อัครสาวกทั้งสิบคนที่ชุมนุมกันในวันนั้นเป็นผู้มีบุญและโชคดีมากเพราะพวกท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากความสงสัยและกังวลใจโดยใช้เวลาไม่นานนัก ต่างจากกรณีของโทมัสซึ่งต้องคอยอีกหนึ่งสัปดาห์จึงมีโอกาเช่นนั้น ท่านได้ออกไปข้างนอกเมื่อพระเยซูเจ้าทรงปรากฏพระองค์ครั้งแรก ท่านเป็นคนช่างสงสัยและไม่ยอมเชื่อใครหรืออะไรง่าย ๆ จนกว่าสิ่งนั้นจะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริง ท่านยึดติดกับความคิดตามประสามนุษย์ที่ว่า การเห็นคือการเชื่อ (Seeing is Believing) ท่านจึงไม่ยอมรับคำพยานยืนยันของอัครสาวกคนอื่นที่ว่า "พวกเราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว" (ยน 20:25) ท่านยื่นคำขาดว่า "ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปู และไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกายของพระองค์ ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด" (ยน 20:25) เมื่อท่านได้เห็นพระเยซูเจ้าด้วยตัวท่านเอง ท่านยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็น "องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเป็นเจ้า" (ยน 20:28) ของท่าน โทมัสมีความทุกข์ทรมานใจอันเนื่องมาจากความอ่อนแอตามประสามนุษย์ แต่พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงผลักไสท่าน เพียงแต่ทรงเตือนท่านให้ระลึกถึงความจริงที่ว่า "ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข" (ยน20:29) นั่นคือ เป็นบุญของผู้ที่ไม่ได้เห็น แต่ได้เชื่อ นี่เป็นเครื่องหมายที่ชัดเจนของการให้อภัยที่เปี่ยมไปด้วยความรักและพระทัยเมตตาของพระเยซูเจ้า ผู้ซึ่งไม่เคยทรงขับไล่ไสส่งผู้ใดที่ทำความผิด และเป็นสิ่งที่พระศาสนจักรต้องการให้เราตระหนักถึงเป็นพิเศษในโอกาส "ฉลองพระเมตตา" ของพระเจ้าในวันนี้ด้วย