https://www.facebook.com/somsak.tiamkao/posts/1595967217191488
คนเราเมื่อเจ็บป่วย ก็จะเกิดความรู้สึกไม่สบาย เจ็บปวด ทรมาน จึงเป็นเหตุให้ผู้ป่วยต้องไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ถ้าเป็นมานาน ค่อยเป็นค่อยไป ก็จะรับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล แต่ถ้ามีความรู้สึกไม่สบายมาก หรืออาการเป็นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หรือเจ็บป่วยนอกเวลาราชการ ก็จะไปรับการบริบาลที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ซึ่งในช่วงหลังๆ นี้มีปัญหาระหว่างผู้ป่วย ญาติ และทีมสุขภาพ ที่เป็นข่าวในสื่อต่าง ๆ มากขึ้น ผมมานั่งคิด ไตร่ตรองว่าทำไมถึงเกิดปัญหามากขึ้นกว่าในอดีตมาก ก็พบว่าสาเหตุหนึ่งน่าจะเกิดจากการที่คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยยังมีความเข้าใจผิด ลองติดตามดูครับ
1. ทุกโรงพยาบาลต้องมีห้องฉุกเฉิน
ซึ่งดูผิวเผินการที่มีห้องฉุกเฉินในทุกโรงพยาบาลก็น่าจะดี เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนยามเจ็บป่วย สามารถมารับการรักษาได้ทันที แต่ถ้าเรามานั่งคิดอย่างละเอียด การเปิดบริการด้านการรักษาพยาบาลห้องฉุกเฉินนั้น อาจเกิดผลเสียก็ได้ ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ล่าช้าออกไป เข้าถึงการรักษาที่ต้องได้รับล่าช้าออกไป เพราะเสียเวลาในการรักษาที่ห้องฉุกเฉินในพื้นที่นานเกินไป
ผมยกตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจน กรณีผู้ป่วยเป็นโรคอัมพาตเฉียบพลัน จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง และต้องเข้าถึงการรักษาให้เร็วที่สุด แต่ถ้าผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งไม่มีความพร้อมทั้งด้านแพทย์ผู้ให้การรักษาและเครื่องมือ อย่างน้อยก็เสียเวลาประมาณ 30 นาที ส่งผลให้โอกาสการได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด กรณีเป็นโรคอัมพาตชนิดสมองขาดเลือดน้อยลงไป แต่ถ้ามีระบบการนำส่งผู้ป่วยด้วยรถพยาบาลฉุกเฉินที่รวดเร็วแทนการมีห้องฉุกเฉิน ก็จะสามารถทำให้ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ก็จะเข้าถึงระบบการรักษาได้รวดเร็ว และเป็นการใช้ทรัพยากรด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ ลดภาระด้านค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้อย่างมาก รวมทั้งการสร้างพฤติกรรมการใช้บริการนอกเวลาราชการที่เหมาะสมมากขึ้น
ปัจจุบันทุกโรงพยาบาลต้องเปิดบริการห้องฉุกเฉินนั้น ทำให้มีค่าใช้จ่ายมากมาย อาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดีก็ได้ ถ้ามีการประเมินความคุ้มค่า ความจำเป็นในการมีห้องฉุกเฉินของทุกโรงพยาบาลรัฐ
2. เมื่อมีการเจ็บป่วยนอกเวลาราชการต้องไปรักษาที่ห้องฉุกเฉิน
ประเด็นนี้เป็นปัญหาที่พบมากที่สุด คือ เจ็บป่วยไม่ว่าจะมีอาการอะไร รุนแรงหรือไม่รุนแรง ผู้ป่วยก็จะเลือกไปตรวจรักษาที่ห้องฉุกเฉินแทนที่จะรอรับการตรวจที่แผนกผู้ป่วยผู้ป่วยนอกในเวลาราชการ ด้วยเหตุผลคือคือ เร็วกว่า คนน้อยกว่า หรือไม่มีเวลาช่วงกลางวัน จึงมาตรวจนอกเวลาราชการเร็วกว่า
ที่ถูกต้องแล้วการบริบาลที่ห้องฉุกเฉินนั้นต้องเป็นกรณีที่มีภาวะอันตราย เร่งด่วนถึงกับชีวิต ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ทันเวลา ชื่อห้องฉุกเฉิน ก็คือ Emergency Room คือ ภาวะที่ฉุกเฉินเท่านั้น แต่ในมุมมองของประชาชน คือ เจ็บป่วยใด ๆ ก็อยากรักษาอย่างเร็ว สะดวก จึงมารับบริการที่ห้องฉุกเฉิน ทำให้ข้อมูลด้านการรับบริการของทุกห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลรัฐนั้น ให้บริการการรักษาที่เป็นกรณีฉุกเฉินจริงเพียงส่วนน้อย และส่วนมากก็ไม่ฉุกเฉินที่มารับบริการ การเข้าใจผิดประเด็นนี้ทำให้ผู้ป่วยที่เป็นกรณีฉุกเฉินจริง ๆ อาจได้รับการรักษาที่ล่าช้าออกไป ไม่ทันเวลา ส่งผลเสียต่อผู้ป่วยฉุกเฉินจริง ๆ
3. เมื่อผู้ป่วยมาโรงพยาบาลต้องได้รับการตรวจเสมอ
ประเด็นนี้ผมก็อยากทำความเข้าใจกับทุกคนให้ดีครับ ว่าการตรวจรักษาที่เหมาะสมนั้น ต้องตรวจให้ตรงกับแพทย์ที่มีความถนัด ความสามารถในการรักษาโรคนั้น ๆ เช่น เป็นภาวะมองเห็นไม่ชัดเจนมานานเป็นเดือน แต่เพิ่งมาหาหมอวันนี้ตอน 2 ทุ่ม ก็ต้องการให้หมอตรวจประเมิน รักษาเลย ซึ่งกรณีแบบนี้การรักษาที่เหมาะสม คือ เจ้าหน้าที่จะนัดให้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตาในภายหลัง แต่ผู้ป่วยก็ไม่เข้าใจ ต้องการให้ตรวจตอนนี้ ถ้าไม่ตรวจให้ก็ไม่พอใจ อาจเกิดการร้องเรียนขึ้นได้
ดังนั้นอยากบอกว่าการมาที่โรงพยาบาลนั้น อาจไม่จำเป็นต้องได้รับการตรวจทุกครั้งก็ได้ครับ แต่ผู้ป่วยจะได้รับการแนะนำให้เข้าถึงการรักษาที่เหมาะสม โปรดเข้าใจประเด็นนี้ด้วย
4. ทุกโรงพยาบาลสามารถรักษาได้ทุกโรค
ต้องเข้าใจใหม่ว่าห้องฉุกเฉินจะสามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้น เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเท่านั้น ไม่ได้สามารถให้การรักษาจนหาย หรือได้คำตอบว่าเป็นโรคอะไร ซึ่งแต่ละโรงพยาบาลก็มีความสามารถแตกต่างกันในการให้การรักษา ขึ้นกับระดับของโรงพยาบาล ความพร้อมของแพทย์และทีม
ดังนั้นการที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินนั้น ไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยหายได้ทั้งหมด ไม่สามารถให้การรักษาได้ทุกกรณี แต่จำเป็นต้องให้การนัดหมายมารักษาต่อเนื่อง หรือส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ต่อไป
5. เมื่อมารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉิน ก็ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์รอไม่ได้จะต้องตรวจเลย เพราะเข้าใจว่าตนเองฉุกเฉิน
ผู้ป่วยและญาติจะมีความเข้าใจว่าถ้าเจ็บป่วยก็จะมาโรงพยาบาล เมื่อมาถึงโรงพยาบาลก็ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การเจ็บป่วยที่ต้องมารักษาที่ห้องฉุกเฉินนั้น ก็ต้องเป็นภาวะฉุกเฉินจริง ๆ แต่ที่เป็นจริงในปัจจุบัน คือ มากกว่าครึ่งที่มารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินนั้นไม่ใช่ภาวะฉุกเฉิน ดังนั้นเมื่อมีผู้ป่วยฉุกเฉินจริง ๆ มารับบริการ แพทย์ก็ต้องให้การตรวจรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินก่อนผู้ป่วยไม่ฉุกเฉิน จึงดูเสมือนการบริการที่ไม่เป็นไปตามลำดับการมารับบริการ หรือรอนานกรณีไม่ฉุกเฉิน ก็จะมีการเรียกร้องขอตรวจก่อน เพราะอ้างว่าฉันมาก่อน ทั้งที่จริง ๆ แล้ว อาการที่มานั้นไม่ได้ฉุกเฉินเลย เรื่องนี้อยากให้สังคมเข้าใจด้วยครับว่า ถ้าไม่ฉุกเฉิน แล้วมาใช้บริการห้องฉุกเฉิน ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ผู้ป่วยฉุกเฉินนะครับ
6. ใครมาก่อนต้องได้รับการตรวจก่อน
ซึ่งดุผิวเผินก็น่าจะถูกต้อง แต่เนื่องจากผู้ป่วยที่มารับการรักษาในห้องฉุกเฉินนั้นมีทั้งที่ฉุกเฉินจริง ๆ ตามเกณฑ์การประเมินทางการแพทย์ กับไม่ฉุกเฉิน ดังนั้นระบบจะมีการคัดกรอง และประเมินความจำเป็นเร่งด่วน มีการจัดลำดับความเร่งด่วนของผู้ป่วยแต่ละราย
กรณีที่ไม่เร่งด่วนอาจต้องให้รอตรวจหลังสุด จึงใช้เวลารอคอยนาน ตรงนี้อยากให้ทุกคนเข้าใจด้วย เพราะจริงแล้วห้องฉุกเฉินไม่ควรให้การบริการต่อผู้ป่วยที่ไม่ฉุกเฉินนั้น แต่ในระบบการบริการของวัฒนธรรมไทย ยังมีการเอื้ออาทรต่อผู้มารับบริการ ดังนั้นถ้าไม่ด่วนก็อยากให้รอด้วยนะครับ
7. การตรวจที่แผนกผู้ป่วยนอกรอนาน มารับบริการที่ห้องฉุกเฉินดีกว่า เร็วกว่าเยอะ
ความคิดนี้เกิดขึ้นเยอะมาก ขอบอกว่าเป็นการคิดที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง การใช้บริการผิดที่ ผิดวัตถุประสงค์ย่อมก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบบริการสุขภาพทั้งหมด เป็นการคิดที่เห็นแก่ตัวมากครับแบบนี้ ใครที่เคยคิด เคยทำ หรือกำลังจะคิดแบบนี้ ผมขอร้องให้เลิกครับ โปรดเคารพกติกาของสังคม สังคมไทยต้องเป็นสังคมที่มีระเบียบ มีแนวคิดในการพัฒนาเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่คิดเอาเปรียบคนอื่น ๆ หรือคิดแบบตามสบาย ตามใจ คือไทยแท้ แบบนี้ไม่ได้ครับ ต้องแก้ไขเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมครับ
เมื่อเราลดภาระงานที่ไม่จำเป็นของห้องฉุกเฉินออกไป ผมเชื่อมั่นว่า การบริการที่ห้องฉุกเฉินสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินย่อมได้รับการบริการรักษาที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน เรามาเริ่มตั้งแต่วันนี้เลยครับ ไม่ด่วน ไม่ฉุกเฉินให้รอรักษาแบบผู้ป่วยนอกในวันเวลาราชการครับ แต่ถ้าด่วน ก็ต้องรีบไปเลยครับ ห้องฉุกเฉิน หรือใช้บริการ ระบบการแพทย์ฉุกเฉิน 1669 หรือ application FAST TRACK เรียกรถพยาบาล
***************************************
https://www.facebook.com/thaimedcouncil/photos/a.1532175813713985/2104653913132836/?type=3&theater
เชื่อมั๊ย..ร้อยละ 60 ของผู้ป่วยในห้องฉุกเฉิน (ER) คือผู้ป่วยไม่ฉุกเฉิน!!
ประเทศไทยมีผู้ใช้บริการ ER ถึง 35 ล้านครั้งต่อปี การที่มีผู้ป่วยไม่ฉุกเฉินอยู่เกินครึ่ง ส่งผลให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จนอาจทำให้พิการ หรือบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิต
และการมีผู้ป่วยไม่ฉุกเฉินจำนวนมาก ยังส่งผลให้ ER แออัด หมอและพยาบาลต้องทำงานเกินกำลัง จึงเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังคนไข้ทุกคน
โดยเฉพาะคิวการรักษา!
เพราะว่านี่คือ #ห้องฉุกเฉิน (ER) ลำดับการรักษาในห้องนี้จึงไม่เรียงตามลำดับก่อนหลัง! หรือพูดง่ายๆ คือ มาก่อนอาจต้องรอนาน และต้องรักษาทีหลัง?? จนกลายเป็นดราม่าในโลกโซเชียล บ่อยครั้ง
เพราะหมอมีความจำเป็นต้องให้การรักษากับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่มา ER เป็นอันดับแรก
“คุณเคยไป ER ตอนกลางคืนด้วยสาเหตุเหล่านี้ไหม?” หนีรถติด ขี้เกียจลางานตอนกลางวัน ขอใบรับรองแพทย์ ไม่อยากรอคิวนาน รวมทั้งปวดหัวเป็นไข้ และเล็บขบ ฯลฯ
ที่คนไข้ส่วนใหญ่ทำแบบนี้ อาจเป็นเพราะคิดว่า ER เปิดบริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คนไข้
ขอยืนยันว่านี่คือ ความเข้าใจผิด ที่เราทุกคนสามารถช่วยกันเปลี่ยนแปลงได้
ยังมีดราม่าใน ER อีกเรื่องหนึ่ง คือ หมอเวรไม่รีบรักษา มัวแต่อยู่หน้าจอเล่นเฟสบุ๊คหรือเล่นเกมส์?
นั่นเพราะคนไข้ยังไม่ทราบว่า ปัจจุบันประเทศไทยแก้ปัญหาการขาดแคลนหมอเฉพาะทางฉุกเฉินในพื้นที่โรงพยาบาลอยู่ห่างไกล ด้วยการใช้ระบบให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ฉุกเฉินทางไกล (Emergency Telemedicine)
เป็นระบบการสื่อสารระหว่างหมอเวรเฉพาะทางฉุกเฉินของโรงพยาบาลระดับสูง (รุ่นพี่) กับหมอเวรห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล (รุ่นน้อง) ผ่านหน้าจอ ที่ช่วยให้คนไข้ฉุกเฉินเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ทันท่วงที อย่างเท่าเทียมกัน ลดอัตราตายและพิการ ..ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรืออยู่ไกลในผืนแผ่นดินไทย ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตก็ใกล้หมอผู้เชี่ยวชาญได้เหมือนกัน
อยากให้ผู้ป่วยที่ไป ER ทุกคนพึงตระหนักว่า ในบางครั้งที่เราต้องเสียเวลารอตรวจรักษา หมอเวรห้องฉุกเฉินอาจกำลังช่วยยื้อชีวิตของผู้ป่วยอีกคนอยู่ก็ได้
ดังนั้น..ทุกนาทีที่คุณต้องรอ จึงเป็นการให้โอกาสหมอได้ต่อลมหายใจคนอื่น
“ ไม่ป่วยฉุกเฉิน ไม่ใช้ห้องฉุกเฉิน ช่วยต่อชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต “
ด็อกเตอร์ซีรี่ส์ ep.6 #ฉุกเฉินฉุกเฉินกว่า
https://www.facebook.com/pg/thaimedcouncil/photos/?tab=album&album_id=2103349176596643
ปัญหาเดิม .. ผ่านไป ยี่สิบปี ก็ยังเหมือนเดิม หรือบางที อาจหนักหนาขึ้น ? ... ก็คงต้อง "ขอความร่วมมือ" ถ้าไม่เร่งด่วนจริง ๆ ก็มาในวันเวลาราชการเถอะครับ นอกเวลาราชการ มีหมอมีเจ้าหน้าที่น้อย ให้เขาเธอเหล่านั้น เก็บแรง ไว้คอยดูแลรักษาผู้ป่วยที่ฉุกฺเฉินจริง ๆ ดีกว่านะครับ เพราะ วันหนึ่ง ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลอย่างรวดเร็วอาจเป็น ตัวเราเอง หรือ ญาติมิตรใกล้ชิดของเรา
ปล. มีหนังสือเวียนจากหน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุข แจ้งว่า " ถ้าผู้ป่วย "คิดว่า" ฉุกเฉิน ก็ให้ถือว่าเป็น ภาวะฉุกเฉิน " ช่วยลดปัญหาหนึ่งแต่กลับไปทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมา .. ( ฉุกเฉินทางการแพทย์ ซึ่งอาจไม่เหมือนกับที่คนทั่วไป คิดว่า ฉุกเฉิน )
แถม
เจ็บป่วยไปห้องฉุกเฉิน... ตามมาตรฐาน ก็ยังต้อง " รอ " ^_^
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=16-01-2018&group=27&gblog=31
7ความเข้าใจผิดของคนไทยต่อการบริบาลที่ห้องฉุกเฉินของรัฐ
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=26-01-2018&group=27&gblog=32
รพ.ชลบุรีจัดระบบคัดกรองห้องฉุกเฉิน ‘คนไข้-หมอ’ปลอดภัย ลดเจ็บ ตาย 2P Safety
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=16-09-2017&group=15&gblog=83
infographic 9ข้อควรรู้เรื่องเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=06-06-2017&group=7&gblog=216