Terminology of 'God(s)'
หลายครั้งๆที่ผู้คนถกเถียงในประเด็นเกี่ยวกับพระเจ้าว่ามีจริงอยู่หรือไม่ หากตัดเอาอารมณ์ร้อนแรง ความอาฆาตพยาบาทอันบังเกิด บางครั้งการถกเถียงก่อให้เกิดการต่อยอดทางความคิดที่น่าสนใจ แต่น่าเศร้าที่หลายครั้งการถกเถียงไม่ก่อให้เกิดสิ่งใดนอกจากการผลาญเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ได้ข้อสรุป ไม่เกิดการต่อยอดทางความคิด เนื่องจากความแตกต่างของจุดยืนของแต่ละบุคคล โดยทั่วไป แต่ละคนจะมีจุดยืนหรือแนวคิดเกี่ยวกับพระเจ้าที่จำเพาะในจิตใจ แต่โดยมาก ผู้คนเหล่านั้นจะไม่รู้ตัวว่าตนเองมีจุดยืนอย่างใดกันแน่ และเมื่อมีการถกเถียงกันเกิดขึ้น แต่ละคนจะยึดจุดยืนของตนเองไว้อย่างเหนียวแน่น ในขณะที่ม่รับรู้หรือเข้าใจจุดยืนของผู้อื่น บทสรุปคือการถกเถียงหลากประเด็นในหัวข้อเดียวกัน พูดถึงสิ่งที่เดียวกันในความหมายที่แตกต่างกันคนละเรื่อง ทำให้ยากจะที่คุยกันอย่างรู้เรื่อง ผู้เขียนจึงขอสรุปอภิธานศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางพระเจ้าดังต่อไปนี้
Theism คือผู้ที่เชื่อในพระเจ้า ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายกว้างมาก และเราจะมาขยายความกัน Atheism คือผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าในรูปแบบใด ในรูปลักษณ์เชิงมนุษย์หรือไม่ก็ตาม ข้อเข้าใจผิดอย่างหนึ่งที่เป็นกันมากคือ ความเข้าใจว่า atheism = irriligous หรืออศาสนา ซึ่งความจริงก็ถูกถ้าเป็นมุมมองของชาติตะวันตก ที่ศาสนาคริสต์มีบทบาทหลัก การปฏิเสธพระเจ้าถือว่าเท่าเทียมกับอศาสนา แต่สำหรับชาติตะวันตกอย่างศาสนาพุทธ เราอาจต้องพิจารณาให้ลึกซึ้ง เนื่องจากศาสนาพุทธก็ไม่เคยกล่าวถึงพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวโดยตรงหรือโดยนัย ศาสนาพุทธจึงเข้าใกล้ atheism หรือ nontheism Agnotism คือผู้ที่ไม่กล่าวเฉพาะเจาะจงลงไปว่าพระเจ้ามีอยู่หรือไม่ agnotism ต่างจาก theism และ atheism ตรงที่ theism และ atheism คือเรื่องของความเชื่อในขณะที่ agnotism คือเรื่องของความรู้ agnotism ไม่สรุปว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่เนื่องจากขาดองค์ความรู้ที่มากพอจะสรุปได้ บุคคลที่เป็น agnotistic อาจแบ่งแยกย่อยได้อีกมากว่ามีความโน้มเอียงไปทางพระเจ้าหรือไม่มีพระเจ้ามากกว่า อย่างไรก็ตามการแบ่งประเภทอย่างระเบียบกว่าน่าจะเป็น weak และ strong
Weak agnotism คือพวกที่ไม่สรุปว่าพระเจ้ามีอยู่หรือไม่ เนื่องจากความรู้ของตนไม่พอที่จะสรุป แต่ไม่ปิดกั้นโอกาสที่จะมีความรู้เพียงพอที่จะสรุปได้ Strong agnotism คือพวกที่ไม่สรุปว่าพระเจ้ามีอยู่หรือไม่ และคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความรู้มากพอที่จะสรุปได้ strong agnotism เกิดจากข้อถกเถียงทางปรัชญาถึงบางสิ่งที่เราไม่มีวันสรุปได้ (อย่างเช่นปัญหาที่ว่าสีแดงที่เราเห็นเหมือนกับสีแดงที่คนอื่นเห็นหรือไม่ ซึ่งไม่ขอลงรายละเอียดในที่นี้ โปรดค้นคว้าต่อเอง)
Monotheism คือผู้ที่เชื่อพระเจ้าอันเป็นหนึ่งเดียว ผู้สร้างทุกสรรพสิ่งและเข้ามาสอดแทรกในการกระทำของเรา monotheism ถือได้ว่าเป็นสายหลักของ theism ในปัจจุบัน โดยเครือข่ายที่ยิ่งใหญ่คือศาสนาคริสต์และอิสลาม พระเจ้าของ monotheism นั้นถือเป็นผู้ทรงพลานุภาพสูงสุด เป็นความสมบูรณ์เหนือทุกสิ่งอย่าง เป็นทั้ง omnipotence (อำนาจอันไม่สิ้นสุด), omnicience (หยั่งรู้ไม่สิ้นสุด), omnipresence (ปรากฏทุกหนแห่ง) และ omnibenevolence (ทรงความดีงามสูงสุด) (อย่างไรก็ตาม ความสมบูรณ์สูงสุดของ monotheism มักก่อให้เกิด paradox เช่น paradox เมื่อพระเจ้าสร้างหินที่ไม่มียกขึ้นได้แล้วพระเจ้าจะยกได้หรือไม่? หรือเมื่อพระเจ้าหยั่งรู้ล่วงหน้าทุกสิ่งแล้วพระเจ้าจะกระทำขัดกับอนาคตที่หยั่งรู้ได้หรือไม่?) Polytheism คือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหลายองค์ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเทพเจ้ากรีกโบราณ พระเจ้าแต่ละองค์จะมีคุณลักษณะและหน้าที่รับผิดชอบแตกต่างกัน เมื่อกล่าวโดยรวมกันจะเรียกว่า pantheon ในยุคก่อนที่ polytheism รุ่งเรือง ปฏิกิริยาเมื่อ polytheism พบกับ monotheism จะแบ่งได้เป็นสามกรณี กรณีที่หนึ่ง polytheist จะเหมารวมว่าพระเจ้าองค์ที่ monotheist นับถือนั้นคือองค์เดียวกันกับหนึ่งใน pantheon หากแต่เรียกในนามต่างกัน กรณีที่สอง polytheist จะรับเอาพระเจ้าของ monotheist มาเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ที่อยู่ในกลุ่ม patheon เดิมนั้น กรณีสุดท้าย polytheist จะปฏิเสธพระเจ้าของ monotheist ไปโดยถือว่าเป็นคนละความเชื่อกัน จะเห็นว่า polytheism ดูจะมีความเปิดกว้างทางความเชื่อค่อนข้างมาก แต่สุดท้ายก็หมดความนิยมไป เนื่องจากมุมมองพระเจ้าหลายองค์นั้นดูเป็นไปได้น้อยกว่าองค์เดียว Deism คือผู้ที่เชื่อในพระเจ้า แต่เป็นมุมมองที่ต่างออกไปจาก monotheism กล่าวคือพระเจ้าของ deist คือผู้ที่สร้างสรรพสิ่งในจักรวาลเริ่มต้น จากนั้นก็ปล่อยให้จักรวาลดำเนินไปตามวิถีทางของมันเองโดยไม่มีการเข้ามาแทรกแซงใดๆ ธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตจึงถือกำเนิดขึ้นโดยหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เราทราบในปัจจุบัน ด้วยเหตุดังกล่าว deist จึงดูจะมีความขัดแย้งต่อวิทยาศาสตร์น้อยกว่า เมื่อเทียบกับ monotheist Pantheism คือผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้า = ธรรมชาติ ถึงตรงนี้อาจต้องพูดว่าเป็นคำศัพท์ที่ค่อนข้างซับซ้อน pantheism มีความใกล้เคียงกับ atheism แต่ก็ถือว่าไม่ใช่ อีกทั้งถูกนำไปสับสนกับ theism อย่างอื่นอยู่บ่อยมาก pantheist เชื่อว่าพระเจ้าก็คือกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ คือทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติที่ดำเนินไปในอย่างที่มันเป็น กล่าวในอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าของ pantheism เป็นพระเจ้าที่ไม่อยู่ในรูปแบบ anthropomorphic และเป็นพระเจ้าที่ไม่ใช่สิ่งเหนือธรรมชาติ (supernatural God, ตรงข้ามกับ monotheism โดยสิ้นเชิง) เพราะพระเจ้าก็คือธรรมชาตินั้นเอง
ข้อถกเถียงที่ควรยกเป็นตัวอย่างคือ ศาสนาของ Albert Einestein (Einesteinian religion) Einestein สร้างความสับสนให้กับผู้คนอย่างมาก เมื่อเขามักกล่าวอ้างถึงพระเจ้าบ่อยๆ (e.g. God does not play dice.) แต่ครั้งหนึ่งนั้น Einestein เคยออกมาประกาศว่าตนเองไม่นับถือศาสนาใดๆที่มีอยู่ ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างมากในหมู่ศาสนิกชน (I am a deeply religious nonbeliever.
This is a somewhat new kind of religion.) อย่างไรก็ตาม Einestein ได้ขยายความว่าแนวคิดของตนเพิ่มเติมในภายหลัง (อยากให้อ่านใน qout) ซึ่งในที่สุด กลายเป็นประโยชน์ให้แต่ละศาสนาตักตวง อ้างว่าแนวคิดของ Einestein นั้นตรงกับศาสนาของตน (รวมไปถึงไอน์สไตน์ไม่เคยพบแต่พระพุทธเจ้าเห็น XD) หากลองพิจารณาให้ถี่ถ้วน จะพบว่า Einestein มักกล่าวอ้างถึงพระเจ้าแทนการกล่าวถึงกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ หรือข้อเท็จจริงทางจักรวาลวิทยา "พระเจ้าไม่ทอยลูกเต๋า" มีความหมายเป็นนัยว่า "จักรวาลไม่ดำเนินไปแบบสุ่ม" โดยนัยดังกล่าว Einestein จึงใกล้เคียงกับ pantheism มากที่สุด จุดเด่นประการหนึ่งของ pantheist คือพวกนี้บางครั้งพูดถึงพระเจ้า แต่ไม่ได้หมายถึงพระเจ้าแบบ anthropomorphic ผู้สร้างสรรพสิ่ง บางครั้งเรามักพูดถึงสิ่งเดียวกันแต่โดยความหมายที่แตกต่างกัน หรือพูดถึงสิ่งแตกต่างกันแต่มีความหมายเดียวกัน
Panentheism คือผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าคือธรรมชาติเช่นเดียวกับ pantheism เราทุกคนอยู่ในพระเจ้า แต่แตกต่างกันตรงที่ว่าพระเจ้าของ panentheism คือธรรมชาติ (จักรวาล) และสิ่งที่เหนือไปจากธรรมชาติ (นอกจักรวาล) อีกด้วย พระเจ้าของ panentheism ยังมีรูปแบบของ anthropomorphic ที่มีความห่วงใยมนุษย์ กล่าวโดยสรุป panentheism คือรูปแบบที่อลุ้มอล่วยระหว่าง pantheism และ monotheism จากอภิธานศัพท์ทั้งหมดคงทำให้ผู้อ่านสามารถตัดสิน พิจารณากันได้บ้างว่าตนเองจัดอยู่ในกลุ่มใด คำถามที่ขอทิ้งท้ายให้ขบคิดกันเล่นๆคือ Spinoza's God ควรจัดอยู่ในกลุ่มใดข้างต้น?
Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2554 | | |
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2554 12:14:14 น. |
Counter : 2820 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นักไวโอลินไตวายผู้ขอพึ่งพาร่างกายของคุณ, จริยธรรมกับการทำแท้ง
วันนี้เห็นกระทู้ดราม่าทำแท้งในหว้ากอ ตอบสนองต่อกระแสข่าวน่าสะเทือนใจในเวลานี้ เปิดอ่านไปได้นิดหน่อยแล้วก็เลิกอ่านเพราะยาวจัด และเริ่มมีตรรกะวิบัติแทรกเป็นกระษัย ประเด็นการทำแท้งถูก-ผิดหรือไม่มีการถกเถียงกันมาช้านานแล้ว มิติของการทำแท้งนั้นซับซ้อน นอกเหนือจากข้อกำหนดกฎเกณฑ์ทางศาสนา (ซึ่งไม่มีความจำเป็นใดๆจะต้องถกเถียงให้มากความ เชื่อและปฏิบัติตามอย่างเดียว) ยังมิติทางสังคมศาสตร์ (ปัญหาที่เกิดจากการทำแท้ง v.s. ปัญหาที่เกิดจากการคลอดอันไม่พึงประสงค์) มิติทางวิทยาศาสตร์และนิติศาสตร์ว่าด้วยฟีตัสในครรภ์กำหนดเป็นบุุคคลหรือไม่
ราวปี 1970 Judith Jarvis Thomson นักปรัชญาแห่ง M.I.T. ได้เสนอข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการทำแท้ง (A Defense of Abortion) โดยเข้าข้างการทำแท้งอันท้าทายประเด็นทางจริยธรรมที่ถือว่าฟีตัสในครรภ์จัดเป็นบุุคคลโดยสมบูรณ์แล้ว
หากคุณตื่นขึ้นมาในวันหนึ่งแล้วพบว่าร่างกายของคุณถูกผูกติดอยู่กับนักไวโอลินผู้มีชื่อเสียง ที่นอนหลับใหล หมดสติ ไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆทั้งสิ้น นักไวโอลินดังกล่าวเป็นโรคไตวายระยะสุดท้าย สมาคมผู้รักเสียงไวโอลินสากลได้พยายามทุกวิถีทางที่จะหาหนทางรักษานักไวโอลิน และพบว่าคุณ-เป็นคนเดียวในโลกนี้ที่มีหมู่เลือดเข้ากันได้กับนักไวโอลินทุกประการ คนจากสมาคมจึงลักพาตัวคุณมา วางยาและผ่าตัดคุณให้มีร่างกายผูกติดกับนักไวโอลิน เพื่อให้ระบบไหลเวียนโลหิตเชื่อมต่อกัน ดังนั้นไตของคุณจะทำหน้าที่กำจัดของเสีย ถ่ายเลือดดีให้แก่นักไวโอลิน กระบวนการรักษาทั้งหมดคือเก้าเดือน นักไวโอลินคงต้องตายหากปราศจากคุณ ทางสมาคมอ้อนวอนขอร้องให้คุณยอมให้นักไวโอลินพึ่งพาร่างกายคุณตลอดเก้าเดือนนี้เพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม แน่ละ ถึงแม้ว่าคุณจะรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม และคุณต้องรู้สึกไม่สบายไปตลอดระยะเวลาการรักษา ทางสมาคมอ้างว่านักไวโอลินผู้นี้มีสิทธิที่จะมีชีวิต-สิทธิพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ แล้วคุณล่ะ? คุณมีสิทธิที่จะปฏิเสธชีวิตอื่นที่ขอพึ่งพาชีวิตของคุณหรือไม่...
จากข้อโต้แย้งของ Thomson ต่อให้ฟีตัสในครรภ์เป็นบุคคลอย่างสมบูรณ์ และมีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่รอดก็ตาม แต่มารดาก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธการพึ่งพาครรภ์ของฟีตัส ในเมื่อร่างกายของมารดานั้นเป็นของมารดาโดยสมบูรณ์ และบุคคลใดๆล้วนมีสิทธิต่อร่างกายของตนเอง ดังนั้น การทำแท้งจึงไม่ใช่การละเมิดสิทธิการดำรงอยู่ของฟีตัส เพราะมารดา-ผู้มีสิทธิต่อรางกายของตนเอง-เพียงแค่ปฏิเสธที่จะให้ฟีตัสพึ่งพาร่างกาย หาใช่เจตนาทำลายชีวิตของฟีตัสไม่ จากข้อโต้แย้งของ Thomson การทำแท้งจึงเป็นการกระทำที่ไม่ผิดจริยธรรม-อย่างน้อยในกรณีที่จำเพาะเจาะจง เช่น การตั้งครรภ์จากการข่มขืน
แน่นอนว่าเมื่อ Thomson เสนอข้อโต้แย้งดังกล่าว ทำให้เกิดข้อถกเถียงในแวดวงนักจริยศาสตร์เป็นอย่างมาก ด้วยการทดลองในความคิดที่ว่า ทำไมการทำแท้งจึงกลายเป็นการกระทำที่ไม่ผิดจริยธรรมไปเสียได้ อย่างน้อยที่สุด นักจริยศาสตร์ฝั่งตรงข้ามได้อ้างว่าข้อโต้แย้งของ Thomson ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น คือการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์ส่วนใหญ่เกิดจากความสัมพันธ์ทางเพศอันยินยอมทั้งสองฝ่าย ในกรณีดังกล่าว นักไวโอลินไตวายกับคุณซึ่งถูกลักพาตัวใช้เป็นตรรกะเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะคุณรับรู้ในความเสี่ยงที่จะมีทารกเกิดขึ้น
กระนั้น Thomson ก็ยังเสนอข้อโต้แย้งอื่นตามมา คือ เมล็ดพันธุ์มนุษย์ (People-Seeds)
สมมติว่าในอากาศมีสิ่งที่เรียกว่า "เมล็ดพันธุ์มนุษย์" ล่องลอยอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวฝังรากลง ณ ที่แห่งใดก็ตาม มันจะเจริญงอกงามกลายเป็นบุคคล คุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่ต้องการให้เมล็ดพันธุ์เจริญงอกงามในบ้านของคุณ ในการณ์นั้น คุณจึงติดตั้งมุ้งลวดเหล็กดัดบนประตูและหน้าต่างทุกบาน แต่กระนั้น เมล็ดพันธุ์ก็ยังหลุดรอดและฝังรากในบ้านของคุณจนได้ ในมุมมองดังกล่าว มนุษย์จากเมล็ดพันธุ์ไม่มีสิทธิที่จะอาศัยอยู่ในบ้านของคุณในเมื่อคุณได้ทำการป้องกันแล้ว (และถึงแม้ว่าคุณเปิดประตูอย่างจงใจก็ตาม) เช่นเดียวกัน ทารก (มนุษย์เมล็ดพันธุ์) ก็ไม่มีสิทธิที่จะพึ่งพาร่างกายของคุณโดยปราศจากความยินยอม (บ้าน) แม้ว่าคุณมีเพศสัมพันธ์อย่างเต็มใจ (เปิดประตูบ้าน)
และแน่นอน ยังคงมีข้อโต้แย้งต่อมุมมองของ Thomson นอกเหนือไปจากนั้น เป็นต้นว่า การเพิกเฉย ปล่อยให้ผู้อื่นตาย-ในกรณีของนักไวโอลิน กับการฆาตกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมาย-ในกรณีของการทำแท้ง นั้นแตกต่างกัน หรือบ้างก็โต้แย้งว่า การมีเพศสัมพันธ์ด้วยความยินยอมผูกติดกับความรับผิดชอบในชีวิตของทารกที่จะเกิดขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่ให้เกิดข้อสรุปว่าการใช้ร่างกายผู้อื่นเพื่อการอยู่รอดเป็นสิทธิที่พึงกระทำได้
ในการถกเถียงทางจริยศาสตร์ไม่มีข้อสรุปที่ตายตัว ขึ้นกับเหตุผล ตรรกะที่หยิบยกขึ้นมาใช้โดยปราศจากอารมณ์และอคติ และข้อโต้แย้งทางจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งก็ยังคงดำเนินต่อไปในปัจจุบัน
ยินยอมให้นำเนื้อหาไปเผยแพร่ หรืออ้างอิงในกรณีถกเถียงเชิงจริยธรรมใดๆโดยไม่ต้องให้เครดิต แต่โปรดรับผิดชอบการใช้เหตุผลของคุณเอง
Create Date : 19 พฤศจิกายน 2553 | | |
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2553 18:23:07 น. |
Counter : 2668 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
โลกนี้ไม่มีซุปเปอร์ฮีโร่
1. ซุปเปอร์ฮีโร่ต้องเป็นผู้เสียสละ ปัญหาใดๆที่เกิดขึ้นบนโลกนี้---ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือแสนสาหัส ซุปเปอร์ฮีโร่ต้องตามไปแก้ไข ไม่มีข้ออ้างว่าวันนี้เป็นวันหยุด ไม่มีข้ออ้างว่าวันนี้เหน็ดเหนื่อย ไม่สามารถปฏิเสธ/เลือกได้ว่าจะแก้ปัญหาไหน ฮีโร่ต้องรับใช้ประชาชน 24 ชม. ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ ฮีโร่จะถูกประณามว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว
2. ซุปเปอร์ฮีโร่ไม่มีสิทธิที่จะมีชีวิตส่วนตัว ประวัติของฮีโร่จะถูกขุดคุ้ยไม่มีที่สิ้นสุด ทุกแง่มุมของชีวิต ทุกการกระทำจะถูกตีแผ่โดยสื่อมวลชนหรือเหล่าแฟนคลับที่คลั่งไคล้ ซุปเปอร์ฮีโร่คงมีครอบครัวไม่ได้ หรือถ้ามี พวกเขาคงน่าสงสารมาก
3. ซุปเปอร์ฮีโร่ต้องเลือกฝั่งเลือกข้าง เลือกจุดยืนบนโลกใบนี้ รัฐบาลของประเทศต่างๆจะเรียกร้องเชิงบังคับให้ซุปเปอร์ฮีโร่อยู่ฝั่งเดียวกับเขา แต่ฮีโร่ควรจะเลือกอยู่ฝั่งไหน? ใครจะตอบได้ อะไรคือสิ่งที่ถูก-อะไรคือสิ่งที่ผิดสำหรับโลกใบนี้
4. มีคนรักซุปเปอร์ฮีโร่นับไม่ถ้วน ย่อมมีคนชังนับอนันต์ ทั้งคนที่สูญเสียผลประโยชน์จากการดำรงอยู่ของฮีโร่โดยตรง ทางอ้อม หรือแม้แต่ความหมั่นไส้เกลียดชังโดยไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ ความเกลียดชังของมนุษย์นั้นรุนแรง 5. ร่างกายของซุปเปอร์ฮีโร่ต้องอุทิศแด่วิทยาศาสตร์ นักวิจัยคงกระหายที่จะศึกษาถึงสาเหตุของพลังพิเศษ ความโลภเกิดขึ้นได้ง่ายๆด้วยเจตนารมย์ตั้งต้นที่น่าจะดี
6. เกิดศาสนานิกายที่บูชาซุปเปอร์ฮีโร่ เมื่อความชื่นชมเปลี่ยนเป็นความศรัทธา ความศรัทธาของมนุษย์สร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้แต่ก็มีอานุภาพทำลายล้างอย่างน่ากลัว อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งถูกบูชาดุจเทพเจ้า?
7. ซุปเปอร์ฮีโร่จะยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ของตนไปได้อีกนานแค่ไหน จิตใจจะเข้มแข็ง มั่นคงตลอดไปหรือไม่ อะไรจะเป็นหลักประกันว่าเขาจะไม่กลายเป็นบุคคลที่ชั่วร้าย ใช้อำนาจในทางที่ผิด ในเมื่อพลังของเขาเหนือกว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้?
Superhero ไม่มีในชีวิตจริง หรือแม้แต่การยกย่องให้บุคคลหนึ่งๆเป็น Superhero ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควร
Create Date : 21 ธันวาคม 2551 | | |
Last Update : 21 ธันวาคม 2551 9:14:25 น. |
Counter : 1129 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
รวมวาทะ
เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาสิ่งที่ดีเขามีอยู่ เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู เรื่องที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย จะหาคนที่มีดีเพียงส่วนเดียว อย่าเที่ยวเสาะหาสหายเอ๋ย เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเล่าเอย ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง
หลวงพุทธทาส
โลกมนุษย์นี้ไม่มีที่แน่นอน ประเดี๋ยวเย็นประเดี๋ยวร้อนช่างแปรผัน โชคหมุนเวียนเปลี่ยนไปได้ทุกวัน สารพันหาอะไรไม่แน่นอน ชีวิตเหมือนเรือน้อยล่องลอยอยู่ ต้องต่อสู้แรงลมประสมคลื่น ต้องทนทานหวานสู้อมขมสู้กลืน ต้องจำฝืนสู้ภัยไปทุกวัน เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์ แต่คนที่ควรชมนิยมกัน ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา
พันตรีหลวงวิจิตรวาทการ
เกิดกรณีบ่อยนัก ที่เรามักล่ามโซ่จองจำตนเอง และไม่เคยรู้คิดเลยสักนิดเลยว่าเรามีลูกกุญแจไขปลดเปลี้ยงโซ่นั้น
So often it happens that we live our lives in chains, and we never even know, we have the key. Eagles
ผู้คนทั่วๆไปมักไม่ค่อยอยากพูดว่าฉันรักคุณ พออยากจะพูดก็สายเสียแล้ว หรือไม่ก็ความรักสูญสลายไปแล้ว ฉะนั้นเมื่อฉันพูดกับคุณว่าฉันรักคุณ มิได้หมายความว่าคุณจะไม่จากฉันไปเลย ฉันเพียงแต่ภาวนาว่าคุณคงไม่เกิดความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น
People so seldom say I love you. And then its either too late or love goes. So when I tell you I love you, it doesnt mean I know youll never go-- Only that I wish you didnt have to---.
Laurence Craig-Green.
ชีวิตใกล้ปัจฉิมวัย ไม่เป็นไปตามแผนการเมื่อปฐมวัย อะไรที่ยิ่งใหญ่เมื่อเช้า เป็นของเล็กน้อยเมื่อเย็น อะไรที่เป็นสัจจะเมื่อแดดจ้า กลายเป็นมายาเมื่อยามพลบ
We cannot live the afternoon if life according to the program on lifes morning; for what was great in the morning will be little at evening, and what in the morning was true will at evening have become a lie.
C.G. Jung.
ดูเหมือนว่าจะมีกฎเกณฑ์ทางนามธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่าเราจะไม่ประสบชัยชนะ (ความสำเร็จ) หรือจะไม่ได้รับความสนุกสนาน ถ้าไม่ยอมล้มเลิกหรือเสียสละอะไรง่ายๆ
There seems to be a spiritual law whereby nothing can be wholly won or enjoyed without something being given up or sacrificed for it.
Otto Rank
โลกนี้คือโรงละครใหญ่ ชายหญิงนั้นไซร้เปรียบตัวละครนั่น ต่างมียามเข้าออกอยู่เหมือนกัน คนหนึ่งนั้นย่อมเล่นตัวนานา (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระราชนิพนธ์ ทรงแปลจากกลอนข้างล่างนี้) All the worlds a stage, And all the men and women merely players; They have their exits and their entrances, And one man in his lifetime plays many parts.
William Shakespeare, As You Like It, P.38
ทีแรก ข้าพเจ้าสงสารทุกคน ไม่สงสารตัวเองเลย ครั้นแล้ว ข้าพเจ้าสงสารตัวเอง ไม่สงสารใครๆเลย เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าสงสารพวกเราทุกคน ในโลกอันโศกสถิตนี้
First I had pity for everyone but myself; and then I had pity for no one but myself. And now I pity all of us in this miserable world
John Gardner. Gudgekin the Thistle Girl.
ขอพระเป็นเจ้าทรงประทานขันติธรรมให้ข้าพเจ้ายอมรับได้ ซึ่งสิ่งที่ไม่อาจปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ ทรงประทานความแกล้วให้ข้าพเจ้ากล้าปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ซึ่งสิ่งที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ และทรงประทานปัญญาให้ข้าพเจ้าทราบ ซึ่งความต่างกันของสิ่งทั้งสองประเภทนี้
God grant me the serenity to accept the things that cannot change; the courage to change the things that can. And the wisdom to know the differences.
Anonymous.
Create Date : 02 ธันวาคม 2551 | | |
Last Update : 2 ธันวาคม 2551 13:16:32 น. |
Counter : 718 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
มีชีวิตบนดาวอังคารหรือเปล่านะ
|
|
|
|
|
|
|
|
|