วันนี้ ทุกจอคอมพิวเตอร์ ในบ้านคุณ

รีวิว : Amy เพลงแจ๊สอันแสนเศร้า


เพลงของ เอมี ไวน์เฮ้าส์ เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก แต่กับตัวเธอ น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้รู้จักตัวตนที่แท้จริง ชีวิตของเอมี่ขึ้นสู่จุดสูงสุดก่อนจะลงสู่จุดตํ่าสุดอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย ปลายปี2007 เธอได้รับรางวัลแกรมมี่อวอร์ดส์ ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอาชีพนักร้อง ต่อมาเดือนกรกฎาคมปี2011 เอมี่ เสียชีวิตในวัยเพียง 27 ปี จากไปโดยทิ้งผลงานระดับขึ้นหิ้งเอาไว้ เธอถูกจัดเข้า The 27 Club คลับที่รวบรวมศิลปินชายหญิงที่ตายตอนอายุ27 ร่วมกับตำนานหลายๆคนอย่าง จิมิ เฮนดริกซ์ , จิม มอริสัน และ เคิร์ท โคเบน เป็นต้น ส่วนตัวไม่ใช่แฟนเพลงของเธอ รู้จักอยู่เพลงเดียวคือ Valery ทราบเพียงว่าเธอเป็นศิลปินสาวเสียงดีแต่มีข่าวเสียหายเรื่องความรักกับเหล้ายาบ่อยๆ

Amy ภาพยนตร์สารคดีชีวิต เอมี ไวน์เฮ้าส์ นักร้องสาวชาวอังกฤษเชื้อสายยิวกำกับโดย อาซิฟ คาปาเดีย หนังเรื่องนี้จะทำให้คุณได้รู้จักเธอมากขึ้น เขานำฟุตเทจของผู้คนรอบตัวที่เคยถ่ายคลิปและภาพ เอมี่ มาร้อยเรียงเป็นหนัง ซึ่งเปิดเผยทุกแง่มุมในชีวิตของเธอละเอียดยิบชนิดที่บางเรื่องแฟนเพลงตัวยงของเธอก็อาจไม่รู้มาก่อน เอมี่ เป็นคนน่าสงสารมาก แน่นอนเธอเป็นเด็กมีปัญหา การหย่าร้างของพ่อแม่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ เอมี่ เริ่มมีอาการของโรคซึมเศร้า ตั้งแต่วัยรุ่นเธอก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้ชาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้ามาหาประโยชน์จากพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงของเธอ ผู้ชายคนแรกที่มีบทบาทในชีวิต เอมี่ คือ  Nick Shymansky ผู้จัดการส่วนตัว เขาดูเป็นคนที่หวังดีและจริงใจกับเธอมากกว่าใคร การแยกกับเขาจึงถือเป็นหายนะอย่างหนึ่ง

Raye Cosbert ผู้จัดการส่วนตัวคนที่สองมีส่วนกับปัญหาสุขภาพของเธอ เขาเป็นอดีตคนโปรโมตคอนเสิร์ต สองสิ่งที่เขามอบให้เธอจึงคือ คิวเดินสายเล่นคอนเสิร์ตน้อยใหญ่ตลอดปี และ การอยู่เฉยๆไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับชีวิตของเธอ กับเขามันเป็นเรื่องธุรกิจล้านๆ (ต่างจาก Nick ที่คอยดูแล เอมี่ ทุกเรื่อง) ซึ่งเขาเข้าขากันดีกับ มิช ไวน์เฮาส์ พ่อตัวแสบเห็นแก่ได้ที่เอาแต่ฉกฉวยผลประโยชน์จากลูกสาว ไม่เคยห่วงใย ดูแล ปกป้อง เธออย่างพ่อที่ดีควรจะทำ (งานศพเธอเขายังพรํ่าถึงโปรเจกต์ต่างๆนานาในอนาคต) ส่วนคนสุดท้ายที่ทำลายชีวิต เอมี่ จนป่นปี้เป็น เบลค ฟิดเลอร์ สามีหนุ่มนิสัยเลวที่เธอรักสุดหัวใจขนาดยอมตายแทนได้ แมงดา เป็นคำนิยามสั้นๆซึ่งบอกตัวตนของเขาได้ชัดเจนที่สุด

ราวกับบทหนัง มีคนเลวก็ต้องมีคนดีบ้าง สองครั้งที่รู้สึกว่า เอมี่ มีความสุขจริงๆคือ ตอนที่เธอหนีไปเที่ยวเกาะนานครึ่งปี กับตอนที่ เอมี่ ได้ร้องเพลงกับ โทนี่ เบนเน็ตต์ นักร้องเพลงแจ๊สรุ่นใหญ่ ไอดอลในใจเธอ ผู้ชายดีๆที่ผ่านเข้ามา ไม่กี่คนซึ่งเธอเอ่ยปากชื่นชม น่าจะเป็นครั้งเดียวที่เราได้เห็น เอมี่ มีอาการประหม่า แถมยังถ่อมตัวมากๆ ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะเป็นคนเดียวกับที่เมาหนักขึ้นเวทีจนร้องไม่ได้ และทำให้คอนเสิร์ตต้องยกเลิกท่ามกลางเสียงก่นด่าของแฟนเพลงนับหมื่น 

หนังนำเสนอ เอมี่ ในมุมที่ดาร์คสุดๆ ไร้การปรุงแต่งสร้างภาพใดๆ ตีแผ่ศิลปินซึ่งล้มเหลวในการใช้ชีวิตออกมาได้น่าเศร้า ขณะที่อีกแง่นึงเธอก็เป็นเหยื่อของวงการบันเทิง สื่อรวมหัวกันรุมทึ้งจนนักร้องสาวแหว่งวิ้นเป็นชิ้นๆ หากผู้ชายในชีวิตเอมี่เปรียบได้กับหมาป่า นักข่าว พิธีกร และช่างภาพ ทั้งหลายก็คงเป็นอีแร้งที่น่ารังเกียจ กระนั้นเราก็ไม่อาจโทษทุกคนทั้งหมด เอมี่ น่าเห็นใจก็จริง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งต่างๆที่เข้ามา ส่วนหนึ่งมาจากการที่เธอเลือกเอง ยื่นมือออกไปหามันเองทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น เซ็กส์ ยาเสพติด และ แอลกอฮอล์   

ก่อนดูหนังคุณอาจจะมองเธอในภาพ สาวกร้านโลก มั่นใจในตัวเอง ขี้เหล้าเมายา ออกเพี้ยนนิดๆ แต่เมื่อคุณดูหนังจบคุณจะพบว่า เอมี่ เป็นผู้หญิงที่เปราะบางที่สุดคนหนึ่งบนโลกใบนี้ เธอเป็นนักร้องสาวที่มีความสามารถ นํ้าเสียงไพเราะ เล่นดนตรีได้ แต่งเพลงเอง ขณะเดียวกันเธอก็ขี้อาย ขาดความมั่นใจ ไม่ภูมิใจในตัวเอง อ่อนแอ ขาดความอบอุ่น และบูชาความรักมากๆ 

ผู้กำกับใช้เทคนิคการถ่ายภาพมุมสูงของสถานที่ต่างๆที่ เอมี่ เคยไป มาตัดอารมณ์ผู้ชมไม่ให้เคร่งเครียดเกิน การนำเสียงของคนใกล้ตัวเธอมาบอกเล่าโดยไม่เปิดหน้าคล้ายกับการที่คนร้ายหรือพยานกำลังให้ปากคำตำรวจ บางครั้งผู้ชมอาจรู้สึกว่าพวกเขากำลัง แก้ตัว ไม่ก็ สารภาพบาป ชอบเพลงที่นำมาประกอบ เข้ากับช่วงชีวิตต่างๆของเธอสุดๆ เนื้อเพลงทุกตัว โน๊ตทุกโน๊ต จึงดูมีความหมายมากขึ้น หลอมรวมเป็นเพลงแจ๊สอันแสนเศร้าซึ่งบอกเล่าเรื่องราวได้ยอดเยี่ยมและทรงพลัง 

ชีวิตของ เอมี ไวน์เฮ้าส์ น่าจะเป็นบทเรียนให้ศิลปิน คนในครอบครัวดารา สื่อบันเทิง รวมถึงแฟนเพลงทุกคน เข้าใจความรู้สึกของคนดังที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในสังคม พวกเขา พวกเธอ แทบจะไม่มีเวลากับพื้นที่ส่วนตัวเลย เอมี่ ไม่รู้วิธีรับมือกับชื่อเสียง ยาซซิน เบย์ เพื่อนศิลปินพูดเตือนเธอบ่อยๆ น่าเสียดายที่เธอไม่มีมีโอกาสได้ยินประโยควรรคทองของ เบนเน็ตต์ ที่ว่า ถ้าใช้ชิวิตให้นานกว่านี้ เธอก็จะเข้าใจชีวิตมากขึ้น

คะแนน 8.5/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/200816/?link=4




 

Create Date : 04 กันยายน 2558    
Last Update : 4 กันยายน 2558 19:04:31 น.
Counter : 1065 Pageviews.  

รีวิวหนัง : ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ การงาน ความรัก ชีวิต


ในแวดวงหนังสือ เต๋อ นวพล เป็นที่รู้จักมาก่อนหน้าที่เขาจะเริ่มแบนสายมาทำภาพยนตร์ งานเขียนของเขามีสไตล์เฉพาะตัว คำจำกัดความที่ชัดเจนที่สุดคือ กวนทีน แต่อ่านแล้ว ฮา แถมได้สาระ แน่นอนว่าเขาได้นำทักษะดังกล่าวมาต่อยอดเป็นการเขียนบทได้อย่างดี ส่วนตัวเคยอ่านหนังสือของเขาสองสามเล่ม ขณะที่งานภาพยนตร์มีโอกาสผ่านตาหนังสั้นรวมถึงเอ็มวีหลายๆตัวที่เขากำกับ สำหรับ MARY IS HAPPY, MARY IS HAPPY ดูจบแล้วยอมรับว่าไม่ค่อยอินนัก พอมาถึง ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ แม้กระแสจะดีมากๆ แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังไปก่อน 

ฟรีแลนซ์ฯ ใช้เวลาถ่ายทำเพียง16วัน ทุนสร้างแค่16ล้านบาท สมเหตุผลกับ หนังแมสเรื่องแรกของ เต๋อ นวพล และ หนังอินดี้เรื่องแรกของ GTH ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์ตรงของ เต๋อ ผู้กำกับที่เคยไปโรงพยาบาลแล้วพบหมอสาววัยไล่เลี่ยกัน บทสนทนาในวั้นนั้นทำให้เขารู้สึกเขิน ไอเดียเล็กๆนี้ถูกนำมาขยายต่อเป็นหนังใหญ่ โดยดึงเอา ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ กับ ดาวิกา โฮร์เน่ มารับบทเป็นคนไข้หนุ่มกับคุณหมอสาว

ยุ่น (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ชายวัย 30 มีอาชีพเป็นมือรีทัชขั้นเทพ รับงานฟรีแลนซ์ ซึ่งมี เจ๋ (วิโอเลต วอเทียร์) โปรดิวเซอร์รุ่นน้องคอยส่งและตามงาน ยุ่น เป็นคนบ้างานบวกกับชอบอดนอนทำงานข้ามวันข้ามคืน สถิติที่เขาเคยทำได้คือไม่หลับนาน5วัน กระทั่งวันหนึ่งก็เกิดปัญหาขึ้นเมื่อ ยุ่น มีตุ่มผื่นคันขึ้นตามร่างกาย ด้วยความงกเขาเลือกไปรักษาที่โรงพบายาลรัฐ ที่นั่นเองที่เขาได้พบกับ หมออิม (ดาวิกา โฮร์เน่) แพทย์สาวไฟแรงคนสวยผู้หวังอยากให้คนไข้หายป่วย เธอแนะนำให้เขา เข้านอนเร็ว ออกกำลังกาย และ เดินทางพักผ่อน หลังพบ หมออิม แล้ว ยุ่น ก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงตัวเอง ซึ่งบางทีอาจไม่ใช่เพื่อตัวเขา แต่เป็นเพื่อเธอ

บทหนังถ่ายทอดชีวิตของคนบ้างานและโลกของคนชอบอดนอนได้น่าสนใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนแข่งกันไม่หลับ แถมยังเอามาโพสต์อวดคนอื่นอย่างภาคภูมิใจ  เราได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของอาชีพฟรีแลนซ์ที่ไม่ได้อิสระหรือสบาย ซึ่งขัดแย้งกับภาพที่เด็กรุ่นใหม่ในสังคมไทยจินตนาการ จุดนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่ ยุ่น ในวัย30กว่าเป็นคนที่มีบุคลิกเหมือนคน Gen X มีความรับผิดชอบสูง อึด ถึก ทน ทุ่มเท สู้ทุกเดดไลน์ พร้อมตายคางาน ชีวิตของเขาว่างเปล่า โดดเดี่ยว จนน่าสงสาร ยุ่นอาจะเป็นคนสุดโต่งไปหน่อย แต่ก็สะท้อนคำพูดที่ว่า ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน ออกมาได้หม่นเศร้าดี

ตัวหนังแฝงประเด็นสังคมหลายอย่าง ทั้ง ค่าใช้จ่ายสุดแพงในโรงพยาบาลเอกชน คิวยาวเหยียดในโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งบ่งบอกถึงความล้มเหลวของสวัสดิการพื้นฐานในประเทศนี้ โดยมี ยุ่น เป็นตัวแทนคนที่อยู่นอกระบบประกันสังคม เพราะไม่ได้ทำงานประจำ(ภาพ ซันนี่ มีป้าย ผู้ป่วยนอก จึงสามารถนำมาตีความได้) ผู้มีรายได้น้อยต้องเสียเวลาหลายชั่วโมงไปกับการรอคิว ก่อนจะได้พบแพทย์แค่ไม่กี่นาที แต่ในทางกลับกันหนังก็ได้เปลี่ยนอารมณ์การพบหมอที่เป็นเรื่องซีเรียส น่ากลัว ให้กลับดูรื่นรมย์ขึ้น เมื่อคนไข้หนุ่มแอบชอบคุณหมอสาว

ไม่เฉพาะ ฟรีแลนซ์ หนังพูดถึงภาพรวมของคนทำงาน โดยเอาตัวละคร หมออิม เป็นตัวแทนของหมอในโรงพยาบาลรัฐบาลที่มีงานล้นมือ ซํ้ายังเป็นเด็กจบใหม่ แน่นอนว่าด้วยเพศสภาพและวัยวุฒิ เธอคงได้รับความกดดันพอสมควร คำพูดทีเล่นทีจริงของหมอหนุ่มอีกคนที่บอกว่าหมออิมคนสวยคนไข้หลายคนไม่ยอมหาย มองได้ทั้งเป็นการแซวเล่น จนถึงการดูหมิ่นความสามารถในการรักษาคนไข้ของเธอ ทำให้มีฉากหนึ่งที่เธอเอ่ยปากจากความน้อยใจให้ ยุ่น เปลี่ยนหมอ แน่นอนว่าค่านิยมในสังคมไทยให้การยอมรับอาจารย์หมอแก่ๆมากกว่าหมอจบใหม่

ด้านความสัมพันธ์ของ ยุ่น กับ หมออิม หนังทำออกมาได้กลมกล่อม บทสนทนาในห้องคนไข้เดือนละครั้ง ไม่ว่าจะ การเถียงกัน หยอกล้อกัน โกรธกัน งอนกัน ง้อกัน อดทำให้เราคิดว่าเป็นบทสนทนาของคู่รักไม่ได้ เช่นเดียวกับ เจ๋ รุ่นน้อง ยุ่น ที่มีหน้าที่คล้ายเป็นโคโปรเจกต์มากกว่า เธอทำให้เรานึกถึงคนทวงต้นฉบับการ์ตูนหรือนิยายของญี่ปุ่น ส่วนแฟนของ เจ๋ เป็นตัวแทนของคนในอาชีพข้าราชการซึ่งถูกนำมายั่วล้อเบาๆ สำหรับ พี่เป้ง เป็นตัวแทนของเหยี่ยวร้ายในสังคมคนทำงานที่เปลือกนอกดูเป็นมิตร น่านับถือ ทว่าเบื้องหลังคอยเอาเปรียบ จ้องหาประโยชน์จากคนอื่นตลอด

ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ช่วงแรกมีดนตรีประกอบที่โดดเด่นด้วยเสียง กลอง สแนร์ กับ เครื่องเป่า ฟังแล้วนึกถึงหนังเรื่อง Birdman ทันที สร้างจังหวะเข้ากับความคิดในหัวของ ยุ่น แบบลงตัว หนังมีลายเซ็นต์ของ เต๋อ ชัดเจน ทั้งมุมกล้องแบบ Hand-Held ฉาก Long take เจ๋งๆ ตัวละครตลกหน้าตาย และ ซีนตลกร้าย มีการซ่อนแมสเสจต่างๆไว้กับตัวละครและฉาก อาทิ เสื้อยืดของยุ่น โปสเตอร์วินดีเซลในยิม พี่สุชาติ วินมอเตอร์ไซด์ประจำตัวของเจ๋ แบ็คกราวด์ศาลเจ้าพ่อที่มีคนมาถวายม้าลายในฉากที่ ยุ่น ยืนคุยกับ หมออิม ตอนท้ายหนังพูดถึงความสุขในชีวิต แม้จะใหญ่เกินตัวไปสักหน่อยทว่าก็มีความกล้านำเสนอในแนวทางที่แปลกใหม่ ชอบที่หนังทำให้ตุ่มผื่นเป็นเหมือนเพื่อนของยุ่น มันคือสิ่งที่ทำให้เขาได้พบหมออิม เขายอมฝืนกินยาที่ทำให้เสียงาน แต่ก็ไม่อยากหาย ขณะที่ยุ่นก็คืองานของหมออิมเช่นกัน การทำให้เขาหายป่วยเป็นหน้าที่ของเธอ จุดนี้คือความย้อนแย้งซับซ้อนที่ตัวละครต้องเผชิญ

ซันนี่ เล่นดีมาก ดูเป็นตัวเองที่สุดในหนัง กับการแสดงอารมณ์ที่หลายหลาย การพากย์เสียงในหัวก็โดดเด่น ที่สำคัญเขาทำให้คนดูเชื่อว่าเป็นกราฟฟิกมืออาชีพจริงๆ ไม่ใช่แค่ทำท่าจับปากกาหรือขยับเมาส์ไปมา ใหม่ ดาวิกา ต่างจากเรื่องที่ผ่านมา แม้การแสดงจะดูเป็นธรรมชาติ แต่ยังไม่สามารถทำให้ผู้ชมเชื่อได้ว่าเธอเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลรัฐ(เอกชนพอไหว) ทว่าข้อดีก็คือเธอมีความเข้าขากับซันนี่ การดีเบตกันของ ยุ่น กับ หมออิม ในคอกแคบๆจึงดูสนุก ราวกับเป็นการถกเถียงกันของ เด็กสายศิลป์ กับ เด็กสายวิทย์ หรือระหว่าง อารมณ์ กับ เหตุผล

พวกเขาเจอกันด้วยโรคประหลาด การมาพบกันทุกเดือนยาวนานเกือบปีจึงไม่น่าแปลก แน่นอนคุณคงแอบสงสัยว่า คนไข้ หมอ หรือทั้งคู่ จงใจเลี้ยงไข้เพื่อที่จะได้พบกันอีก บอกยากว่าใช่ความรักหรือไม่ เหล่านี้เป็นความโรแมนติกน้อยๆที่ซ่อนอยู่ในความจริงจังของหนัง อีกคนที่เด่นคือ วิ วิโอเลต ในบท เจ๋ เคมีของเธอเข้ากับ ซันนี่ สุดๆ เป็นคู่หูการทำงาน คู่ซี้ พี่น้อง ที่บางทีเราก็อดคิดไม่ได้ว่า ยุ่น มอง เจ๋ ในฐานะอื่นบ้างรึเปล่า

หนังมีการนำเสนอแบบราบเรียบ ดำเนินเรื่องไม่หวือหวา ออกแนวเหงาๆ ภาพรวมเป็นหนังอินเตอร์มากๆ ประสบการณ์ร่วมในบางฉากอาจเชื่อมโยงผู้ชมได้ ถึงจะดูไม่ยาก แต่มันก็ไม่ได้แมสขนาดเข้าถึงคนทุกกลุ่มหรือทำให้ผู้ชมทุกคนเข้าใจเนื้อหาได้ทั้งหมด สิ่งที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นแนวคิดการหาสมดุลของชีวิตที่ คุณสามารถมีความสุขกับการทำงาน ไปพร้อมๆกับมีความสุขในการใช้ชีวิตได้

คะแนน 8/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/203262/?link=4




 

Create Date : 01 กันยายน 2558    
Last Update : 9 กันยายน 2558 17:17:21 น.
Counter : 4349 Pageviews.  

รีวิวหนัง : Paper Towns คนว่างเปล่าในเมืองปลอม


Paper Towns เป็นภาพยนตร์เรื่องสองที่สร้างมาจากนิยายรักวัยรุ่นของ จอห์น กรีน ถัดจาก The Fault in our star เรื่องก่อนหน้าที่ประสบความสำเร็จพอสมควร ครั้งนี้ จอห์น มานั่งแท่นเป็นโปรดิวเซอร์ โดยดึง เจค ชเรียร์ ผู้กำกับรุ่นใหม่เจ้าของผลงาน Robot & Frank มากำกับ แต่ไฮไลต์คงหนีไม่พ้นนักแสดงนำที่ได้ คารา เดเลวีนจ์ นางแบบสาวชื่อดังมารับบท มาร์โก สาวที่ตัวละครเอกหลงใหล

เนื้อเรื่องเล่าถึงชีวิตช่วงสุดท้ายใยการเป็นนักเรียนมัธยมของ ควินติน (แนท วูล์ฟ) หนุ่มเนิร์ดนิสัยดี ขี้อาย ไม่ค่อยมีความมั่นใจ เขาแอบชอบ มาร์โก (คารา เดเลวีนจ์) สาวสวยที่อยู่ตรงข้ามบ้าน เธอรักการผจญภัย ชอบเรื่องลึกลับสืบสวน สมัยเด็กทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนกัน แต่ด้วยนิสัยขี้กลัวของ ควินติน ที่ไม่ยอมหัวหกก้นขวิดไปกับเธอ ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงค่อยๆห่างไปเรื่อยๆจนแทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน

กระนั้นในคืนหนึ่งก่อนถึงวันพิธีจบการศึกษา มาร์โก ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าต่างห้องนอนของ ควินติน เธอชวนเขาออกไปช่วยปฏิบัติภารกิจแก้เผ็ดอดีตแฟนหนุ่มและเพื่อนสาว ควินติน อิดออดเล็กน้อยแต่ก็ยอมไปด้วย ก่อนที่คืนนั้นจะเป็นคืนที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตเขา แต่เช้าวันรุ่งขึ้นฝันหวานของ ควินติน ก็พังทลายลง เมื่อ มาร์โก หายตัวออกไปจากบ้านท่ามกลางข่าวลือมากมาย ควินติน พบเบาะแสว่าเธออาจจะอยู่ที่เมืองปลอมในแผนที่ ก่อนงานพรอมไม่กี่วันเขาจึงตัดสินใจออกเดินทางไกลไปหาเธอร่วมกับ เรดาร์ เพื่อนสนิทเด็กเรียนหัวดี , เบ็น เพื่อนซี้จอมกวน , เลซีย์ เพื่อนสาวสุดเซ็กซี่ของมาร์โก และ แองเจลา แฟนสาวของเรดาร์ ร่วมทางไปด้วย แม้เพื่อนๆจะบอกให้เขาทำเวลาเพื่อรีบกลับไปให้ทันงานพรอม ควินติน ก็ไม่สนใจ เพราะ มาร์โก คืองานพรอมสำหรับเขา 

Paper Towns คือหนังรักวัยรุ่นแนวก้าวพ้นวัยผสมกับเดินทาง ถ่ายทอดผ่านมุมมองของกลุ่มเด็กเรียนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบอยู่ในระเบียบเกินจนน่าเบื่อ โดยมี ควินติน เป็นตัวแทน ขณะที่อีกฟากหนึ่งก็นำเสนอชีวิตที่น่าเห็นใจของสาวฮ๊อตประจำโรงเรียนที่ถูกคาดหวังจากผู้คนมากมายซึ่งไม่ได้รู้จักเธอจริงๆ พวกเขาตัดสินเธอจากแค่รูปลักษณ์ภายนอก มาร์โก จึงมองเมืองออแลนโด้ว่าเป็นเมืองกระดาษ ผู้คนก็เป็นคนปลอมๆที่พูดถ้อยคำลวงๆใส่กัน นอกจากนั้นหนังยังเสียดสีสังคมกับประเด็นการใช้ชีวิตตามสูตรสำเร็จ จบมัธยม ต่อมหาลัย มีแฟน หางานทำ แต่งงาน มีลูก พร้อมกับตั้งคำถามถึงเรื่องความสุขในชีวิตได้อย่างน่าสนใจ เพลงประกอบแม้จะไม่ติดหูเหมือนใน The Fault in our star แต่ก็ถือว่าเลือกมาได้ดี ช่วยบิ้วอารมณ์คนดูได้ในหลายฉาก 

แนท วูล์ฟ แสดงดีมากในบท ควินติน จากบทเพื่อนพระเอกใน The Fault in our star มาเป็นตัวละครนำใน Paper Towns ถือว่าเป็นก้าวกระโดดเล็กๆ เขาอาจจะไม่ใช่หนุ่มหล่อสาวกรี๊ด แต่เป็นหนุ่มหน้าซื่อที่มีรอยยิ้มเป็นสเน่ห์มัดใจผู้หญิง น่าเสียดายที่เคมีเขากับ คาร่า ไม่เข้ากันเท่าไหร่ทำให้พาร์ทความรักโรแมนติกดูดร็อปลง (ดันไปเคมีเข้ากับเพื่อมาร์โกซะงั้น) ชอบปมที่ทำให้คนดูสับสนว่า ควินตินคิดเข้าข้างตัวเอง กำลังถูกมาร์โกปั่นหัว หรือ ฝ่ายหญิงก็มีใจกันแน่ ส่วนที่ดีที่สุดของหนังกลับเป็นพาร์ตดราม่ามิตรภาพระหว่างเพื่อน ของ แนท กับ ออสติน และ จัสติซ ผู้ชมเชื่อสนิทใจเลยว่าพวกเขาเป็นเพื่อนรักแก๊งเดียวกันแท้ๆ

คารา เดเลวีนจ์ กับการรับบทนำครั้งแรกถือว่าธรรมดาเกินไปนิด ไม่น่าจดจำ แน่นอนว่าเธอมีความสวยเหลือเฟือ แต่ก็ไม่ขนาดพิมพ์นิยมเหมาะเป็นสาวสุดฮ็อตประจำรุ่น อาจเพราะบทไม่ค่อยส่งด้วย มาร์โก เป็นตัวละครที่มีพฤติกรรมแปลกประหลาดพอสมควร บางครั้งเธอจึงดูเหมือนภาพฝันของควินตินมากกว่ามีอยู่จริง ส่วนตัวคิดว่า ฮาลสตัน เซจ ที่เล่นเป็น เลซีย์ ยังดูเจิดจ้าน่าสนใจกว่า คาร่า ทว่ามีจุดหนึ่งที่ชีวิตจริงของเธอเชื่อมโยงกับตัวละคร มาร์โก คือเรื่องที่เธอเพิ่งประกาศอำลาชีวิตบนรันเวย์พร้อมให้เหตุผลว่าวงการนางแบบทำให้เธอรู้สึกว่างเปล่า ส่วนนี้ใกล้เคียงกับความรู้สึกของตัวละครในหนังมากๆ บางขณะเราจึงรู้สึกคล้ายกับเธอไม่ได้แสดง แต่กำลังพูดถึงชีวิตตัวเองอยู่

Paper Towns มีเนื้อหาค่อนข้างหลากรสแต่การนำเสนอราบเรียบไปหน่อย จึงอาจไม่คลิ๊กกับทุกคน อยู่ที่ประสบการณ์ร่วมของคนดู เหมาะกับวัยรุ่นวัยเรียนหรือคนที่กำลังค้นหาตัวเอง ดูเอาสาระมองให้ลึกเป็นปรัชญาก็ได้  ดูเอาเพลินสนุกไปกับทริปพิเศษของตัวละครก็ดี 

คะแนน 7/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/179871/?link=4




 

Create Date : 27 สิงหาคม 2558    
Last Update : 27 สิงหาคม 2558 17:47:19 น.
Counter : 1241 Pageviews.  

รีวิวหนัง : To the Fore จักรยานของฉัน ฝันของเธอ


ตั้งแต่ขึ้นมหาลัยผมกับจักรยานก็ห่างเหินกันไปเรื่อยๆ ทั้งที่สมัยประถมถึงมัธยมนี่ปั่นแทบทุกวัน จักรยาน เดินทางผ่านจากยุคยานพาหนะสู่สัญลักษณ์แห่งสิ่งแวดล้อม ต่อด้วยการเป็นอุปกรณ์กีฬา ถัดมากลายเป็นสินค้าแฟชั่น จนล่าสุดกับบทบาทใหม่คือการปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพซึ่งกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย

To The Fore เป็นภาพยนตร์ไต้หวันของผู้กำกับชื่อดัง ดังเต้ แลม เนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตนักแข่งจักรยาน เข้าฉายในบ้านเราประจวบเหมาะจริงๆ เพราะตอนนี้กระแสการปั่นจักรยานยังคงบูมอยู่ ส่วนตัวเพิ่งได้อ่านหนังสือชีวประวัติของ แลนซ์ อาร์มสตรอง นักปั่นแชมป์โลกทำให้เข้าใจกติกาหลายๆอย่างของกีฬานี้ อาทิ ทีมจักรยานก็มีตำแหน่งเหมือนกีฬาประเภททีมอื่นๆ นำโดย สปรินเตอร์ หัวหน้าทีม นักปั่นที่มีความเร็วที่สุดในทีม โดเมสทิค นักปั่นที่คอยช่วยสปรินเตอร์ กำหนดจังหวะและป้องกันไม่ให้ทีมการแตกขบวน นักปั่นนำ นักปั่นทีมีหน้าที่บังลมให้สปรินเตอร์ บางครั้งเป็นตัวล่อในการโจมตีทีมอื่น ตัวบล็อก นักปั่นที่มีหน้าที่บังคู่แข่งไม่ให้แซง หรือ นักปั่นเกาะกลุ่ม ที่มีหน้าที่ปั่นช้าๆเกาะกลุ่มใหญ่ (เพอโลตง) คอยสื่อสารกับทีมงาน คอยช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมคนอื่น นอกจากนี้ก่อนแข่งทุกทีมยังต้องวางแผนดูสนามแข่ง คำนวณแรงลม ฝึกปรับการวิ่งเป็นขบวนแบบต่างๆ รวมถึงเรื่องเล็กๆอย่างผู้ที่ชนะแต่ละสนามจะได้ใส่เสื้อสีเหลืองของแชมป์ หากรู้เรื่องเหล่านี้จะทำให้คุณดูหนังสนุกขึ้น

เนื้อหาของหนังเล่าถึง เรเดียนท์ ทีมนักปั่นมาแรงของลีกจักรยานดิวิชั่นสามไต้หวัน ทีมี เจิ้งจื่อหยวน (ชอย ซี วอน) สปรินเตอร์อัจฉริยะชาวเกาหลีเป็นผู้นำ โดยมีสองนักปั่นดาวรุ่งชาวไต้หวันคือ โจวหมิง (เอ็ดดี้ เผิง) กับ ชิวเทียน (โต้ว เซียว) ร่วมทีม พวกเขาสามารถเอาชนะทีมคู่แข่งจนได้ขึ้นไปแข่งดิวิชั่น2 ทว่าต่อมาทีมเรเดียนท์กลับมีปัญหาเรื่องการเงินทำให้ต้องยุบทีม นักปั่นทั้งสามต้องแยกย้ายกันไปเป็นสปรินเตอร์อยู่คนละทีม

ในการแข่งจักรยานดิวิชั่นสอง เจิ้งจื่อหยวน ครองอันดับหนึ่ง โดยมี โจวหมิง เป็นคู่ปรับคนสำคัญ บางสนาม โจวหมิง สามารถเอาชนะ เจิ้งจื่อหยวน ได้ ทั้งสองคนมีชื่อเสียงเงินทองมากขึ้น ผิดกับ ชิวเทียน ที่เริ่มท้อเพราะไม่เคยชนะในสนามใดเลย ขณะเดียวกันเรื่องหัวใจเขากับ โจวหมิง เพื่อนสนิทก็ดันไปรักนักปั่นสาวคนเดียวกันอีก ด้าน โจวหมิง เองก็เริ่มประสบปัญหาในทีมจากความอารมณ์ร้อนของเขา ชีวิตนักปั่นอาชีพของพวกเขาจึงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป

บทหนังนำเสนอเรื่อง มิตรภาพ ความรัก ความฝัน ในโลกของนักแข่งจักรยานได้เข้มข้น น่าติดตาม (บางตอนนึกถึงหนังรถแข่งเรื่อง Rush) แม้การดำเนินเรื่องจะไม่ค่อยประชับเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้เราเห็นทุกแง่มุมของวงการนี้ เมื่อการแข่งจักรยานกลายเป็นธุรกิจ นักกีฬาต่างก็มีความกดดันจากผลแพ้ชนะ นำมาสู่การใช้วิธีนอกกติกามากมายทั้ง การเบียดการชนคู่แข่ง จ้างล้มการแข่งขัน ไปจนถึงการโด๊ปยา

ฉากการแข่งขันจักรยานทำออกมาได้ยอดเยี่ยม มุมกล้องหลากหลาย สมจริง เหมือนผู้ชมได้เข้าไปนั่งดูอยู่สองข้างทาง แถมยังสร้างอารมณ์ร่วมให้เราลุ้นเอาใจช่วยตัวละคร โดยเฉพาะฉากอุบัติเหตุต่างๆ เห็นแล้วอดเจ็บแทนไม่ได้ ดนตรีประกอบเด่นมาก เสียงเร้าใจเข้ากับบรรยากาศการขับเคี่ยวชิงชัยในหนัง พ่วงด้วยการถ่ายทอดภาพความสวยงามของเกาะไต้หวันในมุมที่หลายคนยังไม่เคยเห็น

เอ็ดดี้ เผิง มีสเน่ห์ล้นเหลือในบท โจวหมิง รอบนี้เขามาในมาดหนุ่มผิวสีเข้ม ซึ่งก็ยังคงดูหล่อเหล่าได้ใจผู้ชมสาวๆเช่นเคย แต่ในเรื่องนี้มี ชอย ซี วอน ที่เล่นเป็น เจิ้งจื่อหยวน มาแย่งเรตติ้งสาวๆที่ชอบสไตล์หนุ่มเกาหลีไป โต้ว เซียว ผู้รับบท ชิวเทียน ถูกวางเป็นพระรองเต็มตัว ซึ่งเขาก็เป็นคนที่ช่วยหนุนประเด็นความรักกับมิตรภาพของ โจวหมิง ให้สมบูรณ์ขึ้น ที่สำคัญคือทั้งสามคนทำให้เราเชื่อได้สนิทว่าพวกเขาเป็นนักปั่นจักรยานอาชีพ ด้าน หวังลั่วตัน นักแสดงสาวชาวจีนที่เล่นเป็นนักปั่นสาวคนรักของ โจวหมิง ก็ทำได้ดีกับการเป็นตัวแทนของหญิงสาวในกีฬาชนิดนี้ เธอแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงก็มีความฝัน และไม่จำเป็นต้องรับบทแค่กองเชียร์ข้างสนามเสมอไป ติงนิดนึงคือมีการผูกปมความสัมพันธ์ของ เจิ้งจื่อหยวน กับลูกสาวเจ้าของทีม เรเดียนท์ และ ชิวเทียน  กับตากล้องสาว แต่จู่ๆผู้กำกับดันตัดทิ้ง ไม่สานต่อ ทำให้ค้างคาใจพิกล

เมื่อดู To the Fore จบคุณอาจรู้สึกอยากปัดฝุ่นจักรยานคันเก่าในบ้านออกมาปั่นอีกครั้ง จักรยาน พาหนะสองล้อที่ใช้เพียงพลังกายและพลังใจล้วนๆในการขับเคลื่อนเราไปหาความฝัน

คะแนน 7.5/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/203926/?link=4




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2558    
Last Update : 25 สิงหาคม 2558 17:36:58 น.
Counter : 1052 Pageviews.  

รีวิวหนัง : Hitman Agent 47 นักฆ่าหมายเลข 47


แม้ว่าหนังที่สร้างมาจากวีดีโอเกมส์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก แต่วงการฮอลลีวู้ดก็ยังมีผู้กำกับลองของอยู่ประจำแทบทุกปี และปีนี้เป็น อเล็กซานเดอร์ แบช ผู้กำกับหน้าใหม่ซึ่งเลือกที่จะเปิดตัวในวงการฮอลลีวู้ดกับภาพยนตร์ใหญ่เรื่องแรกในชีวิตของเขาอย่าง Hitman Agent 47

ตัวหนังเล่าถึงนักฆ่าลึกลับที่เรียกตัวเองว่าหมายเลข47 เขามีบาร์โค้ดติดอยู่ด้านหลังศีรษะ โดยถูกสร้างขึ้นผ่านการวิศวพันธุกรรมทำให้มีความสามารถด้านการต่อสู้สูงกว่ามนุษย์ปกติ เขาได้รับมอบหมายให้ตามหา คาเทียร์ หญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งซึ่งถูกหมายหัวจากองค์กรซินดิเคท(ชื่อคุ้นๆ) เพราะเธอเป็นลูกสาวของด็อกเตอร์ผู้สร้างหมายเลข47ขึ้นมา

ต่อมา หมายเลข47 บอกกับ คาเทียร์ ว่าเธอคือหนึ่งในเอเย่นต์เหมือนกับเขา พร้อมกับดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของเธอออกมา ทั้งคู่ร่วมมือกันตามหาพ่อของคาเทียร์เพื่อคลี่คลายเรื่องราวทั้งหมด โดยมี จอห์น สมิธ มนุษย์ดัดแปลงมือสังหารเบอร์หนึ่งขององค์กรซินดิเคทคอยตามล่าพวกเขา 

Hitman Agent 47 เป็นหนังจากเกมที่ไม่ได้เลวร้ายนัก ถึงบทจะตามสูตรไปนิด เน้นขายฉากแอ็คชั่น แต่ก็เป็นหนังที่บันเทิง ไม่ซับซ้อน ดูได้เพลินๆ อาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่รู้แต่ทำให้นึกถึงหนังสายลับและหนังไซไฟหลายๆเรื่อง เหมือนเป็นส่วนผสมระหว่าง The Man From U.N.C.L.E กับ Lucy จุดนี้เป็นข้อเสียเพราะหลายฉากของดันไปคล้ายกับหนังที่เพิ่งเข้าฉายไป ทำให้หนังไม่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ซํ้ายังถูกมองว่าก็อปปี้ไอเดียคนอื่น

ซีนต่อสู้สนุกพอใช้ มีมุมกล้องแปลกใหม่ ฉากสโลว์โมชั่น เลือดสาดสมจริง ทว่าส่วนอื่นๆของหนังกลับค่อนข้างดร็อปทั้งพาร์ตสืบสวนและดราม่าที่ยังทำไม่ถึง ปัญหาคือหนังค่อนข้างไปในโทนเดียว เคร่งเครียดเกิน มุขตลกแทบไม่มี อีกทั้งตัวละครก็มีความเป็นหุ่นยนต์มากกว่ามนุษย์ เป็นหนังที่เราแทบไม่เห็นฉากใครดื่มหรือกินอะไรเลย ถ้าจำไม่ผิดมีฉากตัวละครรินเหล้าแค่ครั้งเดียว แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ดื่ม

รูเพิร์ต เฟรนด์ ส้มหล่นมารับบท เอเย่นต์หมายเลข47 แทน พอล วอร์คเกอร์ ผู้ล่วงลับ เขาดูเท่ดีตอนถือปืนในชุดสูทดำ ส่วนเรื่องการแสดงนั้น บุคลิกแข็งๆของเขาก็เหมาะกับตัวละครในระดับหนึ่ง ขณะที่ ฮันนาห์ แวร์ ที่แสดงเป็น คาเทียร์ เธอเป็นสาวลูกครึ่งที่มีสเน่ห์มาก(สำหรับคนที่เบื่อสาวผมบลอนด์) เพียงแต่บทหนังไม่ค่อยส่งสักเท่าไหร่ ฉากตลกเล็กๆ(หรืออาจจะเป็นฉากเดียว)ที่เธอทำท่าอายเรื่องถอดปืนของหมายเลข47ออกมาเล่นเป็นช็อตน่าจดจำ 

ภาพรวม Hitman Agent 47 มีข้อบกพร่องหรือจุดผิดพลาดมากมาย กระนั้นก็ใช่ว่าหนังจะหาส่วนดีไม่ได้ เพลงประกอบโดดเด่น การลำดับภาพก็น่าสนใจ เพียงแต่หนังมีปัญหาในการเล่าเรื่อง รวมถึงขาดนักแสดงชั้นนำที่อาจมาช่วยทำให้หนังมีสีสันมากกว่านี้

คะแนน 6.5/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/175918/?link=4




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2558    
Last Update : 24 สิงหาคม 2558 16:44:01 น.
Counter : 1952 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

mninho
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




นกไซเบอร์ วิจารณ์หนัง
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add mninho's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.