|
Just Preparing for Work and Holiday Visas Thai-Australia
หลังจากที่เป็น "ผู้รับ" ข้อมูลจากคนอื่นมาเป็นเวลานาน วันนี้ขอเป็น "ผู้ให้" ข้อมูลบ้างแล้วกัน
สำหรับ group นี้ จะขอเขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการ Work and Holiday Visas Thai-Australia 2010 เรียกง่ายๆ ว่า WAH ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยไปทำงานและท่องเที่ยวในออสเตรเลียเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ หรือ สท. เป็นหน่วยงานที่ออกใบรับรองว่าเรามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ ซึ่งปีนี้มีโควต้าทั้งหมด 500 คน (เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากปีแรก 100 คน ปีต่อมา 200 คน แล้วจึงเป็น 500 คน)
blog นี้อาจไม่ได้มีรายละเอียดครบถ้วน แต่มาจากประสบการณ์ของเราโดยตรงค่ะ ต้องขอบคุณเวบไซต์ //www.thaiwahclub.com ที่ช่วยเรามาตลอด ตั้งแต่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย จนกระทั่งยื่นวีซ่าผ่าน (เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าทำไมข้อมูลจาก สท. อย่างเดียวถึงไม่เพียงพอที่จะทำให้วีซ่าผ่านโดยที่สถานฑูตไม่ขอเอกสารเพิ่มเติม)
ตอนนี้เราถึงขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับการเดินทางแล้ว เราจะเดินทางวันที่ 19 ตุลาคม 2010 แต่ขอเล่าย้อนหลังตั้งแต่เริ่มต้นเลยแล้วกัน
ก่อนที่เราจะรู้จักโครงการนี้ เรามุ่งมั่นที่จะไปหาประสบการณ์ที่ต่างประเทศ ประเทศอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนต่อ หรือทำงานก็ตาม โดยเริ่มจาก การ search หาข้อมูลโครงการ Internship ที่ USA พบว่าค่าใช้จ่ายสูงพอสมควร แล้วยังต้องจ่ายเงินให้กับ agency สำหรับการดำเนินการค่อนข้างเยอะ และต้องสอบ TOEFL 3 ปีที่แล้วเราเคยไป Work and Travel ที่ USA มาก่อน รู้สึกว่าเงินที่จ่ายไปไม่คุ้มกับการบริการที่ได้รับจาก agency จึงทำให้โครงการ Internship ไม่ผ่านการอนุมัติโดยเรา
จากนั้นเราก็หาข้อมูลทุนการศึกษาสำหรับเรียนต่อป. โท เราก็ได้สมัครสอบทุน ก.พ. และก็พบกับโครงการ WAH ในเวลาใกล้เคียงกัน โดยเราให้ priority กับทุน ก.พ. ก่อนโครงการ WAH สุดท้าย เราสอบผ่านข้อเขียน แต่ไม่ผ่านสัมภาษณ์ โครงการเรียนต่อป. โทจึงไม่ผ่านอนุมัติโดย ก.พ.
โครงการ WAH จึงเป็นทางเลือกสุดท้าย (ที่มีในขณะนั้น) ตอนแรกเราตั้งใจจะไปนิวซีแลนด์ แต่เพื่อนที่เคยไปอยู่เค้าบอกมาว่านิวซีแลนด์เป็นประเทศที่มีประชากรแกะมากกว่าประชากรคน และเมืองที่คึกครื้นที่สุดยังเงียบมาก เราจึงเปลี่ยนใจไปออสเตรเลียแทน
คุณสมบัติของผู้ร่วมโครงการ
- มีสัญชาติไทย
- อายุระหว่าง 18-30 ปีในวันที่สมัคร
- จบป.ตรีขึ้นไป
- มีหลักฐานทางการเงินอย่างน้อย AUD 5000
วันที่สมัครของปี 2010 คือวันที่ 6 กรกฎาคม 2010 ซึ่งจะต้องเตรียมเอกสารต่างๆ (ทั้งตัวจริงและสำเนา อย่าลืมรับรองสำเนาถูกต้องด้วย) ต่อไปนี้
- ปริญญา หรือ ใบรับรองการสำเร็จการศึกษา (ของเราใช้ใบรับรอง)
- transcript
- passport
- ทะเบียนบ้าน
- ผล IELTS ไม่ต่ำกว่า 4.5 แบบ general หรือ academic ก็ได้ แต่หากเรียนจบจากสถาบันการศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนมาเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปี สามารถยื่นใบรับรองหรือประกาศนียบัตรจากสถาบันการศึกษาได้ โดยไม่ต้องสอบ IELTS (ของเราสอบ IELTS แบบ academic)
- หลักฐานทางการเงินอย่างน้อย AUD 5000 ใช้ใบรับรองฐานะการเงินหรือ statement ก็ได้ ต้องเป็นบัญชีแบบออมทรัพย์เท่านั้น (ของเราใช้ใบรับรองฐานะการเงินจากธนาคารกรุงเทพ ต้องเป็นภาษาอังกฤษ และระบุหมายเลขบัญชีและจำนวนเงินเป็น AUD)
- บัตรประชาชน
- ใบสมัคร สามารถ download ได้จากเวบไซต์ของสท.
- บันทึกข้อตกลง สามารถ download ได้จากเวบไซต์ของสท. เช่นกัน
- ทะเบียนบ้านของผู้ปกครอง (พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่ง)
- บัตรประชาชนของผู้ปกครอง (พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่ง เช่นกัน)
เราต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม ช่วงนั้นเข้าเวบไซต์ของสท. (www.opp.go.th) และ //www.thaiwahclub.com บ่อยเป็นพิเศษ พวกเอกสารที่มีอยู๋แล้วก็ไม่เป็นปัญหา เพียงแค่ถ่ายเอกสารแล้วเซ็นต์ชื่อรับรองสำเนาถูกต้องเท่านั้น รวมถึงเอกสารของผู้ปกครองเช่นกัน ส่วนใบรับรองฐานะการเงิน มีอายุ 1 เดือน สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการเข้าโครงการนี้คือ IELTS เราเลือกที่จะสอบแบบ academic เผื่อว่าเรียนต่อป. โทจะได้ใช้ยื่นมหาวิทยาลัยได้เลย ค่าสอบ 5900 บาท เราสมัครสอบของ British Council โดยจะสอบที่โรงแรมแลนด์มาร์ค สามารถนั่ง BTS ไปลงที่สถานีนานาได้เลย เราเตรียมตัวสอบโดยอ่านหนังสือ 3 เล่มนี้
- Ready for IELTS workbook with key ของ Macmillan
- Improve your IELTS Writing Skills ของ Macmillan
- The Best Test Preparation for IELTS Listening ของ TGRE Institute Publications
ที่อ่านเองไม่ได้เก่งอะไร เพียงแต่ว่าไม่มีเวลาและไม่อยากเสียเงินอีกเป็นหมื่นเพื่อเตรียมสอบ ค่าหนังสือทั้งหมดนี้รวมกันไม่ถึงพันห้า แต่ต้องมีวินัยในการอ่านและฝึกทำแบบฝึกหัด (เราก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง มาเร่งเอาตอนใกล้สอบเนี่ยแหละ) แล้วก็หยุดงาน 1 วันก่อนสอบเพื่อเตรียมความพร้อม เมื่อถึงวันสอบจริงสิ่งที่ต้องเตรียมไปก็คือ สมาธิ สำคัญมาก เพราะคุณจะหลุดง่ายๆ เนื่องจากมีเวลาจำกัดและสิ่งรบกวน โดยเริ่มสอบจาก
- Listening มาถึงก็ให้เราฟังเลย ทั้งหมด 40 ข้อ มีเวลา 30 นาที ตรงนี้ทำให้เสียสมาธิได้ เพราะให้ฟังเพียงครั้งเดียว ผ่านทางลำโพง ไม่ได้ใช้หูฟัง อาจฟังไม่ชัดว่ามี a an the หรือเติม s หรือไม่ ส่วนกรณีของเรา เราถูกรบกวนโดยคนที่นั่งสอบข้างๆ เนื่องจากโต๊ะเป็นโต๊ะคู่ แล้วคนข้างๆ ก็นั่งสั่นขา สมาธิเรากระเจิดกระเจิงเลย จากนั้นมีเวลาให้ 10 นาทีในการ transfer คำตอบลงใน answer sheet (6.5)
- Reading มี passage ให้อ่าน 3 เรื่องยาวๆ ให้เวลา 60 นาที part นี้ต้องรีบ screen อย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาให้อ่านโดยละเอียด สำหรับเราอ่านทัน แต่ไม่มีเวลาทวนคำตอบ (7.5)
- Writing เรามีปัญหากับ part นี้มาก เพราะเราเป็นคนเขียนช้าและเขียนไม่เก่ง มีเวลาให้ 60 นาที จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นการบรรยายเปรียบเทียบกราฟ หรือ map อย่างน้อย 150 คำ ควรใช้เวลา 20 นาที ส่วนที่สองเป็นการเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อที่เค้ากำหนดให้ อย่างน้อย 250 คำ ควรใช้เวลา 40 นาที จะต้องแบ่งเวลาให้ดี เราใช้เวลากับส่วนแรกนานทำให้เหลือเวลาสำหรับส่วนที่สองน้อย พอถึงเวลาสอบหัวจะตื้อ คำศัพท์ในหัวจะหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ เขียนแล้วลบหลายรอบ สุดท้ายก็เขียนไม่ทัน ได้ไม่ถึง 200 คำ (6.0)
- Speaking ใช้เวลาประมาณ 15 นาที โดย interviewer กว่าเราได้ speaking ก็ 4 โมงเย็นแล้ว ง่วงนอนมาก เนื่องจากคืนก่อนสอบตื่นเต้นนอนไม่หลับ ปวดหัวสุดๆ ก็เล่นตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เพื่อมาสอบให้ทัน 9 โมงเช้า เลยพูดไม่รู้เรื่องเลย ไม่ค่อยได้คิดก่อนตอบ ดังนั้นคำตอบจึงธรรมดามาก ไม่ได้ใช้ศัพท์ยากๆ เลย (6.5)
สรุปแล้ว เราได้ overall 6.5
เมื่อถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 2010 ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ไปถึงที่สท. ประมาณตี 5 เกือบครึ่ง ลงชื่อในสมุดซึ่งจัดทำขึ้นโดยผู้ร่วมโครงการ ได้คิวที่ 200 ต้นๆ นั่งรอไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาประมาณ 9 โมง เจ้าหน้าที่ของ สท. ก็จะแจกบัตรคิวตามชื่อที่ลงไว้ ขั้นตอนนี้มีปัญหานิดหน่อยตรงที่มีคนไปรับบัตรคิวไม่ตรงกับชื่อที่ลงไว้ จริงๆ แล้วเจ้าหน้าที่ควรมีความชัดเจนในการจัดการและการให้ข้อมูลมากกว่านี้ แต่ก็ผ่านไปได้ไม่มีอะไร จากนั้นก็รอให้เจ้าหน้าที่ตรวจเอกสาร เพียงแค่ดูว่ามีเอกสารครบและถูกต้องหรือไม่ จากนั้นจึงให้ลงชื่อเพื่อเลือกวันสัมภาษณ์ จริงๆ แล้วสามารถทำได้ภายในวันเดียว แต่ไม่ สท. ให้มาสัมภาษณ์อีก 2 อาทิตย์ถัดไป เราเลือกวันที่ 22 กรกฎาคม 2010 โดยจะสัมภาษณ์ตามคิวที่ได้ลงไว้ตั้งแต่วันก่อน จึงไม่ต้องมานอนรอตั้งแต่ตี 5 อีกแล้ว
การสัมภาษณ์ไม่มีอะไรมาก ใช้เวลาประมาณ 5 นาที โดยเจ้าหน้าที่จะให้เราเล่าแผนการเดินทางของเรา แล้วก็จะมีคำถาม เช่น เคยไปต่างประเทศมาก่อนรึเปล่า? เดินทางกับใคร? ทำไมเราถึงไปเมืองนี้? เป็นต้น จากนั้นจึงให้ความคิดเห็นและคำแนะนำเกี่ยวกับแผนของเราเล็กน้อย แต่ว่าใบรับรองยังไม่ได้รับในวันนี้เลยนะ ต้องให้เราลางานมารับในวันถัดไป ประมาณ 2-3 วันทำการ ขึ้นอยู๋กับผู้มีอำนาจในการเซ็นต์รับรองว่าติดธุระหรือไม่
เมื่อรับใบรับรองแล้ว ขั้นตอนที่ต้องติดต่อกับสท. ก็จบลงเพียงเท่านี้ ขอบคุณค่ะ
Create Date : 26 สิงหาคม 2553 |
Last Update : 27 สิงหาคม 2553 15:32:13 น. |
|
5 comments
|
Counter : 601 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ไอเลิฟซิดนีย์ IP: 125.24.93.3 วันที่: 2 กันยายน 2553 เวลา:21:26:22 น. |
|
|
|
โดย: MEO IP: 161.200.160.170 วันที่: 10 กันยายน 2553 เวลา:14:25:17 น. |
|
|
|
โดย: aom IP: 124.122.243.179 วันที่: 29 กันยายน 2553 เวลา:18:43:50 น. |
|
|
|
โดย: icz IP: 124.120.220.70 วันที่: 22 ตุลาคม 2553 เวลา:16:02:41 น. |
|
|
|
โดย: moonoi IP: 110.164.168.11 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2553 เวลา:16:59:57 น. |
|
|
|
| |
|
|
น่าสนใจมากเลย
แต่มีข้อสงสัย อยากถามอะจ้ะ
คือเรื่องงาน เราจะหางานได้อย่างไรคะ
ทางโครงการเป็นผู้ติดต่อหาที่ทำงานให้หรือเปล่า คะ
อยากไปมากเลย อ่า ช่วยบอกหน่อย นะ
ตอนนี้เบื่องานประจำที่ทำอยู่มากๆเลย