ท่ามกลางความกังวลของผู้คนทั่วโลกต่อสภาวะเศรษฐกิจในประเทศตัวเอง มีข้อมูลที่น่าเหลือเชื่อเมื่อสำนักข่าวบลูมเบิร์กเปิดเผยว่าไทยเป็นประเทศที่มีความสุขทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก วัดจากอัตรเงินเฟ้อและตัวเลขว่างงานตํ่า (จากปัจจัยโครงสร้างเศรษฐกิจที่ ผู้คนยังจับจ่าย ไม่มีสวัสดิการคนว่างงาน และค่าแรงไม่สูง) ขณะที่สหรัฐฯอเมริกาประเทศมหาอำนาจอยู่ในอันดับ8 พญาอินทรีกำลังติดหล่มทุนนิยมจาก วิกฤตอสังหาริมทรัพย์-สินเชื่อซับไพรม์ หรือ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ในปี2008 ซึ่งยังคงส่งผลกระทบยาวนานมาถึงปัจจุบัน
The Big Short เป็นภาพยนตร์ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างละเอียด สร้างจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ชื่อ The Big Short Inside the Doomsday Machine โดย ไมเคิล ลูอิส (ผู้เขียน The Blind Side, Moneyball) ที่ได้ อดัม แมคเคย์ จาก The Other Guys มากำกับ ซึ่งรวบรวมนักแสดงชายแถวหน้าของฮอลลีวู้ดไว้หลายคนทั้ง คริสเตียน เบล,สตีฟ คาเรลล์,ไรอัน กอสลิง และ แบรด พิตต์
ตัวหนังเล่าเรื่องราวตัดสลับไปมาระหว่าง จาเร็ต เวนเน็ตต์ (ไรอัน กอสลิ่ง) นายธนาคารหนุ่มหัวใส , ด็อกเตอร์ไมเคิล เบอร์รี (คริสเตียน เบล) ผู้บริหารกองทุนอัจฉริยะ , มาร์ค บอม (สตีฟ คาเรล) นักลงทุนอารมณ์ร้อน และ เบน ริคเคิร์ต (แบรด พิตต์) อดีตผู้ครํ่าหวอดในตลดหุ้นสหรัฐฯ พี่เลี้ยงของ เจมี ชิปลีย์ (ฟินน์ วิททร็อค) กับ ชาร์ลีย์ เกลเลอร์ (จอห์น มากาโร) สองนักลงทุนหน้าใหม่แห่งวอลล์สตรีท กลุ่มคนเพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะพังเพราะกองทุนบ้านไร้คุณภาพ โดยพวกเขาได้วางเงินเดิมพันจำนวนมหาศาลไว้กับเรื่องนี้
The Big Short ไม่เชิงเป็นภาพยนตร์ตลาดหุ้นซะทีเดียว แต่ออกแนวกึ่งสารคดีกับการถ่ายทอดความจริงอันน่าหดหู่ นอกจากจะเป็นบทบันทึกเหตุการณ์สำคัญต่างๆในช่วงนั้น ยังตีแผ่ความผิดพลาดของสถาบันการเงินอเมริกันซึ่งพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการปล่อยเงินกู้จำนวนมากให้บริษัทและประชาชนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ก่อนจะนำไปสู่การล้มครืนของธนาคารหลายแห่ง เลิกจ้างพนักงานนับหมื่น และริบทรัพย์ยึดบ้านคืนมากกว่า1ล้านหลัง
ประเด็นของหนังไม่ได้เน้นไปที่การกอบโกยเงินในช่วงหายนะทางเศรษฐกิจของตัวละคร แต่เลือกชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมในตลาดทุนสหรัฐฯผ่านสายตาคนวงใน รวมถึงแฉพวก นายธนาคาร กับ นักลงทุน บางคนที่หาประโยชน์จากกลุ่มคนชั้นล่างในสังคม อาทิ แรงงาน คนรับจ้าง ชาวต่างด้าว ด้วยการเอาความฝันเรื่องการมีบ้านเป็นของตัวเองมาล่อ ซึ่งสุดท้ายคนกลุ่มนี้กลับเป็นผู้ได้รับผลกระทบมากสุด ทั้งตกงาน ไร้ที่อยู่อาศัย ขณะที่ พนักงานขายได้โบนัสก้อนโต นักลงทุนรํ่ารวย ธนาคารลอยตัวเหนือความผิด ซํ้ายังมีรัฐบาลมาโอบอุ้ม
ส่วนตัวคิดว่าหนังดูไม่ยาก แม้จะมีศัพท์ทางการเงิน ธนาคาร ตลาดหุ้น ค่อนข้างเยอะ แถมบทสนทนาก็ยาวเหยียด ทว่าผู้กำกับก็มีวิธีขั้นอารมณ์ผู้ชม คลายเครียดจากเนื้อหาหนักๆด้วยการใช้คนดังมาอธิบายคำศัพท์ที่เข้าใจยากในวิธีการยกตัวอย่างเชิงอุปมาอุปมัย ซึ่งก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรู้พื้นฐานของผู้ชมแต่ละคน การอ่านข้อมูลหรือข่าวที่เกี่ยวข้องมาก่อนจะทำให้ได้อรรถรสเพิ่มขึ้น รวมถึงตามเรื่องได้ทันด้วย
ไรอัน กอสลิ่ง กับ มาร์ค บอม เป็นสองคนที่มีบุคลิกโดดเด่น เหมาะกับการดำเนินเรื่อง ไรอัน ฉายความเจ้าเล่ห์จนเราอดระแวงแทน สตีฟ ไม่ได้ ตัวละคร มาร์ค บอม ถูกตั้งฉายาว่านักเล่นหุ้นสายดาร์ค ทั้งที่มีจิตใจดีกว่าตัวละครอื่นๆ เขาเป็นปากเป็นเสียงแทนคนชั้นล่าง คอยด่าพวกนักลงทุนหน้าเลือดตลอด(แอบบสะใจ) คริสเตียน เบล มาดไร้เคราดูไม่ค่อยคุ้นตา แม้ไม่ได้เข้าฉากประชันกับนักแสดงคนอื่น กระนั้นการโชว์เล่นกับตัวเองคนเดียวในห้องทำงานแคบๆของเขาก็ยอดเยี่ยมพอสมควร แบรด พิตต์ ออกน้อยแต่สร้างสีสันได้อย่างดี ชอบฉากที่เขาเตือนสติสองนักลงทุนหนุ่มที่กำลังลิงโลดหากแนวคิดของพวกเขาเป็นจริง
The Big Short อาจไม่ได้เข้มข้นเท่าหนังการเงินแบบ Margin Call แต่ก็เป็นหนังตลกร้ายที่สะท้อนด้านมืดของทุนนิยมออกมาได้เจ็บปวด ขณะเดียวกันยังเป็นห้องเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ขนาดย่อมในการศึกษาเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังเป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคนที่กำลังจะซื้อบ้าน ว่าต้อง หาข้อมูลให้ดี คิดอย่างรอบคอบ และมีความพร้อมเรื่องการเงิน มิเช่นนั้นคุณอาจกลายเป็นเหยื่ออันโอชะหรือหมากตัวเล็กๆของใครบางคน