ถก "ราชดำเนินเสวนา" ถอดบทเรียนความไม่เป็นธรรมในการใช้กฎหมายปิดปากสื่อ



ถกเวที "ราชดำเนินเสวนา" ถอดบทเรียนความไม่เป็นธรรมในการใช้กฎหมายปิดปากสื่อ หวั่นพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เปิดช่องยัดข้อหาเล่นงานสื่อ แนะปฏิรูปกระบวนการสอบสวนชั้นต้น

 


วันที่ 4 มิ.ย. เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล  ชั้น 3 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ตรงข้ามวชิรพยาบาล ถนนสามเสน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเวทีราชดำเนินเสวนา หัวข้อ "ถอดบทเรียนความไม่เป็นธรรมในการใช้กฎหมายปิดปากสื่อ" โดยมีนายทธิยง ลิ้มเลิศวาที นักจัดรายการสถานีโทรทัศน์ช่องนิวส์วัน ว่าที่พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง สภาทนายความ พ.ต.อ. วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูประบบตำรวจ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และนายณัชปกร นามเมือง จากโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) เป็นคณะผู้บรรยาย


นายยุทธิยง กล่าวว่า ไม่นึกว่าวันหนึ่งจะมีชีวิตที่ถูกออกหมายจับหรือออกหมายเรียก ก็บอกครอบครัวว่าเป็นประกาศนียบัตรวิชาชีพแล้วกัน ตัวเองก็ต้องพิสูจน์ความจริง แต่ก็เรียนรู้ได้ว่าในชีวิตสื่อก็ต้องเอาหัวใจในวิชาชีพไปแลกมา เพื่อมาเล่าเรื่องในสู่สังคม โดยใช้กรณีนี้เป็นบทเรียนให้น้องๆ และเป็นพัฒนาการเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งการรับรู้ข่าวสารเป็นลมหายใจที่สะอาด ส่วนเรื่องการส่งอาหารเข้าเรือนจำที่ตนมีคดี ก่อนหน้ามีเคยนำเสนอมาหลายสื่อแล้ว แต่ทางชาวบ้านพบเหตุการณ์แบบนี้ในนามผู้ค้าอาหารดิบในแต่ละจังหวัด แต่วันหนึ่งมีใครใครได้สัมปทานโดยอ้างว่าใช้สิทธิสหกรณ์ครอบคลุมหลายจังหวัด คนที่ได้สัมปทานก็บอกว่าถ้าอยากจะมาค้าก็ต้องมาจ่ายเงิน ตนก็ตรวจสอบก็พบว่าเป็นเรื่องจริง ก็บอกกับชาวบ้านไปว่ามาร้องเรียนสถานีเพื่อออกอากาศได้ ในเรื่อง "อาหารคนมีกรรมทำไมคนบาปต้องมาแย้งกิน" แต่สุดท้ายทุกคนก็ถูกจับข้อหาหมิ่นประมาทและผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์


"มีการออกหมายเรียกไม่ถึงเดือนก็ออกหมายจับในวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ศาลจ.อ่างทอง คืนนั้นเมื่อไปถึงกองปราบฯก็ถูกจับถ่ายรูปเป็นอาชญากร จากนั้นพาตนไปส่งมอบที่จ.อ่างทองถึงเวลาเที่ยงคืน และได้ประกันตัวเวลาตี 1 ก็เป็นชีวิตของสื่อคนหนึ่งที่เจอแบบนี้"นายยุทธิยง กล่าว


พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวว่า การที่ประชาชนถูกกระทำเป็นความรู้สึกไม่ดีมานานมาก แต่ไม่มีใครพูดอะไร แต่มีคนเดือดร้อนจากกฎหมายและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ตนแทบพูดอะไรไม่ออกกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในขณะนี้ เพราะตำรวจเป็นกระบวนการยุติธรรมชั้นต้นของไทย มีความสำคัญมากกว่าหลายประเทศ เพราะตำรวจมีอำนาจกล่าวหาและสอบสวนด้วยตัวเอง ทั้งที่ตำรวจประเทศอื่นไม่มีอำนาจสอบสวน ซึ่งต่างจากเดิมในอดีตที่กระทรวงมหาดไทย โดยมีนายอำเภอเป็นผู้สอบสวน ทำให้มีการเรียกร้องให้ปฏิรูปตำรวจในตอนนี้ ตำรวจในเครื่องแบบและพนักงานสอบสวนในนิติบุคคลเป็นคนๆเดียวกัน จึงเป็นที่มาของปัญหาสารพัดที่แก้ไขไม่ได้ ทั้งที่ต้องใช้ความจริงใจในการแก้ปัญหา เมื่อถึงโอกาสปฏิรูปตำรวจก็ไม่มีใครพูดถึง ปัญหาจึงเกิดจากระบบและคน


พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวต่อว่า พนักงานสอบสวนที่เคยสัมผัสได้ว่าไม่ได้เป็นตัวของเขาเอง แต่มีใครชักใยเขาอยู่ คุณยุทธิยงถูกข้อหาหมิ่นประมาทและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทั้งที่ถ้าสิ่งไหนพบว่าเป็นความเท็จถึงจะต้องเอาเข้าระบบได้ แต่ปัญหาปัจจุบันมีคนเจตนาใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือ เพื่อปิดปากกลั่นแกล้งกับสื่อ โดยยัดข้อหาพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทำให้ปัญหาก็มาอยู่ที่พนักงานสอบสวน ซึ่งในพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มีโทษจำคุกถึง 5 ปี จึงนิยมใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เป็นเครืองมือ แต่ปัญหาอยู่ที่วิธีปฏิบัติของพนักงานสอบสวน ทั้งที่ปัจจุบันบางเรื่องมีความเสียหายชัดเจน แต่กลับไม่รับแจ้งความก็เคยมี จึงเป็นปัญหาของการใช้กฎหมายที่เกิดจากระบบและบุคคล


"ถ้าคนสุจริตไปศาลเขาไม่ได้กลัว แต่เขาเดือดร้อนจากกระบวนการใช้กฎหมาย โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมชั้นต้น หรือจากการปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวน แต่ถ้ามีการตรวจสอบแล้วก็ไม่ควรไปแจ้งข้อกล่าวหา หรือถ้ามีการยกฟ้องใครมารับผิดชอบตรงนี้ จึงต้องดูด้วยว่ากล่าวหาได้อย่างไร อัยการฟ้องได้อย่างไร ผมคิดว่าต้องไม่ลอยตัวเรื่องนี้ จะมีใครรับผิดชอบถ้ายกฟ้องแล้วคนนั้นเสียหาย จึงต้องมีการปฏิรูปกระบวนการสอบสวนหรือไม่ โดยให้กระบวนการสอบสวนแยกออกมาให้เป็นอิสระเหมือนอัยการ"พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าว


ด้านว่าที่พ.ต.สมบัติ กล่าวว่า เรื่องการพูดต้องพูดด้วยความระมัดระวัง กฎหมายบอกว่าเรื่องจริงพูดไม่ได้ ถ้ากล่าวข้อความที่ไปกล่าวหาคนอื่นแม้เป็นเรื่องจริงก็พูดไมได้ สื่อมวลชนเรียกตัวเองว่าเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน เวลามีสัญญาณอะไรก็ปฏิบัติหน้าที่ แต่ก็มีคนบอกว่าสื่อมวลชนก็ใช้ปากเหมือนหน้าที่ที่ทำ แต่ก็ต้องดูว่าสื่อมีเจตนาอะไรหรือไม่ หากไม่เจตนาทำผิดองค์ประกอบเจตนาก็หลุดไป ซึ่งการทำหน้าที่ของสื่อไม่มีเจตนาก็ไม่เข้าข่ายองค์ประกอบการกระทำความผิด หากอยู่ในขอบเขตที่ทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยใช้หลักสุจริตในการทำหน้าที่ ทำเพื่อประโยชน์ของสังคม ซึ่งในพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับล่าสุดมีโทษถึง 5 ปี ใช้ขั้นตอนออกหมายจับได้เลย โดยไม่ต้องออกหมายเรียก ดังนั้นเมื่อใดที่ใช้กฎหมายผิดประเภท เพราะเขาต้องใช้โทษที่รุนแรง จึงถือว่าเป็นการใช้ไม่ตรงวัตถุประสงค์


"เมื่อถูกดำเนินคดีแล้วขอให้นึกถึงทนายความทันที เพื่อให้ทนายเข้าไปสังเกตการณ์เพื่อช่วยปกป้องสิทธิ์ของท่านได้เช่นกัน เพราะกฎหมายเป็นตัวหนังสือ การอ่านกฎหมายต้องตีความจากลายลักษณ์อักษร การที่ไปแปลอะไรมากกว่าที่แปลไว้ก็จะเป็นประเด็นมาใช้งานหรือไม่ ก็เป็นข้อกังขาที่เกิดขึ้น"ว่าที่พ.ต.สมบัติ กล่าว


ขณะที่นายณัชกร กล่าวว่า ในพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ปี 2550 ในมาตรา 14 วงเล็บ 1 ระบุว่านำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ปลอม หรือเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จแล้วเกิดความเสียหายแก่ผู่อื่นและประชาชน ซึ่งจากเดิมนั้นกฎหมายฉบับนี้ออกแบบเพื่อมาใช้กับการป้องกันการปลอมแปลงไฟล์เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ก็มีข้อความที่กำกวมที่ได้ครอบคลุมเนื้อหาไปด้วย จึงมีการใช้กฎหมายฉบับนี้เป็นจำนวนมากจากทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีการนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทั้งนี้ ตามหลักการใช้ฎหมายต้องดูเจตนารมณ์ด้วย เพราะถ้าดูเจตนาข้อหาและหมายจับที่ยังไม่เกิดขึ้น จึงเป็นความล้มเหลวในจุดนี้ ดังนั้นจากกระบวนการมีส่วนร่วมที่คับแคบทำให้มีปัญหาออกมา ซึ่งสื่อก็ต้องมีการรณรงค์ว่ามีการใช้กฎหมายผิดวัตถุประสงค์จากการร่างกฎหมายนี้อย่างไร


"การมีเสรีภาพย่อมดีกว่าอยู่แล้ว สุดท้ายกฎหมายปิดปากสื่อมีแค่พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์จริงหรือไม่ เพราะการจำกัดเสรีภาพการแสดงออกมีหลายรูปแบบ มีการใช้อำนาจกับสื่อ ซึ่งสื่อควรมีความรับผิดชอบที่จะนำเสนออยู่แล้ว แต่ถ้าทุกคนมีเสรีภาพเท่ากัน ทั้งรัฐและเอกชนก็มีสิทธิที่จะอธิบายปัญหาที่เกิดขึ้น โดยไม่จำเป็นที่ต้องใช้การฟ้องร้องได้"นายณัชกร กล่าว

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2560    
Last Update : 4 มิถุนายน 2560 19:38:29 น.
Counter : 227 Pageviews.  

กรมอุตุฯ ชี้ไทยด้านตะวันออกฝนลดลง คาดกรุงเทพฝนฟ้าคะนอง 60%



วันที่ 4 มิ.. กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยด้านตะวันออกจะมีฝนลดลง ส่วนด้านตะวันตกของประเทศ ภาคใต้ และภาคตะวันออก ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งในระยะนี้สำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส.


ที่มา thaitribune




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2560    
Last Update : 4 มิถุนายน 2560 14:38:21 น.
Counter : 195 Pageviews.  

ยูเอ็นเผยสามเหลี่ยมทองคำ แหล่งผลิตยาอันดับ2โลก



สำนักงานปราบปรามอาชญากรรมของสหประชาชาติแถลงเตือน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นแหล่งผลิตยาเสพติดขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากลาตินอเมริกา ผงะในระยะ 8 ปี ผลิตสารเสพติดใหม่แล้วกว่า 160 แบบออกสู่

 

สำนักข่าวเอเอฟพีประจำประเทศไทยรายงานเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ว่า พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ จุดรอยต่อระหว่างสปป.ลาว ภาคใต้ของจีน ไทย และเมียนมา เป็นแหล่งผลิตยาเสพติดขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากลาตินอเมริกา และเป็นแหล่งขึ้นชื่อด้านการผลิตเฮโรอีนและยาบ้า แต่ตอนนี้กลุ่มนักเคมีของแก๊งอาชญากรรมกำลังผลิตยาเสพติดแบบใหม่ๆ เพื่อขายให้ลูกค้าในราคาถูก

    จากรายงานเผยแพร่เมื่อวันพุธ โดยสำนักงานปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นโอดีซี) กล่าวว่า ดูเหมือนสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทสายพันธุ์ใหม่ หรือ เอ็นพีเอส (New Psychoactive Substances : NPS) แบบใหม่จะออกสู่ท้องตลาดมากจนน่าตกใจ โดยเท่าที่ตรวจพบมี 168 ชนิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ทั่ว 11 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน

    มาร์ติน ไรเธลฮูเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญสารเสพติดสังเคราะห์ของยูเอ็นโอดีซี กล่าวว่า โลกของยาเสพติดได้กลายเป็นความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ มีสารเสพติดชนิดใหม่ออกมาจำนวนมาก และหลายชนิดประชาชนไม่รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อ ขณะที่เฮโรอีนและยาบ้ายังถูกผลิตมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเแยงใต้ แต่สารเสพติดใหม่เกิดขึ้นเร็วมาก จากเพียงแค่ 3 ชนิดที่ตรวจพบออกสู่ท้องตลาดในปี 2551 ในปี 2559มีออกมาใหม่ถึง 80 ชนิด

    หนึ่งในสารเสพติดชนิดใหม่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ในระยะไม่กี่ปีล่าสุดคือ เฟนทานิล และอีกจำนวนมากที่กลายพันธุ์จากมัน เฟนทานิลสารสกัดจากฝิ่น ซึ่งมีอานุภาพมากกว่าเฮโรอีน 100 เท่า กำลังสร้างความหายนะทั่วทวีปอเมริกาเหนือ โดยจากการประเมิน ชาวอเมริกันประมาณ 2.6 ล้านคน ติดยาแก้ปวดสกัดจากฝิ่นที่แพทย์สั่งจ่าย และประมาณ 33,000 คนเสียชีวิตในแต่ละปี จากการเสพยาเกินขนาด

    ไรเธลฮูเบอร์ กล่าวว่า สารเสพติดแบบใหม่ส่วนใหญ่ที่ตรวจพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจำนวนมากเป็นสารประเภทเฟนทานิล มีเป้าหมายอยุ่ที่ลูกค้าในยุโรปและอเมริกาเหนือ. ...

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2560    
Last Update : 4 มิถุนายน 2560 11:08:13 น.
Counter : 275 Pageviews.  

ผลสำรวจ'กรุงเทพโพลล์' มอง 4 คำถาม'ประยุทธ์' ปปช.เชื่อสะท้อนนัยสถานการณ์บ้านเมืองก่อนเลือกตั้ง



กรุงเทพโพลล์ เผยผลสำรวจประชาชนมอง 4 คำถามนายกรัฐมนตรี มีนัยถึงสถานการณ์บ้านเมืองก่อนการเลือกตั้ง หนุนจัดเลือกตั้งตามเวลาที่เหมาะสม

 

วันที่ 3 มิ.. กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ออกมาเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง " 4 ข้อคำถามจากนายกฯ สู่ โรดแมปการเลือกตั้ง" โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ จำนวน 1,227 คน พบว่าจาก 4 ข้อคำถามของนายกรัฐมนตรี ที่ฝากไว้กับประชาชนในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ประชาชนร้อยละ 30.2 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีมีนัยเพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงสถานการณ์บ้านเมืองก่อนการเลือกตั้งว่ามั่นคงหรือไม่ รองลงมาร้อยละ 29.4 มีนัยว่าหากบ้านเมืองยังไม่สงบเรียบร้อยอาจจะไม่ได้จัดการเลือกตั้งตามโรดแมป และร้อยละ 26.6 มีนัยว่า หากไม่มีความสุจริตเที่ยงธรรมในการเมืองก็จะไม่มีการเลือกตั้ง ที่เหลือร้อยละ 13.8มีนัยเพื่อส่งสัญญาณถึงนักการเมืองว่าได้จัดการปฏิรูปพรรคการเมืองและตนเองแล้วหรือยัง

ในผลสำรวจเมื่อถามถึงระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการจัดการเลือกตั้งในประเทศไทย พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 69.6 เห็นว่าควรจัดเลือกตั้งเมื่อสถานการณ์ประเทศอยู่ในภาวะเหมาะสมขณะที่ร้อยละ 30.4 ระบุว่าควรจัดเลือกตั้งตามเวลาที่กำหนดไว้ในโรดแมป ส่วนความมั่นใจที่มีต่อรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงว่าจะทำให้การเลือกตั้งครั้งต่อไปปราศจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียงได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลนั้นประชาชนร้อยละ 61.1 มีความมั่นใจค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ขณะที่ร้อยละ 38.9 มีความมั่นใจค่อนข้างมากถึงมากที่สุด

ในผลสำรวจเรื่องที่มีความกังวลมากที่สุด ในช่วงเวลาจากนี้ไปจนถึงการเลือกตั้งตามโรดแมป ประชาชนร้อยละ 40.8 กังวลเรื่องการสร้างสถานการณ์ต่างๆ เพื่อสั่นคลอนบ้านเมืองเช่นวางระเบิดก่อกวนสร้างความไม่สงบฯลฯ รองลงมาร้อยละ 38.7 กังวลเรื่องการระดมหัวคะแนนเพื่อเร่งหาฐานเสียงให้กับนักการเมืองด้วยวิธีที่ไม่ชอบธรรม และร้อยละ 20.5 กังวลว่าจะมีแต่นักการเมืองหน้าเดิมๆไม่มีหน้าใหม่ๆเข้ามาลงสนามในการเลือกตั้ง.


ที่มา thaitribune




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2560    
Last Update : 4 มิถุนายน 2560 6:38:40 น.
Counter : 273 Pageviews.  

'ประยุทธ์' ลั่นแผนพัฒนาประเทศ เดินถูกทางเเล้ว



นายกรัฐมนตรี ยันแผนพัฒนาประเทศเดินมาถูกทางแล้ว เน้นสร้างงาน-สนับสนุนผู้มีรายได้น้อย-ดูแลทรัพยากรธรรมชาติ-เพิ่มศักยภาพงานภาครัฐ

 

พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน"เมื่อวันที่ 2 มิ.. ว่า การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลและ คสช. ที่ผ่านมานั้น ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ได้รับรายงานว่ามีความสอดคล้องกับคำแนะนำของธนาคารโลก ในเรื่อง “การพัฒนาประเทศอย่างมีระบบ” ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ ถือว่า “เรามาถูกทางแล้ว” โดยเน้น 4 มาตรการหลัก ได้แก่

(1) การสร้างงานที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น โดยการปรับปรุงการเชื่อมโยงในภูมิภาคด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้น การเพิ่มการแข่งขันผ่านข้อตกลงการค้าเสรี และพัฒนาอุตสาหกรรมด้วยการยกระดับเทคโนโลยีการผลิตและนวัตกรรม

(2) การสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยด้วยการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและทักษะให้กับกำลังแรงงานทั้งระบบการเพิ่มผลิตภาพในภาคเกษตร และการสร้างระบบคุ้มครองทางสังคมที่เข้มแข็งกว่าเดิม

(3) การสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนพลังงานทางเลือก

 (4) การเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับองค์กรภาครัฐ เพื่อให้การดำเนินการปฏิรูปประเทศในเรื่องที่สำคัญบรรลุผลสำเร็จ ทั้งนี้การทำงานของรัฐบาลให้สัมฤทธิ์ผลนั้น จำเป็นต้องมีการติดตามและประเมินผลความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง และต้องอาศัยเวลา ที่สำคัญก็คือ “ความเข้าใจและความร่วมมือ” จากทุกภาคส่วน

"ดังนั้น “ความปรองดอง” ในพจนานุกรมของผม ไม่ได้หมายความเพียง “การลบล้าง” ความขัดแย้งทางการเมือง และการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในอดีต ที่นำไปสู่ความแตกแยกในสังคมเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึง “การขจัด” เงื่อนไข – ประเด็นปัญหา – ข้อสงสัย – ข้อกังวลใจในโครงการต่างๆ ตามนโยบายรัฐบาลจนนำไปสู่ความเข้าใจ, ไว้ใจ และร่วมมือ หรือ “การมีส่วนร่วม” ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ “ฉบับปัจจุบัน” ให้สามารถขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศต่อไปได้ โดยปราศจากการต่อต้าน ความขัดแย้ง และมีผลประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้เยาวชนได้รู้คุณค่าการประกอบอาชีพอื่นๆ ด้วยนะครับ เช่น ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนอยากให้รู้ว่าการทำแต่ละอย่างออกมานั้น กว่าจะได้ผลนั้นยากเย็นเพียงใด อยากให้เห็นคุณค่า ความมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีของทุกอาชีพ ทุกรายได้ ทั้งหมดนั้นเป็นห่วงโซ่สำคัญนะครับ ที่จะเชื่อมโยงทุกๆ คนของสังคม เชื่อมโยงสิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจฐานราก ฯลฯ ขอให้กระทรวง มหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆนะครับ ได้มีการสร้างภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยให้มีการนำเยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนไปร่วมกันทำงานในพื้นที่นะครับ ศึกษาเรียนรู้ร่วมกันให้ได้ ให้เกิดความรักความสามัคคีไปได้ด้วยกันด้วยนะครับ

พี่น้องประชาชนที่รักครับ วันนี้ พวกเราคงต้องย้อนกลับทบทวนตัวเองอีกครั้ง ผมอยากให้ทุกกคนได้ถามตัวเองว่ามีความเข้าใจกับ “3 เรื่อง” ต่อไปนี้ อย่างถ่องแท้มากน้อยเพียงใด

(1) ศาสตร์พระราชา เช่น หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง, เกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นต้นนะครับ (2) ไทยแลนด์ 4.0 (3) เศรษฐกิจฐานราก

ผมก็ไม่อยากให้เป็นการรู้จักกันแต่เพียงหลักการเพียงผิวเผิน ก็แล้วแต่ละส่วนราชการ–ภาครัฐ– ภาคเอกชน–ภาคประชาสังคม ต่างก็นำไปพูด ไปกล่าวไปแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ แต่เพียงเท่านั้นนะครับโดยอาจจะไม่เข้าใจสาระสำคัญว่า “ทั้ง 3 เรื่อง” นี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร ซึ่งโดยสาระ ความเป็นจริงแล้ว มีความเกี่ยวข้องกันอย่างแยกออกไม่ได้ สิ่งสำคัญก็คือการเรียนรู้ เพื่อนำ ไปสู่การปฏิบัติ โดยอาศัยหลักการของ “ศาสตร์พระราชา” เป็นพื้นฐาน เป็นเข็มทิศนำทาง

ซึ่งต้องใช้การประยุกต์ให้ตรงกับกิจกรรมของแต่ละบุคคล หรือแต่ละองค์กร ไม่ใช่เพียงการเรียกบุคลากรหรือประชาชนมาอบรม ติดป้าย มอบใบประกาศ แถลงข่าว คงพูดกันแต่ “กระพี้” นะครับ คือเปลือกนอกแต่ลืม “แก่นสาร” อันเป็นสาระสำคัญ

วันนี้นะครับ เราจำเป็นต้องหยิบยกตัวอย่างของการนำหลักการไปสู่การปฏิบัติที่สัมฤทธิ์ผล เป็นรูปธรรมจากทุกสถานีอบรม, จากทุกพื้นที่มาสร้าง เรียนรู้ร่วมกันนะครับ จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ“กว่า 4 พันแห่ง” ศูนย์การเรียนรู้ “นับหมื่นแห่ง” หรือศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ“ทั้ง 6 แห่ง” ทั่วประเทศ

โดยเราต้องจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับหลักการ ต้องดูถึงผลสัมฤทธิ์ของ “ศาสตร์พระราชา” ที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้ประชาชนทุกระดับ ทุกกลุ่มอาชีพ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้ที่เพียงพอ และลดความเสี่ยงจากการถูกกระทำ หรือผลกระทบต่างๆ จากภายนอกด้วยนะครับ

วันนี้ รัฐบาลนี้ได้เดินหน้าสร้าง “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” โดยวางบทบาทเป็น “ผู้สร้างสะพาน” เชื่อมความร่วมมือระหว่างกลุ่มต่างๆ ในประชาคมโลก ภายใต้แนวคิด “เข้มแข็งไปด้วยกัน” และ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” โดยน้อมนำ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG 2030) ของสหประชาชาติ ไปแลกเปลี่ยนและสร้างการรับรู้ในเวทีระหว่างประเทศ จนได้รับการยอมรับมีผลสำเร็จเชิงประจักษ์ และมีความเป็นสากล

ปัจจุบันมีประเทศที่สนใจเข้าร่วมเป็น “SEP for SDGs Partnership” กับไทยแล้ว 22 ประเทศ นอกจากนี้รัฐบาลมีแผนการดำเนินงานในอนาคต ได้แก่ การสร้างศูนย์การเรียนรู้ ชุมชนต้นแบบ ตามแนวหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในประเทศที่ไทยมีความร่วมมือมีการส่งเสริมการเรียนรู้ ทั้งในและนอกหลักสูตร ให้กับเยาวชนของเราในการขับเคลื่อน SDGs ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายกับเยาวชนโลก รวมทั้งการสร้างเครือข่ายกับองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรัฐบาลนี้ ถือว่าเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ “การทูตประชารัฐ” เพื่อความมั่นคงและการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ส่งเสริมและยกระดับการทูตและการต่างประเทศของไทย โดยเน้นความร่วมมือในมิติ Soft Power เพื่อแสวงหาความร่วมมือรูปแบบใหม่ๆ ที่มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกันนะครับ"


ที่มา thaitribune




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2560    
Last Update : 3 มิถุนายน 2560 12:13:58 น.
Counter : 447 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.