถ่ายทอดแต่ความสูญเสียของฝ่ายตัวเอง รวมถึงเน้นความโหดเหี้ยมของกลุ่มอัลกออิดะห์ ทั้งหมดนี้เป็นการมองด้านเดียว แถมยังด้วยสายตาอคติ อาทิ ทั้งสองฝ่ายฆ่าเด็กเหมือนกัน แต่ฝ่ายสหรัฐฯกลับมีเหตุผลมารองรับ แสร้งว่าจำใจทำ ไม่มีทางเลือก โยนความผิดให้อีกฝ่ายว่าใช้เด็กเป็นเครื่องมือ ยิ่งซีนที่ทหารผ่านศึกคนหนึ่งมาบัญเอิญเจอ คริส ที่อู่ซ่อมรถแล้วขอบอกขอบใจเขายกใหญ่เรื่องเคยช่วยชีวิต นอกจากจะไม่ซึ้งแล้ว ยังดูล้นเกินไปหน่อย

การแสดงของ แบรดลีย์ คูเปอร์ คือส่วนที่เด่นที่สุดของหนัง เขาถ่ายทอดความรู้สึกได้ยอดเยี่ยม ไม่พยายามที่จะเหมือนกับตัวจริงเกินไป แต่ก็ทำให้คนดูเชื่อว่าเขาคือนักแม่นปืนแห่งหน่วยซีล ลบภาพกวนๆจากผลงานที่ผ่านมาไปได้หมด ตัวละครมีพัฒนาการทั้งภายนอกคือรูปร่างและภายในคือความคิด ซึ่งนั้นทำให้ คริส ไคลย์ กลายเป็นตำนานจริงๆมากกว่าคำพูดที่ยกยอกันเองของตัวละครหลายตัวในหนัง ข้อดีที่มีให้เห็นอีกก็คือฉากต่อสู้ที่พอมองข้ามความโอเวอร์ก็ให้ความบันเทิงในระดับหนึ่ง ซาวด์เสียงประกอบอย่างกระสุนชัดเจนช่วยเพิ่มอรรถรส และ งานสร้างชั้นดี ชุดนักแสดง อุปกรณ์ประกอบฉาก สถานที่ถ่ายทำดูดิบๆเข้ากับบรรยากาศ

American Sniper ยิงเข้าเป้าหัวใจอเมริกันชน ทั้งปลุกใจและปลุกระดมในคราวเดียว มันจึงไม่ใช่แค่หนังชีวประวัติ ทรงพลังในแง่ของการสร้างวีรบุรุษสงคราม ติดตรงการเล่าเรื่องที่ธรรมดาไป คาดเดาได้ตลอด แถมยังไม่มีประเด็นแหลมคมผิดฟอร์มของ คลินต์ อีสต์วูด หากคุณรู้เรื่องของคริสน้อยหรือไม่รู้เลยช่วงท้ายหนังก็สร้างความสะเทือนอารมณ์ได้

ถึงบทสรุปจะปั้นให้เป็นเรื่องปัญหาการสู้รับกับการก่อการร้าย แต่ส่วนตัวกลับมองว่าตอนจบมันเป็นการตีแผ่ปัญหาเรื้อรังในประเทศสหรัฐฯเสียเอง ในเรื่องกฏหมายการถือครองอาวุธปืนแบบเสรีที่นำมาซึ่งโศกนาฏกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า บนแผ่นดินที่อ้างว่าอยู่ดีมีสุขที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แทบทุกบ้านพวกเขากลับสอนเด็กๆจับปืนเพื่อใช้ป้องกันตัวหรือล่าสัตว์ก่อนที่ลูกๆหลานๆจะเข้าเรียนชั้นมัธยมด้วยซํ้า จนทุกวันนี้ ขณะที่ทหารของพวกเขากำลังเล็งปากกระบอกปืนไปหาคนชาติอื่น หลายครั้งปลายกระบอกปืนของพลเรือนสหรัฐฯกลับหันหน้าเข้าหาพวกเดียวกันเอง มันเป็นกระสุนระยะใกล้ที่น่ากลัวกว่ากระสุนระยะไกลซะอีก

คะแนน 7.5/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/146947/?link=4




 

Create Date : 22 มกราคม 2558    
Last Update : 22 มกราคม 2558 18:42:52 น.
Counter : 2491 Pageviews.  

รีวิวหนัง : INTO THE WOODS นิทานอลเวงกลางป่า


INTO THE WOODS ดัดแปลงบทมาจากนิทานของสองพี่น้องตระกูลกริมม์ และถูกนำมาเล่นเป็นละครเวทีบรอดเวย์จนโด่งดัง ด้วยความที่เรื่องราวของมันเป็นแนวเดียวกับหนังของค่ายดิสนีย์พอดี โปรเจกต์นำ INTO THE WOODS เข้าสู่โรงภาพยนตร์จึงเกิดขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นการหวังสานความสำเร็จต่อจาก Maleficent ที่นำเอานิทานเจ้าหญิงนิทรามาดัดแปลงเช่นกัน

หนังได้ ร็อบ มาร์แชล ที่เคยทำภาพยนตร์เพลงอย่าง Chicago มารับหน้าที่กำกับ ส่วนดารานำต้องบอกว่าคับคั่งสุดๆทั้ง เมอร์รีล สตรีพ,เอมิลี่ บลันท์,เจมส์ คอร์เดน,แอนนา เคนดริก,คริส ไพน์,เทรซีย์ อัลแมน,คริสทีน บาแรนสกี้ และ จอห์นนี่ เดปป์ INTO THE WOODS เอานิทานอมตะ4เรื่องคือ ซินเดอร์เรลล่า แจ็คผู้ฆ่ายักษ์ หนูน้อยหมวกแดง และ ราพันเซล มาผสมรวมกันโดยมีป่าเป็นฉากพื้นหลัง

คู่สามีภรรยาคนทำขนมปังคู่หนึ่งโดนคำสาปจากแม่มดทำให้ไม่สามารถมีลูกได้ สำหรับวิธีถอนคำสาปพวกเขาต้องเข้าไปในป่าแล้วนำของสี่อย่างมาให้แม่มด นั่นคือ ผ้าสีแดงเหมือนเลือด วัวสีขาวดุจนํ้านม รองเท้าแวววาวดั่งทองคำ และเส้นผมสีทองราวฝักข้าวโพด ขณะเดียวกันในป่าก็มี เด็กหญิงที่กำลังเดินทางไปเยี่ยมยาย เด็กชายที่นำวัวมาขาย สาวชาวบ้านที่อยากไปงานเลี้ยงในวัง และ สาวผมยาวที่อยู่บนหอคอย จากนั้นเรื่องราวอลเวงกลางป่าก็เริ่มต้น

INTO THE WOODS เป็นหนังแนวมิวสิคัลแฟนตาซีที่ตัวละครใช้การร้องเพลงแทนการสนทนาด้วยคำพูด ซึ่งคนไทยไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ ส่วนตัวเคยดูหนังแนวนี้คือ Les Misérables แต่เรื่องนั้นเนื้อหาค่อนข้างซีเรียส ผิดกับเรื่องนี้ที่ช่วงแรกบทหนังเบาเสียจนแทบจะไม่มีอะไร 
แถมยังเยิ่นเย้อและมีความยาวเกินไป จากที่หนังควรจะสนุกกำลังดีเลยกลายเป็นน่าเบื่อจนชวนจะหลับ

จุดนี้ยกความผิดไปให้กับ เจมส์ ลาไพน์ มือเขียนบทเต็มๆข้อหาที่โลภมาก อยากจะเล่าเรื่องละเอียดๆโดยไม่ยอมตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออก การตัดสลับไปสลับมาโดยเนื้อหาของแต่ละเรื่องก็เป็นคนละโทนทำให้คนดูสับสน โดยเฉพาะฉากที่ตัวละครแหกปากร้องเพลงโต้เถียงกัน ต้องบอกว่าดูวุ่นวาย น่ารำคาญ จนทำเอาเราปวดหัว

การแสดงโอเวอร์กว่าหนังทั่วไปหนึ่งสเต็ป ผู้กำกับพยายามสร้างบรรยากาศในโรงหนังให้เป็นละครเวที ซึ่งไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ เมอร์รีล สตรีพ,เอมิลี่ บลันท์ และ เจมส์ คอร์เดน เป็นนักแสดงเพียงสามคนที่คุมการแสดงของตัวให้อยู่ในระดับที่พอดีได้ ส่วนฉากที่ คริส ไพน์ ร้องเพลงบนนํ้าตกเล่นใหญ่เรียกเสียงหัวเราะได้ดี แต่นั่นทำให้ฉากต่อๆมาเขากลายเป็นเจ้าชายตัวตลกไปเสีย จอห์นนี่ เดปป์ โผล่ออกมาไม่กี่ฉาก เล่นได้ตามมาตรฐาน เอาตัวรอดไปได้แบบฉิวเฉียด

แม้ว่าหนังจะมีการสอดแทรกแนวคิดสอนใจดีๆเรื่อง สิ่งถูกผิด ผ่านนิทานอย่างคมคาย อาทิ คำขอพรก็มีราคาค่างวด เรื่องร้ายที่ผ่านมาเป็นบทเรียน การทำเพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว รวมถึงชื่นชมความกล้าของผู้กำกับที่เปลี่ยนความคิดของตัวละครจากบทดั้งเดิม(ซินเดอร์เรลล่าตั้งใจทิ้งรองเท้า)กับเปลี่ยนตอนจบที่ไม่ได้แค่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป กระนั้น ความไม่กระชับและเกินพอดี ทำให้ภาพรวมทั้งหมดของมันไม่ได้สร้างความประทับใจให้ผู้ชมส่วนใหญ่

คะแนน 6.5/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/135860/?link=4




 

Create Date : 16 มกราคม 2558    
Last Update : 16 มกราคม 2558 19:51:10 น.
Counter : 1732 Pageviews.  

รีวิวหนัง : Foxcatcher หมาล่ารางวัล



พูดกันตามตรงทุกการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ มวยปล้ำ น่าจะเป็นหนึ่งในหลายๆกีฬาที่คนส่วนใหญ่หมางเมิน ในสายตาชาวโลกมันคือกีฬาป่าเถื่อน ใช้แต่พละกำลัง โดยเฉพาะคนเอเชียนี่แทบไม่รู้เลยทั้งกติกา การนับคะแนน และ การตัดสินผลแพ้ชนะ ส่วนบ้านเราคุ้นเคยแต่มวยปล้ำแบบเตี๊ยมกันของสหรัฐฯ

Foxcatcher เป็นหนังที่จะทำให้คุณรู้จักและเข้าใจกีฬาประเภทนี้มากขึ้น นำแสดงโดย แชนนิ่ง ทาทัม กับ มาร์ค รัฟฟาโล่ ผลงานการกำกับของ Bennett Miller ผู้กำกับหนุ่มที่เคยสร้างชื่อจากหนังกีฬาแนวเดียวกันอย่าง Moneyball ซึ่งที่เหมือนอีกอย่างคือภาพยนตร์ทั้งสองสร้างมาจากเรื่องจริง

หนังเล่าถึง เดฟ (มาร์ค รัฟฟาโล่) และ มาร์ค (แชนนิ่ง ทาทัม) ชูทส์ สองพี่น้องนักมวยปล้ำทีมชาติสหรัฐฯผู้ยิ่งใ­หญ่ดีกรีเหรียญทองโอลิมปิกและแชมป์มวล­ปล้ำโลก เดฟ ผู้พี่เป็นนักมวยปล้ำและโค้ช ส่วน มาร์ค ผู้น้องเป็นนักกีฬาดาวรุ่งที่ทุ่มเททั้งชีวิตให้กีฬาชนิดนี้ จอห์น ดู ปองท์ (สตีฟ คาเรล) มหาเศรษฐีที่ชอบกีฬามวยปล้ำทุ่มทุนดึง มาร์ค มาร่วมทีมที่ชื่อ Foxcatcher ของเขา ไม่นาน จอห์น ซึ่งมีปมโหยหาเกียรติยศ ชื่นชมถ้วยรางวัล ต้องการการยอมรับจากคนรอบข้างก็เริ่มทำหลายสิ่งหลายอย่างให้ มาร์ค อึดอัด เดฟ จึงยอมย้ายมาร่วมทีมด้วยเพราะต้องการช่วยเหลือน้องชาย ก่อนที่ต่อมาจะเกิดโศกนาฏกกรรมที่สั่นสะเทิอนวงการกีฬาสหรัฐฯ

บทเจ๋งสมกับเป็นหนังตัวเต็งรางวัล ดราม่าหนักหน่วง ชีวิตจริงของ มาร์ค กับ เดฟ คือวัตถุดิบชั้นดีอยู่แล้ว นำมาปรุงแต่งเล็กน้อยก็กลายเป็นเรื่องเล่าชั้นเลิศ ดูแล้วอดนึกถึง The Fighter ไม่ได้ คล้ายกันทั้งการเป็นหนังกีฬาต่อสู้และมีความสัมพันธ์ของพี่น้องเข้ามาเกี่ยวข้อง เพียงแต่ใน Foxcatcher ความสัมพันธ์ซับซ้อนกว่า(ฉากตัวละครชายกอดรัดเล่นมวยปล้ำพาลให้คิดลึกจริงๆ) รวมถึงภาพรวมหนังก็ความหม่นหมองกว่า มีการสำรวจจิตใจมนุษย์แบบเข้มข้น ขณะที่องค์ประกอบหลายอย่างดูจงใจที่จะส่งให้มันเป็นหนังสายรางวัลเกินไปนิด ทั้ง การจมดิ่งสู่ความหดหู่ เชิดชูอเมริกา จับประเด็นความเหลื่อมลํ้าทางสังคม และสอดแทรกเรื่องเพศ

การดำเนินเรื่องราบเรียบมีข้อเสียคือทำให้หนังดูเนือย ใครไม่ชอบหนังแนวนี้มีหลับ ข้อดีคือมันสอดรับกับบรรยากาศคลุมเครือ ลึกลับ ไม่แน่นอนในเรื่อง ขณะที่ช่วงท้ายหนังกดดันผู้ชมพอสมควร นำเราไปสู่บทสรุปอันเลวร้ายได้สะเทือนใจ ไม่สาธยายอะไรมาก ปล่อยให้เราได้ครุ่นคิดเอง แม้บางคนอาจจะพอรู้เนื้อหามาก่อน แต่หนังก็ยังทำให้คนดูตกใจและประหาดใจอยู่ดี

จุดเด่นที่สุดของหนังหนีไม่พ้นการแสดงของดารานำ แชนนิ่ง ทาทัม ทำให้ผู้ชมเชื่อว่าเขาเป็นนักมวยปลํ้าจริงๆ ถ่ายทอดอารมณ์ผ่านทางสีหน้าแววตาได้ดี ฉายแววนักแสดงเจ้าบทบาท เป็นผลงานที่น่าจดจำของเขา มาร์ค รัฟฟาโล่ ในบท เดฟ แสดงได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน หนวดเครา กับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้บดบังความสามารถของเขาเลย เดฟ จึงเป็นตัวละครที่คนดูน่าจะรักมากที่สุด แต่ที่เซอร์ไพรส์เห็นจะเป็น สตีฟ คาเรล ที่เล่นเป็น จอห์น ดู ปองท์ เมคอัพทำเอาผมจำเขาแทบไม่ได้เลย บุคลิกน่าเกรงขามสุดๆ ขัดกับบทเบาๆในหนังตลกเรื่องก่อนๆของเขาแบบสิ้นเชิง ครั้งนี้จึงเป็นการพลิกคาแร็กเตอร์ครั้งสำคัญในชีวิต สตีฟ เลย

วงการกีฬาต่อสู้ นักกีฬาก็เหมือนหมาล่าเนื้อที่เอาร่างกายกับชีวิตมาเดิมพันในสนามแลกกับเศษเนื้อ โดยที่พรานหรือเจ้าของแทบไม่ต้องออกแรงอะไร เพียงแค่สั่งแล้วนั่งกระดิกเท้ารอ ก็ได้ทั้งเนื้อชิ้นใหญ่และเงินทอง แถมถ้าหมาตัวไหนแก่จนใช้การไม่ได้แล้ว พวกเขาก็พร้อมจะเขี่ยทิ้งเพื่อหาหมาหนุ่มตัวใหม่มาแทนที่ทันที

คะแนน 8/10

โดย นกไซเบอร์

ดูตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/150319/?link=4




 

Create Date : 14 มกราคม 2558    
Last Update : 14 มกราคม 2558 18:58:15 น.
Counter : 1097 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

mninho
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




นกไซเบอร์ วิจารณ์หนัง
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add mninho's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.