จากงานวิจัย การคงอยู่ในชนบทและในราชการของแพทย์ภายหลังการเพิ่มค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานที่ชนบท ซึ่งเป็นงานวิจัยของ นงลักษณ์ พะไกยะ, กฤษฎา ว่องวิญญู, วรางคณา วรราช, สัญญา ศรีรัตนะ และจิราภรณ์ หลาบคำ ซึ่งงานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการคงอยู่ในชนบทของแพทย์หลังการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในปี 2552 เป็นการเก็บข้อมูลทุติยภูมิจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้รู้ถึงรูปแบบการเคลื่อนย้ายของแพทย์ในระหว่างปี 2544-2554 และวิเคราะห์โอกาสของการคงอยู่ในกระทรวงสาธารณสุขและในชนบท
ผลการศึกษาพบว่า แนวโน้มการเคลื่อนย้ายของแพทย์จากชนบทภายหลังการเพิ่มค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานที่ชนบทก่อนการชดใช้ทุนครบ 3 ปีนั้นไม่แตกต่างกับก่อนการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายปี 2552 นอกจากนั้นยังพบว่า การออกจากกระทรวงสาธารณสุขมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แม้ว่าหลังการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายอาจจะทำให้การลาออกจากราชการไม่เพิ่มขึ้นมากนักในช่วง 2 รุ่นหลัง แต่ในด้านการคงอยู่ในชนบทของแพทย์ยังลดลงในทุกรุ่น แม้แต่รุ่นที่ได้รับผลจากการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในปี 2552 ได้แก่ รุ่นปี 2549 และ 2550 ซึ่งการคงอยู่ในชนบทของแพทย์ลดลงเช่นเดียวกันกับรุ่นก่อนๆ
จากข้อมูลของแพทยสภา ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 ประเทศไทยมีแพทย์ที่ขึ้นทะเบียนและสามารถติดต่อได้ จำนวน 39,406 คน ในจำนวนนี้เป็นแพทย์ที่ให้บริการในสถานพยาบาลในชนบท ได้แก่ โรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 4,705 คน คิดเป็น 12% ของแพทย์ทั้งหมด ซึ่งดูแลประชากรร้อยละ 54 แสดงให้เห็นถึงการกระจายตัวที่ไม่เหมาะสมระหว่างเมืองกับชนบท
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่า อัตราการลาออกของแพทย์ในแต่ละปียังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน (ดูตารางการลาออกของแพทย์แต่ละปีประกอบ)
จากผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การเคลื่อนย้ายของแพทย์จากชนบทภายหลังการเพิ่มค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานในชนบทยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องและไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นการลาออกจากราชการหรือออกจากชนบทก่อนการเสร็จสิ้นสัญญาทุน 3 ปี
จึงอาจกล่าวได้ว่า การเพิ่มค่าตอบแทนไม่อาจส่งผลต่อการคงอยู่ในชนบทของแพทย์ได้ ซึ่งการจะรักษากำลังคนไว้ในระบบให้นานขึ้นควรพิจารณาแรงจูงใจที่หลากหลาย ทั้งมาตรการด้านการเงินและไม่ใช่การเงิน โดยในส่วนของมาตรการการเงินควรจะออกแบบให้สามารถสร้างแรงจูงใจมากขึ้น เช่น การเพิ่มค่าตอบแทนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความทุรกันดารมากขึ้น หรือผูกติดกับภาระงาน ความยากลำบาก เป็นต้น และควรทำควบคู่ไปกับมาตรการที่ไม่ใช้การเงิน เช่น สวัสดิการต่างๆ ความก้าวหน้าในวิชาชีพ การศึกษาต่อเนื่อง การมีระบบแพทย์พี่เลี้ยง เป็นต้น
การเพิ่มแรงจูงใจในด้านการเงินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถดึงดูดแพทย์ไว้ในชนบทได้ สอดคล้องกับงานวิจัยต่างๆ ที่ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยที่จะสามารถดึงดูดกำลังคนด้านสุขภาพมาทำงานในชนบทนั้นประกอบด้วย 1. ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น มีภูมิลำเนาในชนบท มีค่านิยมชอบชนบท 2. ปัจจัยด้านครอบครัว 3. ปัจจัยด้านการเงินและรายได้ 4. ปัจจัยความก้าวหน้าในอาชีพ เช่น มีโอกาสศึกษาต่อ มีโอกาสไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น มีพี่เลี้ยง/การติดตามงานที่ดี 5. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในการทำงาน เช่นมีโครงสร้างพื้นฐาน ทรัพยากรเพียงพอ มีบ้านพัก
ทั้งนี้ ผลงานวิจัยที่เคยศึกษาส่วนมากสอดคล้องกับการศึกษาของ นงลักษณ์และคณะ ซึ่งสรุปว่า แม้แพทย์จะให้ความสำคัญกับปัจจัยการเงินมากที่สุดในการเลือกทำงานในชนบท แต่สิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ตัวเงินมีความสำคัญใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลอยู่ใกล้ภูมิลำเนา มีโอกาสศึกษาต่อเฉพาะทาง โรงพยาบาลขนาดเล็ก การได้รับการเลื่อนขั้นที่เร็วขึ้น การมีแพทย์ที่ปรึกษาและจำนวนเวรที่ไม่มากนัก
งานวิจัยระบุว่าการพัฒนามาตรการที่จะจูงใจให้แพทย์ทำงานในชนบทนั้น ควรต้องมีการออกแบบที่ตั้งอยู่บนข้อมูลเชิงวิชาการ และมีความครอบคลุมทั้งแรงจูงใจที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน โดยไม่ควรให้น้ำหนักเฉพาะด้านการเงินเพียงด้านเดียว และควรมีการเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ ประเมินและปรับเปลี่ยนมาตรการให้สอดคล้องบริบทอื่นๆ ที่เปลี่ยนไป
งานวิจัยได้ระบุถึงการแก้ปัญหาแพทย์ในชนบทว่า ประเทศไทยได้มีมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจและดึงดูดแพทย์เข้าสู่สถานบริการชนบทที่หลากหลาย เพื่อลดความแตกต่างของการกระจายแพทย์ระหว่างเมืองและชนบท ได้แก่
1. มาตรการด้านการผลิต โดยการทำสัญญาชดใช้ทุนเป็นเวลา 3 ปี และปรับ 400,000 บาท การผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อประชาชนในชนบทซึ่งเริ่มในปี 2537 โครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งแพทย์ ในปี 2548 และโครงการอื่นๆ ส่งผลให้การผลิตแพทย์เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 700-1,000 คน ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา(ปี 2545 ผลิตได้ 1,417 คน)
2. มาตรการด้านการเงิน โดยมีการเพิ่มค่าตอบแทนสำหรับแพทย์ที่ทำงานในชนบท เริ่มจากปี 2518 ต่อมาในปี 2538 มีการจ่ายค่อตอบแทนพิเศษกรณีที่ไม่รักษาคนไข้นอกเวลาราชการ มีการเพิ่มค่าตอบแทนพิเศษสำหรับพื้นที่ทุรกันดารและเสี่ยงภัยในปี 2540 และปี 2548
3. การดำเนินมาตรการที่ไม่ใช่ตัวเงิน ได้แก่ โควตาการอบรมเฉพาะทาง โอกาสก้าวหน้าในตำแหน่ง การมอบรางวัลแพทย์ดีเด่นในชนบท ตลอดจนการมีชมรมเพื่อหนุนเสริมซึ่งกันและกัน เป็นต้น
แม้อาจจะยังไม่สามารถระบุได้ว่า ในมาตรการต่างๆ ที่ผ่านมานั้น มีมาตรการใดบ้างที่มีประสิทธิภาพต่อการคงอยู่ในชนบทของแพทย์ แต่โดยภาพรวมแล้วส่งผลให้มีแพทย์เพิ่มขึ้นในภูมิภาคต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด โดยเห็นได้จากสัดส่วนของแพทย์ต่อประชาชนในภาพต่างๆ สูงขึ้น แต่ยังปรากฏความเหลื่อมล้ำของการกระจายตัวของแพทย์ จากข้อมูลปี 2553 พบว่า สัดส่วนแพทย์ต่อประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับกรุงเทพฯ มีความแตกต่างลดลงจาก 10 เท่า ในปี 2536 เป็น 7.5 เท่า ในปี 2553 โดยมีสัดส่วนแพทย์ต่อประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1:4,591 คน, ภาคใต้ 1:3,148 คน, ภาคเหนือ 1:3,059 คน, ภาคกลาง 1:2,699 คน, และกรุงเทพฯ 1:628 คน แต่สถานการณ์การลาออกของแพทย์ก็ยังเป็นไปตามตารางที่แสดงข้างต้น
จากข่าว(1)ว่าในปี2553 มีแพทย์เข้าทำงานในกระทรวงสาธารณสุข 1,303 คน แต่มีแพทย์ลาออกจากสธ. 602 คน คิดเป็นร้อยละ 46.2 ซึ่งจำนวนแพทย์ลาออกลดลงจากปี 2552 ที่มีแพทย์ลาออกร้อยละ 71.3
และถ้าพิจารณาการลาออกจาก 5 ปีย้อนหลัง พบว่า ปี 2553 มีแพทย์ลาออกน้อยที่สุด โดยปี 2548 มีแพทย์ลาออก 61.9% ปี 2549 จำนวน 71.3% ปี 2550 จำนวน 69.6% ปี 2551 จำนวน 76.4% ทั้งนี้ น่าสังเกตว่าจำนวนแพทย์ลาออกเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ ปี 2545 ที่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง มีแพทย์ลาออกถึง 61.6% เพิ่มขึ้นเป็น 75.9% ในปี 2546 ขณะที่ก่อนหน้านั้นในปี 2544 มีแพทย์ลาออกคิดเป็นเพียง 28.9%
แต่จำนวนแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุขยังขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ข้อมูลการผ่าตัดของโรงพยาบาล และจำนวนผู้ป่วยก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยที่ผู้บริหารสูงสุดของกระทรวงสาธารณสุข ไม่สามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรสาธารณสุขได้เลย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้แพทย์ลาออกจากกระทรวงสาธารณสุข
ถ้ามาดูว่า สาเหตุที่ทำให้แพทย์ลาออกจากกระทรวงสาธารณสุขเพราะอะไร จากการสำรวจของแพทยสภา ในปีพ.ศ. 2545 พบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้แพทย์ลาออกจากกระทรวงสาธารณสุขก็คือ
1. แพทย์ถูกบังคับให้ชดใช้ทุน โดยไม่สามารถเลือกจังหวัดหรือสถานที่ที่จะไปทำงานได้
2.งานหนัก (ทำงานสัปดาห์ละ 90-120 ชั่วโมง , มีจำนวนผู้ป่วยมากเกินไป ทำให้แพทย์ไม่มีเวลาพอที่จะตรวจรักษาผู้ป่วยอย่างดีมีคุณภาพมาตรฐาน มีเวลาตรวจผู้ป่วยเฉลี่ยคนละ 2-4 นาที, เสี่ยงต่อความผิดพลาดและถูกฟ้องร้อง )(2)
3.เงินเดือนและค่าตอบแทนต่ำ (ต่ำกว่าในภาคเอกชน 10 เท่า) และยังค้างจ่ายอีกด้วย(3)
4.ต้องการเรียนต่อเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่กระทรวงสาธารณสุขจำกัดจำนวนผู้จะไปเรียน ทำให้ต้องลาออก เพื่อจะไปเรียนต่อ
5.ไม่พอใจระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
6.ไม่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการ
ซึ่งจะอธิบายรายละเอียดตามสาเหตุการลาออกดังนี้
1.การถูกบังคับให้ชดใช้ทุนโดยไปทำงานในจังหวัดห่างไกล ตามความเป็นจริงแล้ว นักศึกษาแพทย์ไม่ได้รับทุนการศึกษาใดๆจากรัฐบาล(4) เนื่องจากนักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัยของรัฐ ก็ต้องเสียค่าเล่าเรียนเหมือนนักศึกษาอื่นๆ อาจจะมีข้อโต้แย้งว่า รัฐบาลต้องลงทุนในคณะแพทยศาสตร์มากกว่าคณะอื่นๆ แต่นักศึกษาแพทย์ก็ช่วยทำงานดูแลรักษาผู้ป่วยภายใต้ความควบคุมของอาจารย์ ได้เงินกลับคืนมาให้โรงพยาบาลของคณะแพทยศาสตร์มากมาย ไม่เหมือนนักศึกษาคณะวิชาอื่นๆ ที่ไม่ได้ช่วยทำงานให้มหาวิทยาลัยที่ตนเล่าเรียน
แต่ประเทศชาติต้องการแพทย์(และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ) กระทรวงสาธารณสุขจึงหาทางที่จะบังคับให้แพทย์ต้องทำงาน ใช้ทุน (ทั้งๆที่ไม่เคยได้ทุน) (4) แต่วิธีการบังคับให้แพทย์ต้องจับฉลาก ทำให้แพทย์อาจไม่พอใจในสถานที่ต้องไปทำงาน แต่แพทย์ส่วนมากก็ยอมไปทำงานตามที่ถูกกำหนดไว้ แต่อาจจะทนไม่ได้กับการบริหาร ระบบงาน หรือปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว จึงอาจไม่สามารถทนอยู่ได้
2.ต้องทำงานหนักเกินกำลัง ต้องรับผิดชอบตรวจรักษาผู้ป่วยทั้งในเวลาและนอกเวลาราชการทำให้เวลาทำงานมากกว่าสัปดาห์ละ 90-120 ชั่วโมง(2) คิดเป็นเวลาการทำงานมากกว่าข้าราชการทั่วไป 2-3 เท่า มีผู้ป่วยรอตรวจล้นโรงพยาบาลทุกวัน(5) ผู้ป่วยใน(นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล)ก็ต้องนอนตียงเสริม เตียงแทรก การที่มีจำนวนผู้ป่วยมาก(บางแห่งหมอต้องตรวจผู้ป่วยวันละมากกว่า 100 คน) ทำให้แพทย์มีเวลาตรวจผู้ป่วยคนละ 2-4 นาที(2)เท่านั้น
การที่แพทย์ต้องทำงานมาก มีเวลาพักผ่อนน้อย ทำให้เกิดความเครียดสะสม ทำให้เบื่อหน่ายต่อภาระงาน และอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อผู้ป่วยและอาจนำไปสู่ความไม่พึงพอใจและการฟ้องร้อง ทำให้แพทย์มีความเครียดเพิ่มขึ้น ประชาชนก็อาจไม่ได้รับความเข้าใจในวิธีการรักษา หรือไม่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และเกิดผลเสียหายจากการรักษา นำไปสู่การกล่าวหา ร้องเรียนและฟ้องร้อง ทำให้แพทย์เกิดความเครียดเพิ่มขึ้น
3.เงินเดือนและค่าตอบแทนต่ำกว่าภาคเอกชนเป็นสิบๆเท่า ทั้งๆที่มีภาระรับผิดชอบมากกว่าเป็นร้อยเท่า ทำให้แพทย์ส่วนหนึ่งลาออก(3) เพื่อแสวงหาคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ส่งผลให้แพทย์ที่ยังทำงานในกระทรวงสาธารณสุขยิ่งต้องรับภาระงานหนักขึ้น
4.แพทย์ส่วนมากยังต้องการที่จะไปเรียนต่อเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทั้งนี้ เนื่องจากวิชาการแพทย์มีการพัฒนาและขยายความรู้ทั้งด้านลึกและด้านกว้าง การมีความรู้เพียงแพทยศาสตร์บัณฑิต อาจจะทำให้แพทย์ไม่มั่นใจในการตรวจรักษาผู้ป่วยทุกโรค(ทั่วไป) แต่กระทรวงสาธารณสุขไม่เปิดโอกาสให้แพทย์ลาศึกษาต่อในจำนวนที่เท่ากับ ศักยภาพของโรงเรียนแพทย์ที่ให้การศึกษาและฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะได้ จึงทำให้แพทย์ที่ต้องการเรียนต่อต้องลาออกเพื่อจะได้ไปเรียนต่อตามความต้อง การ
5.ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
5.1ทำให้ประชาชนมาใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้น 2 -3 เท่าของจำนวนผู้ป่วยก่อนมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(5) ทำให้ภาระงานของแพทย์เพิ่มมากขึ้น โดยบางครั้งก็เป็นภาวะที่ประชาชนควรจะมีความสามารถในการดูแลป้องกันและรักษา อาการเจ็บป่วยเบื้องต้นได้เอง
5.2 สปสช.ได้เข้ามาก้าวก่ายการใช้ดุลพินิจในการรักษาหรือสั่งยาและเครื่องมือแพทย์ให้ผู้ป่วย ทำให้แพทย์ไม่สามารถรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานวิชาชีพที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยของตน เนื่องจากถ้าไม่ทำตามข้อกำหนดของสปสช.แล้วโรงพยาบาลก็จะไม่ได้รับเงินค่ารักษาผู้ป่วย(3) ทำให้แพทย์ไม่สามารถรักษาผู้ป่วยได้ตามมาตรฐานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วย เนื่องจากถ้าสั่งยาที่สปสช.ไม่อนุมัติ โรงพยาบาลก็จะไม่ได้รับเงินค่ารักษาผู้ป่วยจากสปสช. ทำให้แพทย์ขาดอิสรภาพทางวิชาการแพทย์ในการพิจารณารักาผู้ป่วยที่ตนรับผิดชอบ
อัน ที่จริงแล้วการที่สปสช.ได้ตั้งกฎเกณฑ์ในการรักษาผู้ป่วยนั้น เป็นการละเมิดพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545 โดยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกัน สุขภาพแห่งชาติ ไม่ได้กำกับดูแลการบริหารงานของสปสช.ให้ถูกต้อง ทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ในการที่จะได้รับยาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับบางโรค
6. การไม่ได้บรรจุเป็นข้าราชการ ของแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ เนื่องจากก.พ.ไม่กำหนดตำแหน่งเพิ่มขึ้น ทั้งๆที่ความต้องการบุคลากรทางการแพทย์มีแต่จะมากขึ้น ตามจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ทำให้บุคลากรเหล่านี้ต้องถูกบังคับ(ให้ใช้ทุน)ให้ทำงานในตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ซึ่งขาดความก้าวหน้าในอนาคตที่จะเป็นลูกจ้างชั่วคราวไปตลอดกาล จึงเลือกที่จะลาออกไปแสวงหาการทำงานในสภาพที่ดีกว่า
พบว่า จำนวนลูกจ้างชั่วคราวของกระทรวงสาธารณสุขมีจำนวนมากมายหลายหมื่นคน
ข้อเสนอแนะ ในการแก้ไขปัญหาการลาออกและการขาดแคลนแพทย์และบุคลากรแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข
1.การจัดสรรแพทย์จบใหม่ควรให้มีการยืดหยุ่นให้สามารถขอแลก/ โอนย้าย และสับเปลี่ยนสถานที่ทำงานกันได้ตามความเหมาะสมและความสะดวก(พอประมาณ)ของครอบครัว
2. การลดจำนวนผู้ป่วยที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาล โดยการบริหารจัดการในเรื่องระเบียบการมารับบริการของประชาชน มีระบบนัด เพื่อกำหนดจำนวนผู้ป่วยให้พอเหมาะกับจำนวนบุคลากร
ลดการพึ่งพิงบริการโรงพยาบาล โดยการลดการเจ็บป่วยของประชาชน ทำได้โดยการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันความเจ็บป่วย โดยส่งเสริมให้อสม.และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล มีความสามารถในการให้ความรู้แก่ประชาชนให้มีความสามารถในการส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันความเจ็บป่วย เพื่อลดภาระโรงพยาบาลในการรักษา รวมทั้งการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาสุขภาพและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมแก่สถานภาพทางการเงินของแต่ละคน ผู้ยากไร้ ควรได้รับการช่วยเหลือค่าใช้จ่าย แต่ผู้มีสถานภาพทางการเงินที่อยู่เหนือระดับความยากจน ควรมีส่วนร่วมจ่ายเงิน เพื่อไม่ให้มารับยาฟรีมากเกินจำเป็น
3.กระทรวงสาธารณสุขควรกำหนดตำแหน่งและอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ใหม่ ให้พอใกล้เคียงกับราคาตลาดในภาคเอกชน เพื่อเป็นแรงจูงใจให้บุคลากรทางการแพทย์ยังคงทำงานในกระทรวงสาธารณสุข
4. ควรส่งเสริมให้แพทย์ได้เรียนต่อในสาขาที่ขาดแคลน และเมื่อแพทย์เรียนจบ ก็ควรมีตำแหน่งรองรับ ไม่เช่นนั้นก็จะเข้าไปอยู่ระบบเอกชน ประชาชนที่ไปใช้โรงพยาบาลภาครัฐก็จะขาดแคลนบุคลากรที่ดูแลรักษาต่อไป
5.การแก้ไขการบริหารจัดการของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและสปสช. ไม่ควรให้เป็นองค์กรพิเศษนอกราชการ ทำให้กระทรวงสาธารณสุขขาดเอกภาพในการดำเนินการจัดบริการสาธารณะด้านสาธารณสุขสำหรับประชาชน เนื่องจากในปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุขมีภาระงานมากมายมหาศาล แต่ขาดงบประมาณในการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ต้องไปขอรับเงินจากสปสช.
การ บริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของสปสช.ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติยังเป็นสาเหตุให้โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขขาด ทุนจนถึงกับขาดสภาพคล่อง 579 แห่ง เป็นจำนวนร้อยละ 70 ของโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขทั้งหมด (6)
กระทรวงสาธารณสุขยังขาดแคลนบุคลากรตามมาตรฐานที่เหมาะสมกับภาระงาน เนื่องจากต้องอยู่ภายใต้การกำหนดตำแหน่งของก.พ. ซึ่งกำหนดตำแหน่งน้อยกว่าความจำเป็นในการรองรับภาระงานที่มีมากขึ้นตลอดเวลา สมควรจะแยกออกมาจากก.พ. เพื่อให้สามารถกำหนดตำแหน่งและความก้าวหน้าในการทำงานให้เหมาะสม เพื่อเป็นแรงจูงใจในการทำงานในสธ.ต่อไป
แพทย์ยังถูกสปสช.บังคับไม่ให้ใช้ยานอกเหนือจากที่สปสช.กำหนด ทั้งๆที่สปสช.ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น
ควรโอนสปสช.กลับมาสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จะมีเงินเหลือกลับมาให้บริการประชาชนมากขึ้น และจะได้บุคลากรทางการแพทย์มาทำงานบริการทางการแพทย์มากขึ้นแทนที่จะไปบริหารกองทุน ใช้เวลาประชุมคิดโครงการมากมาย ซึ่งซ้ำซ้อนกับภาระงานของกระทรวงสาธารณสุขและไม่ใช่หน้าที่ของสปสช.
ทั้งนี้ เนื่องจากสปสช.กำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นมากมาย ตั้งเงินเดือนสูงๆ อัตราเบี้ยประชุมสูงๆ ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ลาออกไปอยู่สปสช.มากมาย เนื่องจากมีแรงจูงใจคือเงินดี งานสบาย ถ้าให้สปสช.มาสังกัดสธ. ก็จะได้บุคลากรทางการแพทย์กลับมาทำงานบริการทางการแพทย์อีกมากมายหลายพันคน
ต้องถามว่ามีใครเคยตรวจสอบการบรรจุบุคลากรและการกำหนดเงินเดือนเจ้าหน้าที่ของสปสช.ว่า เหมาะสมหรือไม่เพียงใด และถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่?
6. การแก้ไขเรื่องการกำหนดตำแหน่ง และเงินเดือน ค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ ควรทำโดยการแยกบุคลากรสาธารณสุขออกจากกพ. เพื่อจะได้กำหนดตำแหน่งให้เหมาะกับภาระงาน ให้ได้รับเงินเดือนและค่าตอบแทนที่เหมาะสม มีความก้าวหน้าในวิชาชีพ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้มีบุคลากรที่เพียงพอต่อภาระงานในการตรวจรักษาประชาชน ไม่ขาดแคลนทุกวิชาชีพดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน(7) ทั้งนี้เพื่อให้มีโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขมีศักยภาพเพียงพอในการจัดบริการสาธารณะด้านสาธารณสุขให้มีมาตรฐาน เพื่อช่วยให้ประชาชนปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ทั้งนี้ เนื่องจากประชาชนไปใช้บริการสาธารณสุขเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ก.พ.กลับลดตำแหน่งคนทำงาน ขาดความก้าวหน้าในวิชาชีพ
นอกจากนั้น บุคลากรยังลาออกอย่างต่อเนื่อง
ทำให้บุคลากรขาดแคลนมาหลายสิบปี และถ้าไม่แก้ไขให้เหมาะสม ก็จะมีการขาดแคลนบุคลากรทุกสาขาวิชาชีพต่อไป
ส่งผลให้ไม่สามารถทำงานตามมาตรฐานวิชาชีพได้ ส่งผลเสียหายต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน
จึงควรแยกจากก.พ. เพื่อมากำหนดตำแหน่ง ค่าตอบแทน และให้มีความก้าวหน้าทางตำแหน่งในสาขาวิชาชีพหรือหน้าที่ต่างๆให้เหมาะสม เพื่อลดการลาออก มีตำแหน่งบรรจุ มีแรงจูงใจที่จะทำงานในกระทรวงสาธารณสุขต่อไป
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
ประธานผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย
(สผพท.)
18 เม.ย. 54
//www.thaihospital.org/board/index.php?topic=1575.0เอกสารอ้างอิง
1.แพทย์ใช้ทุนแห่ลาออกเรียนต่ออื้อ ปี 54 หมอ-พยาบาลยังขาดแคลน
//manager.co.th/images/blank.gifโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
18 เมษายน 2554 08:26 น.
//manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=95400000471932. ฉันทนา ผดุงทศและคณะ : ชั่วโมงการทำงานของแพทย์ในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข วารสารวิชาการสาธารณสุข 2550:16(4): 493-502
3. กองบรรณาธิการวารสารวงการแพทย์: แก้ปมปัญหาค่าตอบแทนแพทย์ วารสารวงการแพทย์ 2553; 13(333): 17-20
4. อดุลย์ วิริยะเวชกุล : เมดิคัลฮับ-นโยบายแย่ การจำกัดสิทธิของแพทย์-นโยบายยอดดีกระนั้นหรือ? วารสารวงการแพทย์ 2553;13(333): 1
5.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล วารสารวงการแพทย์ 2551;10(272):28-29
6. อดุลย์ วิริยะเวชกุล โรงพยาบาลรัฐ 579 แห่งก็มีการขาดทุนเหมือนกันด้วยหรือ วารสารวงการแพทย์ 2553 ; 13 (330):1
7. เชิดชู อริยศรีวัฒนา การขาดแคลนข้าราชการแพทย์ของโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข วารสารวงการแพทย์ 2551 ; 10 (274): 28-29
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""