อยากเรียนหมอ ชีวิตแพทย์ รพ.รัฐ และ แพทย์เพิ่มพูนทักษะ ... รู้ว่าเป็นหมอเหนื่อย แล้วมาเป็นหมอทำไม ???
กว่าจะมาเป็นแพทย์กระทู้จาก เวบพันทิบ ห้องลุมพินี สมาชิกหมายเลข3854298 https://pantip.com/topic/36670272 ใครอยากเป็นแพทย์มาทราบขั้นตอนกว่าจะมาเป็นแพทย์ นะครับ ว่ายากง่ายอย่างไร ขั้นตอนการเป็นแพทย์ ขั้นที่1 เรียนม.ปลายแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ขั้นที่2 สอบเข้าหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ขั้นที่3 เรียนปริญญาตรีแพทย์ ขั้นที่4 สอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมกับแพทยสภา ขั้นที่5 ทำงานชดใช้ให้กับรัฐบาลในสถานพยาบาลรัฐบาล ขั้นที่6 สมัครเข้าเรียนแพทย์เฉพาะทาง ................................................ ขั้นที่1 เรียนม.ปลายแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ใช้เวลาเรียนตามหลักสูตร3 ปี เรียนเน้นวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ วิชาหลักที่เรียนคือ ฟิสิกส์ เคมีชีววิทยา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ถึงแม้จะมีบางช่องทางที่รับผู้สมัครทางแผนศิลป์จาก ปวช. จาก กศน. ก็ตาม แต่หากท่านใดประสงค์จะเรียนแพทย์ ผมก็แนะนำให้เรียนม.ปลาย แผนวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ ครับ ................................................ ขั้นที่2 สอบเข้าหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ในระบบTCAS การสอบเข้าหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตมี 5ช่องทาง ดังนี้ 1.สอบตรงภูมิภาค ผู้สมัครในเขตพื้นที่บริการไม่กำหนด GPAX ในการสมัครใช้คะแนนสอบข้อเขียนในการคัดเลือก บางแห่งก็ใช้คะแนน GAT PAT เข้ามารวมด้วย เช่น -สอบตรง 14 จังหวัดภาคใต้ ม.สงขลานครินทร์ -สอบตรงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ม.ขอนแก่น -สอบตรง 8 จังหวัดภาคเหนือ ม.เชียงใหม่ 2.สอบตรงแพทย์ชนบท โครงการCPIRD และ ODOD ผู้สมัครในเขตพื้นที่บริการกำหนด GPAX ในการสมัครใช้คะแนนสอบข้อเขียน ร่วมกับคะแนน GAT PAT หรือคะแนนวิชาเฉพาะซึ่งจะแตกต่างกันไปแล้วแต่สถาบัน เช่น -หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ม.เทคโนโลยีสุรนารี -หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ม.วลัยลักษณ์ 3.สอบตรง หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตที่รับโดยไม่กำหนดพื้นที่บริการเช่น -สอบตรงโครงการ MDX ความสามารถพิเศษทางวิชาการและภาษาอังกฤษคณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น -สอบตรงโครงการร่วมระหว่าง University of Nottingham กับคณะแพทยศาสตร์ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ -สอบตรงโครงการผลิตแพทย์ร่วม กรมแพทย์ทหารอากาศ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ 4.สอบ กสพท. รับจำนวนมากที่สุดมีหลายสถาบันที่รับแบบนี้คุณสมบัติผู้สมัครก็เปิดกว้างมากกก ไม่ว่าจะสามัญ(วิทย์คณิต ศิลป์ภาษา ศิลป์คำนวณ) สายอาชีพ การศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) เด็กซิ่วเด็กอินเตอร์ เด็กเมืองนอก มีสิทธิสมัครทั้งหมดแต่จะสอบติดมั้ยต้องขึ้นกับความสามารถของตนเอง สำหรับผู้สมัครปกตินี้ใช้คะแนน3 ส่วน คือ -วิชาสามัญ (ร้อยละ 70) -วิชาความถนัดแพทย์ (ร้อยละ 30) -O-NET (ขั้นต่ำร้อยละ 60) สำหรับกลุ่มพิเศษ(เช่น เด็กซิ่ว เด็กจบป.ตรี เด็กจบเมืองนอก เป็นต้น) ใช้คะแนน 2 ส่วน คือวิชาสามัญ 7 วิชา และวิชาความถนัดแพทย์ 5.โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแนวใหม่ (หลักสูตรแพทย์สำหรับผู้เรียนจบปริญญาตรี) รับสมัครผู้ที่เรียนจบปริญญาตรีสายวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ทำงานด้านสาธารณสุขอย่างน้อย2 ปี กำหนดอายุผู้สมัครไม่เกิน 30 ปี ในวันสมัคร เข้าเรียนชั้นปีที่ 2ใช้เวลาเรียน 5 ปี เปิดรับสมัคร 2 สถาบัน คือ ม.นเรศวร กับ ม.พะเยา ตอนนี้ระบบTCAS ยังไม่นิ่ง อาจจะมีการเลี่ยนแปลงอ่านข้อความนี้แล้วโปรดพิจารณาด้วย ................................................ ขั้นที่3 เรียนปริญญาตรีแพทย์ ปริญญาตรีแพทย์เรียกอย่างเป้นทางการว่า หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ใช้เวลาเรียนตามหลักสูตร 6 ปีโดยแบ่งเป็น ชั้นปีที่1 เรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ทั่วไป เรียกได้ว่าเอาเนื้อหาวิชา ม.ปลาย 3 ปีมาเรียนรวมกันใน 1 ปี เพื่อปรับพื้นฐานแก่นิสิต/นักศึกษาทุกคน ชั้นปีที่2 - 3 เป็นการเรียนวิชาพรีคลินิก เป็นวิชาที่ปูพื้นฐานด้านการแพทย์ เช่นกายวิภาคศาสตร์ สรีระวิทยา เภสัชวิทยา จุลชีววิทยา ชั้นปีที่4 - 6 เป็นการเรียนวิชาทางคลินิก เป็นวิชาทางการแพทย์พร้อมกับลงมือรักษาผู้ป่วยจริง ................................................ ขั้นที่4 สอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม สอบกับทางแพทยสภาการสอบเรียกว่า (National Lisense: NL) เป็นการสอบเพื่อออกใบอนุญาตแก่แพทย์ใบประกอบของแพทย์ ใช้ชื่อว่า "ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม"แบ่งการสอบออกเป็น 3 ครั้ง ครั้งที่1 เป็นการสอบเพื่อประเมินความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน (BasicMedical Sciences) สอบตอนจบปี 3 ความรู้ pre-clinic ถ้าสอบไม่ผ่านก็สอบใหม่ มีสอบปีละ 2 รอบ ครั้งที่2 เป็นการสอบเพื่อประเมินความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก (ClinicalSciences) สอบตอนจบปี 5 ครั้งที่3 เป็นการสอบเพื่อประเมินทักษะและหัตถการทางคลินิก (ObjectiveStructured Clinical Examination : OSCE) สอบตอนจบปี 6 ................................................ ขั้นที่5 ทำงานชดใช้ให้กับรัฐบาลในสถานพยาบาลรัฐบาล โดยจะแบ่งแพทย์ออกเป็น2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีสังกัด กับ กลุ่มอิสระ โดยกลุ่มที่มีสังกัดก็จะกลับไปทำงานชดใช้ทุนกับต้นสังกัดของตนเอง เช่นแพทย์ที่เข้ามาด้วยระบบแพทย์ชนบทของจังหวัดอุบลราชธานีก็กลับไปทำงานที่โรงพยาบาลในจังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้นส่วนกลุ่มอิสระก็เลือกจังหวัดที่จะไปทำงานได้อิสระตามอยากไป และจำนวนที่รับ ................................................ ขั้นที่6 สมัครเข้าเรียนแพทย์เฉพาะทาง หลังจากที่ทำงานชดใช้ทุนครบแล้วแพทย์ผู้สนใจเรียนต่อเฉพาะทางก็จะต้องไปสมัครเรียนต่อสาขาที่ตนเองสนใจ(ไม่ต่อเฉพาะทางเขาก็ไม่ว่า แล้วแต่คน) ซึ่งสาขาที่จะเลือกก็มีหลากหลายมาก เช่นสาขาหลัก อายุรกรรม ศัลยกรรม สูติกรรรม กุมารเวชกรรม สาขาอื่น หูคอจมูก รังสีวิทยาวิสัญญี จิตเวช ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านนะครับ สมาชิกหมายเลข3854298 https://pantip.com/topic/36670272 ................................................
ช่วงการทำงาน เป็นแพทย์ รพ.รัฐ โดยเฉพาะ โรงพยาบาลชุมชน (โรงพยาบาลอำเภอ) ในช่วงทำงานใช้ทุน ๓ ปี .. ตัวอย่างเหตุการณ์แบบนี้ ยังเกิดขึ้นอยู่ในบ้านเรา และน่าจะยังเป็นแบบนี้ไปอีกนาน บันทึกไว้ เป็นข้อมูล
https://www.facebook.com/Infectious1234/posts/350160655414634 แด่..พี่ๆน้องๆบุคลากรสาธารณสุขของรัฐและคนไข้ที่เคารพ😢 😓สัปดาห์ที่ผ่านมามีดราม่าที่บั่นทอนกำลังใจพวกเรา แต่อย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อ ตรวจคนไข้ต่อ ราวน์วอร์ดต่อ ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ทำงานHA คุณภาพ ออกเยี่ยมบ้าน ประชุมอีกเพียบ_พวกเค้าที่ด่าเราจะรู้ไหมน๊าาาว่า เวลาพวกเราอยู่เวร ทำงานในเวลาและนอกเวลาเป็นอย่างไร เป็นบุคลากรของ รพ.รัฐ มาดูชีวิตพวกเราสิ😔 -ตัวอย่างในเวลาเราเรื่ม เช่นจันทร์8.30-16.00น.และเวรนอกเวลาเริ่ม 16.00-8.30 เช้าอังคาร_เราทำงานยาวนะ เราก็ต้องทำงานต่อนะ อังคาร 8.30-16.00พวกเราทำงาน 36 ชม.!!นะ ใน1เดือนเรามีเวรแบบนี้ 10-15เวรนะ!! ยิ่งกว่า 7-11 นะ!!! 36 ชม.นะ 😖 -ในเวลาราชการ 8.30-16.30น. ก็จริง!!แต่พวกเราต้องตื่น 6.00นะ ถึงวอร์ด7.00น.เพื่อไปดูคนไข้ในที่นอน รพ.ก่อน เกือบ 30-40เตียง!! ถ้าคนไข้ในวอร์ดอาการไม่ดี บางทีหอบ เราต้องใส่ท่อช่วยหายใจ เขียนใบส่งตัว ถ้ามีคนไข้หัวใจหยุดเต้นเราต้อง CPR นะ กว่าจะเสร็จราวน์วอร์ดเราต้องคุยกับญาติเขียนเอกสาร พอเสร็จคนไข้ใน เราต้องรีบวิ่งไปออก OPD ซึ่งอาจมาช้า 9.00น. ข้าวเช้าหรือลืมไปเลย กินนมสักกล่องก็อยู่ได้แล้ว โปรดรับรู้ว่าเราไม่ได้ตื่นสายมาออก OPD ช้าให้คนไข้รอนะ เราต้องตรวจคนไข้ในเสร็จก่อน รพ.ชุมชนมีหลายขนาดจำนวนหมอ1-5คน บางรพ.มี1คน ถ้ามีเกิน1คนก็โชคดี -OPD 8.30-16.00 เราต้องตรวจคนไข้เป็น100คนนะครับ 100 คน!! ข้าวกลางวันแทบไม่ได้กิน ถ้ามีคนไข้จะคลอด เราต้องวิ่งไปทำคลอดก่อนนะ (คนไข้ Opd รอก่อนนะพวก้ราขอโทษที่ต้องให้รอ) เกิดคลอดไม่ได้ งานใหญ่เลย เราต้องใช้เครื่องช่วยดูดสุญญากาศ คลอดไม่ได้อีกหรือคลอดออกมาเด็กแย่ เราต้องช่วยเด็กอีกใส่ท่อช่วยหายใจ ปั๊มหัวใจและต้องเขียน+โทรสัพท์ส่งตัวไป รพ. ใหญ่อีก เครียดไหมเราต้องรับผิดชอบชีวิตแม่กับลูก เสร็จก็รีบวิ่งมาออกOPD _ถ้าระหว่างตรวจOPDรับแจ้งมีคนไข้ตายนอก รพ.เช่น ผูกคอตาย ฆาตกรรม หรือ ศพ.ที่เน่ามาหลายวัน พวกเราต้องละจาก OPD ไปกับคุณตำรวจเพื่อออกไปชันสูตรศพนะ คุณไปกับพวกเราไหมไปชันสูตรพลิกศพ บางทีเป็นน้องหมอผู้หญิงตัวเล็กๆเคย ศพบางทีมีหนอนเต็มศพ!กลิ่นไม่ต้องพูดถึง สภาพศพ!!! เราต้องจับชันสูตรพลิกศพด้วยนะหรือระหว่างตรวจ OPD มีคนไข้อุบัติเหตุหมู่ เราต้องละคนไข้ OPD ไปช่วยคนไข้อุบัติเหตุหมู่ก่อนนะ ค่อยมาตรวจต่อเวลากินข้าวกลางวัน 5 นาทีก็เยอะสำหรับพวกเราแล้ว ธรรมดามากกินหมดใน5นาที -ตกเย็นหลัง 16.00น. เวลาเวรนอกเวลาเราเป็นหมอคนเดียวในรพ.นะ ดูคนไข้นอกเวลา+คนไข้นอน รพ.ที่มีปัญหา มีคนไข้ทุกประเภท เมามา เอะอะโวยวาย ตีรันฟันแทงเลือดอาบมา คนไข้จะคลอดลูก อุบัติเหตุอผลแหวะหวะ พวกเค้าบางคนเป็นหวัดมาเอายสรอนานแถมใส่อารมณ์กับพวกเราอีก อัดคลิปด่าเรา รอนาน เตะก้านคอหมออีก ข่มขู่เราอีก ยิ่งถ้ามีคนไข้อุบัติเหตุมา ปอดแตก ไม่รู้สึกตัวเราต้องใส่ท่อช่วยหายใจอีก ปั๊มหัวใจอีกหรือมีคนคลอดลูกก็ต้องไปทำคลอดอีก!! หรือคนไข้ในวอร์ดไม่ดีเราก็ต้องวิ่งไปดู เดินวนวิ่งวนไปทั้งเวร 😔เราอยู่เวรหมอ1คนทั้ง รพ.นะ ทำทุกอย่างนะ!!! คนไข้มา รพ.นอกเวลาราชการ ต้อง รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นะเราขอโทษ!!! ถ้าไม่ด่วนมากต้องเข้าใจพวกเรานะ เราอยากรักษาให้ไวๆทุกคนแหละ เราก็ไม่อยากให้คนไข้รอนะ ทำไงได้เราอยู่เวรคนเดียว -ข้าวเย็นหรอ 5 นาทีก็หรูแล้ว -โทรสัพท์หาพ่อแม่หรือแฟนหรอ ลืมไปเลย หรือแม้แต่ เค้าโทรมาหาเรา !!เรายังอาจไม่ได้รับเลย นี่ยังไม่นับถ้าพ่อแม่หรือแฟนเราป่วย ไม่มีโอกาสได้ดูแลหรอก ฉะนั้นที่เห็นพวกเราคุยโทรสัพท์หรือส่งไลน์ อาจจะแค่ส่งติ๊กเกอร์ หรือ แค่บอกว่าเดี้ยวโทรกลับนะ เอาเข้าจริงกว่าจะโทรกลับ อาจอีกสัก2-3วัน เพราะลงเวร วันไหนไม่มีเวร เราสลบนะนอนยาวเพื่อเอาแรงไว้อยู่เวรต่อ อีก10-15เวรต่อเดือน_อย่าจับผิดพวกเราเลยว่าเอาแต่เล่นโทรสัพท์ พวกเราไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น ที่จ้องจับผิดคนอื่น อัดคลิปด่าคนอื่นๆ ทีวีข่าวสารบ้านเมืองหรอ ลืมไปเลย เงิยเดือนพวกเราหรอ จบป.ตรี 18,000+ค่าเวร10,000-15,000 +ค่าไม่ทำเอกชนไม่เปิดคลินิก10,000=ประมาณ 3-4หมื่น พอกินพอใช้นะ ส่งรถ ให้พ่อแม่ ทำงานบางเดือนเงินก็ไม่ได้ออกนะ อาจรอ3-6เดือนกว่าจะตกเบิก!! 😖ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้ขอความเห็นใจ ไม่ได้ให้ใครมาสงสาร เพราะพวกเราทำจนเป็นกิจวัตรแล้ว และยินดีทำเพราะเราเลือกเรียนและเลือกที่จะทำงานสายนี้ เห็นคนไข้มีรอยยิ้ม แค่นี้ชีวิตหมอๆพวกเราก็หายเหนื่อยแล้ว 😢ส่วนที่บอกว่าพวกเราชอบดุด่าคนไข้ ไม่อธิบาย ก็คงมีบ้าง ยอมรับทุกวิชาชีพมีคนดีย่อมมีคนไม่ดี พวกเราขออภัย 😔แต่อยากจะบอกว่า!! ก่อนจะกล่าวหา พวกเรา ก่อนจะด่าพวกเรา แบบเหมารวมยกเข่ง ลองมาอยู่เวรกับพวกเรามากินมานอนมาอยู่เวรกับพวกเราสัก 1 อาทิตย์ไหมแล้วจะรู้ว่าพวกเราทำงานเป็นอย่างไร พวกเรา จนท. รพ.รัฐ ก็มีชีวิตจิตใจนะ เหนื่อยกายไม่ว่า แต่เหนื่อยใจนิสิ...😖 แด่คนไข้ที่เคารพ
................................................. Infectious ง่ายนิดเดียว https://www.facebook.com/Infectious1234/posts/423427684754597 หมอ 👩🏼⚕️ ชีวิตหมอๆที่หมอด้วยกันรู้หรืออาจไม่รู้ แต่คนทั่วไปอาจไม่รู้....ตีแผ่👨⚕️ (1) พวกหมอเรา_จบ 6 ปีมาก็จริง ไม่ได้รู้ทุกโรคโดยละเอียดและก็รักษาไม่ได้ทุกโรค_มีเกณฑ์ขั้นต่ำที่แพทยสภากำหนด_จะรู้กัน ว่าหมอท่านไหนเก่งด้านไหน ไม่รู้ก็ถามหมอด้วยกัน ฉะนั้นเวลาพ่อแม่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงป่วย ห้ามคาดหวังว่าเราจะรักษาได้ทุกโรค แต่เราแนะนำได้ว่าจะไปที่ไหน ไปรพ.ไหน ไปพบหมอคนไหนดี.. (2) พวกหมอเรา มีหลายสาขา ชำนาญ_คนละด้าน และแต่ละด้านก็ลึกมากๆ เช่นหมอตา ยังแยกเป็น กระจกตา จอประสาทตา หนังตา ดีนะยังไม่แยกตาซ้ายตาขวา หรือกระดูกก็ยังแยกเป็น มือ เท้า กระดูกสันหลัง ชำนาญกันละอวัยวะ เมื่อหมอเราดูแล้วว่าเกินศักยภาพของเราเอง เครื่องมือ หรือทีม อาจจำเป็นต้องส่งรักษาต่อในสถานที่ที่คน เครื่องมือและเจ้าหน้าที่พร้อมกว่า (3)หมอ!!! อายุน้อยหน้าใสๆ ไม่ใช่ว่าไม่เก่ง และบางทีอาจจะเก่งมากกว่าหมออายุมากเสียอีก เพราะอ่านมาเยอะ+มีพรสวรรค์ในการดูคนไข้ และอัพเดตความรู้ตัวเองตลอดเวลา (4)ประสบการณ์ดูคนไข้+ค้นคว้า+อ่าน+ฟังอบรมจากผู้รู้จะช่วยให้หมอเราเก่งขึ้น ไม่แปลกที่หมออายุมากจะรู้เยอะ เห็นปุ๊บ ตรวจแปปเดียวก็รักษาได้แล้ว แต่ถ้าไม่update ตัวเองตลอดเวลาก็จะรักษาสู้หมออายุน้อยไม่ได้ (5)หมอเรา!!ไม่มีการเลี้ยงไข้แน่นอน!!.. คนทั่วไปเวลาไปหาหมอแล้วอาการไม่ดีขึ้น บางคนบอกหมอเลี้ยงไข้??? ลองไปหาหมอคนนี้สิ ฉีดยาเข็มเดียวแล้วหาย ซึ่งผิดถนัด มีโรคติดเชื้อที่ฉีดยาเข็มเดียวแล้วหายอยู่ไม่กี่โรค เช่น ซิฟิลิสหนองใน คออักเสบจากแบคทีเรีย gr.A (Benzathine Penicillin) (6) บางครั้งหมอเราก็ทำผิดทั้งๆที่รู้ว่าผิด!! แต่ก็ยังต้องทำ_เพราะโดนกดดัน จากญาติ ผู้บริหาร หรือความเชื่อของสังคม หรือทำต่อๆกันมาเป็นทอดๆจนคิดว่าสิ่งนี้ถูก อันนี้น่ากลัวมาก ยังเห็นในสังคมปัจจุบัน (7) หมอที่เก่ง/คนไข้อาจไม่ติด คลินิกไม่ค่อยมีคนเข้า กลับกัน หมอบางคนรักษาไม่ได้ตามหลักวิชาการมาก แต่คนไข้กลับมีเยอะ!! คนไข้ติดงอมแงม_ดังนั้นปริมาณคนไข้ขึ้นกับ ความน่าเชื่อถือ การสื่อสาร การพูดคุย บุคลิกภาพ และความจริงใจให้คนไข้ (8) หมอเราสมัยเรียนถูกสอนไม่ว่ากล่าวกันเอง ให้เกียรติกันและกัน ไม่ว่ากล่าวหรือคอมเม้นท์หมอคนรักษาก่อนหน้าแบบเสียๆหายๆต่อหน้าญาติ เพราะ อาการคนไข้ก่อนมาพบเราอาจยังไม่ชัด จึงควรให้เกียรติหมอคนรักษาก่อนหน้า แต่ถ้าพบว่ารักษาพลาดหรืออาจรักษาไม่ได้มาตราฐาน พวกหมอเราอาจโทรหากันคุยกันเพื่อเรียนรู้เคส ประชุมเคสเพื่อเรียนรู้กันแบบพี่สอนน้อง แต่ปัจจุบันหมอบางคนยังมีเบลมหมอกันเอง ไม่น่ารักเลย_ไม่ควรทำ_บางเรื่องจนนำไปสู่การฟ้องร้อง น่าเศร้าใจมาก (9) หมอมีหลายสังคม -ในรพ.ศูนย์ รร.แพทย์ ที่เป็นครูแพทย์ ทำตัวเหมือนอาชีพครูเลย มีสอน มีออกข้อสอบ มีตรวจข้อสอบ นอกจากสอนน้องๆหมอแล้ว ยังต้องมีงานบริการตรวจคนไข้ด้วย ภาระงานเยอะมาก ท่านเหล่านี้เสียสละมากๆ เงินเดือนอาจไม่เยอะมาก แถมต้องทำวิชาการส่งเพื่อเลื่อนขั้นอีก นับถือน้ำจิตน้ำใจ -หมอเอกชน:อาจไม่ชอบระบบรัฐ ไม่ชอบสอนหรือมีความจำเป็นบางประการส่วนตัว ก็เป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ของสังคมไทย เอื้อหนุนเกื้อกูลกัน ช่วยคนไข้ได้เหมือนกัน กลุ่มเป้าหมายคือคนไข้ที่มีกำลังจ่าย อยากไว ไม่รอนาน _ บางส่วนของหมอรัฐบาล_รายได้ไม่มากก็ต้องมาอยู่ parttime นอกเวลาราชการเพราะยังคงต้องมีเงินส่งรถ ส่งบ้าน เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย -หมออาชีพอื่นๆ นักบิน ธุรกิจความงาม อาชีพส่วนตัว นักร้องนักแสดง เชื่อเถอะไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของสังคม ศักดิ์ศรีเท่ากัน ทุกคนรักคนไข้และเพื่อนมนุษย์ 6 ปีที่ถูกหล่อหลอมกว่าจะเป็นหมอ_เห็นมาทั้งการเกิด การป่วย การตาย การสูญเสีย การพลัดพราก เศร้า ดีใจ เสียใจ ร้องไห้มานักต่อนัก หมอทุกคนจิตใจงามพร้อมที่จะช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก (10) ตอนเราสอบเข้าหมอตอน ม.6 มีการจัดอันดับคะแนนสูงต่ำ...ว่าที่ไหนคะแนนสูง/ต่ำ เอาเข้าจริงพอจบมาเป็นหมอมีคำนำหน้า นพ, พญ, ทุกคนศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน เป็นพี่ๆน้องๆเพื่อนๆร่วมวิชาชีพด้วยกัน ไม่ว่าจะจบสถาบันไหนก็ตาม!! ไม่อยากให้พวกเรา ดูถูกเพื่อนต่างสถาบัน อย่าลืมว่าถ้าเราดูถูกคนอื่น สักวันเราก็ต้องโดนคนอื่นดูถูก 👨⚕️หมอที่ดี ต้องดีทั้ง กายและใจ👩🏼⚕️👨⚕️ โดย....หมอเกือบแก่ขี้บ่น ว. 32xxx
่.................................................
ชีวิตแพทย์เพิ่มพูนทักษะ กับ 10 เรื่องจริงที่คนไม่ค่อยรู้ นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า :
Fri,2017-07-14 09:43 -- hfocus https://www.hfocus.org/content/2017/07/14227 ในโอกาสที่กระแสแพทย์ลาออกจากระบบราชการโดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากความอึดอัดกับระบบราชการ Hfocus.org ขอนำข้อเขียนของ รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า ภาควิชาอายุรศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเคยเขียนเรื่องนี้เผยแพร่ทาง"ในระหว่างปฏิบัติงาน 3 ปีนี้และระหว่างการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางผมว่ามีหลายอย่างที่คนทั่วไปไม่เคยรู้ และอาจมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องต่อแพทย์เพิ่มพูนทักษะและแพทย์ประจำบ้าน"ส่วนตัวเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมาซึ่งช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่มีกระแสแพทย์ลาออกจากระบบราชการและอีกไม่กี่เดือนปัญหาเรื่องนี้ก็กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมอีกครั้ง ความจริงที่คาดไม่ถึงกับแพทย์เพิ่มพูนทักษะและแพทย์ประจำบ้านไทย นักศึกษาแพทย์ใช้เวลาเรียนนาน 6 ปีเมื่อจบแล้วทุกคนต้องทำงานเป็นแพทย์เพิ่มพูนทักษะและใช้ทุนในโรงพยาบาลของรัฐ 3 ปีซึ่งในปีแรกแพทย์เพิ่มพูนทักษะจะปฏิบัติงานในโรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นจะไปทำงานในโรงพยาบาลชุมชนหรือโรงพยาบาลทั่วไปจนครบ 3 ปี หลังจากนั้นแพทย์ส่วนหนึ่งก็จะมาศึกษาต่อเฉพาะทางที่เรียกว่าแพทย์ประจำบ้าน บางส่วนก็ทำงานต่อในโรงพยาบาลเดิมหรือย้ายโรงพยาบาล ในระหว่างปฏิบัติงาน3 ปีนี้และระหว่างการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทาง ผมว่ามีหลายอย่างที่คนทั่วไปไม่เคยรู้และอาจมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องต่อแพทย์เพิ่มพูนทักษะและแพทย์ประจำบ้าน ได้แก่ 1.เงินเดือนไม่ได้สูงมากมาย เป็นไปตามหมวดเงินเดือนของข้าราชการหรือพนักงานของรัฐหรือลูกจ้างโครงการ วุฒิการศึกษาเทียบเท่าระดับปริญญาโทประมาณสองหมื่นต้นๆย้ำไม่ได้เป็นแสนอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ 2.งานที่ทำก็ต้องทำทุกวันตลอดสัปดาห์ คือจันทร์ถึงอาทิตย์เลยไม่มีวันหยุดราชการเสาร์ อาทิตย์ เพียงแต่ว่าวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ก็ทำงานถึงประมาณ11 โมงเช้าหรือเที่ยงๆ ถ้าไม่ได้อยู่เวร 3.ถ้านับเวลาทำงานในวันราชการตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ประมาณ 10ชั่วโมงต่อวัน วันหยุดก็ 4 ชั่วโมงต่อวัน รวม 1 เดือนก็ประมาณ 250 ชั่วโมงต่อเดือนก็ตกชั่วโมงละ 100 บาท ย้ำว่า 100 บาทเท่านั้นเท่าๆ กับค่าคาราโอเกะ 4.การอยู่เวรนอกเวลาราชการก็เริ่มตั้งแต่ 16.30-เช้า แต่บางโรงพยาบาลก็แบ่งเป็น 2ผลัด คือ 16.30-24.00 น. และหลังเที่ยงคืนถึงเช้า แต่ส่วนใหญ่อยู่ถึงเช้าเลยบางที่รับผิดชอบเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉิน บางที่รับผิดชอบทั้งผู้ป่วยฉุกเฉินผู้ป่วยหนักในหอผู้ป่วย ถ้าเป็นวันหยุดก็อยู่เวรตั้งแต่ประมาณ 10.00 ถึงเช้าวันใหม่ บางโรงพยาบาลก็แบ่งเป็น 2 หรือ 3 ผลัด แต่ส่วนใหญ่ไม่แบ่งผลัดขึ้นกับระบบหรือจำนวนแพทย์ในแต่ละโรงพยาบาล เดือนหนึ่งก็อยู่เวรประมาณ 10-12 เวรค่าเวรก็แล้วแต่โรงพยาบาล ถ้าเป็นโรงเรียนแพทย์ก็เป็นเวรเหมาจ่าย ประมาณ 5 ถึง 6พันบาท เฉลี่ยค่าเวรก็ประมาณวันละ 500 บาท หรือชั่วโมงละ 30-40 บาทพอทานอาหารจานเดียวที่โรงอาหารได้พอดี ซื้อกาแฟก็ยังไม่พอเลยครับ 5.การทำงานมีความรับผิดชอบต่อชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดถ้างานไม่เสร็จก็ไม่ได้ทานข้าว จึงทำให้แพทย์แทบไม่เคยทานข้าวเช้า ส่วนข้าวกลางวันเย็น ไม่ค่อยตรงเวลา แพทย์ส่วนมากจึงเป็นโรคกระเพาะอาหาร โรคกรดไหลย้อนมีความเครียดสูง 6.การนอนหลับแทบไม่เคยหลับได้ต่อเนื่องเป็นชั่วโมงเลยซึ่งก็ถือว่าดวงดีมากแล้วที่ได้นอนบ้างเพราะส่วนใหญ่แล้วต้องถูกตามดูคนไข้อาการหนักตลอดเวลา ยิ่งดึกก็ยิ่งยุ่งแทบไม่ได้นอนเลย 7.ความอึด และความอดทนของแพทย์ต้องเป็นเลิศ เพราะต้องสามารถทำงานต่อเนื่องได้ประมาณ36-40 ชั่วโมงได้โดยไม่ต้องนอน จึงถูกขนานนามว่า อึดเป็นควายสมองเป็นคน 8.เจ็บป่วยสามารถลาได้ แต่ก็มักไม่ได้ลา เพราะไม่มีแพทย์คนอื่นๆทำงานแทนได้ในหน้าที่เดียวกัน จึงเห็นแพทย์ที่ไม่สบายมาทำงานบางคนสายน้ำเกลือติดตัวมาด้วย ภาพที่เห็นในโซเชียลคือภาพจริงๆ ที่พบเห็นได้ตัวเองป่วยก็ไม่ทุกข์ใจเท่ากับพ่อ แม่ป่วย แต่แพทย์ไม่สามารถลาไปเฝ้าดูแลพ่อแม่ได้ หรือบางครั้งภรรยาคลอดลูกก็ไม่ได้ไปให้กำลังใจ ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อมันคือความจริงที่เศร้าใจ 9.วันลาพักร้อนก็มีเหมือนอาชีพอื่นๆ แต่ก็ไม่เคยได้ลา เพราะไม่มีใครทำงานแทนเราได้จึงมีวันลาสะสมเยอะมาก ไม่รู้ว่าจะดีใจ หรือเสียใจกันแน่ 10.งานอะไรอะไรที่ไม่มีใครทำก็เป็นหน้าที่ของแพทย์เพิ่มพูนทักษะ เหตุผลเหรอก็จะได้ประสบการณ์มากๆ ต้องเสียสละ พี่ๆ ก็เคยเจอแบบนี้มาทั้งนั้น น้องๆก็ต้องเรียนรู้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ดังนั้นใครที่อยากเป็นหมอจริงๆเป็นผู้มีความรับผิดชอบสูง ใจรัก เสียสละ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นผมสนับสนุนให้รีบมาเรียนหมอเลยครับ แต่ถ้าใครอยากเรียนเพราะเห็นว่าหมองานสบายเงินดี หรือเพราะเรียนเก่งเพียงอย่างเดียว แต่ใจไม่รัก ร่างกายไม่แข็งแรงพออย่ามาเรียนเลยครับ เพราะจะไม่มีความสุขเลย รศ.นพ.สมศักดิ์เทียมเก่า
..............................................
รู้ว่าเป็นหมอแล้วเหนื่อย แล้วมาเรียนหมอทำไม???
OR No.9 เรื่องเล่าจากห้องผ่าตัด 16กค60 เวลา 11:43 น. https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=705040683015508&id=495293923990186
ทุกครั้งที่มีข่าวแพทย์ลาออก โดยเฉพาะแพทย์ที่จบใหม่ ก็จะมีคำถามเกิดขึ้นเสมอว่า
"รู้ว่าเป็นหมอแล้วเหนื่อย แล้วมาเรียนทำไม" "ทำไมแค่นี้ทนไม่ได้ อาชีพอื่นเหนื่อยกว่าตั้งเยอะเขายังทนกันได้" "ลาออกทำไม" และคำถามอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งจากคนรอบข้างและจากสังคม
รู้ว่าเป็นหมอแล้วเหนื่อย แล้วมาเรียนหมอทำไม คำตอบ คือ ไม่รู้ครับ ไม่มีใครรู้ตั้งแต่แรกหรอกครับว่าการเรียนหมอ จบแล้วจะมีชีวิตอย่างไร
ผมเองก็ยอมรับว่าก่อนมาเรียนก็ไม่รู้หรอก ว่าหลังจากเรียนจบแล้วจะทำงานยังไง ได้เงินเท่าไหร่ มีเวลาหรือไม่มีเวลายังไง ภาวะกดดันยังไง
และผมก็มั่นใจว่า เด็ก ๆ ส่วนมากก็ไม่มีวันรู้หรอกครับ เพราะตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนมากอายุประมาณ 17-18 ปี อย่าว่าแต่อาชีพหมอเลย แม้กระทั่งคณะอื่น ๆ อาชีพอื่น ๆ ที่เลือกเข้าไป ก็รู้แค่ผิวเผินเท่านั้นแหละครับ ไม่มีใครรู้รายละเอียดข้างในลึก ๆ หรอก
ก่อนมาเรียน - ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าเป็นหมอต้องทำงานติดกัน เกิน 24 ชั่วโมงอยู่บ่อยๆ ครั้ง - ไม่มีใครรู้หรอครับ ว่าจะต้องมีวันทำงานรวมทั้งวันที่อยู่เวรมากกว่าวันหยุด ในปีแรกวันหยุดจะน้อยมาก เดือนนึงที่ได้หยุดจริงๆ ไม่ถึง 10 วันเสียด้วยซ้ำ และวันนักขัตฤกษ์หรือหยุดยาวนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยครับว่าจะได้หยุดหรือไม่ บ้านช่องแทบจะไม่ได้กลับ บางทีไม่เห็นหน้าพ่อแม่เป็นเดือนก็มีบ่อย ไปครับ - ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าเวลามาทำงานจริงๆ มันลาแทบจะไม่ได้เลย เพราะเราลาหนึ่งคน ก็ส่งผลกระทบต่องานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นต่อเพื่อนร่วมงาน หรือต่อคนไข้ เช่นอยู่โรงพยาบาลอำเภอมีหมอ 3 คน คนที่ 1 เป็น ผอ คนที่ 2 และ 3 เป็นหมอ คนหนึ่งตรวจคนไข้ประมาณร้อยคน ถ้าเราลาสักวัน เพื่อนก็ต้องทำงานเป็นสองเท่า เป็นต้น - ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าต้องทำงานที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งสารคัดหลั่ง หรือโรคติดเชื้อต่าง ๆ - ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าต้องทำงานภายใต้สภาวะกดดันมากมาย บางครั้งต้องตัดสินใจให้เร็ว เพื่อแข่งกับเวลา และมีโอกาสผิดพลาดได้ทุกนาที - ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าใช้เวลาในการเรียน 6 ปี เรียนรู้โรคเป็นร้อยเป็นพันโรค เรียนรู้ยาเป็นร้อยเป็นพันตัว แต่เวลาเอามาใช้งานจริง ๆ จำมาได้แค่ 20% ของที่เรียนก็เก่งมากแล้ว มิหนำซ้าเวลาตรวจคนไข้เจอโรคที่คาดไม่ถึงอีก ก็เกิดความผิดพลาดได้อีก พอผิดพลาดก็เกิดผลกระทบต่างๆ นา ๆ ตามมา - ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าตอนที่เรียนนอก ไม่ใช่แค่นั่งเรียนหนังสืออย่างเดียว ยังมีการทำหัตถการพื้นฐานอีกมากมาย เวลาไปผ่านแต่ละแผนก ก็ได้ทำนิด ๆ หน่อย ๆ บางครั้งแทบไม่ได้เห็น เคยเห็นแต่ในตำรา แต่พอมาทำงานจริง กลับต้องทำโดยที่ไม่มีความถนัด ก็เสี่ยงต่อความผิดพลาด และการถูกฟ้องร้อง - ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าการทำงานแต่ละนาที เสี่ยงต่อการถูกร้องเรียน หรือถูกฟ้องร้อง ขาข้างหนึ่งแทบจะก้าวเข้าไปอยู่ในตะรางตลอดเวลา - ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าเงินเดือนจริง ๆ ไม่กี่หมื่นบาท เวลาอยู่เวร ถ้าจบใหม่ ๆ บางที่ 8 ชั่วโมงก็ 400 - 800 บาท แต่แทบไม่ได้นั่งเลยก็มีนะครับ บางคนเปรียบเทียบว่าเป็นแรงงานชั้นดีค่าตอบแทนถูกนั่นเอง - ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่ารายได้มันไม่ได้มากอย่างที่คิด รายได้รัฐบาลบางทีทำแทบตาย ต่อให้ทำทั้งวันทั้งคืนติดกันทั้งเดือน รายได้ก็หลักหมื่น รายได้จะมากหน่อยก็ตอนใช้ทุนปี 2 -3 พอมาเรียนเฉพาะทางแทบไม่มีรายได้เลยอีก 3 - 5 ปี (รับแต่เงินเดือนกับค่าเวร หมื่นสองหมื่นต่อเดือน) บางสาขาจบมา รายได้กลับน้อยกว่าตอนใช้ทุนเสียอีก - ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าจะต้องมาเจออะไรในระบบราชการบ้าง ปัญหาร้อยแปด เช่น เอาหมอไปทำงานเอกสาร งานบริหารบ้าง เป็นต้น หรือปัญหาพื้นฐานเช่นเงินเดือนออกไม่ตรงเวลา 6 เดือนแรกไม่มีเงินเดือนให้ ค่าตอบแทนบางอย่างค้างเป็นปี ๆ ก็ยังไม่ออก - ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าเวลาเข้ามาเรียนแล้ว จะต้องเรียนต่อยอดไปเรื่อยๆ สามปี ห้าปี และมากกว่านั้นอีก กว่าจะจบและเริ่มเก็บเงินจริงๆ ก็เกือบจะสามสิบห้าแล้ว มีเวลาในการเก็บออมอีกไม่กี่ปี ก็หมดแรงทำงานแล้ว กว่าชีวิตจะสบาย เอาเข้าจริง ๆ ก็วัยห้าสิบกว่า ๆ หรือหลังเกษียณนะครับ
แล้วจะรู้เมื่อไหร่ ว่าการเป็นหมอลำบากขนาดไหน ต้องเจอกับอะไรบ้าง - สามปีแรกยิ่งไม่ได้แตะตัวคนไข้ นั่งเรียนในห้องสี่เหลี่ยม ๆ กับเรียนแล็บต่าง ๆ รวมทั้งผ่าอาจารย์ใหญ่ ยิ่งแทบไม่มีโอกาสได้สัมผัสชีวิตจริงของหมอเลยครับ - ปีสี่ ปีห้า เริ่มเข้ามาสัมผัสกับงานมากขึ้น เริ่มอยู่เวรแต่การอยู่เวรก็แค่เที่ยงคืน และยังมีชั่วโมงเรียนปนกับชั่วโมงฝึกงาน ก็ยังแทบจะไม่รู้อะไร - ปีสุดท้าย ใกล้ชิดกับความเป็นหมอมากที่สุด แต่ก็ยังไม่ได้ดูคนไข้ทั้งตัวตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการสักเท่าไหร่ การรักษาส่วนมากยังอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์รุ่นพี่อยู่ - กว่าจะรู้จริงๆ ก็ตอนมาเป็นแพทย์ใช้ทุนแล้ว โดยเฉพาะแพทย์ใช้ทุนปีที่ 2 ที่ต้องออกไปทำงานเอง รับผิดชอบเองทุกอย่าง
ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจเลยครับ ว่าทำไมหมอถึงลาออกในช่วงนี้ ถ้าใครชอบชีวิตที่เล่ามา ก็ดีไป ทำงานต่อไปได้ ถ้าใครไม่ชอบ ก็จะพบสภาวะกดดันต่าง ๆ นา ๆ ทั้งจากสังคมและคนรอบข้าง
ดังนั้น ถ้าหมอสักคนจะลาออก ไม่ผิดหรอกครับ สังคมไม่ควรตั้งคำถาม หรือควรประณามใด ๆ เพราะอย่างน้อยเขาก็รู้ตัวเองว่าไม่เหมาะกับงานนี้ ให้คนที่เหมาะสมทำจะดีกว่า ถ้ารู้ตัวเร็วว่าไม่ถนัดกับงานสายนี้ ดีกว่าดันทุรังทำไปด้วยใจไม่รักอีกหลายสิบปี
การเป็นหมอนั้นถ้าเป็นด้วยใจรักก็จะอยู่ได้ถึงวัยเกษียณ แต่ถ้าใจไม่รักก็จะรู้สึกเหน็ดเหนือยและท้อในแทบจะทุกวัน การเป็นหมอนั้นไม่ได้สบายอย่างที่หลายต่อหลายคนคิด ในส่วนของรายได้ จริงอยู่ว่าไม่ได้อดตาย แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่หลายคนคิด
ลูกเพจของผมหลายๆ ท่านที่ถามมา รวมถึงผู้ปกครอง นี่เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง จากประสบการณ์ตรง ที่อยากเล่าสู่กันฟัง ว่าการเป็นหมอ ไม่ได้เดินบนกลีบกุหลาบ และชีวิตไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดนะครับ แต่ถ้าใครคิดว่าใจรักจริง ๆ หากมีญาติพี่น้องทำงานในโรงพยาบาล ก็ไปตามดูชีวิตของหมอก่อนได้ก็จะดีครับ และที่สำคัญ พ่อ แม่ ที่มีความคาดหวังกับลูกมาก ๆ ว่าลูกเรียนเก่ง อยากให้เรียนหมอ จบหมอแล้วจะสบาย รายได้ดี ความคิดแบบนั้น ผมยืนยันว่า "ผิด" อย่างสิ้นเชิงครับ
Create Date : 16 กรกฎาคม 2560 |
| |
|
Last Update : 31 มกราคม 2561 12:52:58 น. |
| |
Counter : 6307 Pageviews. |
| |
|
|