วันนี้ ทุกจอคอมพิวเตอร์ ในบ้านคุณ

รีวิวหนัง : Finding Calico แมวพเนจร


ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกๆในโลกที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงไม่น่าแปลกใจที่เราเริ่มเห็นภาพยนตร์จากแดนปลาดิบที่มีตัวละครหลักเป็นคนชรา แต่ครันจะให้คนแก่รับบทนำตัวหนังคงน่าเบื่อเกินไป ล่าสุดใน Sensei to mayoi neko หรือชื่อที่เข้าฉายในไทยว่า Finding Calico จึงมีการนำ แมว เทนด์ฮิตอีกอย่างในยุคนี้มาร่วมแสดง (จะเรียกว่าเป็นมาสคอตก็ว่าได้) ช่วยเสริมความน่าสนใจของเนื้อหาให้น่าดูขึ้น

หนังกำกับโดย โยชิฮิโระ ฟุคางาวะ ผู้กำกับหนุ่มเจ้าของผลงาน Towairaito Sasara Saya และ Kamisama no karute 2 นำแสดงโดย อิสเซย์ โองาตะ ดารารุ่นใหญ่ กับ เจ้าดรอป แมวน้อยสุดน่ารักวัย4ปี ร่วมด้วย โชตะ โซเมะตานิ , คิเอะ คิตาโนะ , ซายุ คุโบตะ , ปิแอร์ ทาคิ และ คาโยโกะ คิชิโมโตะ 

Finding Calico เล่าถึงชีวิตอันโดดเดี่ยวของ เคียวอิจิ อดีตอาจารย์ใหญ่วัยเกษียณที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ลำพังหลังการจากไปของภรรยา ด้วยบุคลิกเข้มงวด เจ้าระเบียบ ดูไม่เป็นมิตร ทำให้เขาไม่มีสังคม มี่ แมวพเนจรสามสีเป็นสิ่งมีชีวิตไม่กี่อย่างที่แวะเวียนเข้ามาในบ้าน แต่วันหนึ่ง เคียวอิจิ ก็ไล่มันไปพร้อมปิดบ้านไม่ให้เข้า เนื่องจากแมวตัวนี้ทำให้เขานึกถึงภรรยา ต่อมาเมื่อเจ้าเหมียวได้หายตัวไปจริงๆ เขากลับรู้สึกว่าบางอย่างในชีวิตหายไป จึงออกมาหามัน ก่อนจะพบว่า มี่ เป็นที่รักของหลายคนในเมือง มันมีชื่อเรียกมากมาย ทั้ง โซระ ทามาโกะ ฮิจิโร่

บทหนังค่อนข้างราบเรียบตามสไตล์ญี่ปุ่น ดราม่าแฝงปรัชญาตะวันออก ถ่ายทอดวิถีชีวิตของชนบทในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเดิมทีบรรยากาศก็เงียบเหงาอยู่แล้ว ยิ่งมาเหงายกกำลังสองเข้าไปอีกเมื่อถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองผู้สูงอายุที่ชีวิตประจำวันเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ส่วนหนึ่งหนังน่าจะต้องการสื่อให้คนในชุมชมหันมาใส่ใจคนแก่ให้มากขึ้น และอยากสร้างความเข้าใจระหว่างคนต่างรุ่นต่างสมัย ด้วยสัญลักษณ์ ยุคกล้องดิจิตอล กับ ยุคกล้องฟิล์มโบราณ

ขณะที่ประเด็นการจัดการสัตว์จรจัดก็น่าสนใจ แรกทีเดียว เคียวอิจิ ต่อว่าแมวสามสีเรื่องหลายใจ ทำตัวเป็นที่รักของทุกคนในเมือง(รวมถึง ภรรยา กับ เคียวอิจิ) ก่อนที่จะถูกตอกกลับด้วยคำพูดของตัวละครช่างซ่อมรถที่ว่า คนรักแมวจรจัดเป็นพวกไม่มีความรับผิดชอบ พวกเขาเล่นกับมัน ให้อาหารมัน แต่กลับไม่ยอมนำมันไปเลี้ยงดู เรื่องนี้หากเป็นในเมืองหลวงอาจเข้าใจคนที่ชอบให้อาหารสัตว์จรจัดว่า คงอยากเลี้ยง ทว่าไม่สะดวกด้วยกำลังทรัพย์หรือสถานที่ ซึ่งผิดกับในหนังที่โลเคชั่นเป็นต่างจังหวัด ตัวละครหลายตัวมีกำลัง สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ ถ้าพวกเขาคิดจะทำ แน่นอนว่าเหตุผลคือพวกเขาไม่พร้อมจะมีภาระนั่นเอง(เห็นแก่ตัว) เปรียบได้กับคนที่ชอบชีวิตรักแบบชั่วคราว ไม่พร้อมจะผูกพันธ์ แมวสามสีในเรื่องจึงโดนมองเป็นพวกเจ้าชู้ไปซะ

แมว ในหนังไม่ได้ถูกวางเป็นเพียงสัตว์เลี้ยง แต่ได้รับการยกย่องให้เป็นสมบัติของชุมชน นอกจากมันจะเป็นเครื่องเตือนความทรงจำสำหรับบางคนแล้ว พวกมันยังเป็นเครื่องบำบัดจิตเคลื่อนที่ คอยสร้างรอยยิ้มให้กลุ่มแม่บ้าน เป็นเพื่อนเล่นของเด็กๆ คอยรับฟังปัญหาของวัยรุ่น รวมถึงคลายเหงาให้ผู้สูงอายุ

อิสเซย์ โองาตะ ทำได้ดีพอสมควรกับบทมนุษย์ลุงผู้ว้าเหว่ เขาถ่ายทอดอารมณ์ผ่านทางสีหน้าท่าทางได้ดี มีปล่อยมุขตลกเป็นระยะ แต่ก็เป็นการขำแบบขมขื่นของคนดู โชตะ โซเมะตานิ กับ คิเอะ คิตาโนะ สร้างสีสันในฐานะเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ในหนัง อีกคนที่อยากพูดถึงคือ ปิแอร์ ทาคิ ออกไม่กี่ฉากกลับสร้างความจดจำได้ดี

Finding Calico ใช้แมวเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ของคนแก่กับชุมชน การออกตามหาเจ้าเหมียวอย่างจริงจังของ เคียวอิจิ ตีความได้หลายแบบ เขาอาจออกตามหาเพราะรักมัน เพราะคิดถึงภรรยา เพราะรู้สึกผิด เพราะอยากช่วยคนอื่นๆ หรือบางทีก็ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งไปกว่า การตามหามันแค่เพราะจะได้ไม่ต้องทนเหงาอยู่ในบ้านคนเดียว

คะแนน 7/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/226229/?link=4




 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2559 18:27:09 น.
Counter : 1355 Pageviews.  

รีวิวหนัง : 13 Hours The Secret Soldiers of Benghazi คืนเดือดในลิเบีย


หากใครติดตามข่าวต่างประเทศเป็นประจำน่าจะเคยได้ยินข่าวโศกนาฏกรรมเบงกาซี ที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่อันดับ2ของลิเบียวันที่ 11 กันยายน 2012 เมื่อม็อบจำนวนมากบุกเข้าโจมตีที่พำนักของ คริสโตเฟอร์ สตีเวนส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำลิเบีย รวมถึงฐานลับในเบงกาซีของสหรัฐฯ ทำให้ทูตคริสโตเฟอร์และเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกัน3คนเสียชีวิต เหตุการณ์ครั้งนั้นนอกจากลิเบียจะถูกประณามจากทั่วโลก รัฐบาลสหรัฐฯเองก็ถูกตั้งคำถามจากหลายฝ่ายเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย จน ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศถูกไต่สาน และเธอต้องออกมาแถลงขอโทษ

เหตุการณ์ดังกล่าวถูกนำมาเขียนเป็นหนังสือขายดีชื่อ 13 Hours ของ มิทเชล ซัคคอฟฟ์ และเหล่านาวิกโยธินที่รอดชีวิต ต่อมาเรื่องนี้ไปเตะตา ไมเคิล เบย์ ผู้กำกับจอมทำลายล้าง จึงนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ชื่อ 13 Hours The Secret Soldiers of Benghazi เขียนบทโดย ชัค โฮแกน เจ้าของผลงาน The Town

หนังเล่าถึงช่วงหลังอาหรับสปริง ประเทศลิเบียกลายสภาพเป็นรัฐล้มเหลว บ้านป่าเมืองเถื่อนที่คนขายปืนกันในตลาดแบบโจ๋งครึ่ม ก่อน 11 กันยายน 2012 วันครบรอบ 911 แจ็ค ซิลวา (จอห์น กราซินสกี้) อดีตนาวิกโยธินได้รับการว่าจ้างให้มาคุ้มครองฐานลับของสหรัฐฯในเบงกาซี ลิเบีย โดยมี โรน วู้ดส (เจมส์ แบดจ์ เดล) เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งต่อมา โรน แจ็ค ทันโต้ บูน ทิก ออซ เป็นเจ้าหน้าที่นาวิกโยธิน 6 นาย ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องรักษาชีวิตชาวอเมริกันหลายสิบคนในคืนเดือดที่จะตามหลอกหลอนพวกเขาไปชั่วชีวิต

บทภาพยนตร์มุ่งยกย่องวีรกรรมอันกล้าหาญของทหารกลุ่มหนึ่งที่ต่อสู้กับกองกำลังไม่ทราบฝ่ายจำนวนมากซึ่งดาหน้าบุกเข้าหาตลอด 13 ชั่วโมง แม้จะพอทราบเรื่องราวมาบ้างก็ยังดูสนุก ลุ้นระทึกไปกับการเอาตัวรอดของตัวละครในห้วงเวลาวิกฤติ ชอบบรรยากาศหวาดระแวงจากความวุ่นวายอลหม่านของสถานการณ์สับสนที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร อยู่ฝ่ายไหน มิตรหรือศัตรู หลายอย่างทำให้นึกถึง Black Hawk Down ชื่นชมความรับผิดชอบของ นาวิกโยธินทั้ง6นาย ถึงจะเสียเปรียบเรื่องคนพวกเขาก็สู้ไม่ถอย แสดงถึงความเป็นมืออาชีพมากๆ เสียดายพาร์ทดราม่ายังด้อยกว่า Lone Survivor เยอะ

การบอกเล่าผ่านมุมมองของทหารนาวิกโยธินหรือฝ่ายบู๊น่าสนใจในแง่ที่ภาพลักษณ์ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกมองว่า โหดร้าย ป่าเถื่อน เลือดเย็น ใช้แต่กำลัง ซึ่งในเรื่องนี้ไม่เหมือน American Sniper ที่ตัวละครสมัครใจไปรบ ภูมิใจที่ได้รับใช้ชาติ ผิดกับ 13 Hours นาวิกโยธินหลายคนมีความจำเป็นต้องทิ้งลูกทิ้งเมียมาทำงานที่จะเรียกว่าอันตรายที่สุดในโลกก็ว่าได้ ขณะเดียวกันก็ยังส่งเสียงตัดพ้อต่อว่ารัฐบาลสหรัฐฯจากคนผู้น้อยตัวเล็กๆในกระทรวง ทั้งประเด็นสวัสดิการของเจ้าหน้าที่ผู้เสี่ยงภัย และปัญหาการออกคำสั่งในสายงานการบังคับบัญชาที่ยุ่งเหยิง ทำให้เกิดความล่าช้าในการให้ความช่วยเหลือจนนำไปสู่การสูญเสีย (มีแอบแขวะเรียกเจ้าหน้าที่ CIA สายบุ๋นว่าพวกสายลับ เจมส์ บอนด์ ถูกทำให้กลายเป็นตัวตลกเพราะหน้าสิ่วหน้าขวานกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย)

ไมเคิล เบย์ ยังคงบ้าพลังเหมือนเดิม จัดเต็มฉากแอ็คชั่นตามสไตล์ โดยเฉพาะตอนท้ายพีคมาก ยิงกันหูดับตับไหม้ งานภาพสวยแปลกตาด้วยการใช้เทคนิคสโลว์ สะเก็ดระเบิดสวยคล้ายกับไฟเย็น มุมกล้องตามลูกปืนครกจากปล่องขึ้นฟ้าก่อนจะค่อยๆตกลงพื้นก็เจ็งดี ทว่าหนังมาตกมาตายตรงยาวเกินไป(อีกแล้ว) มียืดๆอยู่หลายตอน ชั่วโมงแรกของหนังจึงทำให้ผู้ชมหลายคนเกิดอารมณ์อึดอัด ตรึงเครียดเล็กๆ ส่วนความกดดันยังไม่เท่า The Hurt Locker

จอห์น กราซินสกี้ ทำได้ดีพอสมควรกับการรับบทนำในหนังใหญ่ครั้งแรก ด้าน เจมส์ แบดจ์ เดล เปลี่ยนลุคจนแทบจำไม่ได้ คาแร็กเตอร์ของเขาเด่นกว่าใคร สามารถทำให้คนดูเชื่อได้ว่าเป็นทหารจริงๆ แถมยังเป็นผู้นำที่ดีด้วย แต่ที่ขโมยซีนสร้างสีสันได้มากคือ Peyman Moaadi ซึ่งแสดงเป็น Amahl ล่ามชาวลิเบีย อีกคนที่น่าพูดถึง Alexia Barlier เจ้าหน้าที่ CIA สาว ตัวแทนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายนั่งโต๊ะ นานๆทีถึงออกภาคสนาม เธอคือตัวแทนของผู้หญิงคนเดียวในหนัง

หากมองกว้างๆ 13 Hours The Secret Soldiers of Benghazi พูดแต่ในมุมของอเมริกันชนฝ่ายเดียว ชี้ให้เห็นถึงการเดินหมากอันผิดพลาดของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งถามว่าน่าเห็นใจไหม ไม่เลยกับการแอบล้วงลูกเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของชาติอื่น โดยไม่เคยสำนึกว่าที่ผ่านมาคนของตัวเองทำลายประเทศไปแล้วกี่ประเทศ ฆ่าคนบริสุทธิ์ไปแล้วกี่คน แต่สิ่งที่น่าอดสูที่สุดก็คือ แม้แต่ในประเทศที่(อ้างว่า)เจริญกว่าใครอย่างสหรัฐฯ คำว่า วีรบุรุษ ยังคงต้องแลกมาด้วยชีวิต

คะแนน 7.5/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/212852/?link=4




 

Create Date : 28 มกราคม 2559    
Last Update : 29 มกราคม 2559 9:42:59 น.
Counter : 1548 Pageviews.  

รีวิวหนัง : The Big Short วิกฤตอสังหา ริบทรัพย์


ท่ามกลางความกังวลของผู้คนทั่วโลกต่อสภาวะเศรษฐกิจในประเทศตัวเอง มีข้อมูลที่น่าเหลือเชื่อเมื่อสำนักข่าวบลูมเบิร์กเปิดเผยว่าไทยเป็นประเทศที่มีความสุขทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก วัดจากอัตรเงินเฟ้อและตัวเลขว่างงานตํ่า (จากปัจจัยโครงสร้างเศรษฐกิจที่ ผู้คนยังจับจ่าย ไม่มีสวัสดิการคนว่างงาน และค่าแรงไม่สูง) ขณะที่สหรัฐฯอเมริกาประเทศมหาอำนาจอยู่ในอันดับ8 พญาอินทรีกำลังติดหล่มทุนนิยมจาก วิกฤตอสังหาริมทรัพย์-สินเชื่อซับไพรม์ หรือ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ในปี2008 ซึ่งยังคงส่งผลกระทบยาวนานมาถึงปัจจุบัน

The Big Short เป็นภาพยนตร์ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างละเอียด สร้างจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ชื่อ The Big Short Inside the Doomsday Machine โดย ไมเคิล ลูอิส (ผู้เขียน The Blind Side, Moneyball) ที่ได้ อดัม แมคเคย์ จาก The Other Guys มากำกับ ซึ่งรวบรวมนักแสดงชายแถวหน้าของฮอลลีวู้ดไว้หลายคนทั้ง คริสเตียน เบล,สตีฟ คาเรลล์,ไรอัน กอสลิง และ แบรด พิตต์

ตัวหนังเล่าเรื่องราวตัดสลับไปมาระหว่าง จาเร็ต เวนเน็ตต์ (ไรอัน กอสลิ่ง) นายธนาคารหนุ่มหัวใส , ด็อกเตอร์ไมเคิล เบอร์รี (คริสเตียน เบล) ผู้บริหารกองทุนอัจฉริยะ , มาร์ค บอม (สตีฟ คาเรล) นักลงทุนอารมณ์ร้อน และ เบน ริคเคิร์ต (แบรด พิตต์) อดีตผู้ครํ่าหวอดในตลดหุ้นสหรัฐฯ พี่เลี้ยงของ เจมี ชิปลีย์ (ฟินน์ วิททร็อค) กับ ชาร์ลีย์ เกลเลอร์ (จอห์น มากาโร) สองนักลงทุนหน้าใหม่แห่งวอลล์สตรีท กลุ่มคนเพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะพังเพราะกองทุนบ้านไร้คุณภาพ โดยพวกเขาได้วางเงินเดิมพันจำนวนมหาศาลไว้กับเรื่องนี้

The Big Short ไม่เชิงเป็นภาพยนตร์ตลาดหุ้นซะทีเดียว แต่ออกแนวกึ่งสารคดีกับการถ่ายทอดความจริงอันน่าหดหู่ นอกจากจะเป็นบทบันทึกเหตุการณ์สำคัญต่างๆในช่วงนั้น ยังตีแผ่ความผิดพลาดของสถาบันการเงินอเมริกันซึ่งพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการปล่อยเงินกู้จำนวนมากให้บริษัทและประชาชนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ก่อนจะนำไปสู่การล้มครืนของธนาคารหลายแห่ง เลิกจ้างพนักงานนับหมื่น และริบทรัพย์ยึดบ้านคืนมากกว่า1ล้านหลัง

ประเด็นของหนังไม่ได้เน้นไปที่การกอบโกยเงินในช่วงหายนะทางเศรษฐกิจของตัวละคร แต่เลือกชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมในตลาดทุนสหรัฐฯผ่านสายตาคนวงใน รวมถึงแฉพวก นายธนาคาร กับ นักลงทุน บางคนที่หาประโยชน์จากกลุ่มคนชั้นล่างในสังคม อาทิ แรงงาน คนรับจ้าง ชาวต่างด้าว ด้วยการเอาความฝันเรื่องการมีบ้านเป็นของตัวเองมาล่อ ซึ่งสุดท้ายคนกลุ่มนี้กลับเป็นผู้ได้รับผลกระทบมากสุด ทั้งตกงาน ไร้ที่อยู่อาศัย ขณะที่ พนักงานขายได้โบนัสก้อนโต นักลงทุนรํ่ารวย ธนาคารลอยตัวเหนือความผิด ซํ้ายังมีรัฐบาลมาโอบอุ้ม

ส่วนตัวคิดว่าหนังดูไม่ยาก แม้จะมีศัพท์ทางการเงิน ธนาคาร ตลาดหุ้น ค่อนข้างเยอะ แถมบทสนทนาก็ยาวเหยียด ทว่าผู้กำกับก็มีวิธีขั้นอารมณ์ผู้ชม คลายเครียดจากเนื้อหาหนักๆด้วยการใช้คนดังมาอธิบายคำศัพท์ที่เข้าใจยากในวิธีการยกตัวอย่างเชิงอุปมาอุปมัย ซึ่งก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรู้พื้นฐานของผู้ชมแต่ละคน การอ่านข้อมูลหรือข่าวที่เกี่ยวข้องมาก่อนจะทำให้ได้อรรถรสเพิ่มขึ้น รวมถึงตามเรื่องได้ทันด้วย

ไรอัน กอสลิ่ง กับ มาร์ค บอม เป็นสองคนที่มีบุคลิกโดดเด่น เหมาะกับการดำเนินเรื่อง ไรอัน ฉายความเจ้าเล่ห์จนเราอดระแวงแทน สตีฟ ไม่ได้ ตัวละคร มาร์ค บอม ถูกตั้งฉายาว่านักเล่นหุ้นสายดาร์ค ทั้งที่มีจิตใจดีกว่าตัวละครอื่นๆ เขาเป็นปากเป็นเสียงแทนคนชั้นล่าง คอยด่าพวกนักลงทุนหน้าเลือดตลอด(แอบบสะใจ) คริสเตียน เบล มาดไร้เคราดูไม่ค่อยคุ้นตา แม้ไม่ได้เข้าฉากประชันกับนักแสดงคนอื่น กระนั้นการโชว์เล่นกับตัวเองคนเดียวในห้องทำงานแคบๆของเขาก็ยอดเยี่ยมพอสมควร แบรด พิตต์ ออกน้อยแต่สร้างสีสันได้อย่างดี ชอบฉากที่เขาเตือนสติสองนักลงทุนหนุ่มที่กำลังลิงโลดหากแนวคิดของพวกเขาเป็นจริง 

The Big Short อาจไม่ได้เข้มข้นเท่าหนังการเงินแบบ Margin Call แต่ก็เป็นหนังตลกร้ายที่สะท้อนด้านมืดของทุนนิยมออกมาได้เจ็บปวด ขณะเดียวกันยังเป็นห้องเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ขนาดย่อมในการศึกษาเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังเป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคนที่กำลังจะซื้อบ้าน ว่าต้อง หาข้อมูลให้ดี คิดอย่างรอบคอบ และมีความพร้อมเรื่องการเงิน มิเช่นนั้นคุณอาจกลายเป็นเหยื่ออันโอชะหรือหมากตัวเล็กๆของใครบางคน

คะแนน 8.5/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/232975/?link=4




 

Create Date : 25 มกราคม 2559    
Last Update : 26 มกราคม 2559 10:11:36 น.
Counter : 1240 Pageviews.  

รีวิวหนัง : Steve Jobs สตีฟ จ็อบส์ และผู้คนรอบตัวเขา


หลังการเสียชีวิตของ สตีฟ จ็อบส์ เมื่อปลายปี2011 Open Road Films กับพันธมิตรก็รีบเข็นโปรเจกต์หนังชีวประวัติอย่าง Jobs เกาะกระแสโดยเน้นความเหมือนของนักแสดงกับตัวจริง ผู้รับบทเป็น จ็อบส์ คือ แอชตัน คุชเชอร์ ภาพยนตร์เข้าฉายปลายปี2013 ได้รับเสียงวิจารณ์ในทางลบ ทำเงินในสหรัฐฯไป16ล้านเหรียญจากทุนสร้าง12ล้านเหรียญ

ต่อมา Universal Pictures ได้ผุดโปรเจกต์สร้างหนังชีวิตของ สตีฟ จ็อบส์ รอบใหม่ ซึ่งคราวนี้น่าสนใจกว่าเวอร์ชั่นปี2013หลายอย่าง ทั้งผู้กำกับมากฝีมือ แดนนี่ บอยล์ เจ้าของผลงาน 127 Hours กับ Slumdog Millionaire มือเขียนบทแถวหน้าอย่าง อารอน ซอร์กิ้น (อ้างอิงเนื้อหาจากหนังสือของ วอลเตอร์ ไอแซคสัน) ที่เคยเขียนบท The Social Network หนังชีวประวัติ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก รวมถึงได้ทีมนักแสดงนำชั้นนำของฮอลลีวู้ดทั้ง ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์,เคท วินสเล็ต,เซ็ธ โลแกน และ เจฟฟ์ แดเนียลส์ สาวกแอปเปิ้ลจึงมีความหวังกับหนังเรื่องนี้

Steve Jobs เล่าถึงเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นหลังเวทีในช่วงไม่กี่นาทีก่อนการเปิดตัวสามผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ในชีวิตการทำงานของ จ็อบส์ เริ่มต้นจาก Macintosh ในปี 1984 , ต่อด้วย NeXT Cube ในปี 1988 และจบลงด้วย iMac ในปี 1998 กับผู้คนที่มีความสำคัญในชีวิตของเขาที่แวะเวียนเข้ามาไล่ตั้งแต่ ลิซ่า เบรนแนน จ็อบส์ ลูกสาวนอกสมรสของเขา , โจอันนา ฮอฟแมน อดีตประธานฝ่ายบริหารด้านการตลาดของแมคอินทอช ผู้ช่วยคนสนิท ,สตีฟ วอซเนียก ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์แอปเปิ้ล เพื่อนของเขา และ จอห์น สกัลลีย์ อดีตประธานกรรมการบริหารของแอปเปิ้ล ผู้ร่วมงานคนสำคัญ

บทหนังเจ๋งมาก เลือกช่วงเวลาที่นำมาบอกเล่าได้ดี สิ่งที่เกิดขึ้นใน3ปีนั้นครอบคลุมเกือบทั้งหมดในชีวิตของผู้ชายชื่อ สตีฟ จ็อบส์ เป็นภาพยนตร์ชีวประวัติที่เดินเรื่องเร็ว ดูสนุก ชวนติดตามและแทบไม่มีจุดน่าเบื่อเลย ส่วนนี้ต้องยกเครดิตให้ทีมตัดต่อ การดำเนินเรื่องคล้ายละครเวทีจึงมีโอกาสโชว์ช็อตลองเทคบ่อย มุขในหนังออกแนวตลกร้าย เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้พอสมควร

เด่นที่สุดคือบทสนทนาในหนัง มันทั้งเด็ดขาด เฉียบ เชือดเฉือนกันสุดสุดฤทธิ์ หนังเต็มไปด้วยการถกเถียงคล้ายตัวละครกำลังต่อสู้กัน ไม่ใช่ทางร่างกาย แต่ทางความคิด สิ่งที่ออกมาจากปาก สตีฟ จ็อบส์ ล้วนเจ็บแสบทุกคำพูด ฉากปะทะคารมใส่กันไฟแล่บชนิดไม่มีใครยอมใคร ซึ่งบางคำที่ จ็อบส์ โดนคนอื่นสวนกลับมาก็ทำเอาสะอึกหรือไปต่อไม่เป็นเหมือนกัน ส่วนนี้เป็นตัวตนที่แท้ของ จ็อบส์ ที่หลายคนอาจเคยได้ยินกิตติศัพท์มาบ้างว่าเขาเป็นคนโมโหร้าย ปากจัด แต่คงนึกภาพไม่ออก จุดนี้หนังนำเสนอได้สมจริงดี
นอกจากประเด็นชีวิตการทำงาน Steve Jobs ฉบับ แดนนี่ บอยล์ ทำได้ดีมากกับพาร์ทดราม่าครอบครัว โดยเฉพาะบทบาทการเป็นพ่อ ความสัมพันธ์ของ สตีฟ กับ ลิซ่า ลูกสาวที่เขาไม่ยอมรับ เป็นข้อมูลที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน ส่วนตัวคิดว่านี่คือหัวใจของหนังที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อถึงผู้ชม 

ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ ท็อปฟอร์มสุดๆ ตีบทแตกกระจุย เขาแสดงเป็น จ็อบส์ แบบที่ไม่ได้เหมือนจากภายนอก(รูปร่าง หน้าตา การแต่งตัว) แต่เหมือนจากภายใน(นิสัย ท่าทาง คำพูด) ข้อดีอีกอย่างคือ ไมเคิล เล่นได้เข้าขากับ เคท วินสเล็ต ที่รับบท โจอันนา มากๆ แม้ในเรื่องทั้งสองจะไม่ใช่คู่รักกันแต่จะใช้คำว่า เคมีตรงกัน ก็คงไม่ผิดนัก เจฟฟ์ แดเนียลส์ กับบท จอห์น สกัลลีย์ ดูเป็นรุ่นใหญ่ที่เก๋าประสบการณ์ ตัวละครนี้เป็นไม่กี่คนบนโลกที่กล้าต่อปากต่อคำกับ จ็อบส์ เช่นเดียวกับ เซ็ธ โลแกน ที่แสดงเป็น สตีฟ วอซเนีย เขากวนทีนจ็อบส์ได้สะใจดี สร้างสีสันให้หนังไม่เครียดเกินไป

Steve Jobs มิได้มุ่งเชิดชูภาพลักษณ์ของ จ็อบส์ ตรงกันข้ามมันแทบจะทำลายบุคลิกชายผู้ปฏิวัติโลกไปเลย หนังเน้นให้คนดูเรียนรู้ จ็อบส์ ผ่านนิสัยใจคอเขา ดังคำพูดที่ว่า เราสามารถรู้จักใครบางคนได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติกับคนรอบตัว ทั้งหมดนี้คือความเป็นมนุษย์ในตัว สตีฟ จ็อบส์ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาบนจอ โดยไม่สนความอัจฉริยะ ความฉลาด หรือเบื้องหลังการผลิตนวัตกรรมต่างๆของเขา ซึ่งเรารับรู้จากสื่อต่างๆกันมามากพอแล้ว

คะแนน 8.5/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/195881/?link=4




 

Create Date : 21 มกราคม 2559    
Last Update : 23 มกราคม 2559 18:25:52 น.
Counter : 1326 Pageviews.  

รีวิวหนัง : Cartel Land พรมแดนมิคสัญญี


ข่าวการจับกุมตัว เอล ชาโป กุซมัน ราชาค้ายาเสพติดชาวเม็กซิโก (อีกครั้ง) ช่างประจวบเหมาะพอดีกับที่หนังสารคดีเรื่อง Cartel Land เข้าฉายในบ้านเรา เอล ชาโป เคยเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลกเมื่อไม่นานมานี้กรณีแหกคุกอย่างเอิกเกริกด้วยการขุดอุโมงค์ใต้ดินความยาวกว่า1.5 กิโลเมตรหลบหนีลอยนวล แน่นอนว่าเขาทำคนเดียวไม่ได้ ไม่มีทางเลยที่เจ้าหน้าที่จะไม่รู้เห็นเป็นใจ

เป็นที่ทราบกันดีว่าตำรวจกับแก๊งค้ายาในเม็กซิโกมีสายสัมพันธ์ลับๆ ภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่า พวกเดียวกัน การถ่ายหนังในประเทศนี้จึงเสี่ยงอันตรายมาก แต่ แม็ตธิว ไฮเนแมน ผู้กำกับหนุ่มบ้าบิ่นกว่านั้น เขาเข้าไปคลุกวงในอยู่กับกองกำลังป้องกันตัวเองรัฐมิโชอากังนานหลายเดือนเพื่อถ่ายทำสารคดีที่ว่าด้วยสถานการณ์ยาเสพติดและความรุนแรงบริเวณรอยต่อของสหรัฐฯกับทางตอนใต้เม็กซิโก พื้นที่ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นพรมแดนมิคสัญญี บ้านป่าเมืองเถื่อนอันไร้ขื่อแปโดยสิ้นเชิง

ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ทิม เนเลอร์ โฟลีย์ หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนชายแดนซึ่งหมดศรัทธาต่อภาครัฐตั้งทีมดูแลบ้านเกิดขึ้นมา พวกเขาซื้ออาวุธ อุปกรณ์ อาหาร ด้วยตัวเอง คอยเฝ้าไม่ให้เพื่อนบ้านขนยาเสพติดหรือแรงงานเถื่อนเข้าสู่ประเทศ ขณะเดียวกันอีกฟากหนึ่งใน รัฐมิโชอากัง ประเทศเม็กซิโก อัศวินเทมพลาร์ แก๊งค์ค้ายารายใหญ่กำลังเหิมเกริมหนัก มันทั้งผลิตยา ค้ามนุษย์ ลักพาตัว ทรมานผู้คน เข่นฆ่าชาวบ้านราวกับเป็นผักปลาโดยไม่เกรงกลัวกฏหมาย

เมื่อตำรวจ กองทัพ หรือ รัฐบาล พึ่งพาไม่ได้ โฆเซ มิเรเลส หมอประจำชุมชนจึงไม่ทนอีกต่อไป เขารวบรวมคนในเมืองจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับแก๊งค์ค้ายาชนิดตาต่อตาฟันต่อฟันในนาม กองกำลังป้องกันตนเอง เพื่อดูแลครอบครัวและบ้านเกิด ซึ่งยิ่งนานวันก็ยิ่งมีชาวบ้านมาเข้าร่วมเยอะขึ้นเรื่อยๆ พวกเขายึดคืนเมืองจากแก๊งค้าย้าได้เกือบทั้งรัฐ กระนั้นด้วยวิธีแบบศาลเตี้ยดังกล่าวก็ทำให้รัฐบาลเม็กซิโกต้องยื่นมือเข้ามาจัดการกับวิกฤตการณ์อันยุ่งเหยิงครั้งนี้

Cartel Land เป็นสารคดีที่จริงจนคุณต้องขนลุก แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็มีความเหมือนภาพยนตร์แอ็คชั่นทริลเลอร์เอามากๆ ให้ความรู้สึกตื่นตะลึง ลุ้นระทึกกว่า Sicario ซะอีก การตีแผ่ขบวนการประชาชนลุกฮือที่เกิดขึ้นในสองประเทศสะท้อนถึงความล้มเหลวของสองชาติ ข้อมูลต่างๆในหนังเจาะลึกยิ่งกว่ารายงานข่าวทุกสำนักในสหรัฐฯกับเม็กซิโกรวมกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือการตบหน้า บารัค โอบามา กับ เอนริเก เปญญา นิเอโต สองผู้นำแห่งทวีปอเมริกาฉาดใหญ่ 

ชอบตรงที่ผู้กำกับไม่ได้พยายามโน้มน้าวความคิดผู้ชมว่าใครดีใครชั่ว เหล่านี้ทุกคนต่างรู้แก่ใจ ที่น่าสนใจคือแก๊งค้ายามีเหตุผลปลอมๆมาเข้าข้างตัวเองในการทำความเลวได้หน้าชื่นตาบาน ซึ่งบางตอนเราเกือบคล้อยตามคำพูดพวกเขา ทิม เนเลอร์ โฟลีย์ คืออเมริกันชนชายขอบที่ไม่ได้รับการเหลียวแล สิ่งที่เขาทำเพื่อส่วนรวมมีคนรับรู้น้อยมาก ตรงกันข้ามกับ โฆเซ มิเรเลส หมอนี่น่าไปแสดงหนัง บุคลิกของเขาโดดเด่นมาก แก่แต่ยังเท่ ช่วงหนึ่งเขาโด่งดังมีชื่อเสียงจนถูกเชิดชูให้เป็นฮีโร่ของประเทศเลยทีเดียว 

จุดที่ต้องชื่นชมนอกจากความกล้าของผู้กำกับเป็นการถ่ายภาพและตัดต่อ ภาพในหนังสวยงามมาก(ฟ้าผ่ากลางทะเลทราย) มันคือหนังชีวิตที่มีฉากหลังเป็นดินแดนเวิ้งว้างในตะวันตกคล้ายกับยุคคาวบอยสมัยก่อน การลำดับภาพตัดสลับข้ามไปมาเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศทำได้ยอดเยี่ยม เล่าเรื่องออกมาสนุก ดนตรีประกอบเข้ากับบรรยากาศดี หลายฟุตเทจน่าทึ่งว่าทีมงานเข้าไปถ่ายในสถานที่แบบนั้นได้อย่างไร ประโยคเด็ดในหนังของ ทิม เนเลอร์ ที่ว่า "ถ้าไม่ใช่ผมทำ แล้วจะเป็นใคร" ถูกตอบโต้อย่างเจ็บแสบด้วยประโยคของหัวหน้าทีมผลิตยาที่ว่า "ต่อให้เราไม่ทำ ก็มีคนอื่นทำอยู่ดี"

Cartel Land คือการเสี่ยงตายของทั้ง ทิม เนเลอร์ โฟลีย์ , โฆเซ มิเรเลส ที่ปรากฏตัวในจอ และ แม็ตธิว ไฮเนแมน ผู้กำกับหลังกล้องที่มีแต่เสียงในจอ เริ่มต้นหนังพาเราจมดิ่งไปกับความเศร้าของเหยื่อความรุนแรง ก่อนจะทำให้เราฮึกเหิมในฉากชาวบ้านถือไม้ ก้อนหิน บางคนมือเปล่า รวมตัวกันช่วยเหลือกองกำลังป้องกันตนเองด้วยการขับไล่ทหารออกจากพื้นที่ และนำเราไปสู่บทสรุปอันน่าหดหู่กับชะตากรรมของผู้คน รวมถึงคำพูดส่งท้ายของแก๊งค้ายาในชุดกองกำลังอาสารัฐบาลที่ว่า ยาเสพติดจะคงอยู่ตลอดไป  (มันคือคำพูดเดียวกับที่ เอล ชาโป เคยให้สัมภาษณ์ไว้) 
 น่าแปลกที่คราวนี้เราดันเชื่อ

คะแนน 9/10

โดย นกไซเบอร์

ตัวอย่างหนัง //movie.bugaboo.tv/watch/231945/?link=4




 

Create Date : 19 มกราคม 2559    
Last Update : 21 มกราคม 2559 10:13:52 น.
Counter : 1328 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

mninho
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




นกไซเบอร์ วิจารณ์หนัง
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add mninho's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.