www.Bigoo.ws www.Bigoo.ws www.Bigoo.ws www.Bigoo.ws www.Bigoo.ws www.Bigoo.ws www.Bigoo.ws www.Bigoo.ws

Group Blog
 
All blogs
 

มนต์รักโคกสาริน...ตอนที่ ๒๒

หลังจากที่สุวัจนี ประกาศก้องว่าเอาเรื่องทั้งหมดไปฟ้องพ่อแม่บุญออบเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็อึ้งกันไป

สุวัจนีเห็นปฏิกิริยาของทุกคนก็ยิ้มมุมปาก เดินออกจากตลาดไป...ระหว่างทางผ่านแผงแม่ค้าหลายแผงเห็นเหล่าแม่ค้ากำลังจับกลุ่มซุบซิบกันอยู่

“นี่ๆ พวกหล่อน เขาให้มาขายของ ไม่ได้มาซุบซิบนินทากัน..นินทาชั้นหรือเปล่าเนี่ย” สุวัจนีส่งเสียงแว้ด

แม่ค้าไม่ตอบ แต่ยิ้มมุมปากเลียนแบบสุวัจนี มือหนึ่งกระชับเปลือกทุเรียนไว้ในมือ.......


เมื่อสุวัจนีเดินยิ้มมุมปากออกไปแล้ว บุญออบกับเปรี้ยวหันมามองหน้ากัน

“พี่ออบ “เปรี้ยวเรียกเบาๆ บุญออบหันมาจับมือเปรี้ยว

“ไม่เป็นไร เปรี้ยว พ่อแม่พี่ ท่านเป็นคนใจดีและมีเหตุผล เปรี้ยวไม่ต้องกลัว”

“เปรี้ยวไม่ได้กลัวว่าพ่อแม่พี่ออบจะไม่ดี เปรี้ยวกลัวตัวเองต่างหากที่ไม่ดีพอ”

“เปรี้ยว พี่บอกแล้วไง ไม่มีใครมาตัดสินได้ว่า ใครดีพอหรือไม่ดีพอสำหรับใคร แค่เรามั่นใจว่าเราดีพอสำหรับกันและกันก็พอแล้ว” อูย....

“แล้วที่คุณสุวัจนีพูดนั่นล่ะ....”

“เปรี้ยวไม่ต้องห่วง พี่ไม่เห็นจะกลัวเลย เราอยู่เคียงข้างกัน อะไรก็มาทำร้ายเราไม่ได้หรอก”

บุญออบว่าแล้วยิ้มๆ

“เอางี้ดีกว่า เรามาเล่นเกมกัน.....” เปรี้ยวงง แทบปรับอารมณ์ไม่ทัน

“เกมอะไรหรอ พี่ออบ”

“ก็โยนหัวโยนก้อยไง....นี่” บุญออบควักเหรียบสิบออกมาจากกระเป๋า

“มาโยนกันแล้วทายว่าจะออกอะไร”

เปรี้ยวหัวเราะ “พี่ออบเล่นเป็นเด็กๆอีกแล้ว แล้วเล่นแล้วจะได้อะไรขึ้นมา”

“อ้าว สนุกจะตาย ผลัดกันทายว่าเหรียญจะออกหัวหรือก้อย เปรี้ยวเอาข้างไหน” บุญออบ เปรี้ยวยังไม่นึกสนุกแต่ก็ไม่อยากขัด

“ก็ เอาก้อยแล้วกัน”

“งั้นพี่เอาหัวนะ......” บุญออบว่าแล้วยิ้ม

“ถ้าออกหัว แสดงว่าพี่ทายถูก เปรี้ยวต้องให้พี่หอมแก้ม” บุญออบพูด แล้วยิ้มกริ่ม เปรี้ยวรีบโวยทันที

“ไม่เอา......”

“อ้าว เดี๋ยวฟังให้จบก่อน...” บุญออบท้วง “ นี่ๆ แต่ถ้าออกก้อยนะ เปรี้ยวก็ทายถูก เพราะฉะนั้น....

“พี่จะยอมให้เปรี้ยวหอมแก้มแล้วกัน...” เอ้า ฮิ้วววว


พัดชานั่งมองภาพนั้นอย่างมีความสุข.......

มันเป็นภาพของเราเอง...ที่คุณเวศวาด...ไม่อยากจะคิดเลยว่า คุณเวศวาดรูปเราทำไม...เพราะไม่อยากเข้าข้างตัวเอง....แต่ก็อดที่จะหัวใจพองโตไม่ได้......

เสียงคนเปิดประตู พัดชาหันไปจะยิ้มให้....แต่คนที่เปิดประตูออกมา....คือเสี่ยมาย

“อ้าว คุณพัด แล้วเวศไปไหนล่ะครับ” เสี่ยมายทักทาย

“คุณเวศไปตรวจคลื่นสมองค่ะ เดี๋ยวสักพักก็จะมาแล้ว เชิญเสี่ยนั่งก่อนสิคะ”

เสี่ยมายนั่งลงที่โซฟา แล้วยิ้ม

“ผมต้องขอบคุณคุณพัดมากเลยนะครับ ที่ดูแลเวศอย่างดี คุณพัดไม่ต้องห่วงนะครับ ถ้าเวศหายดีเมื่อไหร่ ผมจะคืนกำไรให้คุณพัดอย่างงามทีเดียว”

“ไม่เป็นไรหรอกคะเสี่ย มันเป็นหน้าที่ของพัดอยู่แล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมถือว่า ผมต้องคืนกำไรให้ทุกคนอยู่แล้ว คุณพัดไม่ต้องคิดมาก...” เสี่ยมายหยุดยิ้มแล้วพูดต่อ

“วันนี้ผมอารมณ์ดี ก็ไปหาหลวงพ่อที่วัดกับเจ๊เป็ดมาน่ะครับ ไปดูฤกษ์หมั้นให้เวศกับหนูลูกตาลเค้า ได้ฤกษ์มาทันใจเลยครับ ไม่ได้วันนี้นี่ต้องรอไปถึงปีหน้าเลย”

พัดชาฟังแล้วอึ้ง ใบหน้าที่ยิ้มอยู่ดูหมองไปในทันที เสียงเสี่ยมายพูดต่อไป

“ฤกษ์ลงตัวอย่างนี้ ผมก็คงต้องรีบจัดงานแหละครับ ต้องขอเชิญคุณพัดด้วยนะครับ”

พัดชาสะดุ้ง “เอ่อ...ค่ะ”

“วันหมั้นก็เป็นวันอาทิตย์หน้านี้แหละครับ....”

โห อะไรมันจะเร็วขนาดนั้น... เสี่ยมายพูดอย่างปลื้มๆต่อไป

“เนี่ย ผมละดีใจจริงๆ ที่จะได้คืนกำไรให้ชาวบ้านโคกอีกครั้ง งานนี้จะจัดให้ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว นี่กะว่าจะไปเชิญท่าน ส.ส. มาเป็นประธานด้วยนะครับเนี่ย”

พัดชาฟังเงียบๆ แต่ใจนั้นนึกถึงอะไรไม่รู้สับสนไปหมด

แล้วประเวศก็ตรวจเสร็จเข้าห้องมา เห็นเสี่ยมายนั่งอยู่

“อ้าว ป๊า มานานแล้วหรอครับ”

เสี่ยมายยิ้มให้ลูกชาย

“ก็ไม่นานหรอกลูก นั่งคุยกับคุณพัดเขา สนุกดี”

ประเวศหันไปสบตากับพัดชาทันที

“คือวันนี้ป๊ากับเจ๊เป็ดไปดูฤกษ์กับหลวงพ่อที่วัดมาแล้วนะ ฤกษ์หมั้นเวศกับลูกตาลน่ะ ได้เร็วดีจริง วันอาทิตย์หน้านี้แหละ”

ประเวศตกใจ หันไปมองหน้าพัดชา แต่พัดชาไม่มองตอบ

“มันจะไม่เร็วไปหน่อยหรอครับ ป๊า”

“เฮ้ย ไม่หรอก ป๊าชอบ เร็วๆ สิดี ถ้าไม่เอาวันนี้จะต้องรอปีหน้าเลยนะ....ว่าแต่เวศมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

ประเวศมองใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวังของเสี่ยมายแล้ว เขาก็พูดไม่ออก

“ก็...ไม่มีครับ” ประเวศตอบแล้วอดมองไปที่พัดชาไม่ได้ แต่พัดชาเบือนหน้าหนี

พัดชาหยิบรูปมาดูอีกครั้ง แล้วเดินหน้าเศร้าออกจากห้องไป


ประพาสเดินมาหาผู้ใหญ่พิษณุที่ฟาร์มกล้วยไม้ เห็นกำลังดูแลเอาใจใส่กล้วยไม้สีม่วงอยู่ก็เรียก

“พี่ผู้ใหญ่....”

ผู้ใหญ่พิษณุหันมาเห็นว่าเป็นประพาสก็ยิ้ม

“อ้าว ว่าไงพาส”

“ก็มาเยี่ยมน่ะ....” ประพาสพูดแล้วหยุด เสมองไปที่กล้วยไม้สีม่วงที่ผู้ใหญ่จับอยู่อย่างเบามือ

“พี่ผู้ใหญ่ชอบกล้วยไม้สีม่วงหรอ”

ผู้ใหญ่ยิ้ม “พี่ชอบกล้วยไม้ทุกสีนั่นแหละ เพราะแต่ละสีมันก็มีความสวยงามในตัวมันเอง แต่ที่ดูแลสีม่วง ก็เพราะว่า มันมักจะโดนกล่าวหาในทางที่ไม่ดีเสมอ “

ประพาสยิ้มแล้วเอ่ยออกมาอ่อยๆ “เออ แล้วที่ฟาร์มเนี่ย มันมีกล้วยไม้กี่สีกันละพี่ผู้ใหญ่”

ผู้ใหญ่พิษณุมองหน้าประพาส “พาส.....มีอะไรก็พูดมาดีกว่า”

ประพาสเกาหัว “แหม พี่ผู้ใหญ่ก็รู้ทันอยู่เรื่อย...” แล้วก็ยิ้มประจบ

“พี่ผู้ใหญ่ พาสถามอะไรหน่อยดิ...”

“ก็ว่ามา”

“คือ พี่ว่า คนเราถ้าเกิดรักกันแบบพี่น้องมาก่อนเนี่ย จะเปลี่ยนใจมารักกันเป็นคนรักกันได้ไหม”

ผู้ใหญ่พิษณุอึ้ง ก่อนจะตอบว่า

“ทำไมจะไม่ได้...ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้แน่นอนหรอก...มันมีกฎเกณฑ์ซะที่ไหนล่ะ”

ฟังผู้ใหญ่พูดแล้ว ประพาสยิ่งเกาหัวหนักขึ้น

“เอ พี่ผู้ใหญ่ พาสงงจัง ตกลงได้หรือไม่ได้”

“ก็บอกแล้วไง มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ มันขึ้นอยู่ที่ใจคน ถ้าจะรักกันซะอย่าง มันก็รักกันได้”

ประพาสฟังแล้วค่อยยิ้มออก “งั้นก็แสดงว่าได้สิ...พี่ผู้ใหญ่”

ผู้ใหญ่ยิ้ม แล้วพยักหน้า ประพาสจึงถามต่อ

“ถ้าเราอยากจะทำให้ใครสักคนหนึ่งรักเรา ทั้งๆ ที่เขาไม่รัก แต่เราก็จะใช้ความพยายามทำให้เขารักให้ได้นี่ พี่ผู้ใหญ่ว่ามันจะมีทางสำเร็จไหม”

ผู้ใหญ่พยักหน้า “ก็มีทางจะทำได้..............”

ประพาสฟังแล้วก็พึมพำ..อืม ได้ๆ...อะไรก็ได้หมดเลย..ลูกตาล

“แต่....” ผู้ใหญ่พิษณุขัดขึ้นมาซะก่อน ประพาสหันไปมอง

“ได้เฉพาะกับบางคน...”

“แล้วพี่ผู้ใหญ่ล่ะ....”ประพาสถามแล้วกลั้นใจฟังคำตอบ

“สำหรับพี่...ไม่ได้” ผู้ใหญ่ว่าหน้าขรึม

ประพาสฟังแล้วอึ้งไป....

“ที่ว่าไม่ได้เนี่ย...ที่รักแบบพี่น้องแล้วปลี่ยนมารักแบบแฟนไม่ได้..หรือว่า ที่เขาไม่รักแต่พยายามทำให้รักก็ไม่ได้....พี่หมายถึงอย่างไหน”

“ทั้งสองอย่าง...ไม่ได้ทั้งสองอย่าง” ผู้ใหญ่พูดขรึมๆ

ประพาสฟังแล้วอึ้งไป...ในหัวคิดอะไรสับสนวุ่นวายไปหมด

“แล้ว....เอ่อ....”

ผู้ใหญ่พิษณุหันมาทำหน้าสงสัย

“แล้วอะไร...ทำไมต้องทำอ้ำๆอึ้งๆ”

ประพาสรวบรวมความกล้า “เรื่อง...เอ่อ ลูกตาลน่ะพี่ผู้ใหญ่...ลูกตาลเค้า..เอ่อ...รักพี่ผู้ใหญ่มาก”

ผู้ใหญ่พิษณุหันมามองหน้า “แล้วไง...แล้วพาสเกี่ยวอะไรด้วย”

“ก็เอ่อ...ลูกตาลเค้า...น่าสงสารมากนะพี่ผู้ใหญ่...เขาบอกกับพาสว่า จะพยายามทำทุกอย่าง ถ้าเพียงแต่พี่ผู้ใหญ่จะหันมามองเค้าบ้าง”

“ไม่ใช่ว่าพี่ไม่มองเค้า พี่รักเค้าเป็นน้องสาว และเป็นห่วงเค้าอยู่เสมอ...แต่เรื่องของหัวใจมันห้ามกันไม่ได้...และจำไว้...ถ้าจะบังคับหัวใจ...มันยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย” ผู้ใหญ่หยุดนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวขรึมๆ

“อย่างที่บอกไปเมื่อกี้...สำหรับพี่...การจะเปลี่ยนความรู้สึกจากน้องสาวมาเป็นคนรัก..หรือจะเปลี่ยนความรู้สึกให้รักจากที่ไม่รัก...มันเป็นไปไม่ได้”

“แต่ถ้าใครเป็นน้องสาวพี่แล้ว...พี่ก็จะรักและเป็นห่วง...ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน...เค้าคนนั้นก็จะเป็นน้องของพี่ตลอดไป”

ประพาสฟังแล้วอึ้งไปอีกรอบ......


ประพาสเดินงงๆ หงอยๆ กลับมาที่ต้นมะขาม (ต้นเดิม) ที่อยู่หน้าบ้าน

นั่งคิดถึงคำพูดของพี่ผู้ใหญ่ เอ เรารู้สึกแปลกๆ แฮะ

กำลังนั่งเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาหา เมื่อหันไปก็เห็นลูกตาลกำลังเดินเข้ามาหาอย่างรีบเร่ง

“พี่พาส ....” ลูกตาลเรียกก่อนจะถึงตัวเสียอีก

“อ้าว ลูกตาล มีอะไร เดินหน้าตาตื่นมาเชียว”

“พี่พาสต้องช่วยลูกตาลนะ เมื่อกี้นี้ หม่ามี้บอกว่าไปดูฤกษ์หมั้นมาแล้ว เป็นวันอาทิตย์หน้านี้เอง ลูกตาลจะทำไงดี”

“จริงหรอ ทำไมเร็วอย่างนั้นล่ะ”

“เห็นว่า ถ้าไม่ได้วันนี้ ก็ต้องรอถึงปีหน้า หม่ามี้เลยเอาวันนี้” ลูกตาลพูดไปจะร้องให้ไป ประพาสลูบหลังปลอบ

“ใจเย็นๆ ลูกตาล ค่อยๆคิด”

“ลูกตาลเย็นไม่ไหวแล้ว ก็เลยมาหาพี่พาสนี่แหละ ตกลงพี่พาสไปพูดกับพี่ผู้ใหญ่แล้วหรือยัง”

ประพาสอึ้งไป “เอ่อ......พี่ก็พูดบ้างแล้ว”

“หมายความว่าไงพี่พาส แล้วพี่ผู้ใหญ่เขาว่าไงหรอ”

“พี่ผู้ใหญ่เขาว่า...เขาคงไม่มีทางรักคนที่เคยรักเหมือนน้องสาวได้...”

“และคงไม่มีทางรักคนที่ไม่ได้รักได้ แม้ว่าคนๆนั้นจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม....”

“จริงหรอพี่พาส..” ลูกตาลได้ฟังแล้วก็ก้มหน้า

ประพาสตรงเข้าไปกอดลูกตาลไว้ ลูบหลังปลอบเบาๆ

“ใจเย็นๆ ลูกตาล...ทำใจดีๆ “

...ไกลออกไป ผู้ใหญ่พิษณุกำลังเดินตรงมาที่ต้นมะขาม เห็นภาพนั้นเข้าก็ชะงัก แล้วก็เดินตรงเข้าไปหาคนทั้งคู่ทันที.....

ผู้ใหญ่พิษณุเดินเข้าไปหยุดอยู่ทางด้านหลังของทั้งสอง

“ว่าไง สองคน มานั่งทำอะไรกันตรงนี้”

ทั้งสองคนหันมามองแล้วผงะออกจากกันทันที ลูกตาลเมินหน้าไปเช็ดน้ำตา ส่วนประพาสรีบยิ้มให้ผู้ใหญ่

“พี่ผู้ใหญ่ มาได้ไงเนี่ย”

“ถามมาได้ ก็เดินมาสิ” ผู้ใหญ่ตอบประพาส แล้วหันไปถามลูกตาลเสียงอ่อนโยน

“ลูกตาล เป็นอะไร ร้องให้ทำไม บอกพี่ได้ไหม” แล้วผู้ใหญ่พิษณุก็เอื้อมมือไปแตะไหล่เบาๆ

ลูกตาลค่อยๆเงยหน้ามา

“หม่ามี้ไปดูฤกษ์หมั้นมาแล้ว ลูกตาลต้องหมั้นกับเวศวันอาทิตย์นี้ค่ะ”

ประพาสรีบบอกทันที

“พี่ผู้ใหญ่ช่วยลูกตาลด้วยนะ” พูดไปก็รู้สึกแปลกๆ ผู้ใหญ่หันไปทำหน้าขรึมใส่

“แล้วเราเกี่ยวอะไรด้วย ฮึ พาส”

ประพาสหน้าจ๋อย ตอบอ่อยๆ

“ก็ พาสสงสารลูกตาลเขาน่ะ”

ผู้ใหญ่ส่ายหน้า แล้วพูดกับลูกตาลต่อ

“จะหมั้นก็ดีแล้วนี่จ๊ะ ลูกตาล คุณเวศเองก็เป็นคนดีมาก เขาจะไม่ทำให้ลูกตาลผิดหวังแน่”

ลูกตาลหันขวับมาทันที

“ใช่สิค่ะ เวศเค้าคงไม่ทำให้ลูกตาลผิดหวังเหมือนที่พี่ผู้ใหญ่ทำหรอก”

“ลูกตาล...” ผู้ใหญ่พูดเสียงเบา “ใจเย็นๆก่อน...”

“ในสายตาของพี่ผู้ใหญ่นี่ ลูกตาลมันเป็นตัวอะไรหรอค่ะ พี่ผู้ใหญ่ถึงไม่คิดจะสนใจ ลูกตาล ไม่สวย ไม่รวย ไม่เก่ง หรือว่าขาดอะไรที่พี่ผู้ใหญ่ต้องการไป บอกมาสิค่ะ”

ผู้ใหญ่พิษณุส่ายหน้า

“ไม่ใช่อย่างนั้น ลูกตาลสวย รวย เก่ง และดีทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ขาดไป และไม่มีอะไรที่พี่จะต้องไปรังเกียจด้วย แต่เรื่องของจิตใจ มันอธิบายไม่ได้นี่จ๊ะ….”

ลูกตาลก้มหน้านิ่งเงียบ

“แล้วลูกตาลควรทำอย่างไร....”

“อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ลูกตาล คุณเวศเค้าก็เป็นคนดีมากนะ และพี่เชื่อว่าเค้าคงจะต้องดีกับลูกตาลมากแน่ๆ”

ผู้ใหญ่พิษณุพูดไม่ทันจบ ประพาสก็หันขวับมาหาผู้ใหญ่ทันที ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก

ส่วนลูกตาลตาวาวขึ้นทันที

“ใช่ค่ะ เวศดีมากค่ะ งั้นลูกตาลก็ควรจะหมั้นกับเค้าใช่ไหมค่ะ ได้ค่ะ ถ้าพี่ผู้ใหญ่ต้องการอย่างนั้น ลูกตาลก็จะทำ”

แล้วลูกตาลก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปทันที

“ลูกตาล...” ผู้ใหญ่และประพาสเรียกพร้อมกัน แต่ก็ไม่สามารถห้ามลูกตาลได้

ผู้ใหญ่พิษณุหันมาหาประพาสที่นั่งหน้าจ๋อยอยู่

“ว่าไงล่ะเรา รึอ่านจะเป็นแม่สื่อแม่ชักน่ะ สนุกดีไหม”

“ก็ พาสก็สงสารลูกตาลเค้าอ่ะ พี่ผู้ใหญ่” ประพาสเสียงอ่อยๆ

“เออ สงสารเค้า แล้วช่วยเค้าได้ไหม โธ่ พาส เรื่องของจิตใจน่ะ ไม่มีใครช่วยใครได้หรอกนะ เราต้องช่วยตัวเราเอง ถ้าเรายังทำใจไม่ได้ ต่อให้เทวดาก็มาช่วยไม่ได้หรอก”

“ ก็ พาสไม่รู้นิ “ ประพาสก้มหน้า แล้วก็นึกขึ้นได้ เงยหน้าขึ้นมาทันที

“พี่ผู้ใหญ่อ่ะ ไปบอกให้ลูกตาลหมั้นกับคุณเวศทำไม”

“อ่าว ทำไมล่ะ เค้าก็เหมาะสมกันดีนี่นา คุณเวศเค้าก็เป็นคนดีมาก พี่มั่นใจว่าเค้าต้องดูแลลูกตาลได้เป็นอย่างดี”

“พี่ผู้ใหญ่นี่ไม่รู้อะไรเลย เฮ้อ” ประพาสถอนหายใจ เก็บความลับพัดชาไว้จะบอกก็ไม่ได้ อึดอัดจริงๆ พี่ผู้ใหญ่ก็ดันมาช่วยทำให้เรื่องมันยุ่งขึ้นไปอีก

“ไม่รู้อะไรหรอ” ผู้ใหญ่หันมามองหน้า เห็นประพาสส่ายหน้าก็หัวเราะ

“สมน้ำหน้า อยากเก็บความลับไว้เยอะ ไม่ได้บอกใคร ก็อกแตกตายไปคนเดียวเหอะ...อ้อ...แล้วช่วยเขาน่ะ ตัวเองน่ะเอาตัวรอดได้หรือยัง.....”

ประพาสทำหน้ามุ่ย ผู้ใหญ่มองหน้าแล้วยิ้ม.....


ที่โรงพยาบาลในเวลากลางคืน........

ห้องของประเวศอยู่ในความเงียบ..ทั้งๆที่มีคนอยู่ถึง 2 คน

ทั้งสองลอบมองกันไปมา แต่ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะเอ่ยปากพูดอะไร

พัดชาค่อยๆ คลี่กระดาษ นั่งมองดูอยู่เงียบๆๆ ในขณะที่ประเวศนอนมองดูพัดชาอยู่

แต่เขาไม่รู้ว่า พัดชากำลังดูอะไร..และสุดท้าย เขาก็ทนไม่ไหว

“พัดครับ” ประเวศเรียกเสียงเบา แต่พัดชากำลังมองเหม่อ จึงไม่ได้ยินที่เขาเรียก

“พัดครับ” เขาเรียกอีกครั้ง คราวนี้เสียงดังขึ้นกว่าเดิม พัดชาสะดุ้งน้อยๆ รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที

“ต้องการอะไรหรอคะ”..ต้องการให้พัดหันมามองผมบ้าง ประเวศคิดในใจ แต่ปากก็พูดออกไปว่า

“ผมขอน้ำหน่อยได้ไหมครับ”

“ได้ค่ะ” พัดชารีบวางรูปแล้วไปรินน้ำให้ประเวศ

ประเวศมองตาม เมื่อพัดชามาถึงที่ข้างเตียงจะยื่นให้ แต่ประเวศมองเฉย

“น้ำได้แล้วค่ะ” พัดชาพูด แต่ประเวศก็ยังมองเฉย

“คุณเวศ” พัดชาหันมามองหน้า สบตากัน ประเวศจึงพูดออกมาเบาๆ

“ตอนนี้มือผมไม่มีแรง พัดช่วยป้อนหน่อยได้ไหม”

พัดชามองหน้า อึกอัก แต่ก็ต้องยอมช่วยพยุงประเวศลุกขึ้นนั่ง มือหนึ่งเอื้อมจับแผ่นหลัง อีกมือหนึ่งจับแขนประเวศไว้ ค่อยๆช่วยเขาดันตัวลุกขึ้น

แล้วก็ช่วยหยิบน้ำมาป้อน เรียบร้อยแล้วเอาแก้วน้ำวาง จัดการให้ลงนอนตามเดิม

แต่ประเวศกลับจับมือไว้ ไม่ยอมปล่อย

“คุณเวศ ปล่อยคะ” พัดชาพูดเบาๆ แต่ประเวศเฉย

“ผมไม่ปล่อยได้ไหมครับ” โถ คนดี อยากจับมือเขาก็ต้องขอด้วย

“ ไม่ได้ค่ะ คุณเวศ ปล่อยพัดนะ” พัดชาพูดเมินๆ “แล้วที่เมื่อกี้บอกมือไม่มีแรง ทำไมตอนนี้มีแรงขึ้นมาได้ละคะ”

“ก็ไม่รู้สิครับ ผมคงได้แรงใจจากพัดมั้ง” อูย...

พัดชาฟังแล้วอึ้งไป ประเวศจึงดึงเข้ามาใกล้อีก บอกเสียงเบาว่า

“คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ผมจะอยู่โรงพยาบาล เป็นคืนสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่กับพัด พัดจะตามใจผมหน่อยได้ไหม”

พัดชาอึ้งไปไม่ตอบ แต่ไม่ได้ขัดขืน ประเวศจึงดึงไปซบที่อก

“ชีวิตผม นึกถึงแต่ว่าผมโชคดีกว่าคนอื่นมาก เกิดมาก็สบายไม่ต้องดิ้นรน ผมจึงคิดแต่จะช่วยให้คนอื่นเขามีความสุข.....

อยากจะให้ทุกคนมีความสุข ส่วนผม จะทุกข์บ้างก็ไม่หนักหนาสาหัสอะไร ผมคิดอย่างนี้มาตลอด...

จนมาถึงวันนี้ ผมถึงได้รู้ว่า การช่วยให้คนอื่นมีความสุขในครั้งนี้ มันทำให้ผมทุกข์แสนสาหัส....ทุกข์จนแทบจะทนไม่ได้....แต่จะให้ผมปฏิเสธ พวกเขาเหล่านั้นก็จะกลายเป็นคนที่ทุกข์แทน....

ซึ่งผมคงปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้....ผมจึงยอมทุกข์ซะเอง....พัดเข้าใจผมไหม”

พัดชาพยักหน้ากับอกประเวศ พลางคิดในใจ ไม่ใช่คุณเวศคนเดียวที่ทุกข์แสนสาหัส พัดเองก็ไม่ต่างกัน...

ทั้งสองเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง ประเวศก็ยกมือข้างหนึ่งมาลูบหลังพัดชา

“ผมนึกว่าจะเป็นได้แค่ฝันซะอีก....” แล้วก็ลูบผมพัดชา “แต่พอนึกว่าเป็นความจริง..ก็...มีความสุขจัง”

พัดชาเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ประเวศ.....

“ผมจะไม่ลืมคืนนี้เลย....อ้อ ไม่ใช่สิ.............ตั้งแต่คืนนั้น คืนที่ผมฟื้น...ผมจะไม่ลืมช่วงเวลาที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นพัดเป็นคนแรกเลย เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตมีค่า และรู้ว่า ความสุขจากความรักมันเป็นยังไง....”

พัดชากระซิบกับอก “พัดก็จะไม่ลืมเหมือนกัน...”

“ก่อนที่พรุ่งนี้จะเดินทางมาถึง...ผมขอตักตวงช่วงเวลาที่มีความสุขตอนนี้ก่อนได้ไหม...เผื่อว่าพรุ่งนี้ ผมจะได้มีกำลังใจรับกับความทุกข์ที่จะเกิดขึ้น...”

และถ้าสิ่งที่เราต้องการมันจะไม่มีวันเป็นจริง...ก็ปล่อยให้ผมอยู่ในฝันก็แล้วกัน....”

พัดชาเงยหน้าขึ้นมองประเวศทันที....นี่มันคำพูดของเขาเมื่อคืนวานนี่นา...ที่เราคิดว่าละเมอ...ความจริงเขารู้ตัว...และตั้งใจพูด....

“พัดครับ...ถ้าจะกรุณา...ช่วยอยู่อย่างนี้ทั้งคืนได้หรือเปล่าครับ” ประเวศบอกเบาๆ

พัดชาซบหน้าลงกับอกประเวศเป็นคำตอบ...




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2548    
Last Update : 5 มีนาคม 2549 12:41:56 น.
Counter : 182 Pageviews.  

มนต์รักโคกสาริน...ตอนที่ ๒๓

เช้าวันใหม่...ที่ใครบางคนไม่อยากให้มาถึง

แต่สำหรับบางคนแล้ว...ก็ดูจะมีความสุขไม่น้อย

ที่บ้านปลัดกฤตย์..........

“กุ๊กโว้ยยยยยยย” เสียงปลัดกฤตย์ดังลั่น

“คร้าบบบบบบบ” เจ้ากุ๊กแอบเสียงดังไม่แพ้กัน ก่อนจะวิ่งกระโดกกระเดกเข้ามาหาปลัดที่ห้องอาหาร

มาถึงก็มาทำหน้าเซ็ง

“อะไรอีกครับ คุณปลัด”

“วันนี้ไม่มีไข่ดาวหรอวะ” ปลัดกฤตย์มองจานข้าวแล้วมองเจ้ากุ๊ก เจ้ากุ๊กถอนหายใจ

“เฮ้อ ปลัดเนี่ย ก็เมื่อวานผมทำไข่ดาวให้ ปลัดบอกจะกินไข่เจียว ทีมาวันนี้ผมทำไข่เจียว ปลัดก็อยากกินไข่ดาวซะงั้นน่ะ ตกลงปลัดจะเอาไงแน่เนี่ย จะกวนผมหรอ”

ปลัดกฤตย์มองเห็นเจ้ากุ๊กเซ็ง แล้วหัวเราะ

“เอ็งมานั่งนี่หน่อย...” ชี้มือให้มานั่งโต๊ะข้างๆ เจ้ากุ๊กเดินมานั่งอย่างงงๆ

“ที่ชั้นเรียกเอ็งมาเนี่ย ไม่ได้อยากกินไข่ดาวอะไรหรอก แต่อยากให้เอ็งมานั่งกินเป็นเพื่อนหน่อย”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ ปลัดเกิดกลัวอะไรขึ้นมาหรอไง ถึงกินข้าวคนเดียวไม่ได้ โตจนเป็นถึงปลัดแล้วเนี่ย ยังจะกลัวอะไรเป็นเด็กๆไปได้นะครับ”

เจ้ากุ๊กพูดกวน ปลัดหัวเราะ

“ เฮ้อ เอ็งนี่ ที่ข้าอยากให้เอ็งมานั่งกินข้าวด้วย ก็อยากคุยด้วยน่ะ แค่นี้เอง”

ปลัดกฤตย์ทำหน้ากรุ้มกริ่ม เจ้ากุ๊กเขิน แกล้งโวยวายกลบเกลื่อน

“โธ่ อยากคุยกับผมก็ไม่บอก ได้ๆ เดี๋ยวผมไปเอาจานข้าวมาก่อน”

แล้วก็วิ่งปรู๊ดเข้าไปในครัวทันที กลับมาพร้อมจานข้าว มานั่งข้างๆ ปลัด

“ว่าไงปลัด มีเรื่องอะไรจะคุยกับผม มีอะไรจะพูดก็รีบพูดมา ผมไม่ค่อยว่าง”

ปลัดกฤตย์หัวเราะหึหึ “เอ็งมาอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว”

เจ้ากุ๊กนับนิ้ว นับไปนับมาก็เลิกนับ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมลืมไปแล้ว”

“อืม ชั้นก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน เพียงแต่รู้สึกว่า ช่วงเวลาตอนนี้มันผ่านไปเร็วมาก”

เจ้ากุ๊กพยักหน้า “ผมก็รู้สึกอย่างนั้น วันแต่ละวัน ทำไมมันผ่านไปเร็วเหลือเกินก็ไม่รู้”

เจ้ากุ๊ก พูดแล้วนึกถึงพ่อ นี่เราหนีพ่อมานานเท่าไหร่แล้วนะ

“มีคนเคยบอกว่า...ช่วงเวลาแห่งความสุข มักผ่านไปเร็วเสมอ สงสัยจะจริงนะ”

เจ้ากุ๊กหันมามองหน้า “คุณปลัดพูดงี้ หมายความว่าไง”

“ก็หมายความว่า ที่เราสองคนรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วน่ะ ก็เพราะว่าเรามีความสุขกับช่วงเวลานี้ไง”

เจ้ากุ๊กอึ้งไป เมื่อนึกถึงความจริงที่ว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขที่มีในตอนนี้ มันคงจะไม่ยั่นยืนต่อไปแน่ๆ

ปลัดกฤตย์มองหน้าเจ้ากุ๊กแล้วว่า

“ไม่รำคาญหรอ ใส่หมวกทั้งวัน” พยักเพยิดไปที่หมวกแก๊บของเจ้ากุ๊ก

เจ้ากุ๊กพยักหน้า “รำคาญที่สุดเลยครับ....”

“อือ รำคาญแล้วไปใส่มันทำไม...ถอดออกเหอะ”

เจ้ากุ๊กส่ายหน้าทันที “ถอดไม่ได้ครับ เดี๋ยวคนอื่นรู้...”

“กลัวใครจะรู้หรอ ถ้าจะกลัวชั้นรู้ก็ไม่ต้องกลัว...”

ปลัดกฤตย์หยุดยิ้ม “เพราะชั้นรู้มาตั้งนานแล้ว...”

เจ้ากุ๊กค้อนปลัด “เออๆ ครับๆ ปลัดน่ะเก่ง ฉลาดเป็นที่หนึ่งเลย พอใจหรือยังครับ”

ปลัดหัวเราะ “พอใจแล้ว เออๆ ขอบใจที่ชม...ว่าแต่ เอ็งกลัวใครรู้”

เจ้ากุ๊กส่ายหน้า “ผมบอกปลัดไม่ได้”

“อ้าว ทำไมล่ะ เผื่อว่าชั้นจะช่วยอะไรได้นะ อย่าลืมสิ ว่าชั้นเป็นปลัด ถ้าใครจะมารังแกเอ็ง ชั้นจะจัดการให้”

เจ้ากุ๊กส่ายหน้าอีกรอบ

“ไม่มีใครช่วยผมได้หรอกครับ....” พูดเสร็จก็หน้าหมอง ปลัดมองอย่างเห็นใจ

“ชั้นก็ไม่รู้ว่าเอ็งมีอะไรนะ แต่ถ้าอึดอัดมาก อยู่ในบ้านไม่ต้องใส่หมวกก็ได้”

เจ้ากุ๊กหันขวับมามอง ปลัดกฤตย์เขยิบเข้ามาใกล้แล้วยิ้ม

“รู้ตัวไหม ว่าผมสวย เวลาปล่อยผม น่ารักกว่าตอนใส่หมวกแก๊บตั้งเยอะ...” ปลัดหยุดพูดนิดหนึ่ง

“ชั้นจะบอกอะไรเอ็งนะ...อย่างเอ็งน่ะ แต่งเป็นผู้ชายไม่ขึ้นหรอก”

เจ้ากุ๊กหันมาค้อน

“ใช่สิครับ ก็ผมมันไม่ได้เป็นผู้ชายจริงๆเหมือนใครบางคนนี่ ปลัดถึงจะได้ชอบน่ะ”

เจ้าเผลอพูดแล้วเอามือปิดปาก ปลัดหันมามอง

“เอ็งหมายถึงใคร” เจ้ากุ๊กเงียบ

“ถ้าจะหมายถึงคุณเวศละก็ วันนี้เราต้องพูดกันให้รู้เรื่อง” แล้วปลัดกฤตย์ก็ลากเจ้ากุ๊กมานั่งที่โซฟา...ดึงเจ้ากุ๊กลงมานั่งที่โซฟาเดียวกัน แล้วก็พูดขรึมๆ

“เอ็งมีอะไรสงสัยระหว่างชั้นกับคุณเวศ ก็ถามมา”

เจ้ากุ๊กขยับปากจะถาม แต่ก็ชะงัก “เอ่อ.......”

“ถ้าไม่ถามตอนนี้ ต่อไปจะไม่มีโอกาสถามแล้วนะ” ปลัดเร่ง เจ้ากุ๊กจึงรีบพูดขึ้นมาทันที

“เอ่อ คุณปลัดกับคุณเวศน่ะ เป็นอะไรกัน”

ปลัดกฤตย์ร้อง “เฮ้ย...หมายความว่าไง”

“ก็...ผมถามว่า คุณปลัดกับคุณเวศน่ะ เป็นอะไรกัน ก็ตอบมาสิครับ” เจ้ากุ๊กทำหน้าขึงขัง

“เอ็งคิดว่าชั้นจะเป็นอะไรกับคุณเวศหรอ” ปลัดกฤตย์พูดแล้วมองหน้าเจ้ากุ๊ก

“ก็...วันนั้นผมเห็น...เอ่อ ที่กระท่อมร้างนั่น คุณปลัดกับคุณเวศเอ่อ....” เจ้ากุ๊กอึกอัก

“นี่เอ็งเห็นด้วยหรอ...” ปลัดตกใจ “นี่เอ็งคงไม่คิดว่า..”

เจ้ากุ๊กพยักหน้า ปลัดกฤตย์จึงร้องลั่น

“เฮ้ย นี่เอ็งคิดอะไรอยู่เนี่ย จะบอกให้นะ วันนั้นที่เรานั่งดูหนังกันอยู่ ฝนมันตก ชั้นเลยไปหลบฝนที่กระท่อมร้าง ซักพัก คุณเวศเขาก็เข้ามา แล้วเราก็ไปนั่งที่แคร่กัน ทีนี้ แคร่มันผุ มันก็เลยหัก แล้วมันก็คงเป็นอย่างที่เอ็งเห็นนั่นแหละ”

“งั้นก็แสดงว่า...” เจ้ากุ๊กเสียงใสขึ้นมาทันที “ ปลัดกับคุณเวศไม่มีอะไรกัน”

“อ้าว เฮ้ย” ปลัดหันมามองหน้าเจ้ากุ๊ก

“แล้วเอ็งคิดจะให้มีอะไร นี่บอกไว้ก่อนนะ ชั้นน่ะ ไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้ชาย ชั้นยังชอบผู้หญิงอยู่...แม้ว่า...ผู้หญิงคนนั้นจะไม่ค่อยเป็นผู้หญิงสักเท่าไหร่”

พูดจบก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม เจ้ากุ๊กเขินหลบตา

“ปลัดบ้านี่ พูดอะไรไม่รู้” ปลัดกฤตย์หัวเราะ

“บอกแล้วไง ว่า บ้านะ ผู้หญิงเขาพูดกัน หรืออยากจะเป็นผู้หญิง เริ่มวันนี้เลยไหมล่ะ”

ปลัดว่า แล้วถอดหมวกเจ้ากุ๊กออกทันที ผมยาวคลี่สยายออกมา

เจ้ากุ๊กอึ้งไปครู่ ได้สติก็รีบแย่งหมวกมาจากปลัด แต่ปลัดไม่ยอมให้

“คุณปลัด เอาหมวกมา อย่ามาแกล้งผมนะ” เจ้ากุ๊กโวยวาย

ปลัดกฤตย์หัวเราะ หึหึ แล้วทำหน้าขรึมลงไป “ไม่ให้ จนกว่าเอ็งจะบอกชั้นก่อนว่า เอ็งไปรู้จักมักจี่กับคุณเวศได้อย่างไร”

เจ้ากุ๊กฟังแล้วเงียบ ส่ายหน้า “ผมยังบอกปลัดตอนนี้ไม่ได้ “

“แล้วเอ็ง...เอ่อ” ปลัดเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมา “เอ็งชอบคุณเวศเขาหรือเปล่า”

เจ้ากุ๊กสะดุ้งโหยง “อุ้ย คุณปลัด เอาอะไรมาพูด คิดไปได้ไงเนี่ย...ผมกับคุณเวศไม่ได้เป็นอะไรกันอย่างที่ปลัดคิดนะ”

ปลัดฟังแล้วยิ้มดีใจ เขยิบเข้ามาใกล้ “จริงหรอ”

“จริงสิครับ คุณปลัดนี่ อะไรที่ผมบอกได้ ผมก็บอกไปหมดแล้ว” เจ้ากุ๊กว่าทำหน้าง้ำ “ทีนี้ขอหมวกผมได้หรือยัง”

“อยู่บ้านอย่าใส่เลยนะ ปล่อยผมเหอะ ผมสวยจะตาย” ปลัดกฤตย์ยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วยกมือหนึ่งขึ้นลูบผมยาวของเจ้ากุ๊กพลางรำพึงว่า

“เฮ้อ มีความสุขจังเลย เอ็งมีความสุขไหม” หันไปถามคนข้างกาย เจ้ากุ๊กพยักหน้า แต่นึกในใจว่า ไม่รู้ว่าความสุขนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่....


ที่บ้านท่านส.ส.

มีการ์ดใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะทำงานของท่านส.ส. การ์ดสีชมพูเขียนหน้าซองว่า

“ขอเรียนเชิญท่านส.ส. มาเป็นเกียรติ ในงานหมั้น....


ผู้ใหญ่พิษณุเดินฮัมเพลงมาตามทาง

“ไม่ได้ตั้งใจเกิดมาเป็นเพลย์บอย...ที่คอยต้องทำให้เธอต้องช้ำใจ....ถึงจะเป็นเพลย์บอยแต่ก็มีความจริงใจ...จากนี้ตลอดไป....ขอรักเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น..."

ผู้ใหญ่ร้องมาเพลินๆ ก็มาถึงโคนต้นมะขาม (ต้นเดิม) หน้าบ้านประพาสกับเปรี้ยว

เห็นคนๆ หนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นมะขาม คนๆ นั้นคือ บุญออบนั่นเอง

ผู้ใหญ่พิษณุยิ้มให้พลางทัก “อ้าว อบต. มานั่งทำไรตรงนี้ครับ”

บุญออบยิ้มเขิน “เอ่อ...ผมเอ่อ..มารอเปรี้ยวครับ”

“อ๋อ...”ผู้ใหญ่ยิ้มๆ

“เมื่อกี้ผู้ใหญ่ร้องเพลงเพราะจังนะครับ ดูเหมาะกับผู้ใหญ่ดีนะครับ” อ้าว พูดงี้หมายความว่าไง พ่ออบต.

“อ๋อ หรอครับ” ผู้ใหญ่หัวเราะเขินๆ “ได้ข่าวมาว่าอบต.ก็ร้องเพลงเพราะนี่ครับ”

“ผมก็...แค่พอร้องได้เท่านั้นเองครับ ผมชอบ ขอเป็นพระเอกในหัวใจเธอมากกว่าครับ มันดูมั่นคง ไม่โลเลดีครับ” อ้าว พูดอย่างนี้หมายความว่าไง พ่ออบต.

“แหม อบต. ถึงจะเป็นเพลย์บอยแต่ก็มีความจริงใจนะครับ เอ่อ ผมหมายถึงเพลงน่ะครับ แหะๆ”

“ครับ ผมเข้าใจครับ....แล้วนี่ ผู้ใหญ่เอาอะไรมาครับ” บุญออบมองไปที่ของในมือผู้ใหญ่พิษณุ

ผู้ใหญ่มองตามก่อนจะชูกล้วยไม้สีชมพูขึ้นมาให้ดู

“กล้วยไม้สีชมพูครับ ผมเอามาให้เปรี้ยว พอดีพันธุ์นี้เพิ่งออกดอก คิดว่าเหมาะกับเขา”

“กล้วยไม้สีชมพู สวยดีนะครับ”

ผู้ใหญ่พิษณุยิ้ม “อบต. ชอบสีชมพูหรอครับ”

“ปกติก็ไม่ชอบครับ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าสวยดีนะครับ เดี๋ยวนี้ไม่รู้เป็นอะไร เจออะไรเป็นสีชมพูไปหมด”

“ครับ...ก็คงจะเป็นสีชมพูไปทั้งโลกแหละครับ...อย่างที่เขาบอกว่า คนมีความรัก โลกก็เป็นสีชมพู”

บุญออบยิ้มเขิน ที่ผู้ใหญ่พิษณุรู้ทัน

“แต่อบต. ต้องระวังหน่อยนะครับ” บุญออบหันมามองทันที

“ระวังอะไรหรอครับ”

“อบต. ต้องระวังอย่าให้มากกว่านี้ เดี๋ยวต้องไปขายล็อตตารี่แย่งลูกค้ากับตาหลักอีก” บุยออบหันมาอย่างงงๆ

“ทำไมผมต้องไปขายล็อตตารีแข่งกับตาหลัก”

“อ้าว ก็ความรักมันจะทำให้คนตาบอดน่ะสิครับ” อูย...มุข..แป๊ก...อีกแล้ว

บุญออบอึ้งไป...มุขผู้ใหญ่นี่ ขำจนเครียดเลยวุ้ย

ก่อนที่ผู้ใหญ่จะรู้สึกตัวว่ามุขแปีก เปรี้ยวก็วิ่งเข้ามาหา

“พี่ออบ รอนานไหม” เปรี้ยวมาถึงก็ถามทันที แต่พอมองไปเห็นผู้ใหญ่พิษณุที่ยืนอยู่ก็เขิน

“อ้าว พี่ผู้ใหญ่ มายืนอยู่ตรงนี้ด้วยหรอ”

ผู้ใหญ่ยิ้ม หึหึ “เห็นไหม เปรี้ยว พี่ยืนตัวล่ำๆ อยู่นี่ตั้งนาน เปรี้ยวมองไม่เห็น สงสัยตาเริ่มจะบอดแล้วล่ะ”

เปรี้ยวเขิน “แหม พี่ผู้ใหญ่ เปรี้ยวเห็นแล้วล่ะ แต่ยังไม่ทันได้ทักเท่านั้นเอง”

ผู้ใหญ่พิษณุยิ้ม “พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร อ๊ะ พี่เอามาให้ พันธุ์นี้สวย เพิ่งออกดอก” ผู้ใหญ่ยื่นดอกกล้วยไม้สีชมพูให้

เปรี้ยวรับไปแล้วอุทาน “โอ้โฮ สวยจังเลยพี่ผู้ใหญ่ สีชมพูสวยมาก”

ผู้ใหญ่หันไปมองหน้าบุญออบแล้วยิ้มนิดๆ เสียงเปรี้ยวพูดต่อไป

“พักนี้ไม่รู้เป็นไร เปรี้ยวว่าเจอสีชมพูเยอะจัง สวยดีเนอะ พี่ผู้ใหญ่” ผู้ใหญ่หันไปมองบุญออบอีกครั้ง แล้วยิ้ม

“เออ แล้วนี่นัดกันจะไปไหนเหรอ ไม่ไปตลาดกันหรอ”

“จะไปตลาดนัดจ๊ะพี่ผู้ใหญ่ วันนี้มีตลาดนัดเปิดท้ายขายของที่หลังวัด แล้วจะไปดูคุณดลกับโอ๋ เล่นดนตรีเปิดหมวกกันด้วย”

“ดีๆดีแล้วล่ะ ช่วงนี้ที่ตลาดมีบรรยากาศไม่ค่อยน่าไปเท่าไหร่”

เพราะมีคนๆหนึ่งปักหลักรออยู่ที่ร้านอาโกชาน่ะสิ ผู้ใหญ่พิษณุคิด เมื่อกี้เขาเกือบเลี้ยวเข้าตลาดอยู่แล้ว เห็นใครบางคนนั่งอยู่ เขาแทบถอยหลังกลับไม่ทัน

บุญออบกับเปรี้ยวมองหน้ากัน แล้วบุญออบก็ว่า

“เราไม่อยากหนีหรอกนะครับ เพียงแต่ตอนนี้เราไม่อยากเจอ”

“ครับ ผมเข้าใจ ไม่หนีก็ดีแล้วครับ เพราะถ้าคนเรามันจะเจออะไรสักอย่าง ให้หนียังไงมันก็ต้องเจออยู่ดี” ผู้ใหญ่พูดแล้วหยุดนิดหนึ่ง

“จะไปตลาดก็ไปกันเถอะ ช้าเดี๋ยวตลาดวาย”

“แล้วพี่ผู้ใหญ่ไม่ไปกับเราหรอ” เปรี้ยวถาม ผู้ใหญ่พิษณุส่ายหน้า

“ตอนนี้พี่ยังไม่ไป ไปกันก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่ตามไปแล้วกัน” ผู้ใหญ่ว่าพลางนั่งลงบนแคร่ใต้ต้นมะขาม

ทั้งสองคนจึงพากันเดินออกไป ได้ยินเสียงบุญออบบอกกับเปรี้ยวว่า

“เนี่ย กว่าจะมาถึงบ้านเปรี้ยวได้ พี่เหนื่อยแทบแย่”

“อ้าว ทำไมล่ะพี่ออบ บ้านเปรี้ยวไม่ได้อยู่ไกลสักหน่อย”

“พอดีพี่หลงทางน่ะ”

“หลงได้ไง ก็เคยมาแล้วนี่”

“ไม่รู้สิ สงสัยไปหลงทางในหัวใจเปรี้ยวมั้ง....” อูย..

ผู้ใหญ่พิษณุได้ยินแล้วหัวเราะ หึหึ เอนตัวพิงต้นมะขาม ฮัมเพลงเดิม

....ไม่ได้ตั้งใจเกิดมาเป็นเพลย์บอย....ที่คอยต้องทำให้เธอต้องช้ำใจ....


เสียงดนตรีเปิดหมวกดังลอยลมมาจากใต้ต้นโพธิ ที่ปฎลและโอริโอ๋เล่นดนตรีกันอยู่

เมื่อเล่นเพลงจบ ทั้งสองก็นั่งพัก

“วันนี้โอ๋เป็นอะไร เล่นผิดโน๊ตตั้งหลายครั้ง” ปฎลถามแล้วยื่นขวดน้ำส่งให้

โอริโอ๋รับน้ำไปดื่มแล้วบ่น

“ก็โอ๋เครียด โอ๋สงสัยเรื่องถุงคุ๊กกี้ 2 ถุงนั้นที่พี่เวศเก็บไว้อ่ะ”

“จะสงสัยไปทำไม พี่เวศเขาอาจจะเก็บไว้ดูแบบแพ้กเกทจิ้งก็ได้มั้ง”

“มันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย ก็ถุงคุ๊กกี้ธรรมดานี่นา โอ้ย โอ๋เครียด”

“น่า โอ๋ อย่าเครียด สงสัยอะไรก็ไปถามพี่เวศได้ วันนี้พี่เวศจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว”

“เออ จริงๆด้วย วันนี้พี่เวศออกจากโรงพยาบาล ไว้เราไปหากันเลยไหม” โอริโอ๋จะรีบลุกไป แต่ปฎลคว้ามือไว้

“เดี๋ยว โอ๋ ยังเช้าอยู่เลย ตลาดก็ยังไม่วาย กว่าพี่เวศจะออกจากโรงพยาบาลก็สายๆ นั่นแหละ มาเล่นเพลงกันต่อเถอะ”

“เอาเพลงไรดี....”

“เอาเพลงไรก็ได้...แต่ต้องเป็นเพลงรักนะ”อุ้ย..

แล้วทั้งสองก็เล่นเพลงร่วมกันต่อไป

สักพักเปรี้ยวกับบุญออบก็มาหยุดดู เมื่อทั้งสองเล่นเพลงเสร็จก็เดินเข้าไปหา

“เพลงเพราะจังเลยโอ๋ คุณดล” เปรี้ยวชม

“แต้งค์นะ เปรี้ยว พอดีวันนี้โอ๋เครียดไปหน่อย ไม่งั้นจะดีกว่านี้”

“เครียดเรื่องไรอ่ะ” เปรี้ยวถาม

“ก็ ไม่มีอะไรหรอก ก็รู้อยู่นี่ ว่าโอ๋เขาชอบเครียด เขาเครียดได้ทุกเรื่องแหละ ตอนนี้ก็เครียดเรื่องใหม่แล้ว”

“เรื่องอะไรหรอครับ” บุญออบถาม

“ก็เครียดเรื่อง...เรื่องกลัวดลจะไม่รักมั้ง” อูย..ติดอบต.ไปแล้วจริงๆด้วย ปฎลเอ๋ย

บุญออบกับเปรี้ยวฟังแล้วยิ้ม แต่โอริโอ๋เขิน จึงเผลอตัวทุบหลังปฎลไปทีนึง ดัง บึกกกกก......

ปฎลร้องเสียงหลง “โอ้ยยยยยย” หลังแทบหัก

โอริโอ๋ตกใจ “ดล เป็นอะไรมากไหม โอ๋ขอโทษ มือหนักไปหน่อย”

“ไม่เป็นไร ดลไม่เป็นไร แค่....โดนความรักทำร้าย” อูย..

บุญออบกับเปรี้ยวหัวเราะ บุญออบนึกในใจ เอ..มุขแบบนี้นี่ เราต้องเป็นคนพูดไม่ใช่หรอ ว้า คุณดลนี่ มาแย่งซีนเราทำไม

“แล้วนี่คุณดลกับโอ๋ร้องเพลงกันเสร็จแล้วจะไปไหนกันต่อครับ”

“อ๋อ พอดีวันนี้พี่เวศจะออกจากโรงพยาบาลน่ะครับ ดลกับโอ๋ก็เลยจะไปรับ” ปฎลตอบ

“งั้นเดี๋ยวเราไปรับคุณเวศด้วยได้ไหม คุณดล” เปรี้ยวว่า

“ได้สิเปรี้ยว ไปกันเลยไหม”

แล้วทุกคนก็พากันออกเดินจากตลาดนัดเปิดท้ายเพื่อมุ่งไปที่โรงพยาบาล

ระหว่างทางบุญออบเดินคู่กับเปรี้ยวทางด้านหลัง กระซิบว่า

“เปรี้ยวๆ......”

เปรี้ยวหันมามอง “มีอะไรหรอพี่ออบ”

บุญออบหันมาจ้องตา “ช่วยดูให้หน่อย ตาพี่เป็นไรไม่รู้”

เปรรี้ยวมองไปที่ดวงตาของบุญออบ แล้วว่า

“พี่ออบเป็นอะไร ผงเข้าตาหรอ....เขี่ยให้ไหม”

“ไม่ต้องจ๊ะ....แค่....ความรักมันเข้าตาน่ะ...ไม่ต้องเขี่ยออกหรอก ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ”...ทำไปได้ พ่ออบต.


ที่โรงพยาบาล..........

ประเวศนอนอยู่บนเตียง หลับตา...มือทั้ง 2 ข้างของเขาว่างเปล่าเพราะว่า.....นี่มันเช้าแล้ว...

...อยากหลับตาอยู่อย่างนั้น ทำอยู่อย่างนั้น....ฝันถึงเธอเรื่อยไป.....เพราะว่าความจริงไม่มีทางใด.....ทำให้เราได้รักกัน....ทำได้แค่นั้น ทำได้แค่นี้....ทำได้เพียงแค่ฝัน...

ประเวศตื่นแล้ว แต่ยังไม่ยอมลืมตา เพราะเขารู้ว่า ความสุขที่ได้รับเมื่อคืนที่ผ่านมาจะหายไปทันที

แล้วก็มีเสียงกระซิบขึ้นมาเบาๆ

“คุณเวศคะ ตื่นเถอะค่ะ” เสียงพัดชานั่นเอง ประเวศนึกถึงไออุ่นที่คุ้นเคยเมื่อค่ำคืน

“ได้เวลาทานข้าว ทานยาแล้วค่ะ”

เท่านั้นแหละ ประเวศจึงค่อยๆลืมตาขึ้นมา เห็นพัดชาอยู่ตรงหน้า ก็ยิ้มให้

“ผมต้องตื่นจากความฝันแล้วใช่ไหม พัด”

พัดชาพยักหน้า หน้าหมองลง “ก็เราอยู่ในโลกแห่งความจริงนี่ค่ะ ไม่ใช่โลกแห่งความฝัน”

“แต่ถ้าเป็นไปได้ ผมขออยู่โลกแห่งความฝันดีกว่า ไม่รู้จะมาอยู่โลกแห่งความจริง ให้มันเจ็บปวดทำไม”

“คุณเวศอย่าพูดอย่างนั้นสิคะ ถ้าคุณเวศจะอยู่แต่ในโลกแห่งความฝัน จะมีคนเสียใจอีกมาก”

ประเวศอึ้งไป เขาลืมนึกไปว่า อุดมการณ์ของเขาคืออะไร ทำให้ผู้อื่นมีความสุข แม้ตัวเองจะเจ็บปวดก็ตาม

“ทานข้าว แล้วทานยานะคะ” พัดชาเข็นรถมาให้ถึงที่

ประเวศฝืนกินข้าว กินยา ร่างกายของเขาต้องแข็งแรงในเร็ววัน เพื่อความสุขของชาวโลก

ระหว่างนั้นเสี่ยมายก็เข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ

เขาเดินมาเงียบ ๆ โดยที่ทั้งสองคนไม่ได้สังเกตเห็น....สายตาเหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ที่โต๊ะ เขาหยิบขึ้นมาดู

กระดาษแผ่นนั้นที่เขียนหัวข้อว่า...My Girl…เมื่อได้เห็นรูปในกระดาษแผ่นนั้นแล้ว เขาอึ้งไปเล็กน้อย มองไปที่ 2 คนนั้นอีกครั้ง

หยิบรูปเก็บใส่กระเป๋า.....แล้วเดินยิ้มร่าเข้าไปหาคนทั้งสอง

เสี่ยมายมองไปที่ลูกชายที่นอนหน้าหมองอยู่บนเตียง

“ว่าไงเวศ วันนี้หน้าตาดูสดใสขึ้นนะ ลูก” เอ๊ะ สดใสตรงไหนหว่า

“ครับ ป๊า” ประเวศฝืนยิ้มรับคำ

“งั้นเดี๋ยวรอดลมาก่อน ก็เตรียมตัวออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว” เสี่ยมายพูดแล้วหันไปยิ้มกับพัดชา

“สวัสดีครับ คุณพัด วันนี้ผมเตรียมของคืนกำไรคุณพัดด้วย”

พัดชาหันไปสวัสดีเสี่ยมาย แล้วเสี่ยมายก็หยิบการ์ดสีชมพูขึ้นมา ยื่นให้พัดชา

“ช่วยไปเป็นเกียรติในงานหมั้นของเวศกับลูกตาลด้วยนะครับ คุณพัด”

ประเวศกับพัดชามองสบตากัน แล้วต่างก็อึ้งกันไป....




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2548    
Last Update : 5 มีนาคม 2549 12:44:00 น.
Counter : 263 Pageviews.  

มนต์รักโคกสาริน...ตอนที่ ๒๕

วันอาทิตย์มาถึงแล้ว......

ที่คฤหาสน์เสี่ยมาย มีการจัดงานหมั้นระหว่าง ประเวศ และลูกตาล (ความจริงต้องจัดที่บ้านฝ่ายหญิง แต่เสี่ยมายขอเจ๊เป็ดไว้ ว่าอยากคืนกำไรให้ชาวบ้านอีกครั้ง จึงตกลงจัดกันที่คฤหาสน์เสี่ยมาย)

งานนี้เสี่ยมายทุ่มทุนสร้างเต็มที่ มีการเชิญชาวบ้านมาหมดทั้งตำบลเหมือนเดิม เพื่อเป็นการคืนกำไรอีกครั้ง

ประเวศแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว นั่งมองงานหมั้นด้วยความเฉยเมย คนที่ตื่นเต้นกลับเป็นปฎลและโอริโอ๋ที่วิ่งวุ่นจัดเตรียมสถานที่อย่างสนุกสนาน

ทั้งสองวิ่งมาหาประเวศ

“พี่เวศ วันนี้ดลกับโอ๋จะได้ร้องเพลงโชว์ท่าน ส.ส. ที่จะมาเป็นประธานในงานด้วยนะ” ปฎลอวดด้วยความตื่นเต้น

“เหรอ” ประเวศตอบแค่นั้น

“งานนี้เราต้องทิปเยอะแน่ๆเลยพี่เวศ” ปฎลพูดขึ้นมาอีก

“หรอ” ประเวศยังพูดคำเดิม

“แล้วคราวนี้ เราจะไปได้ไปออสเตรียกับฝรั่งเศสกันเร็วๆ เนอะ”

โอริโอ๋หันมายิ้มกับปฎล ประเวศมองทั้งคู่แล้วสะท้อนใจ

ทำไมเราถึงไม่มีโอกาสที่จะมีความสุขเหมือนคนอื่นเขาบ้างนะ...หรือว่าการที่เรารับบทเป็นคนที่มอบความสุขให้กับผู้อื่นจะทำให้เราต้องสูญเสียความสุขของเราไป ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้......

ประเวศคิดแล้วกำลังจะเดินขึ้นห้อง แต่ปฎลเรียกไว้ก่อน

“พี่เวศจะไปไหน”

“พี่จะขึ้นไปที่ห้องก่อน ยังไม่ถึงเวลาไม่ใช่หรอ”

“ลูกตาลเขาแต่งตัวอยู่ในห้องน่ะพี่” ปฎลบอก

“ตอนนี้โอ๋ว่าน่าจะแต่งเสร็จแล้วนะ ถ้าพี่เวศจะขึ้นไปห้อง เดี๋ยวโอ๋ไปดูให้ ว่าพี่ลูกตาลแต่งตัวเสร็จหรือยัง”

แล้วโอริโอ๋ก็ขึ้นห้องไป เห็นลูกตาลซึ่งอยู่ในชุดไทยแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว นั่งอยู่คนเดียวก็ถาม

“อ้าวพี่ลูกตาล ช่างแต่งหน้าทำผม ไปไหนซะล่ะ”

“ลงไปข้างล่างกันแล้ว เสร็จแล้วล่ะ เออๆ นี่ โอ๋ มีกรรไกรไหม มีเศษด้ายที่ตะเข็บตรงนี้ ดึงเท่าไหร่ก็ไม่ออก”

“ไหนๆพี่ลูกตาล” โอริโอ๋มาช่วยแต่ก็ดึงไม่ออก

“เอายังงี้ เดี๋ยวโอ๋หากรรไกรให้....ห้องพี่เวศต้องมีสิน่า” แล้วโอริโอ๋ก็ลงมือหากรรไกร ฝ่ายลูกตาลก็ช่วยหาด้วย

แล้วลูกตาลก็เจอลิ้นชักหนึ่งมีกุญแจเสียบคาอยู่จึงเปิดออกไป....เห็นถุงคุ๊กกี้ผูกริบบิ้น 2 ถุงวางอยู่ก็หยิบขึ้นมา ถามโอริโอ๋

“นี่อะไรอ่ะ โอ๋”

โอริโอ๋หันมาแล้วบอก “นี่ไงล่ะที่ทำให้โอ๋เครียดอ่ะ พี่เวศเขาเก็บไว้อย่างดีเลย ไอ้สองถุงนี้อ่ะ ไม่รู้เขาจะเก็บไว้ทำไม”

ลูกตาลพิจารณาดูอีกครั้ง ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรแปลก แล้วเวศเขาจะเก็บไว้ทำไม ลูกตาลจับพลิกดูแล้วทำท่าจะแก้ริบบิ้นออก

พลันก็มีเสียงประเวศดังขัดขึ้นมาทันที

“จะทำอะไรน่ะ ลูกตาล...”

ลูกตาลหันไปมอง ก็เห็นประเวศยืนอยู่ที่ประตูห้องพร้อมๆกับปฎล

“ก็ ยังไม่ได้ทำอะไร แค่สงสัยว่า เวศเก็บถุงคุ๊กกี้ไว้ทำไม”

“ ก็ไม่มีอะไรหรอก” ประเวศตอบเสียงขรึม แล้วเดินตรงไปหาลูกตาล

“ขอถุงคุ๊กกี้ให้ชั้นเถอะ”

ประเวศพูดเสียงเรียบๆ แต่ทุกคนรับรู้ได้ถึงกระแสความโกรธที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละน้อย

และลูกตาลก็รู้สึกถึงกระแสความโกรธนั้นได้เช่นกัน จึงส่ายหน้า

“ทำไมแกต้องโกรธด้วย แค่ถุงคุ๊กกี้แค่นี้ ถึงกับทำเป็นเรื่องใหญ่เลยหรอ”

ประเวศเอ่ยเสียงดังขึ้น “ขอถุงคุ๊กกี้ชั้นคืน ลูกตาล”

ลูกตาลก็เลยขึ้นเสียงใส่ “ไม่...แกต้องบอกมาก่อนว่าแกโกรธชั้นเรื่องอะไร แล้วไอ้ถุงคุ๊กกี้นี่มันมีความสำคัญกับแกมากขนาดไหน”

“แล้วทำไมชั้นต้องบอกแกด้วย นี่มันเป็นของๆชั้น เป็นของส่วนตัวที่ชั้นเก็บรักษาไว้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิที่จะหยิบ”

ประเวศข่มความโกรธไว้ แต่ความอดทนของเขาจากเรื่องหลายอย่างกำลังจะระเบิดออกมา

ประเวศหลับตา ภาพเหตุการณ์หลายๆอย่าง ผ่านเข้ามาในความคิดคำนึง คนดีอย่างเขา ที่คอยช่วยเหลือคนอื่นมาตลอด เขาภูมิใจทุกครั้งที่ทำให้คนอื่นมีความสุข ทุกคนยิ้ม ดีใจ ในความช่วยเหลือของเขา แต่ความรู้สึกดีๆก็จบสิ้นลง เมื่อภาพแห่งความคิดคำนึงมาถึงภาพสุดท้าย ภาพของพัดชา.....

เขาทำให้คนอื่นมีความสุขได้ทุกคน แต่ทำไมมาถึงเรื่องนี้เขาจึงยอมให้คนๆหนึ่งมีความทุกข์.......

และเพียงความต้องการของเขาเพียงเล็กน้อย...ทำไมถึงให้เขาไม่ได้....

ทำไมไม่ปล่อยให้เขามีความสุขสักนิดอย่างที่เขาต้องการบ้าง.....ทำไม

ประเวศคิด แล้วลืมตาขึ้นมา

“ขอร้องละ ชั้นเองก็ทำตามความต้องการของทุกคนแล้ว ช่วยทำตามที่ชั้นต้องการสักเรื่องหนึ่งเถอะนะ ขอให้ชั้นได้มีอะไรเป็นส่วนตัวแค่เพียงน้อยนิดเท่านั้นน่ะ จะได้ไหม”

ประเวศจ้องตากับลูกตาล ลูกตาลเห็นแววตาของประเวศแล้วก็เสหลบ ยื่นถุงคุ๊กกี้นั่นให้

“ของสิ่งนี้คงสำคัญกับแกมากใช่ไหม เอ่อ....คงเป็นของคนสำคัญใช่ไหม” ลูกตาลถามเบาๆ

ประเวศพยักหน้า รับถุงคุ๊กกี้มาถือไว้อย่างทนุถนอม

“มันอาจไม่สำคัญในสายตาใคร แต่มันสำคัญในสายตาชั้นที่สุด เพียงเพราะว่า มันเป็นของที่คนๆหนึ่งได้ให้ชั้นไว้ มันก็เป็นถุงคุ๊กกี้ธรรมดาเนี่ยแหละ.....ที่เขาให้ชั้นในช่วงเวลาธรรมดาๆ .....เราคุยกันอย่างธรรมดา แต่รู้ไหม ช่วงเวลานั้นมันกลับพิเศษที่สุดในสายตาชั้น”

“แล้วคนๆ นั้นก็คือ มายเกิร์ลของแก คุณพัดใช่ไหม” ลูกตาลโพล่งออกมา ทำเอาทุกคนตะลึง

ประเวศพยักหน้ารับ “ใช่....”

สิ้นเสียงประเวศห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ปฎลกับโอริโอ๋มองหน้ากัน

“แล้ว...รูปนั่น”ลูกตาลพูดขึ้นมาอีก ประเวศตาวาวขึ้นมาทันที

“ใช่ๆ รูปนั่น ชั้นกำลังหาอยู่ แต่ก็ไม่เจอ อย่าบอกนะว่า แกเป็นคนเอาไป” ประเวศถามเสียงร้อนรน

ลูกตาลพยักหน้า แล้วก้มหน้าลง....ประเวศมองอย่างลูกตาลอย่างปวดร้าว

“แกทำอะไรลงไปน่ะ ลูกตาล รู้ไหมว่ารูปนั่น ชั้นตั้งใจวาดให้เขา ชั้นใส่ความรักลงไปในรูปนั้น ก็เพื่อจะให้เขา ที่เป็นคนสำคัญในชีวิตชั้น คนสำคัญที่ชั้นไม่เคยทำอะไรให้เลย แล้วแก.....”

ประเวศพูดไม่ออก ลูกตาลตรงเข้าไปเกาะแขน

“เวศ ชั้นขอโทษ ชั้นไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะให้แกเจ็บปวดขนาดนี้ มันเป็นที่ชั้นเอง...มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบของชั้นเอง”

“แกไม่ต้องโทษตัวเองหรอก แกไม่ได้ตั้งใจชั้นรู้ ชั้นเพียงแต่เสียใจ ที่แค่รูปแค่นี้ก็ทำให้เขาไม่ได้ ชั้นไม่เคยทำให้คนอื่นเสียใจ แต่ชั้นกลับทำให้เขาเสียใจอยู่เรื่อย.....

ชั้นมันไม่ดีเองแหละ....ทำเพื่อคนอื่นได้หมด แต่ทำเพื่อคนที่ตัวเองรัก....กลับทำไม่ได้......

แล้วทำไม....การที่ชั้นคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นเป็นใหญ่ แคร์ความรู้สึกของทุกคน มันไม่ได้หมายความว่าชั้นเองไม่มีความรู้สึกหรอกนะ...ทำไมไม่มีใครคิดถึงความรู้สึกชั้นบ้าง”

ทุกคนอึ้งไปอีกครั้งหนึ่ง

ประเวศพูดจบแล้วก็ก้มหน้า ลูกตาลเข้ามาจับแขนไว้อย่างเป็นห่วง ปฎลกับโอริโอ๋มองหน้ากันแล้วทำหน้าเศร้า

แต่แล้วก็มีมือๆหนึ่งยื่นรูปมาให้ประเวศ....เสี่ยมายนั้นเอง

เสี่ยมายมายืนฟังประเวศอยู่นานแล้ว ในชีวิตของเขาสนใจแต่จะคืนกำไรให้กับคนอื่นมาตลอด และสอนให้ลูกชายทำเหมือนอย่างเขา แต่เขาลืมไปว่า ลูกชายของเขาเองจะต้องขาดทุนไปเท่าไหร่กับการคืนกำไรที่แสนเจ็บปวดในครั้งนี้

เขาไม่เคยตั้งใจจะทำร้ายลูกขาย เพียงแต่คิดว่า สิ่งไหนเหมาะสมกับลูก เพียงแต่เขาลืมคิดไปว่า คนที่จะตัดสินว่าอะไรเหมาะสมกับลูกหรือไม่นั้น ควรจะเป็นลูกชายของเขาเอง ไม่ใช่ตัวเขา

เมื่อคิดได้ดังนี้ เสี่ยมายจึงเอารูปมาคืนประเวศ

ประเวศเงยหน้าขึ้นมา เห็นป๊ามองมาด้วยสายตาแห่งความปราณี ก็อึ้ง

“ป๊า นี่มัน...”

“เวศ ป๊าขอโทษนะ นี่รูปของเวศใช่ไหม”

“ใช่ครับ ป๊าเอามาได้ยังไง” ประเวศรับรูปนั้นไปอย่างเบามือ เห็นได้ชัดว่าเป็นรอยเปียกน้ำครึ่งหนึ่ง

“ป๊าเห็นมันอยู่ในห้องพักคนไข้ของเวศน่ะ...เวศ ป๊าเองอยากจะบอกเวศว่า....

ป๊าเสียใจ ที่ทำให้เวศเจ็บปวดแบบนี้ ป๊ามันผิดเองแหละ อยากจะให้เวศเป็นคนดี คืนกำไรให้สังคม เวศก็เป็นคนดีสมใจป๊าทุกอย่าง แต่ป๊ากลับยังไม่พอใจ อยากจะให้เวศดีให้มากกว่านี้ ดีกับทุกคน จนลืมไปว่า.......

ลืมไปว่า...ทุกคนมีความสุข แล้วเวศมีความสุขหรือเปล่า....อยากให้เวศช่วยเหลือคนอื่น...แต่ลืมไปว่า เวลาที่เวศเดือดร้อน....จะมีใครมาช่วยหรือเปล่า.......

ป๊าลืมไปแม้กระทั่งเรื่องของจิตใจ....จิตใจมันบังคับกันไม่ได้ แต่ป๊าก็ยังอุตส่าห์บังคับให้เวศทำตามใจของป๊าและทุกคน....ตอนนี้ป๊ารู้แล้ว...ว่าเวศต้องเจ็บปวดขนาดไหน....

ถ้าป๊ารู้ว่าเวศทำให้ป๊ามีความสุข...แล้วเวศต้องทุกข์แบบนี้....ป๊าจะไม่ทำเด็ดขาด.....”

เสี่ยมายพูดแล้วโอบไหล่ประเวศไว้ ประเวศมองเสี่ยมายอย่างซึ้งใจ

“ขอบคุณมากนะครับป๊าที่เข้าใจผม”

เสี่ยมายยิ้มแล้วหันไปหาลูกตาล ลูกตาลพยักหน้าให้

“เดี๋ยวป๊าจะลงไปบอกยกเลิกงานหมั้นวันนี้เอง”

“อย่านะครับป๊า งานนี้ใหญ่มาก ยกเลิกตอนนี้ ทั้งป๊า เจ๊เป็ด และลูกตาลจะต้องเสียหน้านะครับ” ประเวศยังไม่วายเป็นคนดี แต่เสี่ยมายส่ายหน้า

“เลิกคิดถึงคนอื่นสักครั้งเถอะเวศ ทำเพื่อตัวเองบ้าง เวศทำให้ป๊ามามากแล้ว ถึงเวลาที่ป๊าจะทำให้เวศบ้างนะ”

“ชั้นก็เหมือนกัน ชั้นก็อยากทำให้แกบ้างนะ” ลูกตาลพูดแล้วยิ้มให้

เสี่ยมายจึงชวนทุกคน

“งั้นเราลงไปบอกยกเลิกงานกันดีกว่า”

“ไม่ทันแล้วครับป๊า “ปฎลมองไปที่หน้าต่าง

“นั่น ท่านส.ส.และแขกผู้ใหญ่มากันหมดแล้ว”......





 

Create Date : 19 ธันวาคม 2548    
Last Update : 5 มีนาคม 2549 13:53:59 น.
Counter : 189 Pageviews.  

มนต์รักโคกสาริน...ตอนที่ ๒๖

บ้านปลัดกฤตย์......

“กุ๊กเว้ยยยยยย” เสียงปลัดเรียกลั่นบ้าน

“คร้าบบบบบบ” เจ้ากุ๊กวิ่งตึงตังมาหาปลัด “เสร็จแล้วครับ ปลัดนี่เร่งจังเลย”

“อ้าว ไม่เร่งได้ไง เดี๋ยวไม่ทัน แต่งตัวก็เป็นผู้ชาย จะสำอางค์อะไรหนักหนาวะ”

แล้วปลัดกฤตย์ก็ยิ้ม ช่วยจับหมวกแก๊บบนหัวเจ้ากุ๊กให้เข้าที่

“อ้าว ก็ผมไม่ได้แต่งตัวเป็นผู้ชายมาตั้งแต่เกิดเหมือนคุณปลัดนี่ครับ โธ่”

“แล้วไอ้.... ครับ ผม... นี่อีก ทำไมยังจะพูดอยู่อีก”

“คุณปลัดนี่ไม่รู้อะไร ใครๆเขาก็เห็นว่าผมเป็นผู้ชายทั้งนั้น...ถึงแม้คุณปลัดจะไม่เห็นก็เถอะ แล้วทีนี้จะให้ผมเปลี่ยนมาพูดคะขา ได้ไงล่ะคุณปลัด”

ความจริงเรากลัวลูกน้องพ่อผิดสังเกตต่างหาก... เจ้ากุ๊กคิด

“เวลาอยู่บ้าน ไม่ต้องพูดก็ได้นี่ อยากฟังเอ็ง...คะขา จ๊ะจ๋า.....มั่งอ่ะ”

ปลัดกฤตย์ยิ้มกรุ้มกริ่ม เจ้ากุ๊กเขิน จึงแกล้งโวยวายกลบเกลื่อนตามฟอร์ม

“โอ้ย จะอ้วกอ่ะ ปลัดนี่น้ำเน่าจริงๆ ให้ตายผมก็ไม่พูดอย่างนั้นเด็ดขาด ผมจะพูดอย่างนี้แหละ มันจะได้ชิน ถ้าขืนพูดนอกบ้านแบบหนึ่ง ในบ้านแบบหนึ่ง สับสนตายเลย สักวันก็หลุดจนได้”

“เออๆ ไม่พูดก็ไม่พูด ไม่เห็นจะต้องมาว่าน้ำเน่าเลยนี่หว่า ถ้าเสร็จแล้วก็รีบไปเลย”

แล้วปลัดกฤตย์ก็รีบจูงมือเจ้ากุ๊กออกจากบ้านไป ก่อนที่มันจะค่อนขอดอะไรไปมากกว่านี้

ระหว่างทาง ทั้งสองเดินกันไป แหย่กันไป อย่างมีความสุข

เดินมาถึงหน้าตลาด เจ้ากุ๊กก็เกิดสงสัยขึ้นมา หันมาถามปลัดกฤตย์ว่า

“ปลัดๆ” ปลัดกฤตย์หยุดเดินหันมาขมวดคิ้ว

“อะไรหรอเอ็ง อะไรกัดอีกล่ะ”

เจ้ากุ๊กทำหน้าเซ็ง “ไม่ใช่ครับ ปลัดนี่ก็ เอ้อ ผมมีเรื่องสงสัยอยากถามปลัด”

“อ้าว สงสัยอะไรก็ว่ามา”

“คือ ปลัด...รู้ว่าผมเป็นเอ่อ...ผู้หญิงตั้งแต่ตอนไหน”

ปลัดกฤตย์ฟังแล้วยิ้มกวนๆ

“ชั้นสงสัยว่าเอ็งเป็นผู้หญิงตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้านั่นแหละ แต่มาแน่ใจก็คืนนั้น....”

ปลัดหยุดนึกแล้วยิ้ม “คืนที่เอ็งหัวโขกเตียงน่ะ ตอนนั้นเอ็งมาเปิดประตู....แล้ว” ปลัดหยุดหัวเราะ

“เอ็งก็ลืมใส่หมวก....”

เจ้ากุ๊กทำตาโต ตกใจ

“จริงหรอครับ งั้นปลัดก็รู้มาตลอด...เอ แล้วทำไมผมถึงไม่รู้ตัวว่า หมวกหลุด” เจ้ากุ๊กเกาหัว

“ก็เอ็งมันก็เป็นซะอย่างงี้ไง โก๊ะกังไม่มีใครเกิน เป็นคนอื่นเขาก็รู้กันไปแล้ว....แต่....โก๊ะๆ แบบนี้ก็น่ารักดีนะ” ปลัดยิ้ม เจ้ากุ๊กเขิน แต่แกล้งพาล

“เฮ้อ แล้วปลัดรู้แล้วทำไมไม่บอกผม มาแกล้งหลอกให้ผมทำแมนอยู่ได้”

“อ้าว ก็เอ็งอยากแมน ก็แมนซะให้สมใจ แต่ขอบอกนะ ที่เอ็งทำน่ะ มันไม่ได้เรียกว่าแมนเลย...อีกอย่างหนึ่ง...เอ็งท่าจะดูละครมากไปหน่อยหรือเปล่า ถึงคิดว่าผู้หญิงปลอมตัวเป็นผู้ชายแล้วจะมองไปไม่ออกนะ”

เจ้ากุ๊กค้อนให้ “ปลัดไม่ต้องมาว่าผมเลย ก็ผมเห็นปลัดทำเฉย ผมก็นึกว่าปลัดไม่รู้สิ”

ปลัดกฤตย์หัวเราะ “ก็กลัวเอ็งจะอายน่ะสิ อีกอย่างหนึ่งถึงหมวกไม่หลุดชั้นก็รู้อยู่ดีแหละ” ปลัดหยุดแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม

“แค่ตอนอุ้มกับตอนที่ล้มลงไปกอดน่ะ แค่นี้ก็รู้แล้ว...” อุ้ย

เจ้ากุ๊กเขินหน้าแดง “เฮ้ย ปลัดนี่พูดบ้าๆ.....” แล้วก็เลยเดินแซงหน้าปลัดไป

ปลัดกฤตย์หัวเราะ แล้วเดินตามมาคว้าแขน

“ก็เอ็งความรู้สึกช้าจะโทษใครล่ะ หมวกหลุดตั้งสามครั้งยังไม่รู้”

“ใครว่าผมไม่รู้ ก็ครั้งที่สามนั่น.....” ครั้งที่ปลัดก้มลงเก็บหมวก แล้วบรรจงรวบผมแล้วใส่หมวกให้น่ะ ใครจะไม่รู้...แต่ที่ต้องนิ่งไว้ เพราะตกใจแล้วก็ทำอะไรไม่ถูกต่างหาก

ปลัดกฤตย์หันมาจ้องตา แล้วยิ้ม

“ครั้งนั้นชั้นก็รู้ว่าเอ็งรู้ หนอย ใส่หมวกให้ซะอย่างนั้นยังไม่รู้...วันหลังไม่ทำแค่ใส่หมวกหรอก.... ทำอย่างอื่นดีกว่า”

เจ้ากุ๊กเขินอีกครั้ง ทุบแขนปลัด

“บ้า ปลัด เอาอีกแล้วนะ ถ้าทำไรผม เดี๋ยวผมต่อยให้จริงๆด้วย”

“เออๆ กลัวตายละเอ็ง ถ้าจะทำจริงน่ะนะ บอกให้ ไม่ทันได้เงื้อมือหรอก” เจ้ากุ๊กฟังแล้วเบ้หน้า

“ แหมๆ หมั่นหน้าจริงๆ ปลัดนี่...........”

ปลัดกฤตย์หัวเราะ จับมือเจ้ากุ๊กพาเดินต่อไป ฮัมเพลงไปด้วยระหว่างทาง

...เล็กๆน้อยๆ เราก็ยอมกันไป.....ความจริงในใจยังโกรธ...เล็กๆน้อยๆ เราก็ยอมอภัย....ใจจริงน่ะกลัวเป็นโสด......

รักเรามันคงจะเป็นอย่างนี้เพราะมีกันอยู่สองคน........


ปลัดกฤตย์กับเจ้ากุ๊กเดินจูงมือกันไปจนถึงหน้าวัดโคกสาริน

เจ้ากุ๊กมองไปในวัด แล้วก็หยุด สะกิดปลัด

“คุณปลัด นั่นๆ” ปลัดกฤตย์หยุดเดินหันไปมองตามสายตาเจ้ากุ๊ก

นั่นมัน...พัดชานี่นา...แล้วมาทำอะไรที่วัดนี่ล่ะ

ทั้งสองคนหันมามองหน้ากัน แล้วพยักหน้า...ค่อยๆเดินเข้าวัดกันไปอย่างเงียบๆ

ทั้งสองเข้าไปยืนแอบที่หลังต้นโพธิ ก็เห็นพัดชากำลังยืนคุยกับหลวงพ่อและมัคนายกกานต์

ทั้งสองหันมามองหน้ากันอีกครั้ง ต่างส่ายหน้าเพราะไม่ได้ยินที่เขาพูดกัน

สักพักหลวงพ่อก็เดินออกไป เห็นมัคนายกกานต์หยิบหนังสือสวดมนต์ให้พัดชา แล้วสวดมนต์ให้พัดชาสวดตาม

ทั้งสองเห็นว่ามัคนายกกานต์กำลังจัดรูปปากให้กับพัดชาอยู่ ก็หันมามองกันอีกครั้ง

“หรือว่า.....” เจ้ากุ๊กกระซิบ “คุณพัด......”

ปลัดกฤตย์พยักหน้า “ก็คุณเวศกับคุณพัดเขา... แล้ววันนี้ก็วันหมั้นของคุณเวศ”

“คุณพัดเขาคงเสียใจ......” เจ้ากุ๊กกระซิบต่อ

“ใช่ ๆ ก็ความรักไม่สมหวัง ผู้หญิงเขาต้องทำยังไงกันเล่า” ปลัดกฤตย์กระซิบตาม

“หรือว่า...คุณพัดจะ....บวชชีเพราะหนีรัก...” เฮ้ย เจ้ากุ๊กโพล่งออกมา แล้วก็ค้อนปลัด

“บ้าน่า คุณปลัด คุณปลัดนี่น้ำเน่าจริงๆ ผู้หญิงอกหักแล้วไปบวชชีน่ะ มันสมัยไหนแล้ว”

“อ้าว ไม่รู้หรอ ไม่งั้นคุณพัดเขาจะมาให้มัคนายกกานต์สอนสวดมนต์จัดรูปปากอยู่ทำไมล่ะ”

เจ้ากุ๊กเงียบไป น่าสงสารพี่เวศจังเลย ต้องหมั้นกับคนที่ไม่ได้รัก แถมคนที่รักก็กลับต้องพรากจากกันไปอีก

คิดได้ดังนั้นก็คว้ามือปลัดกฤตย์เตรียมจะวิ่งออกไป

“นี่ๆ เอ็งจะพาชั้นไปไหน” ปลัดรั้งแขนไว้

“เราต้องไปบอกคุณเวศนะคุณปลัด “ เจ้ากุ๊กหันมาบอกอย่างร้อนรน

“เราจะปล่อยให้คนที่รักกันต้องพรากจากไปต่อหน้าต่อตา โดยที่เราไม่ได้ช่วยอะไรเลยไม่ได้นะ”

ปลัดพยักหน้า “อืมๆ ชั้นเข้าใจแล้ว ชั้นเห็นด้วย งั้นเรารีบไปกันเถอะ ก่อนที่จะไม่ทันการ”

ทั้งสองพยักหน้าให้กัน แล้วพากันวิ่งออกจากวัดไป....


พัดชากำลังสวดมนต์จัดรูปปากกับมัคนายกกานต์ จนเป็นที่พอใจของมัคนายกแล้ว จึงว่า

“อืม หนูพัด รูปปากใช้ได้แล้ว งั้นก็ซ้อมไปเรื่อยๆนะ เวลาสวดมนต์จะได้เพราะๆ"

แล้วมัคนายกกานต์ก็ขอตัวไปจัดรูปปากเด็กวัดต่อ

พัดชามองตามมัคนายกกานต์ แล้วหันมาหาหนังสือสวดมนต์ แต่ใจกลับนึกถึงเรื่องราวสับสนวุ่นวายไปหมด สุดท้ายก็ต้องนึกถึงประเวศจนได้.....

พัดชาสะบัดหน้า....แต่เขาก็ยังไม่หลุดไปจากความคิดคำนึงและ....หัวใจ

....เราไม่เคยจะรักกัน....มีแต่วันที่อ่อนไหว...ผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา....เป็นแค่ความประทับใจ...ที่ยังคงแน่นหนา...มีแต่ฝนมีแต่ฟ้าที่เข้าใจ....




 

Create Date : 19 ธันวาคม 2548    
Last Update : 5 มีนาคม 2549 13:54:54 น.
Counter : 216 Pageviews.  

มนต์รักโคกสาริน...ตอนที่ ๒๗

ที่ใต้ต้นมะขาม (ต้นเดิม) หน้าบ้านประพาส....

“พาสเว้ยยยยยย”

ผู้ใหญ่พิษณุนั่นเองที่มาตะโกนโหวกเหวก มือถือกระเช้ากล้วยไม้สีส้มอมเหลืองสวยงาม

ประพาสเดินออกจากบ้านมา

“อะไรอีกละพี่ผู้ใหญ่ เรียกอยู่ได้” ประพาสหน้ามุ่ย เดินลงมาจากบ้าน

“อ้าว ก็ต้องเรียกดังๆดิวะ เผื่อใครบางคนนอนขี้เซาจะได้ตื่นๆ” ผู้ใหญ่พิษณุหัวเราะ ประพาสเบ้หน้า

“พาสว่าใครบางคนนั้นน่ะ น่าจะเป็นพี่ผู้ใหญ่มากกว่านะ โธ่ ตัวเองนอนขี้เซาไม่มีใครเกิน แล้วยังมาว่าคนอื่นเขา”

ผู้ใหญ่พิษณุหัวเราะ ประพาสจึงว่าต่อ

“วันๆ ก็เดินทำตัวหล่อๆ ล่ำๆ จีบสาวอยู่ได้”

ผู้ใหญ่พิษณุหัวเราะต่อ “แหม ไม่ได้จีบเว้ย แค่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี แค่นั้นเอง”

แล้วผู้ใหญ่ก็ฮัมเพลงขึ้นมา พลางส่งตาหวานให้ประพาส

“ไม่ได้ตั้งใจเกิดมาเป็นเพลย์บอย...ที่คอยต้องทำให้เธอต้องช้ำใจ.....”

ประพาสฟังแล้วจะอ้วก “แหวะ ร้องมาได้ กล้านะเนี่ย”

ผู้ใหญ่พิษณุหัวเราะ “แหม พาสก็ .....เออ แล้วนี่เปรี้ยวล่ะ ไปไหน ไม่ไปด้วยกันหรอ”

“อ๋อ เปรี้ยวบอกให้เราไปกันก่อนเลย เปรี้ยวขอไปตรวจตลาดก่อน เพราะวันนี้ชาวบ้านไปงานหมั้นกันหมด เปรี้ยวมันบอกสังหรณ์ใจอะไรก็ไม่รู้”

“อืม เปรี้ยวมันสังหรณ์อะไรนะ เดี๋ยวพองานเลิกแล้วพี่แวบๆไปมั่งดีกว่า....ว่าแต่ตอนนี้นี่"

ผู้ใหญ่พิษณุหยุดมองประพาส

“แต่งตัวเสร็จหรือยังล่ะ.....”

“เสร็จแล้ว แหม พาสไม่ได้แต่งอะไรมากมายเหมือนพี่ผู้ใหญ่นี่ แหม กลิ่นน้ำหอมฟุ้งเชียวนะ”

ผู้ใหญ่พิษณุหัวเราะ “แหม หอมจะตาย มานี่ๆ”

ว่าแล้วจับหน้าประพาสมาซบที่ตรงอกผู้ใหญ่ ก้มหน้ามาบอกเบาๆ

“ดมดูเลย หอมจะตาย....”

ประพาสนิ่งไป ก่อนจะดิ้นออกมา “เฮ้ย พี่ผู้ใหญ่ หอมอะไรเนี่ย ฉุนจะตาย เมื่อกี้แทบหายใจไม่ออกแน่ะ”

ประพาสโวยวาย ผู้ใหญ่กลับยิ้ม

“อ้าว ฉุนหรอ พี่นึกว่าพาสจะชอบซะอีก ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร พี่ไปให้คนอื่นดมก็ได้” ประพาสหันมาทันที

“พี่ผู้ใหญ่นี่ ก็บอกแล้วไงว่า อย่าเจ้าชู้มากนัก เดี๋ยวคนเขาจะว่าเอาได้...เป็นผู้ใหญ่ประสาอะไร"

“แสดงว่าไม่ให้พี่เอาไปให้คนอื่นดมใช่ไหม....”

ประพาสพยักหน้า ผู้ใหญ่พิษณุจึงว่า

“งั้นพาสก็ต้องทนฉุนต่อไปแล้วกันนะ...สมน้ำหน้า” ผู้ใหญ่ว่าแล้วหัวเราะ ประพาสแอบยิ้ม มองไปที่กล้วยไม้

“กล้วยไม้สวยจังนะพี่ผู้ใหญ่.....” ผู้ใหญ่พิษณุมองตามแล้วยิ้ม

“อืม สวยสิ พี่เอามาเป็นพิเศษ จะเอาไปแสดงความยินดีให้ลูกตาลกับคุณเวศเขา......

พี่อยากให้ลูกตาลเขารู้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็ยังเป็นน้องสาวที่พี่เป็นห่วง และหวังดีอยู่เสมอ”

ประพาสฟังแล้วพยักหน้า พลางนึกไปถึงพัดชา ป่านนี้พัดชา น้องสาวที่รักอีกคนหนึ่งจะทำใจได้หรือยังนะ

“เขาต้องรู้อยู่แล้วล่ะ พี่ผู้ใหญ่”

ผู้ใหญ่พิษณุเงียบไปครู่ มองไปที่ดอกกล้วยไม้แล้วมองประพาส

“ดอกกล้วยไม้สวยไหม พาส”

“สวยดีพี่ผู้ใหญ่” ประพาสพยักหน้า

“งั้นวันหลังพี่จะเอามาให้พาสมั่ง พี่จะผสมสีพิเศษเลย...เอาสีดำ เป็นไง เหมาะกับพาสดี” ผู้ใหญ่พูดจบแล้วหัวเราะ ประพาสหันมาทำหน้าประหลาด

“บ้า พี่ผู้ใหญ่ กล้วยไม้สีดำ มันจะสวยเหรอ ถ้าไม่อยากให้ก็ไม่ต้องให้เลยดีกว่า”

ประพาสทำเหมือนจะค้อน แต่ก็ไม่ค้อน เพราะจนป่านนี้ ประพาสก็ยังค้อนไม่เป็น

“โอ๋ๆ เปล่าน่า ไม่ได้จะให้สีดำหรอก เอาสีฟ้าดีไหม กล้วยไม้สีฟ้า พาสชอบหรือเปล่า”

ประพาสยิ้มออก รีบบอกผู้ใหญ่พิษณุทันที

“ชอบๆ พี่ผู้ใหญ่ งั้นเอากล้วยไม้สีฟ้านะ”

ผู้ใหญ่พิษณุหัวเราะแล้วคว้ามือประพาสมาจูงเอาไว้แล้วว่า

“โอเค แล้วพี่จะเอากล้วยไม้สีฟ้ามาให้ หายากนะเนี่ย แต่จะพยายามผสมสีมาให้..ส่วนตอนนี้..ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเถอะ”

“ไปไหนอ่ะ....” ประพาสทำหน้ากวน

“ไป...ไปที่ชอบที่ชอบมั้ง ฮ่า” อูย....มุขแป๊ก..อีกแล้วผู้ใหญ่

ประพาสมองแล้วส่ายหน้า ยิ้มๆ

“พี่ผู้ใหญ่นี่จริงๆเลย รู้ว่ามุขแปีกก็ยังจะปล่อยอยู่นั่นแหละ อย่าไปปล่อยมุขอย่างนี้กับใครนะ”

“แหม แป๊กตรงไหนเนี่ย พี่ก็ว่าขำแล้วนะ” ผู้ใหญ่พิษณุเกาหัวงงๆ

“....แต่เอาเถอะ พี่เชื่อพาส ไม่ไปปล่อยมุขกับใครก็ได้...เดี๋ยวจะมาปล่อยมุขกับพาสคนเดียวแล้วกัน...นะ” ผู้ใหญ่ยิ้มตาหวาน

ประพาสแอบยิ้ม “ก็ตามใจดิ แต่ขอร้องนะ อย่าให้มันแป๊กมากนัก ขี้เกียจหัวเราะ มันฝืน”

ผู้ใหญ่หัวเราะ จับมือประพาสเดิน “ได้ๆ พี่จะพยายามเพื่อพาสแล้วกัน พาสก็ต้องพยายามเพื่อพี่บ้าง ต้องอดทนเอาหน่อยยนะ..”

ประพาสพยักหน้า แล้วทั้งสองก็ยิ้มให้กัน พากันเดินไปคฤหาสน์ของเสี่ยมาย......


ที่บ้านพัก อบต. บุญปลั่ง.........

บุญออบเตรียมตัวจะไปงานเสี่ยมาย สุวัจนีขอตามไปด้วย

“อยากไปก็ไปเองสิ บ้านเสี่ยมายก็ไปถูกไม่ใช่หรอ” บุญออบหันมาพูดกับสุวัจนี

สุวัจนีหันไปตัดพ้อกับแม่ของบุญออบ

“คุณป้าดูสิคะ พี่ออบน่ะ แล้งน้ำใจจังเลย ไม่ยอมให้สุวัจไปด้วย ก็จะไปบ้านเสี่ยมายอยู่แล้ว ก็ให้สุวัจไปด้วยไม่ได้หรอ...หรือว่า....จะไปหายายเด็กนั่น”

“นี่ สุวัจ เรียกเปรี้ยวเขาดีๆหน่อย” บุญออบหันมาดุ

“ดูสิคะ คุณป้า สุวัจแตะไม่ได้เลย พูดอย่างงี้แสดงว่าจะไปหาจริงๆใช่ไหม”

“พี่ต้องไปเตรียมต้อนรับท่านส.ส. ไม่ได้จะไปหาเปรี้ยว และตอนนี้พี่ก็รีบด้วย” บุญออบเสียงแข็ง คุณแม่จึงเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย

“เอาน่า ออบรีบก็ไปก่อนเถอะลูก งานต้องมาก่อนอยู่แล้ว ส่วนสุวัจถ้าจะไป เดี๋ยวรอไปกับลุงปลั่งก็แล้วกันนะ”

ลุงปลั่งที่นั่งดูเกิร์ลลี่ เบอร์รี อยู่หันมาบอกสุวัจนี

“สุวัจรอไปพร้อมลุงก็ได้ แต่ต้องให้ลุงดูเกิร์ลลี่ เบอร์รี่จบก่อนนะ” พูดเสร็จก็หันกลับไปดูต่อ สุวัจนีเลยไม่รู้จะทำยังไง ต้องนั่งรอลุงบุญปลั่ง

บุญออบเดินมากอดคุณแม่ แล้วบอกว่า

“ออบไปก่อนนะครับ คุณแม่อยู่บ้านสบายๆแล้วกันนะ แล้วเดี๋ยวเสร็จงานแล้ว....”

บุญออบหยุดพูด หันไปมองสุวัจนีแล้วกระซิบที่หูคุณแม่

“เสร็จงานแล้ว ออบจะพาเปรี้ยวมาหาแม่นะครับ” คุณแม่ฟังแล้วยิ้มรับ


ตลาดบ้านโคกสาริน......

วันนี้ดูเงียบเหงาเป็นพิเศษ เพราะชาวตลาดก็ไปร่วมงานหมั้นที่คฤหาสน์เสี่ยมายกันหมด

เปรี้ยวเดินสำรวจตลาดมาเรื่อยๆๆ รู้สึกสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ ว่าวันนี้จะเกิดเรื่อง คนยิ่งไปงานเลี้ยงสังสรรค์กันหมดด้วย

เดินมาถึงร้านอาโกชาก็เห็นปิดประตูเงียบ สงสัยอาโกชาจะพาเจ้าฟู่ไปกินฟรีอีกตามเคย

เปรี้ยวมองอย่างไม่สนใจ กำลังจะเดินผ่านไปอยู่แล้วเชียว แต่หูก็กลับได้ยินเสียงกุกกัก....

เปรี้ยวจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปเงี่ยหูฟังที่หลังบานประตู ได้ยินเสียงกุกกัก...มาจากร้านอาโกชาจริงๆด้วย

มันอยู่หลังประตูนี่เอง เปรี้ยวคิด จะทำยังไงดี......

แต่เปรี้ยวไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน เพราะคนข้างในค่อยๆแง้มประตูออกมา เปรี้ยวรีบหลบหลังบานประตูที่มันเปิด แล้วค่อยๆ แอบดู...

“นั่นมัน....เจ้าบัตรนี่นา....แล้วมันมาอยู่ที่นี่ได้ไง...หรือว่ามันจะ....แหกคุกมา....เปรี้ยวคิดอย่างตกใจ

เราต้องจับมันให้ได้ เปรี้ยวคิด ก่อนจะกระแทกบานประตูใส่เจ้าบัตรอย่างจังงงงงง.....

เจ้าบัตรชะงักร้องด้วยความเจ็บปวด “โอ้ยยยยย...”

มันเอามือกุมหัวแล้วหันมาเจอเปรี้ยว คนที่เอามันเข้าคุกนั่นเอง หนอย...อุตส่าห์แหกคุกได้แล้วตั้งแต่เมื่อเช้ามืด อาศัยที่ชาวบ้านมัวแต่ตื่นเต้นเรื่องงานหมั้นกัน....

.... มันลอบเข้ามาในตลาด รู้สึกหิวจึงเข้าไปขโมยของกินที่ร้านอาโกชา กำลังจะไปหาที่ซ่อนตัวทำภารกิจบางอย่าง ก็ดันมาเจอโจทย์เก่าซะก่อน

คราวนี้ต้องจัดการมันให้ได้ หนอย เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ดันมาหยามน้ำหน้าเราได้.......

เจ้าบัตรเหวี่ยงหมัดเข้าไปที่ห้องเปรี้ยว เปรี้ยวไม่ทันระวังตัวจึงโดนหมัดเจ้าบัตรจนจุก แต่ก็ยังกัดฟันถีบหน้ามันไป...

เจ้าบัตรผงะ.....ร้องด้วยความโมโห คว้ามีดทำครัวออกมาจากที่เหน็บไว้ แล้วจ้วงแทง.....

เปรี้ยวหลบได้อย่างหวุดหวิด.....เจ้าบัตรเสียหลัก ....เปรี้ยวอาศัยช่วงนั้นเตะข้อมือเจ้าบัตร......

มีดหลุดจากมือ ....เปรี้ยวหยิบมาถือไว้...แล้วตั้งท่าจะพุ่งเข้าใส่เจ้าบัตร.....

เจ้าบัตรถอยกรูด....แล้วออกวิ่ง...เปรี้ยววิ่งตามไปทันที...

เจ้าบัตรวิ่งหนีเปรี้ยวเรื่อยๆ...มันเริ่มอ่อนแรงเต็มที เพราะแหกคุกมาทั้งคืน

เห็นบ้านหลังหนึ่งอยู่ข้างหน้า หันไปมองเปรี้ยว ก็เห็นว่าวิ่งตามมา มันจึงเข้าไปในบ้านนั้นทันที

บ้านนั้นคือ ....บ้านพักอบต. ของ ลุงบุญปลั่ง

เจ้าบัตรวิ่งเข้าไปในห้องรับแขก ก็เห็นผู้หญิงวัยกลางคนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่

นั่นคือ คุณแม่ของบุญออบนั่นเอง....

เจ้าบัตรตรงเข้าไปหยิบมีดปอกผลไม้ที่วางอยู่ในถาดบนโต๊ะอาหาร แล้วย่างสามขุมเข้าไปหาคุณแม่ทันที่

คุณแม่ตกใจ.....หนังสือหลุดมือ.....แล้วเจ้าบัตรกับจับคุณแม่เป็นตัวประกัน

เปรี้ยววิ่งตามเข้ามา เห็นหน้าแม่ของบุญออบก็จำได้ จึงร้องเรียก

“คุณป้า.....”

เจ้าบัตรเอามีดจี้ที่คอคุณป้าแล้วว่า

“เฮ้ย อย่าเข้ามานะเว้ย ถ้าเข้ามา อีแก่นี่....ตาย”

“นี่ ไอ้บัตร เอ็งใจเย็นๆ อยากได้อะไรก็บอกมา แต่ปล่อยคุณป้าไปเหอะ คุณป้าแก่แล้ว” เปรี้ยวพยายามเกลี้ยกล่อม

“กูไม่ปล่อย กูไม่เชื่อมีงหรอก คราวที่แล้ว มึงก็เอากูเข้าคุกมาทีหนึ่งแล้ว”

เจ้าบัตรตวาด เปรี้ยวหันไปมองคุณป้า สบตาอย่างเป็นห่วง

“โธ่ ไอ้บัตร ชั้นพูดจริงนะ อยากได้อะไร เงินทอง หรือว่าอยากจะหนีก็ไปได้เลยตอนนี้ แล้วชั้นจะไม่บอกตำรวจหรอก”

“กูหนีแน่ แต่ก่อนไปกูต้องทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จก่อน ว่าแต่มึงน่ะ ถอยไปไกลๆเลย ไม่งั้นกูจิ้มคอหอยจริงๆ นะ”

“อย่านะ บัตร นี่ๆๆเอางี้ดีกว่า ถ้าเอ็งอยากได้ตัวประกันนะ เอาชั้นดีกว่า คุณป้าแก่แล้ว เอาไปก็ลำบากเปล่าๆนะ”

เปรี้ยวพูดจบ คุณป้าก็ร้องเสียงหลง

“อย่าพูดอย่างนั้น หนู”

แต่เจ้าบัตรอมยิ้ม “อืมๆ ก็ดีนะ จะเปลี่ยนกันก็ได้ กูก็อยากชำระแค้นกับมึงเหมือนกัน งั้นมานี่ๆ”

เจ้าบัตรเรียกให้เปรี้ยวเดินเข้าไปใกล้

“มามัดมือมัดเท้าอีแก่นี่ก่อน มันจะได้ไปไหนไม่ได้” เปรี้ยวไปเอาเชือกมามัดมือและเท้าคุณป้าไว้ แต่มัดไว้หลวมๆ

เจ้าบัตรรู้ทัน มันจึงต่อยหมัดลงไปที่ท้องเปรี้ยวทีหนึ่งจนจุก ทรุดลงกับพื้น

“คิดจะตุกติกหรอ.....เดี๋ยวเหอะ” แล้วเจ้าบัตรก็มามัดคุณป้าเสียเองจนแน่นหนา พลางเดินไปโทรศัพท์สั่งสมุนเก่าที่กบดานอยู่แถวนี้มาอีกคนหนึ่ง

เสร็จแล้วมันก็จัดการมัดมือ มัดเท้าเปรี้ยว แล้วรอลูกสมุนมาอย่างใจเย็น พลางคิดว่า มันรอเวลาแก้แค้นมานานแล้ว.....และยิ่งกว่านั้น มันรอเวลาบางอย่างมานานแล้วเช่นกัน

ครั้นแล้วเมื่อสมุนเก่าของเจ้าบัตรมาสมทบ มันทั้งสองก็พากันแบกเปรี้ยวออกไป

จนมาถึงกระท่อมร้างหลังวัด ทั้งสองเข้าไปข้างในนั้น วางเปรี้ยวลงกับพื้น เปรี้ยวมองพวกมันไม่วางตา ความเจ็บที่ท้องค่อยทุเลาลงมากแล้ว

กระท่อมร้างไม่มีอะไร มีเพียงแคร่ไม้ไผ่ตั้งอยู่ แต่แคร่ไม้ไผ่นั้นคงจะผุมาก เพราะหักกลางลงมา ดูๆแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่น่าสนใจ

พวกมันมาที่นี่กันทำไมนะ มันมาหาอะไร เปรี้ยวคิด แต่แล้วก็ต้องเบิกตาโต...




 

Create Date : 19 ธันวาคม 2548    
Last Update : 5 มีนาคม 2549 13:55:59 น.
Counter : 208 Pageviews.  

1  2  

ชมเช้า
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ชมเช้า..มาจาก ชมเช้า ชมสาย ชมบ่าย ชมเย็น ชมค่ำ ทุกกาลเวลาช่างน่าชื่นชม จะเวลาไหนก็เลือกชมเอาตามสะดวก..

...เวลาเช้า เป็นเวลาที่รู้สึกสดชื่น มีชีวิตชีวา ดูสดใส จอมแก่นแสนซน ที่ไหนได้ ใครๆ เห็นชื่อแล้วบอกว่า 40 ขึ้นแน่ๆ บ้างก็ว่าป้า..เอ่อ เป็นงั้นไป...ขอบอกว่ายังห่างค่ะ ห่างมาก อิอิ...

ตอนนี้มีภารกิจเพื่อชาติให้ปฏิบัติค่ะ รู้สึกภูมิใจจังเลย (โบกมือแบบนางงาม) ดิฉันจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดค่ะ เอาใจช่วยด้วยนะคะ อิอิ...

คุณที่เข้ามาอย่าเพิ่งงงค่ะ ภารกิจอะไรขอเก็บไว้เป็นความลับ(ว่าแต่ ไม่ได้มีใครเขาอยากรู้สักหน่อย ^^") แต่ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามานะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ อ้อ อีกอย่าง เป็นแฟนหงส์ค่ะ (เกี่ยวไหมเนี่ย อิอิ)

Friends' blogs
[Add ชมเช้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.