วันนี้เงินหมุนเวียนสำหรับซื้อหาบริการสุขภาพทุกๆหนึ่งร้อยบาท รัฐบาลจ่าย 75 บาท มากนะครับจริงมั๊ย
เอ้ แล้วในเมื่อรัฐบาลจ่ายมากถึงปานนี้ ทำไมเวลาป่วย คนไทยร้อยละ 30-45 จึงยังเลือกที่จะควักกระเป๋าตัวเองเพื่อไปคลินิกเอกชน หรือรพ.เอกชนสำหรับบริการแบบไม่ต้องนอนรพ. และร้อยละ 5-10 สำหรับบริการคนไข้ใน
แปลว่า รัฐบาลยังจ่ายน้อยไปรึเปล่า ไม่มั๊ง ในเมื่อคนไข้สิทธิบัตรทองหรือสิทธิข้าราชการทุกวันนี้ใช้บริการฟรีไม่ใช่หรือ อันนี้ก็จริง แต่ไปดูคิวคนไข้ตามรพ.รัฐบาล ซิครับ ยาวแค่ไหน ดูคนไข้ในนอนตามระเบียงหรือน่าลิฟท์ซิครับ ว่ามีความอึดอัดหรือเปล่าว
ถ้ามีตังค์ ใครๆ ก็คงไม่อยากไปรอคิวหรือนอนหน้าลิฟท์จริงมั๊ย ไปรพ.เอกชนสะดวกสบายกว่า เร็วกว่า เลือกหมอได้ด้วย อยากได้ยาอะไรก็ได้ ตราบเท่าที่มีตังค์จ่าย
สำหรับชาวบ้าน เรื่องราวคงจบแค่นี้ เพราะยังมีเรื่องอื่นให้คิดอีกมากมาย
ชาวบ้านคงนึกไม่ถึงดอกว่า ที่คนมีสตางค์ควักกระเป๋าเองเวลาเจ็บป่วยแล้วไปรพ.เอกชน มันเกี่ยวอะไรกับ เรื่องเวลาไปรพ.รัฐบาลโดยเฉพาะในชนบท มักเจอแต่หมอหน้าใหม่หมุนเวียนเรื่อยไป
ในวงการแพทย์ เขารู้กันมานานแล้วว่า ค่าตัวหมอรพ.เอกชนแพงกว่าหมอรพ.รัฐบาลหลายเท่า ค่าตัวหมอรพ.เอกชนส่งตรงมาจากเงินในกระเป๋าคนไข้ ค่าตัวหมอรพ.รัฐบาล(ส่วนใหญ่) ส่งตรงมาจากภาษี
ลองนึกดูว่าการที่รพ.เอกชนสามารถดึงหมอไปจากรพ.รัฐบาล เขาใช้อะไรจูงใจ คำตอบก็ตรงไปตรงมา ค่าตัวไงล่ะ
สมัยก่อนความนิยมรพ.เอกชนไม่มากเท่าปัจจุบัน ค่าตัวหมอรพ.รัฐบาลกับรพ.เอกชนต่างกันไม่มากเท่าวันนี้ และค่าตัวหมอรพ.รัฐบาลสมัยก่อนก็ไม่มากเท่าทุกวันนี้ ดังนั้น ความนิยมบริการรพ.เอกชน เลยเป็นเหตุดึงหมอออกจากรพ.รัฐบาลโดยเฉพาะจากชนบท รวมทั้งเป็นเหตุเพิ่มค่าตัวหมอในรพ.รัฐบาลเพื่อต้านทานแรงดูดของรพ.เอกชน
ความจริงที่รู้กันในวงแคบ คือ เฉพาะรพ.กระทรวงสาธารณสุข งบประมาณทุกๆร้อยบาท เป็นค่าแรงเกือบหกสิบบาท เมื่อเป็นอย่างนี้ส่วนที่เหลือไว้เป็นค่ายา ค่าปรับปรุงอาคารสถานที่ ค่าเครื่องมืออุปกรณ์ ก็ย่อมน้อยตามไปด้วย จึงไม่แปลกที่คิวตรวจรพ.รัฐบาลยาวเฟื้อย คนไข้ต้องนอนหน้าลิฟท์
ลองนึกต่อไปว่า ถ้าวันหน้าคนไทยใช้เงินจากกระเป๋าตัวเองแทนการใช้สิทธิบัตรทองหรือสิทธิข้าราชการ หรือประกันสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ อะไรจะตามมา
ประการแรก รพ.รัฐบาลก็จะกลายเป็นที่รองรับคนจนด้วยสัดส่วนมากขึ้นไปอีก กว่าทุกวันนี้ ผลที่จะตามมาคือ การตรวจสอบ กดดัน ให้รัฐบาลปรับปรุงรพ.ก็จะน้อยลง เพราะคนจนโวยไม่เก่ง ไม่มีเส้นสาย อุปมาอุปมัยเหมือนกิจการรถไฟไงล่ะ ล้าหลัง ตกต่ำมานานกว่าร้อยปี เพราะคนรวย คนชั้นกลางหนีไปขับรถบนถนน งบประมาณสร้างถนนเลยถมไม่รู้จบ แต่ละปีนับแสนล้านบาท
ประการที่สอง เมื่อบริการรพ.รัฐบาลถดถอยเพราะเหตุดังกล่าวในประการแรก คนพอมีสตางค์ก็ยิ่งหนีไปรพ.เอกชนมากขึ้นมากขึ้น กลายเป็นภาวะงูกินหางผลักให้บริการรพ.รัฐบาลถดถอยลงต่อไปอีก ประเทศมาเลเซียเป็นตัวอย่างในข่ายนี้ จึงไม่แปลกเมื่อพบว่า รัฐบาลมาเลเซียจ่ายเพื่อบริการสุขภาพ(8%ของรายจ่ายภาครัฐทั้งหมด)น้อยกว่ารัฐบาลไทยเกือบเท่าตัว (14%)แม้ว่าคนมาเลย์เกือบร้อยทั้งร้อยมีหลักประกันสุขภาพเหมือนคนไทย
ประการที่สาม ด้วยความเป็นจริง ณ วันนี้ ว่า รัฐบาลแทบจะไม่ได้ควบคุมกำกับกิจการรพ.เอกชนเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคา คุณภาพบริการ ความปลอดภัย เมื่อกิจการรพ.เอกชนขยายตัวสวนทางการถดถอยในกิจการรพ.รัฐบาล ประกันสุขภาพเอกชนและการจ่ายจากกระเป๋าคนมีสตางค์จะค่อยๆแทนที่ระบบหลักประกันสุขภาพ ผลที่ตามมาคือ คนไทยจะเสี่ยงต่อภาวะล้มละลาย สิ้นเนื้อประดาตัวมากขึ้นจากการใช้บริการรพ.เอกชน การเข้าถึงบริการสุขภาพอาจจะถดถอยตามมาสำหรับคนไม่มีสตางค์พอจะจ่ายค่าบริการรพ.เอกชน และไม่อยากทนรอคิวรพ.รัฐบาล โปรดสังเกต ว่านับวันโฆษณาขายประกันสุขภาพเอกชนขยายตัวมากขึ้น นี่อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ความเป็นไปที่กล่าวมา
ศ.นพ.ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล
ประการสุดท้าย ชะตากรรมระบบเศรษฐกิจไทยอาจจะเหมือนของสหรัฐอเมริกา ในความหมายว่า ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการจะจมไปกับรายจ่ายสุขภาพมากจนอำนาจแข่งขันถดถอย ธุรกิจที่แข็งแรงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯคือ รพ.เอกชน ประกันสุขภาพเอกชน และบริษัทยา/เครื่องมือแพทย์ แม้ว่าระบบเศรษฐกิจภาพรวมอ่อนแอลง ศูนย์วิจัยยานยนต์ของสหรัฐเคยเผยตัวเลขต้นทุนค่ารักษาพยาบาลพนักงานอันเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนทั้งหมดของรถแต่ละคันที่บริษัทเจนเนอรัลมอเตอร์(จีเอ็ม)ผลิตเท่ากับ 1.525 ดอลล่าร์ คิดเป็น 5 เท่าของตัวเลขเดียวกันสำหรับรถโตโยต้าหนึ่งคัน จึงไม่น่าแปลกที่ส่วนแบ่งตลาดของรถจีเอ็มถดถอยเพราะส่วนหนึ่งเกิดจากราคาแพงกว่ารถโตโยต้า และต่อมาโตโยต้าได้เข้าแทนที่สามยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกที่เคยครองแชมป์อันดับหนึ่ง
ผมหวังว่าฝันร้ายดังกล่าวจะไม่เป็นจริง และหวังว่าคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติภายใต้การกำกับของคสช. จะได้ตระหนักและมองหาหนทางหลีกหนีจากฝันร้ายนี้
ผู้เขียน ศ.นพ.ไพบูลย์ สุริยะวงศ์ไพศาล
.................................
มีผู้แสดงความเห็น ต่อบทความนี้ น่าสนใจ .. ขอนำมาลงไว้ด้วยเลย
ผมอยากให้ข้อสังเกตหน่อย
1. เหมือนกับกำลังโยงว่าหากควบคุมราคาโรงพยาบาลเอกชนแล้ว จะทำให้การบริการของโรงพยาบาลรัฐดีขึ้นหรือ ดูแล้วไม่เกี่ยวข้องเลย เป็นการบริหารของกระทรวงและรพ.รัฐที่ล้มเหลวมากกว่านะ และผู้ป่วยก็ไม่ได้บ่นแต่เรื่องแพทย์อย่างเดียว คือมันด้อยกว่าไปทุกอย่าง ยอมรับหรือเปล่า
2. ดูประโยคทั้งสองที่ออกจากปากคนๆเดียวกัน
"รัฐบาลแทบจะไม่ได้ควบคุมกำกับกิจการรพ.เอกชนเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคา คุณภาพบริการ ความปลอดภัย " กับ
"ถ้ามีตังค์ ใครๆ ก็คงไม่อยากไปรอคิวหรือนอนหน้าลิฟท์จริงมั๊ย ไปรพ.เอกชนสะดวกสบายกว่า เร็วกว่า เลือกหมอได้ด้วย อยากได้ยาอะไรก็ได้ ตราบเท่าที่มีตังค์จ่าย"
ก็แสดงว่าคนเขาเห็นว่าคุณภาพบริการ และความปลอดภัยเมื่อเทียบกับเงินที่ต้องจ่ายแล้วคุ้มค่า คนจึงจะเข้าไป ใช่หรือไม่ แล้วแบบนี้ควรไปดูแลรพ.ของรัฐมากกว่าใช่หรือไม่
3. สมมุติว่าต้องการควบคุมราคาเอกชนจริงๆ เพราะเห็นว่าคิดค่ายาและค่าเวชภัณฑ์สูงเกิน ก็ให้มาดูประโยคเหล่านี้ของเจ้าของบทความ
"วันนี้เงินหมุนเวียนสำหรับซื้อหาบริการสุขภาพทุกๆหนึ่งร้อยบาท รัฐบาลจ่าย 75 บาท มากนะครับจริงมั๊ย"
" ความจริงที่รู้กันในวงแคบ คือ เฉพาะรพ.กระทรวงสาธารณสุข งบประมาณทุกๆร้อยบาท เป็นค่าแรงเกือบหกสิบบาท เมื่อเป็นอย่างนี้ส่วนที่เหลือไว้เป็นค่ายา ค่าปรับปรุงอาคารสถานที่ ค่าเครื่องมืออุปกรณ์"
ก็ต้องถามว่ารพ.รัฐมีคนช่วยจ่ายมากขนาดนี้ รพ.เอกชนใครช่วยจ่าย และภาษีต้องเสียหรือไม่ บุคลากรของเอกชนต้องจ่ายเงินเดือนแพงกว่าของรัฐหรือไม่ แล้วจะเอาราคาของสองแห่งมาเทียบกันหรือ
ยอมรับนะว่ามีรพ.เอกชนที่มีค่าบริการและยาแพงมาก แต่ก็มักเป็นรพ.ที่เรียกว่าเศรษฐีเท่านั้นแหละที่จะเข้า
4.หากจะแก้ปัญหาเรื่องของประชาชนที่ต้องเข้าเอกชนเพราะฉุกเฉิน เราก็ต้องให้รัฐตกลงราคาที่ทั้งสองฝ่ายรับได้ และให้เอกชนรักษาผู้ป่วยทุกคนแล้วไปเก็บเงินกับรัฐ และรัฐต้องไม่บิดพริ่วที่จะจ่ายอย่างที่ทำกันมา คือจะบอกว่าไม่ใช่ฉุกเฉิน ทั้งที่คนเจ็บป่วยอย่างไรรัฐก็ต้องจ่ายอยู่แล้ว และก็คิดตามราคาที่ตกลงไว้ หรือตาม DRG หากเกินนั้นก็เป็นเอกชนรับไป ไม่เกี่ยวกับคนไข้ คนไข้ก็จะสบายใจและปลอดภัย สำรัญคือรัฐต้องให้ความสะดวก และมีเตียงรองรับเพียงพอ และไม่บิดพริ้ว
5. ประโยคที่ว่า "รพ.รัฐบาลก็จะกลายเป็นที่รองรับคนจนด้วยสัดส่วนมากขึ้นไปอีก กว่าทุกวันนี้ ผลที่จะตามมาคือ การตรวจสอบ กดดัน ให้รัฐบาลปรับปรุงรพ.ก็จะน้อยลง" ผมว่าเป็นตรรกที่แย่มาก แสดงว่าการรักษาจะดีหรือไม่ดีต้องดูที่คนจนคนรวยหรือ เราต้องให้ใครมาโวยหรือไม่โวยจึงจะดกดันให้ปรับปรุงหรือ แบบนี้ก็เห็นแล้วว่าบริหารสู้เอกชนไม่ได้หากมีความคิดแบบนี้ หากคนรวยมาใช้รพ.รัฐ แล้วยังไง เขาก็มีสิทธิบัตรทอง รัฐก็ต้องจ่ายให้เขาอยู่ดี แต่เขาอาจจะเลือกซื้อยาที่แพงเอาเองจากร้านยาหรือโรงพยาบาลเอกชน ใช่หรือไม่ แบบนี้ยิ่งคนพอมีสตางค์จ่ายเองได้ แต่ไม่เข้าเอกชน เพราะสมมุติว่าราคาลงมาใกล้กันก็จริง แต่คุณภาพห่วย ก็เลยมาเข้ารพ.รัฐ แล้วจะทำให้รพ.รัฐบริการคนทั้งคนจนคนมีเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นหรือ เราต้องมานึกถึงความเป็นจริงสิ ไม่ใช่การนึกเดา
6. แล้วเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพของเราเป็นอย่างไร สู้มาเลเซียเขาได้ไหม ของเรายังมีอุบัติเหตุมากมายใช่ไหม ยังขายเหล้าและมีขี้เมาเกลื่อนเมืองใช่ไหม ใช่อุบัติเหตุและโรคตับ ทางเดินอาหารที่ต้องเข้านอนใน ICU เป็นลำดับต้นๆหรือเปล่า จนบุคคลากรแทบจะไม่มีเวลาไปดูผู้ป่วยอื่นๆ เบาหวาน ความดันที่หวังจะพึ่งเวชศาสตร์ครอบครัว อสม.นั้นยังพึ่งไม่ได้ใช่ไหม แต่เสียเงินไปเท่าไร ไม่ดูทั้งระบบ แล้วไปโทษปลายเหตุ
ที่ประเทศเยอรมัน เราคิดว่าระบบการประกันสุขภาพที่ส่งผลคุ้มครองคนในประเทศนี้ ยอดเยี่ยมมากๆค่ะ คนที่จะไปโรงพยาบาลนั้นคือกรณีฉุกเฉิน หรือ ผ่าตัดใหญ่ๆหรือแพทย์เป็นคนส่งตัวไป เท่านั้นน่ะค่ะ
แพทย์ที่นี่จะมีคลีนิคส่วนตัวกันแทบทั้งนั้น แต่นั่นไม่ได้หมายถึง "เอกชน" แบบไทย มันหมายถึงประชาชนที่มี "ประกันสุขภาพ" สามารถเดินเข้ามารักษาได้บ่อยตามที่ต้องการค่ะ
คลีนิคของแพทย์ทุกแห่ง "ห้ามจำหน่ายยา"ให้แก่คนไข้ ที่นี่แพทย์มีหน้าที่รักษาอย่างเดียว(จริงๆนะคะ)
แพทย์จะออกใบสั่งยาให้ คนไข้ต้องไปซื้อตามร้านขายยา และ ยานั้น...หากเป็นยาปฏิชีวนะก็จะ "ฟรี" แต่หากเป็นยาตัวอื่นๆที่จำเป็นแล้ว คนไข้จะต้องจ่ายค่ายาเองแต่ไม่เกิน ห้ายูโร ที่เหลือบริษัทประกันจะต้องเป็นคนจ่ายแทนให้ทั้งหมดค่ะ
และการรักษานั้นแพทย์จะต้องทำแบบสุดความสามารถ หมายถึง...ไม่เกี่ยวกันว่า คนไข้จะมีเงินในกระเป๋าเท่าไหร่...ที่เยอรมันมีคนจน และคนรวยแต่นั่นไม่มีผลหากมันเกี่ยวข้องกับ "สุขภาพความเป็นความตาย" ค่ะ คนทุกคนในประเทศเยอรมันจำเป็นจะต้องมีประกันสุขภาพ กฏหมายบังคับไว้ และ...รัฐบาลไม่เคยจ่ายสมทบให้ด้วย เป็นหน้าที่ของ ประชาชนทุกคนต้องจ่ายกันเอง หากทำงาน นายจ้างต้องจ่ายสมทบให้ "เท่าตัว" เท่าๆกับที่ลูกจ้างจ่าย กฏหมายเป็นแบบนี้ เพราะรัฐบาลเยอรมันไม่มีเงินที่จะมาโปรยเพื่อหาเสียง...แบบที่ไทย(รึเปล่า..ฮ่า คิดเอาเองนะคะ) ส่วนเรื่องบริษัทรับประกันสุขภาพ..ที่นี่มีหลากหลาย..ใครจะเลือกประกันสุขภาพกับที่ไหนก็ได้ แต่..."นโยบาย" ในการประกันจะต้องเหมือนกันหมดคือรัฐฯควบคุมตรงนี้ด้วยค่ะ คนจนก็มีชีวิตมีสิทธิ์ที่จะได้รับการรักษาอย่างดีที่สุด เท่าๆกันกับคนรวยค่ะ ส่วนตัวแล้วคิดว่า ประเทศเยอรมันเป็นประเทศที่มีระบบการประกันสุขภาพที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งค่ะ จากประสบการณ์ตรง..
โรงพยาบาลรัฐบาล โรงพยาบาลเอกชน คลีนิคเอกชน ที่เยอรมันจะใช้ชื่อไหนก็ตาม ไม่มีผล....ต่อการรักษาคนไข้ค่ะ ทุกชีวิตที่นี่จะได้รับการรักษาเท่าเทียมกัน และไม่เกี่ยวว่าคนไข้จนหรือรวยอีกด้วยค่ะ