ยีนที่เห็นแก่ตัวและอาณาจักรมด
ไม่นานมานี้ อ่านหนังสือ The selfish gene มาถึงบทที่ 10 ซึ่งอธิบายพฤติกรรมการอยู่ร่วมเป็นกลุ่มหรือสังคมของสิ่งมีชีวิตด้วยทฤษฎียีนที่เห็นแก่ตัว มีการยกตัวอย่างที่สำคัญคืออาณาจักรมดแล้ว รู้สึกว่ามันน่าสนใจมากๆ จึงอยากเรียบเรียงเอาไว้ให้เป็นความทรงจำระยะยาวสำหรับตนเองและแบ่งให้คนอื่นๆลองอ่านดู ก่อนที่จะพูดถึงอาณาจักรมด คงต้องกล่าวถึงทฤษฎียีนที่เห็นแก่ตัวเสียก่อน Richard Dawkins ผู้แต่งหนังสือ The selfish gene ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับยีนที่เห็นแก่ตัวอันมีชื่อเสียงอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็ถูกต่อต้านเช่นเดียวกัน ยีน(ในความหมายรวมทั้งเอกพจน์และพหูพจน์)ในมุมมองของดอว์กิ้นคือสิ่งที่ดำรงอยู่โดยเพิ่มจำนวนสำเนาของตนเอง และมีวัตถุประสงค์ในการดำรงอยู่เพื่อการณ์นั้น เพื่อเป้าหมายดังกล่าว ยีนจะกระทำทุกสิ่งอย่างให้ได้มาโดยมีคู่แข่งเป็นจำนวนมาก(ซึ่งก็คือยีนอื่นๆที่ไม่เหมือนกัน) โดยยีนอาศัยร่างกายของสิ่งมีชีวิตเป็นเครื่องมือในการเพิ่มสำเนาของตนเอง ยีนเปรียบเสมือนผู้ออกคำสั่งให้ร่างกายมีชีวิต หาอาหาร สืบพันธุ์ เพื่อตนเอง ดังนั้นจึงอาจกล่าวว่ายีนนั้นเห็นแก่ตัว (แน่นอนว่าคำว่า เห็นแก่ตัว อาจฟังดู anthropomorphic แต่ดอว์กิ้นก็ย้ำหลายรอบในหนังสือของเขาว่า การใช้คำว่าเห็นแก่ตัวไม่ได้หมายความว่ายีนนั้นมีสำนึก ความรู้สึก แต่เป็นการใช้คำเพื่อสื่อความหมายให้เข้าใจง่ายที่สุดสำหรับการสื่อสารระหว่างมนุษย์) ด้วยเหตุที่ยีนเห็นแก่ตัว ความรักของพ่อแม่ พี่น้อง เครือญาติจึงถูกตีความหมายเป็นความเห็นแก่ตัวของยีน ที่ต้องการปกป้อง รักษาสำเนาที่คล้ายกับตนเองมากที่สุดให้ดำรงอยู่ต่อไปและเพิ่มจำนวนถัดไปจากรุ่นสู่รุ่น แม่ห่วงใยลูก เพราะลูกมีพันธุกรรมที่เหมือนกับแม่ 50% แต่ห่วงมากกว่าที่ห่วงใยหลาน ที่มีพันธุกรรมเหมือนกับตนเอง 25% เป็นต้น ในบทที่ 10 ผู้เขียนได้พยายามอธิบายโครงสร้างสังคมมดด้วยทฤษฎียีนที่เห็นแก่ตัว สังคมมดอันซับซ้อนดำรงอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องอาศัยสำนึกระดับสูงเพราะอะไร ก็เพราะว่ามดทุกตัวในสังคมมีความเกี่ยวข้องพันธุกรรมกันอย่างมาก มดทุกตัวเกิดมาจากนางพญาตัวเดียวกัน แต่ระดับความสัมพันธ์ของมดนั้นไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิด มดมีระบบเพศและรูปแบบพันธุกรรมที่ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตชั้นสูง นางพญาหนึ่งตัวเกิดจากมดเพศเมียที่ได้รับการผสมพันธุ์จากเพศผู้หนึ่งตัว เมื่อมันกลายสภาพเป็นนางพญา มันเก็บอสุจิของมดเพศผู้ไว้ในร่างกายเพื่อปฏิสนธิกับเซลล์ไข่ไว้ได้นานถึงสิบปี แต่กระนั้น นางพญาจะออกไข่สองชนิด ชนิดที่ได้รับการปฏิสนธิและชนิดที่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิจะเจริญเป็นมดเพศเมีย มดเพศเมียส่วนใหญ่จะเป็นหมันและเป็นมดงาน มดเพศเมียที่ไม่เป็นหมันไม่ได้ถูกกำหนดโดยพันธุกรรมแต่โดยการเลี้ยงดูโดยเฉพาะอาหารที่ได้รับ ส่วนไข่ที่ไม่ได้รับการปฏิสนธิจะเจริญเป็นมดเพศผู้ ดังนั้นมดเพศผู้จึงมีโครโมโซมครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับเพศเมีย แถมโครโมโซมดังกล่าวยังมาจากนางพญาหรือแม่ของมันล้วนๆ หากมดเพศผู้มียีน A แน่นอนว่ายีน A นั้นมาจากแม่ของมัน 100% จึงอาจกล่าวได้ว่ามดเพศผู้มีความสัมพันธ์กับนางพญา 100% ขณะที่นางพญาสัมพันธ์กับลูกเพศผู้ 50% (เพราะเกิดจากเซลล์ไข่ที่แบ่งตัวแบบ meiosis) และมดเพศผู้สัมพันธ์กันระหว่างพี่น้อง 50% ความประหลาดดังกล่าวส่งผลให้ทุกเซลล์อสุจิของมดเพศผู้หนึ่งตัวมียีนเหมือนกันทุกประการ กลับมาที่มดเพศเมียซึ่งเกิดจากไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ มดเพศเมียจึงมียีนครึ่งหนึ่งได้จากแม่และอีกครึ่งได้จากพ่อ ดังนั้นมดเพศแม่จึงสัมพันธ์กับนางพญาเช่นเดียวกับนางพญาสัมพันธ์กับลูกเพศเมียคือ 50% แต่เมื่อเราพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องเพศเมีย...สมมติว่ามดเพศเมียตัวหนึ่งมียีน B หากยีนดังกล่าวมาจากแม่ พี่น้องเพศเมียของมันมีโอกาสที่จะมียีน B อยู่ 50% แต่หากยีนดังกล่าวมาจากพ่อ พี่น้องของมันมีโอกาสครอบครองยีนดังกล่าว 100% เมื่อเฉลี่ยแล้ว มดเพศเมียจึงสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องเพศเดียวกันถึง 75% มากกว่าที่สัมพันธ์กับนางพญาหรือพี่น้องเพศผู้ด้วยกัน!!
ดังนั้น ในมุมมองของมดงาน ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของอาณาจักร ย่อม"อยาก"ให้มีพี่น้องเพศเดียวกันมากที่สุด (เนื่องจากมีสำเนายีนเหมือนกัน 75%) มดงานเสมือนว่าไม่ได้มีชีวิตเพื่อตนเองแต่เพื่อราชินี เป็นเพราะว่าตัวมันนั้นเป็นหมัน ไม่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มจำนวนสำเนายีนที่ครอบครองโดยตรง แต่นางพญาต่างหากสำคัญเพราะเป็นเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสำเนาที่เหมือนกับตัวมัน และสำเนาดังกล่าวมีโอกาสเป็นราชินีตัวต่อไป ส่วนมุมมองของนางพญา เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นลูกเพศผู้หรือเพศเมียก็ต่างสัมพันธ์กับมัน 50% เท่ากัน ดังนั้นมันจึง"อยาก"ได้ลูกทั้งสองเพศในอัตราส่วนเท่าๆกัน
ดังนั้นจึงเกิด conflict of interest ระหว่างมดนางพญาและมดงาน (เราละเลยมดเพศผู้และมดเพศเมียที่ไม่เป็นหมันเนื่องจากมีบทบาทควบคุมอาณาจักรน้อยกว่า) จากคำนวณ มดนางพญาควรจะต้องการลูกเพศผู้และเพศเมียในสัดส่วน 1:1 ในขณะที่มดงานจะต้องการพี่น้องเพศผู้และเพศเมียในอัตราส่วน 1:3 และเนื่องจากมดงานมีบทบาทเหนือกว่าในแง่ที่ว่ามันทำหน้าที่เลี้ยงดู คัดเลือกตัวอ่อนตั้งแต่นางพญาออกไข่ มันจึงสามารถกำหนดเพศประชากรในอาณาจักรได้ ถึงแม้ว่ามดนางพญาจะพยายามออกไข่ในสัดส่วนที่เท่ากัน มดงานเป็นฝ่ายชนะ และสัดส่วนเพศในอาณาจักรมดจึงเป็น 1:3 และจากการสำรวจมดมากกว่า 20 สปีชี่ส์พบว่าสัดส่วนเพศใกล้เคียงกับตามทฤษฎีอย่างมาก สำหรับมุมมองของมดงานนั้นมีหลักฐานเชิงประจักษ์ แล้วเราจะพิสูจน์มุมมองของนางพญาได้อย่างไร? ดอว์กิ้นขยายการอธิบายต่อด้วยอาณาจักรแบบใช้งานทาส ในกรณีดังกล่าว มดเพศเมียที่เป็นหมันส่วนใหญ่จะเป็นมดทหาร ทำหน้าที่บุกเข้าไปยังอาณาจักรอื่นแล้วขโมยตัวอ่อนกลับมาที่รังเพื่อเป็นทาสมดงาน ตัวอ่อนที่ถูกลักพาจะเป็นทาสด้วยความยินยอมเนื่องจากมันถูกเลี้ยงดูในอาณาจักรใหม่ตั้งแต่เกิด เสมือนหนึ่งว่ามันเกิดจากอาณาจักรนั้นๆ มันดำรงสัญชาตญาณเดียวกับมดงานทั่วไปคือต้องการเพิ่มประชากรเพศเมียให้มากที่สุด ทั้งที่มันไม่รู้(และไม่มีโอกาสรู้)ว่าประชากรที่มันเลี้ยงดูนั้นแทบไม่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมต่อกัน
สำหรับนางพญา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มประชากรเพศผู้และเพศเมียในอัตราส่วนเท่ากัน นางพญาจะมีการใช้กลยุทธต่างๆเพื่อหลอกลวงมดงานเช่น ออกไข่มดเพศผู้ให้มีกลิ่นคล้ายมดเพศเมีย ในกรณีของอาณาจักรที่มีมดงานของตนเอง มดงานก็จะหากลยุทธในการจับผิดนางพญาและเอาชนะได้ในที่สุด ยีนของการแข่งขันระหว่างนางพญาและมดงานจะดำเนินไปจากรุ่นสู่รุ่น ในกรณีของอาณาจักรที่ใช้มดทาส เนื่องจากมดทาสทำงานฟรี ไม่สามารถถ่ายทอดยีนของตนจากรุ่นสู่รุ่นได้ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ดังนั้นมดทาสจึงไม่สามารถแข่งขันกลยุทธกับนางพญาได้ นางพญาเป็นฝ่ายชนะ และสัดส่วนเพศผู้:เพศเมียในอาณาจักรดังกล่าวจะเป็น 1:1 ซึ่งจากการสำรวจมดที่มีการใช้แรงงานทาสอย่างน้อย 2 สปีชี่ส์ พบว่าสัดส่วนใกล้เคียงกับ 1:1 จริงๆ ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างหนึ่งในการพยายามอธิบายระบบสิ่งมีชีวิตด้วยทฤษฎียีนที่เห็นแก่ตัว ซึ่งยังคงมีข้อโต้แย้งอย่างมาก และต้องการหลักฐานสนับสนุนครับ เรียบเรียงจากบท You scratch my back, I'll ride on yours, Richard Dawkins, The selfish gene, 2009.
Create Date : 13 ตุลาคม 2553 |
Last Update : 13 ตุลาคม 2553 18:32:38 น. |
|
2 comments
|
Counter : 7014 Pageviews. |
|
|
|
โดย: โอ้ละหนอ วันที่: 13 ตุลาคม 2553 เวลา:21:53:53 น. |
|
|
|
โดย: navalsamurai (navalsamurai ) วันที่: 14 ตุลาคม 2553 เวลา:1:55:37 น. |
|
|
|
| |
|
มีชีวิตบนดาวอังคารหรือเปล่านะ
|
|
|
|
|
|
|
|
|
แวะมาพ่นสีกำแพงบล๊อกจ้า