Group Blog
 
All blogs
 
Gold Futures ตอน โอกาสทองของนักลงทุน

ทองคำมีบทบาทสำคัญในแง่การออมและเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ถ้าคุณต้องการชื่นชมทองคำแท่งจริงๆแบบที่จับต้องสัมผัสได้ คุณต้องไปที่ร้านค้าทองขนาดใหญ่เพื่อซื้อทองคำแท่งมาเก็บไว้ แต่ถ้าคุณมองเห็นการลงทุนในทองคำที่มากไปกว่านั้น และต้องการซื้อขายได้ทั้งภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง Gold Futures หรือสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าเป็นคำตอบที่ไม่ควรมองข้าม

2 กุมภาพันธ์ 2552 ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) หรือ TFEX เปิดให้นักลงทุนซื้อขาย Gold Futures ได้อย่างเป็นทางการเป็นวันแรก นับเป็นสินค้าลำดับที่ 4 ของตลาดอนุพันธ์ ซึ่งจะมาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับนักลงทุน

เกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า "คนไทยรู้จักทองคำมานานแล้ว ถ้าใครสนใจก็สามารถเดินไปซื้อทองที่ร้านขายทองได้ แต่นั่นเป็นตลาดทองคำแบบ SPOT คือซื้อขายส่งมอบกันในปัจจุบัน

"ทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงและราคาทองมีการปรับเปลี่ยนได้วันละหลายๆ ครั้ง คนที่สนใจซื้อทองคำสามารถเข้ามาลงทุนใน Gold Futures ได้ ซึ่งบางคนอยากจะได้กำไรจากความผันผวนของราคาทองคำ ณ ขณะนั้น จึงคาดว่านักลงทุนที่เข้ามาซื้อขาย Gold Futures จะเป็นผู้ที่เข้ามาแสวงหาส่วนต่างของราคาทองคำ"

เธออธิบายว่า Gold Futures เป็นเครื่องมือที่นักลงทุนสามารถใช้ทำกำไรได้ตามความคาดการณ์ที่มีต่อราคาทองคำทั้งในช่วงราคาทองขาขึ้นและขาลง "จุดเด่นของ Gold Futures อยู่ที่สามารถซื้อก่อนขาย หรือขายก่อนซื้อก็ได้ และใช้เงินลงทุนน้อย บวกกับราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวที่ไม่สัมพันธ์กับราคาหุ้น จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการทำกำไรและกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน"

Gold Futures ช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับนักลงทุน ทําให้ซื้อขายทำกำไรได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้นและราคาทองขาลง และไม่มีการส่งมอบทองคำจริงระหว่างคู่สัญญาแต่ใช้วิธีจ่ายชำระเงินตามส่วนต่างกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้น เรียกว่า "การชำระราคาเป็นเงินสด" (Cash settlement)

"เราสามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อก็ได้ โดยกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจะเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาขายและราคาที่ซื้อเอาไว้ เช่น หากคาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก็สามารถซื้อ Gold Futures ไว้ก่อน และเมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้นสามารถขาย Gold Futures ในภายหลัง ทำให้ได้กำไรเท่ากับส่วนต่างของราคาซื้อและขาย หรือในกรณีที่คาดว่าราคาทองจะปรับตัวลดลงก็สามารถสั่งขาย Gold Futures ได้เลย แม้ว่าไม่เคยซื้อ Gold Futures มาก่อน และเมื่อราคาทองปรับตัวลดลงก็ค่อยซื้อ Gold Futures ในภายหลัง ทำให้ได้กำไรตามส่วนต่างของราคาขายและราคาซื้อ" เกศราอธิบาย

การซื้อขาย Gold Futures คือ การซื้อขายทองคำล่วงหน้า ราคาของ Gold Futures จึงเป็นราคาทองที่ผู้ลงทุนคาดการณ์ในอนาคต จึงแตกต่างไปจากราคาทองที่มีการซื้อขายและส่งมอบกันในปัจจุบัน (Gold Spot Price) ความคาดการณ์ราคาทองที่แตกต่างกันนี้ คือ โอกาสในการซื้อขายเพื่อทำกำไรจาก Gold Futures

"เช่น ในภาวะทองราคาขึ้น ราคาทองในปัจจุบันสมมติอยู่ที่ 15,000 บาท แต่ราคา Gold Futures ที่ครบกำหนดในอีก 6 เดือนข้างหน้า อาจซื้อขายอยู่ที่ 15,500 บาท ใครที่ซื้อ Gold Futures ไว้ ก็คือ ผู้ที่คาดว่าราคาทองคำในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะสูงกว่า 15,500 บาท จึงซื้อ Gold Futures โดยหวังส่วนต่างราคาในกรณีที่ทองคำปรับตัวสูงขึ้น ส่วนผู้ขาย Gold Futures ก็คือ ผู้ที่คาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นไม่ถึง 15,500 บาท ในอีก 6 เดือนข้างหน้าและรอซื้อกลับเมื่อราคาถูกลง ทั้งนี้ราคาซื้อขาย Gold Futures จะปรับเปลี่ยนเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนซื้อขายทำกำไรได้ตามความคาดการณ์"


เรื่องต้องรู้ก่อนเทรด

ปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อราคาของ Gold Futures หลักๆ ก็คือราคาทองคำซึ่งเป็นสินค้าอ้างอิง ประกอบกับการคาดการณ์ของนักลงทุนต่อราคาทองคำในอนาคต ซึ่งทำให้ราคาของ Gold Futures มีค่าต่างจากราคาของทองคำที่เป็นสินค้าอ้างอิง

ภาคภูมิ ภาคย์วิศาล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บล.ทิสโก้ บอกว่า ราคาทองคำมี 2 ราคา คือ ราคาทองคำโลกและราคาทองคำไทย โดยส่วนตัวของภาคภูมิคิดว่าควรจะดูราคาทองคำโลกเป็นหลัก และดูราคาทองคำไทยเพื่อประกอบการตัดสินใจ เนื่องจากราคาทองคำโลกนั้นเกิดจากความต้องการการซื้อขาย (Demand-Supply) ในตลาดทั่วโลกและมีการเคลื่อนไหวของราคาอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ราคาทองคำไทยถูกประกาศเป็นราคาตายตัว (Fixed Price)โดยสมาคมค้าทองคำ ซึ่งราคาจะเปลี่ยนแปลงและสะท้อนถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องช้ากว่าราคาทองคำโลก

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำโลก
ปัจจัย
ความสัมพันธ์
คำอธิบาย

ค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจัยลบ
ถ้าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนเมื่อเทียบกับเงินสกุลสำคัญ (เช่น ยูโร, เยน) ราคาทองคำจะสูงขึ้นเพราะนักลงทุนโยกเงินจากดอลลาร์สหรัฐเข้าทองคำ

นโยบายการเงินสหรัฐฯ และอัตราดอกเบี้ย
ปัจจัยลบ
ส่งผลกระทบทางอ้อมผ่านทางอัตราแลกเปลี่ยน คือ ถ้าธนาคารกลางสหรัฐ ขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินจะไหลเข้าสหรัฐ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้น ราคาทองคำจะตก

ระดับอัตราเงินเฟ้อของ สหรัฐฯ
ปัจจัยบวก
ถ้าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ สูงขึ้น ราคาทองคำจะสูงขึ้น ดังนั้นทองคำจึงเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ทำ Hedging อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐได้

ระดับราคาน้ำมัน
ปัจจัยบวก
น้ำมันเป็นตัวผลักดันให้เกิดเงินเฟ้อได้ ดังนั้นถ้าราคาน้ำมันสูงขึ้นราคาทองคำก็จะสูงขึ้นตาม นอกจากนี้น้ำมันและทองคำยังอยู่ใน Commodity Basket เดียวกัน เวลาที่นักลงทุนในต่างประเทศซื้อขายน้ำมันจะซื้อขายทองคำตามไปด้วย ตามสัดส่วนที่ได้กำหนดไว้ใน Basket การลงทุน

วิกฤตการณ์ทางการเมืองระดับโลก
ปัจจัยบวก
ถ้ามีวิกฤตการณ์ต่างๆ เช่น วิกฤติซับไพร์ม หรือความขัดแย้งทางการเมืองระดับโลก มีสงคราม ราคาทองคำจะสูงขึ้นเนื่องจากทองคำถือเป็น Safe Heaven ที่สร้างความมั่นใจแก่ผู้ถือครองมากกว่าการถือเงินสกุล ที่กำลังมีปัญหาหรือสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีปัญหา

วัฏจักรธุรกิจ(Seasonal)
ปัจจัยบวก
ความต้องการทองคำมีความเป็น Seasonal โดยเฉพาะในช่วงที่มีเทศกาลสำคัญๆในไตรมาส 4 และไตรมาส 1 จะมีความต้องการทองคำสูงเพื่อนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอัญมณี ส่วนช่วงไตรมาส 2 และ 3 จะมีความต้องการใช้ทองคำเพื่อเป็นส่วนประกอบในการทำ jewelry น้อยลง



"จะเห็นว่าปัจจัยที่กระทบต่อราคาทองคำโลกจะเป็นปัจจัยที่เกี่ยวกับสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมาก และมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาของทองคำหลายปัจจัย ดังนั้นหากนักลงทุนดูแค่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเพียงอย่างเดียวก็มีสิทธิที่จะทำนายทิศทางราคาทองคำผิดพลาดได้" ภาคภูมิ บอก

ตัวอย่างเช่น ในอดีตที่ผ่านมามักคิดกันว่าราคาทองคำจะวิ่งตามราคาน้ำมัน จริงอยู่ที่ราคาของทองคำกับราคาน้ำมันมีความสัมพันธ์กัน แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวโยงกันตลอดเวลา บวกกับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาของทองคำมีหลายปัจจัย ทำให้เห็นเหตุการณ์ที่ราคาน้ำมันตกหนักแต่ราคาทองคำยังไม่ค่อยตกมากนักอย่างในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะนักลงทุนต้องการทองคำเป็น Safe Heaven เวลาที่ไม่มั่นใจในค่าเงินดอลลาร์

สำหรับปัจจัยที่กระทบต่อราคาทองคำไทย ได้แก่ ราคาทองคำโลก, อัตราแลกเปลี่ยน และค่าพรีเมี่ยมซึ่งเป็นต้นทุนประเภทต่างๆในการนำทองคำออกขายของร้านทอง เช่น ค่าขนส่ง ค่าประกัน ต้นทุนดอกเบี้ย ค่าแปรรูป

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำไทย
ปัจจัย
ความสัมพันธ์
คำอธิบาย

ราคาทองคำโลก
ปัจจัยบวก
เนื่องจากทองคำนั้น ถือว่าเป็นสินค้าที่มีราคาเดียวทั่วโลก (จริงๆ แล้วถือว่ามีราคาใกล้เคียงกันทั่วโลก เมื่อแปลงในเรื่องของความบริสุทธิ์ ของทองคำและหน่วยน้ำหนักแล้ว) ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่ราคาทองคำของทุกประเทศในโลก รวมถึงราคาของทองคำในประเทศไทย จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน

อัตราแลกเปลี่ยน
(ความแข็งของค่าเงินบาท)
ปัจจัยลบ
เนื่องจากทองคำส่วนใหญ่ในไทย จะต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นค่าเงินบาทจึงมีบทบาทสำคัญ ต่อราคาทองคำภายในประเทศด้วย โดย
- ถ้าค่าเงินบาทแข็ง ราคาทองคำไทยจะตก
- ถ้าค่าเงินบาทอ่อน ราคาทองคำไทยจะขึ้น

ค่าพรีเมี่ยมซึ่งเป็นต้นทุนในการนำทองคำ ออกขายของร้านทอง
ปัจจัยบวก
หากร้านทองมีต้นทุนต่างๆในการนำเข้า และการนำทองคำออกขายสูง ก็จะผลักดันให้ราคาทองคำในประเทศสูงขึ้นด้วย



"ดังนั้นราคาทองคำไทยจึงอาจจะต่างจากราคาทองคำโลกไปบ้างเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนและค่าพรีเมียมของร้านทอง แต่ในภาพรวมนั้นยังคงเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับราคาทองคำโลก" ภาคภูมิ กล่าว


กลยุทธ์ซื้อขาย Gold Futures

กลยุทธ์การซื้อขาย Gold Futures จะแตกต่างกันตามจุดประสงค์ของนักลงทุน เช่น กลุ่มคนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง หรือ Hedger ส่วนใหญ่จะเป็นร้านขายทอง ส่วนใครที่ชอบเก็งกำไร (Speculate) สามารถใช้ประโยชน์ได้ รวมถึงนักลงทุนกลุ่มที่ทำกำไร 2 ตลาด หรือ Arbitrager เพื่อแสวงหากำไรจากส่วนต่างราคา

วีระศักดิ์ นิ่มขุนทด ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ส่วนธุรกิจตัวแทนสัญญาซื้อขายล่วงหน้า บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) อธิบายถึงกลยุทธ์การลงทุนใน Gold Futures ว่า ถ้าหากเป็นหุ้นสามัญจะมองเรื่องความสามารถในการทำกำไร ดูกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ดูตัวเลขทางการเงินที่สำคัญ และอัตราส่วนต่างๆ

ทว่า การวิเคราะห์ทองคำซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ Demand และ Supply

"ต้องไปดูว่าคนกลุ่มไหนที่ต้องการใช้ทองคำบ้าง ใช้มากน้อยแค่ไหน กำลังการผลิตเป็นอย่างไร โดย Demand และ Supply มีความสมดุลกันมากน้อยแค่ไหน ข้อมูลเหล่านี้สามารถบอกแนวโน้มราคาทองคำในระยะยาวได้"

อย่างไรก็ตาม Gold Futures ถือเป็นการลงทุนระยะสั้น ดังนั้นต้องใช้กลยุทธ์การมองแนวโน้มตลาดในช่วงนั้นมาประกอบว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง ซึ่งในปัจจุบันนี้มีกองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund) เข้ามาในตลาดมาก ดังนั้นถ้ามองว่าสินทรัพย์ไหนไม่ดีจะโยกเงินลงทุนออกไป แล้วไปหาสินทรัพย์ที่ไว้ใจได้ ดังนั้นในบางจังหวะอาจจะเห็นการเก็งกำไรได้

"ใครที่ต้องการจะซื้อขาย Gold Futures ตามราคาพื้นฐาน ต้องลงทุนในระยะยาว แต่ถ้าลงทุนในระยะสั้นต้องดูการไหลเข้า ไหลออกของเงินลงทุน ดูจิตวิทยาของนักลงทุน ดูแนวโน้มตลาดว่าขึ้นหรือลง พูดง่ายๆ นำปัจจัยทางเทคนิคเข้ามาช่วยวิเคราะห์ ซึ่งการที่พอร์ตการลงทุนมีทองคำในสัดส่วนที่เหมาะสม จะทำให้ผลตอบแทนดีขึ้นและความเสี่ยงลดต่ำลง แต่ถ้าต้องการเข้ามาเก็งกำไรจริงๆ ต้องดูเป็นจังหวะ เพราะว่าอย่างน้อยที่สุด Gold Futures ดีกว่าหุ้น คือ มี Leverage หรืออัตราทด คือ ได้กำไรสูง ขาดทุนสูง เมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่วางลงไป ถึงแม้ว่าราคาทองคำจะขยับไม่มาก แต่ด้วยอัตราทด ก็สามารถเก็งกำไรได้เหมือนกัน" วีระศักดิ์ แนะนำ

ด้านบุญเลิศ สิริภัทรวานิช ประธานบริษัท ออสสิริส จำกัด ผู้ประกอบการค้าทองคำแท่งมายาวนาน 70 ปี บอกว่าผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจค้าทองคำ จะใช้ Gold Futures เป็นการป้องกันความเสี่ยง (Hedger) โดยสามารถป้องกันความเสี่ยงกับทองคำที่ขายในร้านหรือที่มีในสต็อกได้ ส่วนผู้ผลิตอัญมณีหรือทองคำ สามารถป้องกันความเสี่ยงด้านราคาได้เช่นเดียวกัน

"Gold Futures เป็นสินค้าสากล เป็นอนุพันธ์รูปแบบหนึ่งที่อ้างอิงกับราคาทองคำ การลงทุนใน Gold Futures จะได้กำไรจากส่วนต่างราคาทองคำที่ขยับขึ้นหรือขยับลง ถ้ามองว่าตลาดขาขึ้นก็ต้องซื้อก่อนขาย แต่ถ้ามองว่าตลาดขาลงต้องขายก่อนซื้อ" บุญเลิศ กล่าว

ทว่า ถ้าซื้อทองคำแท่งต้องซื้อก่อนขายเพียงอย่างเดียว ดังนั้นการมี Gold Futures ทำให้วัฏจักร (Cycle) ทองคำดีขึ้น ซึ่งบทบาทตรงนี้ทำให้นักลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยง ทั้งในส่วนของบริหารความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนของตัวเองและพอร์ตทองคำได้

"การบริหารความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนมี 2 ส่วน ต้องบริหารความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนโดยรวม ซึ่งหลักการ คือ ต้องมีทองคำในพอร์ตประมาณ 10-15% การซื้อทองคำแท่ง คือ ต้องการทองคำจริงๆ มีความอุ่นใจ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็สามารถนำทองไปขายเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที อีกส่วน คือ การกระจายพอร์ตความเสี่ยงหรือในพอร์ตทองคำ Gold Futures จะมีบทบาทในการบริหารความเสี่ยงด้านราคา" บุญเลิศ อธิบาย

ด้านฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ผู้ให้บริการซื้อขาย Gold Futures กิจการในเครือวายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล เจ้าของธุรกิจนำเข้าทองคำแท่ง กล่าวเสริมว่า การลงทุนใน Gold Futures จะมีกำไรเหนือกว่าด้วยต้นทุนต่ำกว่า ด้วยการซื้อขายที่ใช้เงินทุนน้อย (ประมาณ 10% ของมูลค่าสัญญาทั้งจำนวน) ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง เมื่อเทียบกับเงินทุน ต่างจากการลงทุนประเภทอื่นที่อาจจะใช้เงินลงทุนเต็มจำนวน

"เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนสำหรับผู้ที่มีพอร์ตการลงทุนในหุ้นอยู่ เพราะการซื้อขายมาจากความคาดการณ์ราคาทองคำในอนาคตของผู้ลงทุน แต่ก็มีความเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับราคาทองคำที่ซื้อขายและส่งมอบในปัจจุบัน และราคาทองคำมีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ติดลบ เมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นไทย อีกทั้งเป็นเครื่องมือในการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ เพราะราคาทองคำมักเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับดัชนีราคาผู้บริโภคและราคาน้ำมัน"

พูดง่ายๆ Gold Futures มีข้อดีหลากหลาย เช่น สามารถใช้ทำกำไรได้ไม่ว่าราคาทองคำจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ในขณะที่การลงทุนในทองคำแท่งจะทำกำไรได้เฉพาะในราคาทองคำขาขึ้นเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการลงทุนในทองคำจริงๆ แถมไม่ต้องหาที่จัดเก็บทอง ไม่ต้องไปรับทองจริงๆ ที่ร้านทอง และไม่ต้องหาทองจริงๆ มาส่งมอบ

อย่างไรก็ตาม ภาคภูมิกล่าวว่า Gold Futures มีความเสี่ยงที่สูงกว่าการลงทุนในทองคำแท่งโดยตรง เพราะการที่ใช้เงินลงทุนประมาณ 10% ของมูลค่าทองคำในการลงทุน ทำให้ผลกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นเทียบกับเงินลงทุนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงตามไปด้วย จึงเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องระวังและต้องบริหารความเสี่ยงในการลงทุนให้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการวางแผนการลงทุนและการมีวินัยในการ Cut Loss

ตัวอย่างเช่น มีทองคำเก็บไว้แต่กลัวราคาทองคำจะตกในระยะสั้น ก็ให้ทำการขาย (Short) Gold Futures ไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง ไม่ต้องหอบทองคำไปขายที่ร้าน ซึ่งหากราคาทองคำตกจริงจะขาดทุนจากทองคำที่เก็บไว้ แต่จะได้กำไรจาก Gold Futures ซึ่งนำไปหักกลบกับขาดทุนจากทองคำที่เก็บไว้ และเมื่อใดที่มั่นใจว่าราคาทองคำจะกลับมาเป็นขาขึ้น ก็ให้ทำการปิดสถานะของ Gold Futures ที่มีเพื่อทำกำไรในราคาทองคำขาขึ้นต่อไป

แม้ว่าจะมี Gold Futures เกิดขึ้นแล้ว การซื้อทองคำแท่งจริงๆ ยังคงมีบทบาทที่สำคัญต่อไปในแง่ของการออมและการลงทุน และเหมาะกับผู้ที่ต้องการออมหรือลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำ หรือผู้ที่ยังคงชื่นชอบการสะสมทองคำแท่งเอาไว้ชื่นชม หรือมอบเป็นมรดกแก่ลูกหลานต่อไป

จากคอลัมน์ Special Report โดย สเตฟเฟ่น ซากเกอร์นิตยสาร M&W กุมภาพันธ์ 2552

การตัดขาดทุน ต้องใช้อย่างระมัดระวัง

การตัดขาดทุนเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่เราได้ยินกันบ่อย ทั้งการลงทุนในหุ้นหรืออนุพันธ์ แนวคิดหลัก ก็คือการหยุดผลขาดทุนที่กำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้หยุดอยู่ในขอบเขตที่เรายังรับได้ ซึ่งบรรดาบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ก็คิดค้นเครื่องมือหรือโปรแกรมช่วยคำนวณ ให้เราสามารถหยุดการขาดทุนไว้ได้ในระดับที่ไม่มากจนเกินไป

เกจิด้านการลงทุนหรือนักวิเคราะห์ต่าง ๆ มักเน้นย้ำว่าผู้ลงทุนที่ดีควรรู้จักการตัดขาดทุนให้เป็น แต่ความเป็นจริงนั้น การตัดขาดทุนเป็นสิ่งที่แทบทุกคน ทำใจได้ลำบากมากที่จะยอมรับผลขาดทุนนั้น และที่สำคัญ ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า ณ สถานการณ์ดังกล่าว การตัดขาดทุนคือวิธีที่ดีที่สุด การตัดขาดทุนอาจจะช่วยป้องกันการขาดทุนมหาศาลได้ แต่การขาดทุนเล็กๆ น้อยๆ หลายครั้งจากการตัดขาดทุนที่อาจไม่จำเป็น กลับสร้างความเสียหายให้กับพอร์ต เป็นอย่างมากในระยะยาว เหมือนกับมีรอยรั่วให้เงินไหลออกไปตลอดเวลา

โบรกเกอร์หลายแห่ง ถูกตั้งคำถามในการแนะนำให้ลูกค้าของตนเองทำการตัดขาดทุน เพราะโบรกเกอร์นั้น อย่างไรเสีย ก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นอยู่แล้วไม่ว่าจะซื้อหรือขาย และการแนะนำให้ลูกค้าตัดขาดทุนเพื่อหยุดความเสี่ยง โบรกเกอร์เอง ก็น่าจะชอบใจมากกว่าการปล่อยให้พอร์ตของลูกค้าดำเนินต่อไป จนอาจจะมีความเสี่ยงที่ต้องเรียกมาร์จินเพิ่มจากลูกค้า (ซึ่งอาจจะเรียกไม่ได้) เพราะการขาดทุนทั้งหมดนั้น ลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น โบรกเกอร์ในต่างประเทศ ยังเคยถูกกล่าวหาจากนักลงทุน ว่าดำเนินการผ่านกระบวนการตัดขาดทุน เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เช่นการกระตุ้นให้นักลงทุน เทขายหลังจากโมเดลต่าง ๆ บอกว่านักลงทุนควรจะตัดขาดทุน เพื่อให้ตนเองสามารถเข้าไปซื้อหุ้นหรือขายล่วงหน้าฟิวเจอร์สได้ในราคาถูกหลังจากมีการกระหน่ำเทขาย

โดยสรุปแล้ว นักลงทุนจำเป็นต้องระมัดระวังในการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า "การตัดขาดทุน" โดยต้องพิจารณาก่อนว่าตนเองเป็นนักลงทุนที่ชื่นชอบความเสี่ยงมากหรือน้อย รวมทั้งขนาดของการลงทุนนั้น มากมายถึงขนาดจะส่งผลกระทบกับพอร์ตการลงทุนทั้งหมดหรือไม่ เพราะถ้าเรามีกำไรตุนอยู่มากพอสมควรหรือการลงทุนนั้น เป็นสัดส่วนที่ไม่มากนักในพอร์ตทั้งหมด และที่สำคัญ คือเรายังมีความมั่นใจในสินทรัพย์ที่ลงทุนไป การไม่ตัดขาดทุน อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ดีกว่าก็เป็นได้

การ Roll-Over

สัญญาฟิวเจอร์สมีระยะเวลาสิ้นสุดกำหนดไว้ตายตัว เมื่อสัญญาหนึ่งหมดอายุไป ก็จะมีสัญญาซีรีส์ใหม่เกิดขึ้นแทนไปเรื่อยๆ ซึ่งผู้ลงทุนที่ต้องการคงสถานการณ์ถือสัญญาไว้ต่อไป ก็จะต้องทำการ Roll-Over โดยเปลี่ยนการถือจากสัญญาที่หมดอายุ ไปถือสัญญาซีรีส์ถัดไปแทน


สำหรับสัญญา Gold Futures มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดสัญญาทุกสิ้นเดือนคู่ คือ กุมภาพันธ์ (G) , เมษายน (J), มิถุนายน (M), สิงหาคม(Q), ตุลาคม (V) และธันวาคม (Z) โดยจะมีให้ซื้อขายคราวละ 3 งวดสัญญาหรือ 3 ซีรี่ย์เท่านั้น ตัวอย่างเช่น ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งเป็นวันเปิดซื้อขายวันแรก ตลาดอนุพันธ์จะมี Gold Futures ให้ซื้อขาย 3 ซีรีย์ คือ GFG09 (กุมภาพันธ์), GFJ09 (เมษายน) และ




Create Date : 26 มีนาคม 2552
Last Update : 26 มีนาคม 2552 11:00:37 น. 0 comments
Counter : 463 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Omac110
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Omac110's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.