รถกระบะ-เข็มขัดนิรภัยเป็นเรื่องดีต่อทุกคน แต่การใช้บังคับทันทีไม่ทันตั้งตัวจึงเกิดการต่อต้าน



ก็ให้เป็นเฮกันลั่นเมื่อบรรดาผู้คัดค้านการบังคับใช้กฏหมายที่จะให้ทั้งผู้ขับขี่,ผู้โดยสารต้องคาดเข็มขัดนิรภัยรวมทั้งไม่ยอมให้ท้ายรถปิคอัพหรือรถกระบะเป็นที่โดยสารด้วย โดยรัฐบาลผ่อนคลายให้ปฏิบัติได้เหมือนกับปีก่อนๆไปพลางก่อนในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้

 

ทั้งนี้ เมื่อปลายเดือนมีนาคมคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ใช้อำนาจตาม ม.44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2557 ในการบังคับให้ผู้ขับขี่รถและผู้โดยสารที่นั่งในรถทุกที่นั่งต้องรัดเข็มขัด สำหรับรถปิคอัพหรือรถกระบะ หากมีผู้คนเป็นผู้โดยสารไปด้วยจะต้องถูกจับปรับ เพราะวัตถุประสงค์ของกระบะหรือแคป มีไว้เพื่อตั้งวางสิ่งของต่าง ๆ ไม่ใช่ใช้เพื่อบรรทุกคนแต่อย่างใด

หลังประกาศใช้บังคับใน 5 เมษายน 2560 นายกรัฐมนตรีออกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ นั่งรถคาดเข็มขัด พร้อมกับบอกว่า มาตรการนี้ ต้องทำอย่างเข้มงวด เพื่อต้องการให้ยอด ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุลดจำนวนลง โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์นี้ หลังจากนั้นได้เพียง 2-3 วัน ก็มีผู้ออกมาคัดค้าน โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ แชร์กันทั่วสารทิศ และขยายความกันจนน่าเกลียดน่ากลัว พอกฏข้อบังคับนี้ออกมา เกิดวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางต่อต้าน

หลายกลุ่มให้เหตุผลว่า การคาดเข็มขัดนิรภัย ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้อุบัติเหตุเพิ่มหรือลด เป็นแต่การคาดเข็มขัดเป็นการคุ้มครองบุคคลไม่ให้ได้รับอันตราย หรือเมื่อเกิดเหตุแล้วทำให้ทุเลาเบาบางลงไปได้ อีกหลายกลุ่มบอกว่า การคาดเข็มขัดได้กำหนดไว้ในกฏหมายอยู่แล้ว เพียงแต่ออกประกาศกฏกระทรวงอันเป็นข้อปฏิบัติหรืออข้อห้ามก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจ ตาม ม. 44 นายกรัฐมนตรีรู้เรื่องนี้เข้า ก็รีบออกมาบอกว่า เพื่อผ่อนปรนและอำนวยความสดวกให้ ประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ก็ให้เลื่อนเวลาไปพลางก่อนก็ได้

คราวนี้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงก็ออกมาบอกด้วยว่า ความคิดนี้เป็นของตนเองเพื่อให้ประชาชนปลอดภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ อย่าไปตำหนินายกรัฐมนตรี

สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฏหมายโดยตรงจะรอช้าอยู่ไม่ได้แล้ว รีบไปปรึกษาหารือกับทางกรมการขนส่งทางบกทันที แล้วก็มีความเห็นด้วยกันว่า เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน เพราะยังเตรียมตัวไม่ทัน จึงควรขยายเวลาในการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนเพิ่มขึ้นอีก จากเดิม 15 วัน ซึ่งจะเริ่มจับปรับในวันที่ 5 เมษายน ออกไปเป็นหลังสงกรานต์ เพื่อจะได้ให้ประชาชนเดินทางไปกลับภูมิลำเนาได้อย่างสะดวกเหมือนเช่นปีก่อนๆ และที่สำคัญเป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีเปิดทางให้

จริงๆแล้ว เรื่องการคาดเข็มขัดนิรภัยมีกฏหมายบังคับใช้อยู่แล้ว แต่ในทางปฏิบัติ ไม่ได้ผล เพราะผู้ขับขี่และผู้โดยสารก็ไม่ได้สนใจ ส่วนเจ้าพนักงานตำรวจที่มีหน้าที่บังคับใช้กฏหมายก็เฉยเมย ปล่อยปละละเลยมานานช้า ถ้ามีคำสั่งให้เร่งรัดจับกุมก็ตั้งด่านตั้งจุดตรวจกวดขันกันสักครั้ง หมดช่วงระดมจับกุมกันแล้ว ทุกอย่างก็เหมือนเดิม

ทีนี้พอรัฐบาลเอาจริงเอาจังถึงขนาดใช้อำนาจของ คสช.ตาม ม.44 ก็เพราะเห็นว่า หลายปีที่ผ่านมา พอช่วงสงกรานต์ทีไร หน่วยงานที่รับผิดชอบในการดูแลความปลอดภัยการจราจรก็มักจะตั้งเป้ากันไว้ว่าปีนี้จะไม่ให้มีคนตายอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุเท่านั้นเท่านี้ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ตายมากขึ้นทุกปี ขืนปล่อยไปอีกก็ต้องวนอยู่ในวงจรเดิม จึงต้องใช้ไม้เด็ด ห้ามกันเด็ดขาดแม้กระทั่งไม่ยอมให้มีผู้โดยสารบนกะบะรถ หรือนั่งในแคปแล้วไม่คาดเข็มขัด

จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านร้านถิ่นที่จำเป็นต้องใช้รถปิคอัพ,รถกระบะขนทั้งข้าวของสินค้าและผู้โดยสารต่างก็หงุดหงิดอึดอัดว่ารัฐบาลล่วงล้ำเข้าไปในสิทธิส่วนบุคคล

เอาเป็นว่าช่วงสงกรานต์นี้รัฐบาลก็ยอมให้ประชาชนใช้ประโยชน์จากกระบะท้ายรถ เหมือนที่เคยใช้มาจากปีก่อนๆเมื่อเกิดอุบัติเหตุใด ๆ ขึ้นจะปลอดภัยหรือไม่ก็เสี่ยงภัยกันเอาเอง

แม้ว่าเรื่องนี้ มีสาระสำคัญที่น่าชื่นชมยินดีกับรัฐบาลที่ออกกฏระเบียบขึ้นเพื่อความปลอดภัยของประชาชนก็ตาม ก็ยังเป็นข้อเตือนใจเจ้าหน้าที่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ปล่อยปละละเลย มานมนานจนผู้ปฏิบัติคิดว่าเป็นเรื่องถูกต้องไปแล้ว จะใช้กฏระเบียบกวดขันกันอย่างทันทีทันใด เหมือนอย่างกรณีนี้ ก็จะมีแรงต่อต้านที่รุนแรงเสมอ

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 11 เมษายน 2560    
Last Update : 11 เมษายน 2560 15:17:39 น.
Counter : 244 Pageviews.  

โปรดเกล้าฯถอดยศ-เรียกคืนเครื่องราชฯ พ.อ.พงศ์ภพ ทองอุไทย บกพร่องหน้าที่ประมาทเลินเล่อต่อหน้าที่ราชการ



ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ๘ เมษายน ๒๕๖๐ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี โปรดเกล้าฯ ให้ถอดยศ เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พันเอก พงศ์ภพ ทองอุไทย ข้อหา บกพร่องหน้าที่ ประมาทเลินเล่อต่อหน้าที่ราชการ

 

มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ปลด พันเอก พงศ์ภพ ทองอุไทย ตําแหน่ง หัวหน้าคณะ/อาจารย์ กองบังคับการ คณะที่ ๒ โรงเรียนนายทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ออกจากราชการ ให้ถอดยศทหาร และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย ตริตาภรณ์ช้างเผือก ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย ตั้งแต่วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๐ เนื่องจากบกพร่องหน้าที่ประมาทเลินเล่อต่อหน้าที่ราชการ ทั้งนี้ ตามข้อ ๔ (๒) ของข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการบรรจุ ปลด ย้าย เลื่อน และลดตําแหน่งข้าราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๒ และมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติยศทหาร พ.ศ. ๒๔๗๙ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยศทหาร (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๐๑ ประกอบกับข้อ ๒.๖ ของระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยผู้ซึ่งไม่สมควรจะดํารงอยู่ในยศทหารและบรรดาศักดิ์ พ.ศ. ๒๕๐๗ และตามข้อ ๖ และข้อ ๗ (๔) ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๘

ประกาศ ณ วันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 10 เมษายน 2560    
Last Update : 10 เมษายน 2560 11:59:38 น.
Counter : 574 Pageviews.  

จับแล้วพ่อโหดปาดคอลูกสาววัย 13 ปี อาการสาหัส-ล็อกประตูขังทิ้งให้นอนจมกองเลือดอ้างโมโหลูกติดเล่นเฟซบุ



พ่อสุดโหดใช้มีดปาดคอลูกสาววัย 13 ปี แผลลึกถึงเส้นเลือดใหญ่เกือบขาดแถมล็อกประตูห้องทิ้งให้นอนจมกองเลือด ก่อนพาลูกสาวคนเล็กอีกคนหนีไปด้วย ล่าสุดตำรวจจับได้แล้ว สารภาพโมโหลูกสาวห้ามเล่นเฟซบุ๊กแต่ไม่เชื่อฟัง

 

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2560 เวลา 13.00 น. ร.ต.อ.ชาติ เตชะนันท์ รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองเพชรบุรี ได้รับแจ้งเหตุบุคคลใช้อาวุธมีดปาดคอผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ห้องเช่าไม่มีชื่อ เลขที่ 114/5 หมู่ 1 ต.ต้นมะม่วง อ.เมือง จ.เพชรบุรี จึงประสานหน่วยกู้ชีพ อบต.ต้นมะม่วงและเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิสว่างสรรเพชญธรรมสถานช่วยเหลือที่เกิดเหตุบริเวณหน้าห้องพบร่างของ ด.ญ.เอ (นามสมมุติ) อายุ 13 ปี นอนจมกองเลือด โดยมีญาติและเพื่อนบ้านกำลังให้การช่วยเหลือห้ามเลือด ตรวจสอบพบบาดแผลขนาดใหญ่ ที่บริเวณลำคอด้านซ้ายเป็นแผลฉกรรจ์ กว้างกว่า 5 นิ้ว ลึกถึงเส้นเลือดใหญ่ และมีรอยคล้ายถูกปาดคอเป็นแผลยาวอีก 1 แผล ที่แก้มขวามีแผลถูกฟันอีก 1 แห่ง เจ้าหน้าที่จึงเร่งนำตัวส่งโรงพยาบาลพระจอมเกล้า ล่าสุดอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว

โดยเพื่อนบ้าน เล่าว่า ผู้ก่อเหตุคือ นายสุรินทร์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี ซึ่งเป็นบิดาของ ด.ญ.เอ โดยพักอาศัยอยู่ในห้องดังกล่าวกับนางหนู ภรรยา และลูกสาวคือ ด.ญ.เอ ผู้บาดเจ็บ และ ด.ญ.บี (นามสมมติ) อายุ 3 ขวบครึ่ง ที่มีอาการออทิสติก ขณะเกิดเหตุเห็นนายสุรินทร์อุ้ม ด.ญ.บี เดินออกไปจากบ้านและรีบปิดประตูพร้อมกับล็อกจากด้านนอก ก่อนจะพาลูกสาวคนเล็กขึ้นรถจักรยานยนต์ขับออกไป จากนั้นไม่นานได้ยินเสียง ด.ญ.เอ ร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อมองลอดกระจกบานเกร็ด พบ ด.ญ.เอ นอนจมกองเลือดอยู่ จึงรีบแจ้งตำรวจ แจ้งแม่เด็ก และพังประตูเข้าไปช่วยเหลือ

จับแล้ว พ่อโหดปาดคอลูกสาว

ต่อมาเวลา 17.30 น. วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้วยยาง จ.ประจวบคีรีขันธ์ จับกุมนายสุรินทร์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี ชาวบ้านหมู่ 8 ต.เกาะเต่า อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ผู้ต้องหา ได้แล้วในเขตพื้นที่ สภ.ห้วยยาง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขณะกำลังขี่รถจักรยานยนต์ ซูซูกิ รุ่นสแมช สีแดง-ดำ หมายเลขทะเบียน ขลย 30 ตรัง แบบมีพ่วงข้าง (ซาเล้ง) อยู่บนถนนเพชรเกษมมุ่งหน้าลงใต้ ไปยัง จ.พัทลุง บ้านเกิด พร้อม ด.ญ.บี (นามสมมติ) ลูกสาวคนเล็กซึ่งมีอาการป่วยเป็นโรคออทิสติก ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองเพชรบุรี กำลังเดินทางไปรับตัวกลับมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 10 เมษายน 2560    
Last Update : 10 เมษายน 2560 11:58:44 น.
Counter : 390 Pageviews.  

ใครสมคบคิดกับใครหรือ ไม่แน่ใจหรือ ? โดย ไสว บุญมา



เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2560 ดร.ไสว บุญมา อดีตนักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกมีมุมมองน่าคิดว่าการที่สหรัฐส่งโทมาฮอว์ก 59 ลูกไปถล่มซีเรียนั้นเป็นไปได้ไหมว่า เป็นทฤษฎีสมคบคิดระหว่างดอนัลด์ ทรัมพ์กับวลาดิมีร์ ปูติน เพื่อหักเหความสนใจ บิดเบือนและสร้างภาพใหม่ให้กับตน โดยตั้งข้อสังเกตไว้หลายประการที่น่าติดตาม และเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากชนชั้นนำของไทยที่สมคบคิดกันปล่อยหลายคดีให้หมดอายุความ ดังนี้.....

 

โดนัลด์ ทรัมป์ทำสิ่งที่ผมเคยทำนายไว้หลายสัปดาห์มาแล้ว นั่นคือ จะก่อให้เกิดสภาวการณ์รุนแรงบางอย่างในต่างประเทศ เพื่อบิดเบือนความสนใจพร้อมกับสร้างภาพใหม่ให้ตัวเอง นายทรัมป์เผชิญวิกฤตทางการเมืองตั้งแต่วันเข้ารับตำแหน่งทั้งที่พรรครีพับลิกันของเขาคุมรัฐสภาแบบแทบเบ็ดเสร็จ วิกฤตเกิดจากปัจจัยหลายอย่างรวมทั้งพฤติกรรมส่วนตัวซึ่งชาวอเมริกันนับล้านมองว่าชั่วช้า สัปดาห์นี้เขาได้โอกาสเมื่อรัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีถล่มประชาชนของตนเองส่งผลให้ชาวซีเรียตายเป็นเบือ

นายทรัมป์สั่งกองทัพเรือให้ยิงระเบิดบินจากระยะไกลไปถล่มสนามบินของซีเรีย 59 ลูก กระแสข่าวในอเมริกาบ่งว่า เขาประสบความสำเร็จในด้านการบิดเบือนความสนใจและสร้างภาพให้แก่ตัวเอง นายทรัมป์มักมองอะไรๆ จากในมุมของทฤษฎีสมคบคิด เหตุการณ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้อาจชี้ว่าเขากับประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียนั่นแหละนักสมคบคิดตัวจริง โดยการรวมหัวกันสร้างภาพบิดเบือนความสนใจจากการใช้ชีวิตของชาวซีเรียเป็นเดิมพันขั้นเริ่มต้นซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งคนชราและลูกเล็กเด็กแดง การรวมหัวกันตบตาประชาชนของชนชั้นผู้นำแบบนี้มีอยู่ทั่วไปและอาจมีในเมืองไทยมานานแล้วด้วย

คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า นายทรัมป์กำลังถูกรัฐสภาและสำนักงานด้านรักษาความปลอดภัยภายในประเทศสอบสวนอย่างเคร่งเครียดเรื่องการถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับนายปูตินในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง นายปูตินถูกกล่าวหาว่าพยายามช่วยนายทรัมป์เพราะเกลียดนางฮิลลารี คลินตันแบบเข้ากระดูกดำและนายทรัมป์เป็นมิตรกับรัสเซียมานานจากการทำธุรกิจกับชาวรัสเซียซึ่งอาจเป็นสายลับหรือพรรคพวกของนายปูติน ต่างกับนักการเมืองทั่วไปในอเมริกาซึ่งมักมองว่านายปูตินเป็นปฏิปักษ์บนเวทีโลก นายทรัมป์กลับยกย่องนายปูตินเป็นประจำและมักประกาศว่าจะทำงานร่วมกันได้

ประเด็นสำคัญจากเหตุการณ์ในซีเรียคือ นายปูตินกับนายทรัมป์พยายามร่วมมือกันบิดเบือนความสนใจหรือไม่

จริงอยู่รัสเซียประณามนายทรัมป์ที่ส่งระเบิดบินไปถล่มสนามบินของซีเรียซึ่งสหรัฐฯ จับได้ว่าส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดเคมีฆ่าชาวซีเรีย แต่เป็นไปได้ไหมว่าการประณามนั้นต่างรู้กันว่าทำเพียงเพื่อเป็นพิธี ข้อมูลเหล่านี้มองได้ว่าเป็นตัวชี้บ่งถึงการสมคบคิดกัน

ในกระบวนการสอบสวนเรื่องข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนายทรัมป์กับนายปูติน มีรายงานการพบกันลับๆ บนเกาะเล็กๆ ในมหาสมุทรอินเดียระหว่างคนของนายทรัมป์กับของนายปูตินเพื่อเปิดช่องทางติดต่อกันโดยทางลับเฉพาะระหว่างผู้นำทั้งสอง

นายทรัมป์ต่อต้านการโจมตีซีเรียมาตลอดดังจะเห็นได้จากทวีตที่เขาส่งออกไปเมื่อสมัยยังไม่เป็นประธานาธิบดี

ย้อนไปหลายปีก่อน รัฐบาลซีเรียถูกมหาอำนาจสั่งให้ทำลายอาวุธทำลายล้างสูงรวมทั้งอาวุธเคมี หลังจากรัฐบาลใช้อาวุธชนิดนั้นฆ่าประชาชนของตนเองในการทำสงครามกลางเมืองกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล รัสเซียรับภาระเป็นตำรวจคอยติดตามความคืบหน้าของการทำลายอาวุธดังกล่าว และต่อมาได้ให้คำรับรองว่าซีเรียได้ทำลายอาวุธเหล่านั้นหมดแล้ว เหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนแสดงว่ารัสเซียจงใจโกหก รัสเซียมีข้อมูลสารพัดเนื่องจากส่งทหารจำนวนมากไปประจำการอยู่ในซีเรีย

ตามรายงาน ทหารอเมริกันมีข้อมูลจากการจารกรรมทำให้รู้ว่าซีเรียใช้สนามบินที่ถูกถล่มนั้นส่งอาวุธเคมีไปโจมตีประชาชน ในสนามบินแห่งนั้นมีทหารรัสเซียประจำการอยู่ ฉะนั้น ทหารรัสเซียน่าจะรู้ความเคลื่อนไหวในสนามบิน แต่ทำไมพวกเขาไม่ห้ามเมื่อทหารซีเรียเตรียมส่งอาวุธเคมีไปถล่มฝ่ายต่อต้าน หรือทหารรัสเซียนั่นแหละช่วยทหารซีเรียทำแล้วส่งข่าวไปบอกอเมริกา?

รัฐบาลอเมริกันส่งข่าวไปให้รัฐบาลรัสเซียว่าตนกำลังจะโจมตีสนามบินนั้นก่อนเวลาโจมตี 1 ชั่วโมง ทั้งนี้เพื่อป้องกันผลกระทบต่อทหารรัสเซียซึ่งรีบอพยพออกไปจากสนามบินทันที รัสเซียคงบอกซีเรียให้เตรียมตัวขนย้ายเครื่องบิน อาวุธและของที่ตนคิดว่ามีค่าออกไปด้วย รายงานข่าวบ่งว่าระเบิดบินโทมาฮอก 59 ลูกของอเมริกาฆ่าทหารซีเรียได้เพียง 9 คน พวกที่ตายคงเป็นทหารเกณฑ์ หรือยาม หรือใครก็ตามที่รัฐบาลซีเรียมองว่ามีค่าต่ำมาก

ฝ่ายทหารซีเรียไม่ยิงอาวุธต่อสู้ระเบิดบินของอเมริกาเพราะอาวุธชนิดก้าวหน้านั้นอยู่ในความควบคุมของทหารรัสเซีย นายปูตินสั่งทหารรัสเซียมิให้ช่วยทหารซีเรียยิงระเบิดบินของอเมริกาเพื่อป้องกันสนามบิน

ฉะนั้น เป็นไปได้ไหมที่นายปูตินกับนายทรัมป์จะสมคบคิดกันเล่นละครลวงโลกเพื่อบิดเบือนความสนใจจากปัญหาการเมืองของนายทรัมป์? เป็นไปได้แน่นอนและอาจเป็นไปได้สูงด้วยซ้ำ ทั้งนี้เพราะทั้งสองคงตระหนักดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากการสอบสวนในอเมริกาสรุปว่า พวกเขาสมคบคิดกันในหลายเรื่องมานาน รวมทั้งการช่วยให้นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งแบบแทบเหลือเชื่อ

จากมุมมองนี้ รัฐบาลซีเรียถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้นำชั่วช้าสองมหาอำนาจ กระบวนการอาจเริ่มด้วยนายปูตินซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของรัฐบาลซีเรียหลอกให้รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีโจมตีคนของตนเอง ส่วนชาวซีเรียที่เสียชีวิตและทรัพย์สินเป็นผู้โชคร้ายที่ไปอยู่ตรงเป้าหมายของอาวุธ หลังจากการโจมตี รายงานบ่งว่าสภาวการณ์อาจเปลี่ยนเร็วมากหากมองจากการตอบโต้กันด้วยวาจาระหว่างสองมหาอำนาจ หรืออาจจะไม่เปลี่ยนเลยก็ได้หากมองถึงนัยสำคัญเนื่องจากการตอบโต้กันนั้นเป็นการเล่นละครอีกฉากหนึ่ง

อีกไม่กี่วันรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกันจะไปเยือนรัสเซีย หลังจากนั้น อาจมีสัญญาณที่พออ่านได้ว่านายทรัมป์กับนายปูตินเล่นละครลวงโลกหรือไม่ แต่ก็อีกนั่นแหละ คนพวกนี้อาจมีอะไรซ่อนไว้ซึ่งคนทั่วไปไม่มีทางรู้

ฉะนั้น มนุษย์เดินดินอย่างเราจำเป็นต้องใช้วิธีฟังหูไว้หูเมื่อฟังและดูชนชั้นผู้นำทำอะไร เรื่องนี้รวมทั้งการฟังและดูชนชั้นผู้นำไทยด้วย เท่าที่ผ่านมา มีสัญญาณที่ชี้บ่งว่าพวกเขาอาจสมคบคิดกันเล่นละครตบตาพวกเรามาตลอด การปล่อยบางคดีให้หมดอายุความและการไม่ติดตาม หรือทำเรื่องใหญ่ๆ หลายเรื่องให้คืบหน้ามองได้ว่าเป็นสัญญาณของการสมคบคิด

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 10 เมษายน 2560    
Last Update : 10 เมษายน 2560 11:57:49 น.
Counter : 297 Pageviews.  

ทนายอเมริกันชี้ทรัมพ์สั่งยิงโทมาฮอว์ก 59 ลูกใส่ฐานทัพซีเรียผิดรัฐธรรมนูญสหรัฐ-ผิดกฎบัตรสหประชาชาติ ท



ทนายอเมริกันชี้ทรัมพ์สั่งยิงโทมาฮอว์ก 59 ลูกใส่ซีเรียทำตามอำเภอใจ-ผิดรัฐธรรมนูญสหรัฐผู้ประกาศสงครามได้ต้องเป็นสภาคองเกรสและผิดกฎบัตรสหประชาชาติ จะส่งทหารบุกประเทศอื่นได้ต้องผ่านการอนุมัติของสภาความมั่นคง ถือเป็นการทำตามอำเภอใจเพราะซีเรียไม่ได้ทำร้ายผลประโยชน์ของสหรัฐและทหารสรัฐ

 

เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2017 นายแดนนี่ เซวาลลอส ทนายความอเมริกันเขียนบทความลงในสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นด้วยการตั้งคำถามว่า ทรัมพ์สั่งยิงขีปนาวุธผิดกฎหมายหรือไม่ (Were Trump's missile strikes illegal?) ดังนี้

เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมพ์สั่งยิงจรวดร่อนโทมาฮอว์ก 59 ลูกโจมตีสนามบิน Shayrat ซีเรียได้รับทั้งคำชมและการวิพากษ์วิจารณ์ 

คำสั่งดังกล่าวอาจกล่าวได้ว่าผิดกฎหมาย

หากจะพูดถึงเรื่องความเป็นธรรมแล้ว อำนาจของประธานาธิบดีในการสั่งยิงจรวดร่อนเข้าใส่ประเทศอื่นโดยไม่ได้ตรวจสอบกับสภาคองเกรส กลายเป็นเรื่องคลุมเครือต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญในยุคปัจจุบัน เพราะความเป็นจริงแล้วตามกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐมาตรา 1 อนุมาตรา 8 ระบุไว้ว่าสภาคองเกรสมีอำนาจในการประกาศสงคราม,อำนาจจัดเก็บภาษี,ภาษีศุลกากร,ภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต เพื่อที่จะนำไปจ่ายหนี้,นำไปจ่ายงบประมาณป้องกันประเทศและสวัสดิการทั่วไปของสหรัฐ

มองทางฝ่ายบริหาร รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าประธานาธิบดีคือผู้บัญชาการสูงสุด (Commander in Chief) ของกองทัพบกและกองทัพเรือสหรัฐ (ยุคที่ร่างรัฐธรรมนูญในศตวรรษที่ 18 ยังไม่มีเครื่องบินหรือกองทัพอากาศ) จะต้องทำเต็มความสามารถของตนในการ “รักษา,คุ้มครองและปกป้องรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา”

นอกเหนือไปจากรัฐธรรมนูญแล้ว การออกกฎหมายของรัฐบาลกลางรวมทั้งกฎหมายระหว่างประเทศก็ยังมีข้อถกเถียงเรื่องอำนาจของฝ่ายบริหาร  ตัวอย่างเช่นกฎหมายว่าด้วยการแก้ปัญหาสงคราม 1973 (The War Powers Resolution (WPR) of 1973)จำกัดอำนาจของประธานาธิบดีในฐานะ commander in chief ในการที่จะนำกองทัพเข้าไปสู่ความขัดแย้งได้ ประธานาธิบดีจะต้อง (1) ประกาศสงคราม (2) ได้รับอนุญาตตามกฎหมายที่กำหนดไว้ หรือ (3) เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นโดยเหตุนั้นจะทำร้ายประเทศสหรัฐอเมริกาหรือทำร้ายทหารอเมริกัน

ขณะที่การใช้เหตุผลทาง“มนุษยธรรม”เป็นข้ออ้างในการโจมตีดูเหมือนจะเป็นจุดมุ่งหมายทางศีลธรรมอันน่ายกย่อง, แต่อาจไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้องในการโจมตีภายใต้กฎหมายภายในประเทศ(ของสหรัฐ)   ส่วนเรื่องนานาชาติว่าด้วยกฎบัตรของสหประชาชาติปรากฎว่าห้าม(ประเทศหนึ่ง)แทรกแซงทางทหารในต่างประเทศโดยสิ้นเชิง เว้นแต่จะได้รับการอนุมัติจากคณะมนตรีความมั่นคงอีกทั้งการใช้กำลังทหารนั้นเพื่อป้องกันประเทศของตัวเอง

ประธานาธิบดีมีวิธีการง่ายๆในข้อจำกัดทางกฎหมายเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม เขาลงมือทำในสิ่งที่เขาต้องการ

หากประธานาธิบดีทรัมพ์งคงยืนยันว่ามีอำนาจหน้าที่ เขาจะต้องได้รับการหนุนหลังจากสภาคองเกรสหรืออย่างน้อยสภาคองเกรสก็ทำเป็นเพิกเฉยไม่โต้แย้งใดๆ และศาลรัฐบาลกลางก็คงไม่ยุ่งเกี่ยวกับกรณีนี้

คำถามมีว่า ประธานาธิบดีสั่งโจมตีทางอากาศได้อย่างไร ในเมื่อละเมิดรัฐธรรมนูญ,กฎหมายรัฐบาลกลางและกฎหมายระหว่างประเทศ? คำตอบง่ายๆก็คือประธานาธิบดีคนอื่นๆก็ทำ

คำถามนี้ประธานาธิบดีทรัพม์จะต้องตอบ

ประธานาธิบดีคนอื่นที่รณรงค์โจมตีประเทศอธิปไตยอื่นด้วยเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม อาทิเช่น บิล คลินตัน สั่งลงมือในโคโซโวรวมทั้งเข้าไปแทรกแซงในเฮติและบอสเนีย ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ส่งทหารเข้าปฏิบัติการในลิเบียรวมทั้งขู่ว่าจะดำเนินการในซีเรียด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามทั้งคลินตันและโอบามาลงมือเพราะได้รับอนุญาตจากสภาคองเกรส แต่ก็มีเงื่อนไขว่าการปฏิบัติการทางทหารจะต้องไม่ยกระดับไปสู่ “สงคราม”

ฝ่ายบริหารของรัฐบาลคลินตันกำหนดให้ประธานาธิบดีปฏิบัติการทางทหารในต่างประเทศ โดยไม่ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรสตราบใดที่มี “ผลประโยชน์ของชาติ”เข้ามาเกี่ยวข้อง- เพียงเท่านี้ , แต่กลายเป็นเรื่องบังเอิญในคืนวันพฤหัสบดี (6 เมษายน)เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯยืนยันว่าประธานาธิบดีทรัมพ์มีอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญในการใช้กำลังกับต่างประเทศเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา

เป็นเรื่องน่าประหลาดใจมาก หากคุณจะคิดตาม : การยิงจรวดโทมาฮอว์ก 59 ลูกใส่ฐานทหารต่อประเทศที่มีอธิปไตยแห่งดินแดนของตน อาจไม่ใช่ “การทำสงคราม”ตามรัฐธรรมนูญ  ในช่วงนั้นผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้มีขีปนาวุธ จึงไม่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่าการใช้ขีปนาวุธโจมตีเป้าหมายในประเทศอื่นๆห่างออกไปนับพันไมล์นั้นเป็น “สงคราม”

แต่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ (สหรัฐ)ในศตวรรษที่ 18 มีความคุ้นเคยเฉพาะแนวคิดเรื่อง “สงครามอันจำกัด” โดยการทำสงครามของทหารจะต้องมีระยะเวลาอันจำกัด ไม่ได้ทำมากกว่าครั้งเดียว  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องนอกเหนือจินตนาการว่าการยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์กและการยิงกระสุนปืนใหญ่ อาจไม่ใช่เรื่องของสงครามที่ต้องขออนุมัติจากสภาคองเกรส  

สมาชิกสภาคองเกรสบางคนให้ความเห็นชัดเจนว่าการยิงโทมาฮอว์กครั้งนี้ถือว่าผิดกฎหมาย สมาชิกพรรคเดโมแครตกล่าว ก่อนลงมือยิงประธานาธิบดีทรัพม์จะต้องขออนุมัติจากสภาคองเกรสเสียก่อน  

แต่ในท้ายที่สุดการแสดงความคิดเห็นเหล่านั้นอาจเป็นรูปแบบมากกว่าเนื้อหา อีกทั้งมีนักวิชาการคนหนึ่งโต้แย้งว่า “ระบบการเมืองปัจจุบันเปิดแรงจูงใจให้ประธานาธิบดีสั่งการได้เกินเหตุ,สภาคองเกรสมีแรงจูงใจที่จะยอมรับ(การสั่งการ),ศาลมีแรงจูงใจในการสั่งเลื่อน(ปฏิบัติการออกไป)” ในกรณีที่จะมีการปฏิบัติการทางทหารในต่างประเทศ 

ประวัติศาสตร์เองก็บอกเราไว้เช่นนี้ แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์อย่างหนัก สภาคองเกรสอาจจะให้การสนับสนุนหลังจากข้อเท็จจริงปรากฎแล้ว หรือไม่ทำอะไรเลย  ส่วนศาลก็ไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมใดๆ ในอดีตเคยมีสมาชิกสภาคองเกรสนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมว่าประธานาธิบดีใช้กำลังทหารในต่างประเทศถือเป็นการละเมิดกฎหมายรัฐบาลกลางและรัฐธรรมนูญ แต่สภาคองเกรสกลับไม่เห็นด้วย    

บางครั้งการประเมินผลการดำเนินการผ่านมุมมองของกฎหมายดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อเราได้เห็นภาพของเด็กๆที่ถูกแก๊ส (พิษ)โดยรัฐบาลของตน แต่การกระทำอันน่ากลัวเหล่านี้ไม่ใช่การโจมตีสหรัฐหรือกองกำลังทหารสหรัฐแน่นอน

กระนั้นก็ตามเราไม่อาจคาดหวังได้ว่าประธานาธิบดีทรัมพ์จะปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายที่ผู้บริหารก่อนหน้าได้ละเลยหรือตีความใหม่อย่างสะดวกเช่นกัน แม้รัฐธรรมนูญกำหนดให้สภาคองเกรสมีอำนาจพิเศษในการประกาศสงคราม แต่กลับดูเหมือนว่าในยุคปัจจุบันประธานาธิบดีมีอำนาจที่จะเป็นผู้กำหนดว่า"ผลประโยชน์ของชาติ"คืออะไร อีกทั้งเมื่อต้องใช้ขีปนาวุธเป็นครั้งคราวโจมตีสนามบินทหารของประเทศอธิปไตยอื่น (ก็กำหนดว่าคือผลประโยชน์ของชาติ)

แดนนี เซวาลลอส สรุปว่าปัจจุบันเราอาจเข้าสู่ยุควิกฤติด้านมนุษยธรรมในต่างประเทศ พร้อมด้วยการมีประวัติความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เพื่ออนุญาตให้ใช้กฎหมายรัฐบาลกลางและรัฐธรรมนูญ แม้ว่าตราบใดที่ตีความว่าไม่ใช่ “สงคราม”

Emergency' protests across US demand 'Hands off Syria' (VIDEOS, PHOTOS)

https://www.rt.com/usa/383998-emergency-hands-off-syria-protests/

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 15:50:13 น.
Counter : 206 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.