Group Blog
 
All blogs
 

เตือนวัยโจ๋ ติดเกม - แชท เสี่ยงสมาธิสั้น

วันนี้ (21 มิ.ย.) นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อต่างๆ จากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง เกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็ว เนื่องจากการคมนาคมที่สะดวก ทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อโรค และเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น ซึ่งโรคติดต่อบางโรคเป็นโรคใหม่ ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน เช่น โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ เป็นต้น การดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง ไม่ติดเชื้อโรคได้ง่าย จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่สุด

ทั้งนี้ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง นอกจากการกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอแล้ว สิ่งสำคัญที่หลายคนมักมองข้ามไปก็คือ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน เนื่องจากช่วงที่เรานอนหลับ ร่างกายจะมีการซ่อมแซมระบบต่างๆ ที่สึกหรอ และเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยมีงานวิจัยพบว่า คนที่นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ จะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย น้อยกว่าคนที่นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย และมีความเสี่ยงต่อโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน เป็นต้น

โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในระหว่างที่นอนหลับ ร่างกายยังมีการผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นในการเจริญเติบโต ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ที่อยู่กำลังอยู่ในวัยเด็กและวัยรุ่น น่าเป็นห่วงว่าปัจจุบันวัยรุ่นมีพฤติกรรมในการนอนดึกมากขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น ติดเกม การสนทนากับเพื่อนทางอินเทอร์เน็ต รอดูถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอล การคุยโทรศัพท์ รวมทั้งเที่ยวกลางคืนเป็นประจำ เป็นต้น ทำให้เกิดผลเสียตามมา ที่เห็นได้ชัดคือ ร่างกายเจริญเติบโตช้า ไม่มีสมาธิในการเรียน ง่วงเหงาหาวนอน เรียนไม่รู้เรื่อง ประสิทธิภาพในการเรียน และการจดจำลดลง ส่วนผู้ใหญ่ หากนอนไม่พอจะมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานเช่นกัน และยิ่งหากเป็นการทำงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับเครื่องจักรเครื่องกล หรือการขับรถยนต์ อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะระบบความคิดการตัดสินใจจะเชื่องช้าลง

"ประชาชนควรให้ความสำคัญกับเรื่องของการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เด็กวัยรุ่นควรนอนอย่างน้อยวันละ 9 ชั่วโมง ส่วนผู้ใหญ่วันละ 7-8 ชั่วโมง และต้องนอนหลับให้สนิทจริงๆ โดยเข้านอนแต่หัวค่ำ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมต่างๆ ก่อนเข้านอน 5 ชั่วโมง ไม่ควรแก้ง่วงด้วยการดื่มชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม ก่อนเข้านอน เพราะเป็นเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นความตื่นตัวของร่างกาย โดยเฉพาะกาแฟจะมีฤทธิ์นานถึง 6-8 ชั่วโมง ทำให้ร่างกายไม่ได้พักเต็มที่ และยิ่งอ่อนเพลียมากขึ้น" นพ.สุพรรณ กล่าว


ที่มา ไทยรัฐ




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2552    
Last Update : 23 มิถุนายน 2552 9:26:47 น.
Counter : 334 Pageviews.  

สำรวจ "หน้ากากอนามัย" เลือกแบบไหนป้องกันได้ตรงใจ

หน้ากากอนามัยกลายเป็นสินค้าขายดีขึ้นมาทันทีในหมู่คนไทย เมื่อโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่กำลังแพร่กระจายไปในกลุ่มคนจำนวนมากขึ้น แต่หน้ากากอนามัยไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียว และหลายคนเชื่อว่าหน้ากากอนามัยช่วยป้องกันได้ ขณะที่บางคนอาจสงสัยว่าจะช่วยป้องกันเชื้อโรคได้มากน้อยแค่ไหนกันเชียว

ในช่วงระหว่างวันที่ 22-28 มิ.ย.52 นี้ กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้เป็นสัปดาห์แห่งการรณรงค์การใช้หน้ากากอนามัยในโรงพยาบาล เพื่อรณรงค์ให้ผู้ป่วยโรคติดต่อทางเดินหายใจสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อมาติดต่อกับโรงพยาบาล และส่งเสริมให้บุคคลากรในโรงพยาบาล เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชนในการสวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเดินหายใจ ซึ่งองค์การอนามัยโลกระบุว่า การใส่หน้ากากอนามัยจะช่วยลดการแพร่กระจายของละอองเล็กๆ จากการไอจามที่มีเชื้อโรคอยู่ ได้ถึงร้อยละ 80

หน้ากากอนามัยสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาหรือร้านชายเวชภัณฑ์ทั่วไป ซึ่งบางร้านอาจมีจำหน่ายเพียงชนิดเดียว ขณะที่บางร้านอาจมีให้เลือกมากมายหลายชนิด ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ จึงได้ลงพื้นที่สำรวจหน้ากากอนามัยในร้านขายยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พบว่าร้านค้าส่วนใหญ่จะจำหน่ายหน้ากากอนามัยชนิดที่ทำจากเยื่อกระดาษ 3 ชั้น และหน้ากากอนามัยที่ผลิตจากผ้าฝ้าย และมีบางร้าน เช่น ร้านขายยาขององค์การเภสัชกรรม และร้านมงกุฎเวชภัณฑ์ ที่จำหน่ายหน้ากากอนามัยแบบ N95 ด้วย

หน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษ 3 ชั้น มีประสิทธิภาพในการกรองฝุ่นได้ดี สามารถป้องกันของเหลวซึมผ่านได้ ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคจากการไอหรือจาม ซึ่งหน้ากากอนามัยประเภทนี้ อาจสามารถป้องกันผู้สวมใส่จากเชื้อโรคได้ในจำพวกเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา แต่หากเป็นเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กมากในระดับไมครอน อาจจะไม่สามารถป้องกันได้ และไม่ควรมีการนำมาใช้ซ้ำ ควรเปลี่ยนหน้ากากใหม่ทุกวัน โดยมีราคาชิ้นละประมาณ 5 บาท

หน้ากากอนามัยที่ผลิตจากผ้าฝ้าย เน้นใช้สำหรับป้องกันฝุ่นละออง และป้องกันการกระจายของน้ำมูกหรือน้ำลายจากการไอจาม แต่อาจไม่สามารถกรองเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กมากๆ ได้เช่นเดียวกับหน้ากากอนามัยกระดาษ และสามารถซักทำความสะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยราคาประมาณชิ้นละ 5-10 บาท

หน้ากากอนามัยชนิด N95 เป็นหน้ากากอนามัยที่ยอมรับกันในขณะนี้ว่าสามารถป้องกันเชื้อโรคได้ดีที่สุด เพราะป้องกันได้ทั้งฝุ่นละอองและเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กถึง 0.3 ไมครอน และมีอายุการใช้งานนานประมาณ 3 สัปดาห์ แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรจะเปลี่ยนใหม่ทุกวัน ราคาชิ้นละประมาณ 30-50 บาท

สำหรับหน้ากากป้องกันมลพิษ สามารถป้องกันฝุ่นละออง ควันพิษ ไอเสียรถยนต์ และไอระเหยของสารเคมีต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ทว่าไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ ฉะนั้นจึงไม่เหมาะที่จะนำมาสวมใส่เพื่อป้องกันโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจ

เมื่อหน้ากากอนามัยในท้องตลาดมีให้เลือกมากมายเช่นนี้ ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ จึงได้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจาก ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกไวรัสสัตว์สู่คน ซึ่งบอกว่า หน้ากากอนามัยสามารถช่วยป้องกันเชื้อโรคได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากขอบของหน้ากากอนามัยทั่วไป (หน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษ 3 ชั้น/หน้ากากผ่าตัด หรือ surgical mask) ยังไม่มิดชิดเข้ากับผิวหน้าของผู้สวมใส่ เชื้อโรคจึงสามารถเล็ดลอดผ่านบริเวณดังกล่าวได้ ทั้งนี้ หน้ากากอนามัยแบบN95 ถือว่ามีความมิดชิดมากที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมใหม่อย่าง เครื่องกรองอากาศแบบสอดจมูก ซึ่งฉีกไปจากหน้ากากอนามัยรูปแบบเดิม เพราะมีขนาดเล็กที่สามารถสอดเข้ากับรูจมูกได้โดยตรง แถมผู้ผลิตยังให้ข้อมูลว่ามีระบบฟิลเตอร์นาโน (Nano Filter) ที่สามารถกรองฝุ่นละอองและยับยั้งเชื้อโรคในอากาศชนิดต่างๆ ได้ทั้งเชื้อราและเชื้อไวรัส โดยมีราคาประมาณ 3 ชิ้น 50 บาท และอายุการใช้งานนานประมาณ 40-50 ชั่วโมง ซึ่ง ศ.นพ.ธีระวัฒน์ บอกว่า ถ้าจะใช้ป้องกันเชื้อโรคอาจได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากเชื้อโรคยังสามารถเข้าทางปากได้ ทางที่ดีจึงควรปิดทั้งปากและจมูก

ที่สำคัญการสวมใส่หน้ากากอนามัยสำหรับผู้ป่วยโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ สามารถช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากการไอจามได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นผู้ที่ป่วยหรือไม่สบายจึงควรสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นอย่างยิ่ง และควรเปลี่ยนหน้ากากใหม่ทุกวัน ไม่ควรใช้ซ้ำของเดิม และก่อนการสวมใส่หรือถอดหน้ากากอนามัยนั้นควรล้างมือให้สะอาดก่อนทุกครั้ง เนื่องจากมือของเราสัมผัสกับสิ่งต่างๆ มากมาย จึงเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคจำนวนมาก

ส่วนกรณีที่มีการระบุว่า หน้ากากอนามัยประเภทไหนป้องกันเชื้อโรคขนาดเล็กได้กี่ไมครอน ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ชี้ว่าควรจะมีหน่วยงานกลางตรวจสอบและให้การรับรองด้วย เช่นเดียวกับยาทากันยุง ที่ต้องตรวจสอบว่ามีประสิทธิภาพป้องกันยุงเข้าใกล้ได้ในระยะกี่เมตร และนานกี่ชั่วโมง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม โรคไข้หวัดใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มของโรคติดเชื้อที่เกิดจากการหายใจเอาอนุภาคที่ติดเชื้อเข้าไป โดยอนุภาคที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อนี้มีขนาดใหญ่กว่า 5 ไมครอน และเมื่อผู้ป่วยไอหรือจามออกมาอนุภาคมักกระจายไปในระยะไม่เกิน 3 ฟุต (Droplet precautions) ฉะนั้นเชื้อไวรัสส่วนใหญ่จึงมักปนเปื้อนมากกับละอองน้ำมูกหรือน้ำลายของผู้ป่วย ซึ่งหน้ากากอนามัยทั่วไปสามารถป้องกันละอองเหล่านี้ได้

ส่วนโรคติดเชื้ออื่นๆ ที่เกิดจากการหายใจเอาอนุภาคที่ติดเชื้อเข้าไป โดยอนุภาคที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อนี้มีขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน เช่น วัณโรค และ โรคทางเดินหายใจรุนแรงเฉียบพลัน (ซาร์ส) อนุภาคเหล่านี้สามารถฟุ้งกระจายไปได้ไกลและอยู่ในอากาศได้เป็นเวลานาน (Airborne precautions) ซึ่งหน้ากากแบบ N95 จะสามารถช่วยป้องกันได้ แต่หน้ากากอนามัยทั่วไปอาจไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคในกลุ่มนี้ได้.


ที่มา ผู้จัดการออนไลน์




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2552    
Last Update : 19 มิถุนายน 2552 14:55:40 น.
Counter : 715 Pageviews.  

"ตุ๋นผ่านเน็ต" ภัยแฝงออนไลน์ ที่ผู้สูงวัยต้องรู้เท่าทัน!

"อินเทอร์เน็ต" ถือเป็นสื่อออนไลน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในทุกเพศทุกวัย โดยไม่จำกัดแค่เฉพาะวัยรุ่น หรือวัยทำงานเท่านั้น ในวัยผู้สูงอายุ ก็สามารถเปิดโลกทัศน์ในโลกออนไลน์ได้เช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น รับส่งอีเมล์ ค้นหาข้อมูลโดยใช้โปรแกรมค้นหา ติดตามข่าวสาร เช็กสภาพอากาศ ดูข้อมูลการเดินทาง หรือข้อมูลด้านการเมือง รวมทั้งใช้เว็บเครือข่ายสังคม เพื่อปฏิสัมพันธ์กับคนกลุ่มอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมีเว็บที่จัดทำสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุโดยเฉพาะ และเน้นการใช้งานที่สะดวก และง่าย เช่น ด้านสุขภาพ การักษาสุขภาพ เป็นต้น

กับเรื่องนี้ ทีมงาน Life & Family ได้มีโอกาสนั่งคุยเป็นการส่วนตัวกับ "ศาสตราจารย์ ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน" ประธานกรรมการ และประธานผู้บริหารวิทยาลัยการศึกษาทางไกลอินเทอร์เน็ต มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สะท้อนมุมมองว่า ปัจจุบันผู้สูงวัยมีจำนวนมากขึ้น ดังนั้นการใช้คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตในการพัฒนาคุณภาพชีวิต และการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเปิดโอกาสให้ผู้สูงวัยได้ทดลองใช้งานคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ต่อเนื่องให้เกิดขึ้นในกลุ่มผู้สูงวัย

ที่สำคัญช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี สารสนเทศ และความรู้ในกลุ่มผู้สูงวัย ทำให้มีความภาคภูมิใจ และรู้จักคุณค่าของตัวเองในการทำอะไรต่างๆ ได้เอง ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และสร้างองค์ความรู้ที่หลากหลายมากขึ้นจากการใช้อินเทอร์เน็ต ในการเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกหลาน

แต่ในทางกลับกัน ถึงแม้ว่า "อินเทอร์เน็ต" จะช่วยให้ผู้สูงวัยมีสังคม ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี สารสนเทศก็ตาม บางครั้งอาจเกิดการรู้ไม่เท่าทันภัยในโลกออนไลน์ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อตัวผู้สูงวัยเองก็เป็นได้ กรณีนี้ "ศ.ดร.ศรีศักดิ์" แนะนำว่า ผู้สูงวัยต้องระวังการฉ้อโกงทางอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการฉ้อโกงในเรื่องการประกันสุขภาพ ยาปลอม ผลิตภัณฑ์ชะลอความแก่ การค้าออนไลน์ หรื่ออื่นๆด้วย เพราะพวกมิจฉาชีพมักคิดว่า ผู้สูงอายุเป็นเหยื่อที่หลอกง่าย เชื่อง่าย

สอดรับกับการรายงานของสำนักสืบสวนกลางสหรัฐฯ หรือ "เอฟบีไอ" ที่ระบุว่า ผู้สูงวัยเป็นกลุ่มเป้าหมายของการฉ้อโกงทางอินเทอร์เน็ต เพราะผู้สูงวัยส่วนใหญ่มองโลกในแง่ดี ไม่ค่อยกล้าปฎิเสธ รู้ไม่เท่าทันวิธีการฉ้อโกง เวลาถูกฉ้อโกงมักจะไม่กล้าแจ้งให้บุตรหลายทราบ และไม่รู้ข้อมูลมิจฉาชีพ เช่น ไม่รู้ว่ามิจฉาชีพเป็นใคร จำวันติดต่อไม่ได้ หรือจำที่อยู่ไม่ได้ เป็นต้น ดังนั้นถ้าไม่เข้าใจสิ่งใด ให้ปรึกษาคนในครอบครัว หรือผู้เชี่ยวชาญที่มี่ความรู้ หรือข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวก่อนตัดสินใจ

อย่างไรก็ตาม "ศ.ดร.ศรีศักดิ์" ได้แบ่งประเภทของการฉ้อโกงที่น่าจะเกิดขึ้นกับผู้สูงวัยไว้ดังต่อไปนี้ เพื่อรู้เท่าทัน และป้องกันตัวเองจากการฉ้อโกงดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
* การฉ้อโกงเกี่ยวกับการประกันสุขภาพ *

การโฆษณาเรื่องการประกันสุขภาพ มักแอบแฝงมากับเว็บต่างๆ เช่น เว็บบริษัทประกันชีวิต, เว็บชมรมคนรักสุขภาพ, เว็บบ้านพักผู้สูงวัย เป็นต้น ในส่วนของการฉ้อโกงมีหลายรูปแบบ เช่น ให้กรอกแบบฟอร์มผลสำรวจด้านสุขภาพผู้สูงวัยแลกกับของรางวัล, ให้เซ็นสัญญาเกี่ยวกับการประกันสุขภาพ โดยอ้างว่าจะได้รับคำปรึกษาสุขภาพฟรีจากแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ และหลังจากนั้นจะมีใบเสร็จเรียกเก็บเงินส่งมาที่บ้าน

การป้องกัน

- การเซ็นสัญญาที่ผูกมัดต้องไม่เซ็นธุรกรรมใดๆ ทางอินเทอร์เน็ต
- ไม่ตกลงมอบอำนาจให้ผู้อื่นเซ็นแทน
- สอบถามให้แน่ใจว่าสิ่งที่ส่งมานั้นต้องชำระเงินหรือไม่
- โทรสอบถามรายละเอียดโดยตรงกับบริษัทประกันภัยดีกว่าสอบถามทางอินเทอร์เน็ต
- เก็บหลักฐานวันเวลาที่ติดต่อไว้ให้ดี

* การฉ้อโกงเรื่องการค้ายาปลอม *

การป้องกัน

- ผู้สูงวัยต้องระลึกเสมอว่า แพทย์เท่านั้นที่สามารถสั่งยา หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยได้
- กล้าที่จะถามรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน
- การซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ควรค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเองให้ได้รายละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ
- ตรวจสอบข้อมูลการบรรจุภัณฑ์ วิธีการส่ง และเงื่อนไขการชำระเงินก่อนสั่งซื้อ
- ปรึกษาเภสัชกรทันที เมื่อสงสัยว่าได้รับยาปลอม และควรซื้อยาที่มีการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ

* การฉ้อโกงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชะลอความแก่ *

การป้องกัน

- ระวังโฆษณาที่ให้ข้อความ อาทิ "สูตรที่เป็นความลับเฉพาะ" "เป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่" "พิเศษเวลานี้เท่านั้น" หรือ"คุณคือผู้โชคดีที่ได้รับผลิตภัณฑ์ไปใช้ฟรี" เป็นต้น
- สอบถามวิธีการใช้ และผลที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์ชะลอความแก่อย่างละเอียดก่อนซื้อ
- ตรวจสอบให้แน่ชัดจากผู้ขาย ว่าผลิตภัณฑ์ที่สั่งซื้อ ไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย
- ควรปรึกษาแพทย์ เมื่อต้องซื้อผลิตภัณฑ์ชะลอความแก่

* การฉ้อโกงเกี่ยวกับการค้าทางอินเทอร์เน็ต *

- ผู้สูงวัยที่ตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงเกี่ยวกับการค้าทางอินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือ กลุ่มผู้หญิงที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป
- มีสินค้าและบริการจำนวนมากที่กลุ่มมิจฉาชีพใช้ฉ้อโกงผู้สูงอายุ เช่น ของรางวัล สินค้าราคาถูก ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ โปรแกรมท่องเที่ยว เป็นต้น
- ข้อความโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตที่ควรระวัง เช่น สินค้าให้ทดลองใช้ฟรี, สินค้าราคาถูก เป็นต้น
- ข้อความที่กลุ่มมิจฉาชีพใช้ในการฉ้อโกง เช่น เป็นผู้โชคดีที่ได้รับของขวัญฟรี หรือได้ตั๋วท่องเที่ยวฟรี เป็นต้น
- มีเงื่อนไขทางการค้าที่ควรระวัง เช่น ต้องจ่ายค่าบริการเพิ่ม หรือต้องบอกข้อมูลบัตรเครดิต และเลขบัญชีธนาคาร หรือให้ตัดสินใจซื้อทันทีหลังอ่านเงื่อนไขแล้ว เป็นต้น

การป้องกัน

- ไม่ซื้อสินค้า และบริการจากหน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ
- ตรวจสอบประวัติของผู้ขาย และบริการก่อนตัดสินใจซื้อจากหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค
- ในกรณีที่ได้รับเอกสาร หรือบัตรสมนาคุณด้านการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูง ผู้สูงวัยควรปรึกษาผู้ที่มีความรู้ด้านการเงินก่อน
- ไม่ควรเชื่อข้อความ หรือเอกสารต่างๆ ที่ไม่บอกแหล่งที่มา เพราะอาจเป็นเอกสารปลอมก็เป็นได้
- ต้องทราบข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท หรือผู้ขาย เช่น ชื่อบริษัท หมายเลขโทรศัพท์-ที่อยู่ อีเมล์ เลขที่ใบอนุญาต เป็นต้น
- ไม่ให้ข้อมูลด้านการเงินทางโทรศัพท์หรือทางอินเทอร์เน็ต
- ต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตกลงรับข้อเสนอ หากไม่แน่ใจยังไม่ควรตอบตกลง

นอกจากนี้ "ศ.ดร.ศรีศักดิ์" ยังบอกถึงการฉ้อโกงทางอินเทอร์เน็ตอื่นๆ ด้วยว่า ยังมีในเรื่องของการทำธุรกรรมธนาคารทางอินเทอร์เน็ต การซื้อตั๋วทางอินเทอร์เน็ต การล่อลวงทางเว็บเครือข่ายสังคมเพื่อรู้ข้อมูลบัตรเคดิต การกู้ยืมเงินทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ซึ่งผู้สูงวัยต้องรู้เท่าทันด้วย

อย่างไรก็ดี การใช้คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้สูงวัย เสมือนเป็นดาบสองคม แง่หนึ่งก็มีประโยชน์ แต่อีกแง่ ก็มีโทษเช่นกัน ดังนั้นควรเล่นอย่างระมัดระวัง ไม่หลงไหลกับโฆษณาชวนเชื่อตามเว็บต่างๆ ซึ่งไม่เฉพาะแต่เพียงผู้สูงวัยเท่านั้น คนหนุ่มสาว หรือผู้ใหญ่บางคน อาจตกหลุมพลางของกลลวงจากผู้ไม่หวังดีที่แฝงตัวอยู่ในโลกออนไลน์ก็เป็นได้


ที่มา ผู้จัดการออนไลน์




 

Create Date : 18 มิถุนายน 2552    
Last Update : 21 มิถุนายน 2552 9:59:29 น.
Counter : 435 Pageviews.  

โรคนอนไม่หลับ

อาการนอนไม่หลับ (insomnia) โดยทั่วๆไปจะหมายถึง การที่นอนหลับยาก หลับๆ ตื่นๆ หรือตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วหลับต่อไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลทำให้รู้สึกเพลีย หลับได้ไม่เต็มอิ่มในเช้าวันรุ่งขึ้น ในผู้ใหญ่โดยเฉลี่ยควรนอนให้ได้ประมาณ 7-8 ชม. โดยให้สังเกตว่าตราบใดที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วมีความสดชื่น ไม่อ่อนเพลีย สมองแจ่มใส ทำงานได้ดีตามปกติ ไม่ง่วงหวาวหาวนอน มีการตัดสินใจแก้ปัญหาได้ดี ถือว่าได้นอนเพียงพอแล้ว ซึ่งบางคนอาจจะนอนเพียง 5-6 ชม. เท่านั้น

ผู้ที่นอนไม่หลับจะมีโอกาส เสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล แม้ขณะที่นอนหลับก็จะตื่นบ่อยกว่าปกติ ในช่วงเวลากลางวันจะง่วงนอนมากผิดปกติ อัตราเมตาบอลิสซึมของร่างกายตลอด 24 ชั่วโมงเพิ่มขึ้น และเมื่อไปตรวจคลื่นสมอง จะพบลักษณะของ beta EEG activity เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน


ประเภทของการนอนไม่หลับ

1. แบบชั่วคราว หมายถึง นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นหลายวัน แต่ไม่ถึงหลายสัปดาห์ หลายคนอาจจะเคยประสบกับปัญหานี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความเครียดหรือความกังวลใจต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์ หนึ่ง เช่น ทะเลาะกับเพื่อนหรือแฟน มีปัญหากับที่ทำงาน หรือใกล้ๆวันสอบ หรือวันที่ต้องมีธุระสำคัญ เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้วอาการจะดีขึ้นเองภายในไม่กี่วัน หรือในบางรายอาจต้องใช้ยานอนหลับช่วยในระยะสั้นๆ พออาการดีขึ้น ก็สามารถหยุดยาได้

2.แบบระยะต่อเนื่อง หมายถึง อาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นสัปดาห์ๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายหรือดีขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นผลจากความเครียด หรือเหตุการณ์ที่ทำให้เครียดนั้นยังไม่คลี่คลาย เช่น ตกงาน ปัญหาเศรษฐกิจเงินทอง รวมถึงปัญหาครอบครัว โดยทั่วไปถ้าปัญหาต่างๆ ได้รับการคลี่คลาย การนอนหลับก็มักจะกลับมาเป็นปกติได้ อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ควรได้รับการปรึกษาจากแพทย์ว่ามีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยปัญหาการนอนหลับของ ตน เพื่อไม่ให้เกิดเป็นปัญหาเรื้อรัง

3.แบบเรื้อรัง เกิดขึ้นต่อเนื่องเกือบทุกคืน ติดต่อกันหลายเดือน หรือแม้กระทั่งเป็นปี สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการก็จะเริ่มซับซ้อนมากขึ้น ไม่ตรงไปตรงมาเพียงแค่ว่าเครียดแล้วนอนไม่หลับ หลายครั้งที่ความเครียดได้เบาบางหรือหายไปหมดแล้ว แต่อาการนอนไม่หลับกลับยังดำเนินอยู่ต่อ บางคนใจจดใจจ่อตลอดเวลาว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ถ้าไม่หลับแล้วพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะทำงานได้อย่างแจ่มใสหรือไม่ ทำให้เกิดความรู้สึกกลัวการนอน ไม่กล้าที่จะนอน เลยทำให้แทนที่เวลานอนจะเป็นเวลาที่ให้ความสุข กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความทุกข์และทรมาน

นอกจากนี้แล้วยัง พบได้อยู่เรื่อยๆว่า สาเหตุทางร่างกายบางอย่างก็เป็นต้นเหตุทำให้นอนไม่หลับเรื้อรังได้ เช่น การหายใจผิดปกติขณะหลับ กล้ามเนื้อขากระตุกเป็นพักๆ ระหว่างนอน อาการปวด หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคปอด เป็นต้น


สาเหตุของการนอนไม่หลับ

ได้แก่ สาเหตุทางด้านจิตใจ ปัญหาทางจิตเวช รูปแบบการใช้ชีวิต และความเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย ซึ่งถ้าสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเกิดจากปัญหาข้อหนึ่งข้อใดหรือหลายข้อ จะช่วยให้แก้ไขปัญหาให้ลุล่วงลงไปได้

ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ได้แก่ ปัญหาในเรื่องการทำงานที่ยังมีความกังวลอยู่ ปัญหาในครอบครัวที่ยังไม่ได้พูดคุยทำความเข้าใจกัน ปัญหาความเจ็บป่วยของตนเอง และบุคคลในครอบครัวที่ยังไม่หายเป็นปกติดี ปัญหาทางจิตใจ หรือมีภาวะซึมเศร้าที่ยังไม่ได้รับการรักษาอย่างได้ผล บางคนอาจลืมนำยานอนหลับที่เคยรับประทานประจำติดตัวมา บางคนอาจรับประทานอาหารก่อนเข้านอนมากเกินไป และบางคนอาจจะรับประทานเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป นอกจากนี้ การใช้ยาบางชนิดอาจทำให้นอนไม่หลับได้ เช่น ยาแก้หวัด ยารักษาโรคหอบหืด และยาลดความดันโลหิตบางชนิด

1.สาเหตุทางด้านจิตใจ

ความ เครียดเป็นตัวกระตุ้นทำให้นอนไม่หลับได้บ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตัว การงาน หรือครอบครัว หลายครั้งที่การได้รับการช่วยเหลือ โดยคำปรึกษาแนะนำให้รู้จัก และเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหา จะช่วยทำให้ปรับตัวกับปัญหาได้ดีขึ้น

แนวโน้มของแต่ละบุคคล บางคนมีแนวโน้มง่ายมากที่จะนอนไม่หลับ เช่น ชอบคิดมากคิดเล็กคิดน้อย หรือร่างกายไวหรือตื่นตัวต่อสิ่งแวดล้อมได้เร็ว เช่น ได้ยินเสียงอะไรเล็กน้อยก็จะรู้สึกตัวตื่นอยู่เรื่อยๆ

2.ปัญหาทางจิตเวช

โรค ซึมเศร้า นอนไม่หลับโดยเฉพาะหลับแล้วตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วหลับต่อยาก เป็นอาการหนึ่งที่พบได้บ่อยในคนที่มีภาวะโรคซึมเศร้า ซึ่งอาการอื่นๆ ของโรคซึมเศร้าก็จะประกอบไปด้วย ความรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง พร้อมๆ กับใจคอที่หดหู่ เศร้า ไม่เบิกบาน ไม่สดชื่นเหมือนเมื่อก่อน ความคิดช้า ความจำไม่ค่อยดี ใจจดใจจ่ออะไรนานๆ ไม่ได้ มักมีเบื่ออาหาร น้ำหนักลดร่วมด้วย โดยปกติแล้วการรักษาที่สาเหตุของภาวะเหล่านี้ จะช่วยทำให้การนอนหลับกลับมาเป็นปกติอย่างเดิมได้

โรควิตกกังวลชนิด somatized tension พบได้บ่อยที่เป็นสาเหตุของอาการนอนไม่หลับ ผู้ป่วยมักพบว่าอาการนอนไม่เป็นอาการเด่นเป็นอาการเดียว ในขณะที่ผู้ป่วยโรควิตกกังวลโดยทั่วไปมักจะมีอาการหลายชนิดมาปรึกษาแพทย์

3.รูปแบบการใช้ชีวิต

การ ใช้สารกระตุ้นสมอง ปัจจุบันพบว่าเป็นปัญหามากขึ้น เนื่องจากสารเสพติดหลายชนิดมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง โดยความไวของแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้ ขึ้นกับโปรตีนตัวรับในสมอง

กาแฟ ที่มีคาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นสมอง ทำให้มีผลต่อการนอนหลับ โดยพบว่าจะหลับได้ยากขึ้น โดยเฉพาะการดื่มกาแฟใกล้เวลาเข้านอน ผลดังกล่าวเกิดขึ้นได้แม้จะเป็นกาแฟที่สกัดคาเฟอีนก็ตาม

สารนิโคตินในบุหรี่จะออกฤทธิ์กระตุ้นสมอง ทำให้ผู้ที่สูบบุหรี่บ่อยมักมีปัญหาหลับได้ยากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่

การ ดื่มเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ก่อนนอน อาจช่วยทำให้ง่วงหรือรู้สึกหลับได้ง่ายขึ้น แต่ผลที่ตามมาหลังจากแอลกอฮอล์ถูกเผาผลาญในร่างกายประมาณ 2-3 ชั่วโมงหลังจากนั้น จะทำให้เกิดสารที่ไปรบกวนการนอนหลับ โดยมักจะหลับๆ ตื่นๆ หลับไม่ลึก ตลอดทั้งคืน

เวลาการเข้านอน หลายคนมักเข้านอนไม่เป็นเวลาและแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละคืน รวมถึงคนที่ต้องทำงานเป็นกะด้วย อาจจะทำให้มีผลต่อการนอน คือ นอนไม่หลับได้ การพยายามปรับเวลาเข้านอน-ตื่นนอนให้สม่ำเสมอ จะช่วยให้ปัญหานี้ดีขึ้นได้

พฤติกรรมการเรียนรู้หลายคนนอนไม่หลับหลังจากมีเหตุการณ์ที่ทำให้เครียด แต่เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้นคลี่คลายลงไปแล้ว การนอนไม่หลับยังคงดำเนินอยู่ และอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน คือ ความวิตกกังวลว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ใจจดใจจ่อกับนาฬิกาว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว บางคนถึงกับกลัวห้องนอน หรือการนอนเลยทีเดียว แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ตั้งใจจะหลับ เช่น นอนอ่านหนังสือบนโซฟา หรือนอนฟังวิทยุนอกห้องนอน กลับเผลอหลับได้ง่ายขึ้น

พฤติกรรม การเรียนรู้เหล่านี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับเรื้อรัง การรักษาปัญหานอนไม่หลับลักษณะนี้จะมุ่งที่พฤติกรรมการนอน, การลดความวิตกกังวล และการทำให้บรรยากาศของห้องนอนของเดิมนั้นเปลี่ยนไปและทำให้เกิดความรู้สึก ง่วง สงบ และอยากนอน


ความเจ็บป่วยทางกาย
อาการ ปวด ไม่ว่าจะเป็นจากอาการปวดกระดูก ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดจากสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ จะรบกวนคุณภาพและประสิทธิภาพการนอนหลับอย่างมาก

สาเหตุของนอนไม่หลับเรื้อรังเกิดจากกลุ่มอาการหายใจผิดปกติในขณะหลับ หรือหยุดหายใจเป็นพักๆ ในขณะหลับ ทำให้สมองขาดออกซิเจนเป็นพักๆ อาจรู้สึกได้ว่าคืนที่ผ่านมานอนหลับได้ไม่ดีพอ หลับได้ไม่ลึก ไม่สดชื่น อาการหยุดหายใจจะเกิดขึ้นเป็นพักๆ อาจหลายสิบครั้งจนกระทั่งถึงหลายร้อยครั้งได้ในแต่ละคืน

ขากระตุกเป็นพักๆ ระหว่างหลับ ในบางรายจะพบว่าในขณะที่หลับนั้น กล้ามเนื้อที่ขาจะมีอาการกระตุกเร็วๆ เป็นพักๆ ได้ ส่วนใหญ่แล้วจะประมาณทุกๆ 30-45 วินาที และอาจจะต่อเนื่องเป็นชั่วโมง หลายรอบต่อคืน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ จะทำให้สมองตื่นเป็นพักๆ โดยที่คนผู้นั้นอาจไม่รู้สึกตัวตื่น ผลในตอนเช้าก็คือ จะรู้สึกว่าคืนที่ผ่านมานอนหลับได้ไม่ดี


เมื่อไหร่จึงควรมาปรึกษาแพทย์

เมื่อ ไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่ามีปัญหาเรื่องการนอนที่รบกวนและมีผลต่อการดำเนินชีวิต อย่างต่อเนื่อง 2-3 อาทิตย์ ขึ้นไปนั้น ควรปรึกษาแพทย์ทันที หลายครั้งที่ปัญหาการนอนไม่หลับสามารถดีขึ้นได้ เพียงเข้าใจธรรมชาติของการนอน หรือปรับเปลี่ยนความเชื่อดั้งเดิม หรือทัศนคติบางอย่างที่มีต่อการนอนหลับ

แต่ในบางครั้งแพทย์อาจจะ พิจารณาใช้ยาบางอย่าง เพื่อช่วยทำให้ปัญหาการนอนดีขึ้น หรืออาจจะต้องส่งตรวจเพื่อประเมินสภาพการนอนหลับให้ละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ส่งตรวจห้องปฏิบัติการนอนหลับ เป็นต้น ปัจจุบันถือเป็นการตรวจมาตราฐานที่แพร่หลายอย่างหนึ่ง สามารถตรวจได้ตามโรงพยาบาลหลายแห่งทั้งของรัฐและเอกชน

พึงระลึกไว้เสมอว่าอาการนอนไม่หลับอาจเป็นอาการนำของโรคอื่นๆ โดยเฉพาะโรคทางจิตเวชบางชนิด

ข้อพึงปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการนอนไม่หลับ
โดยเฉพาะในการนอนไม่หลับแบบเรื้อรัง นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ซึ่งอาจจะช่วยทำให้ปัญหาเหล่านี้ค่อยๆ คลี่คลายลงไปได้ไม่มากก็น้อย การรักษาปัญหานอนไม่หลับมักจะต้องใช้เวลาพอสมควร ผลการรักษาส่วนใหญ่มักจะไม่เห็นผลแบบทันตาเห็น แต่จะค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ

1.เข้านอนเมื่อรู้สึกง่วง

2. ถ้าจะงีบหลับในช่วงบ่าย อาจจัดเวลางีบหลับให้เป็นประจำสม่ำเสมอ โดยไม่ควรเกิน 1-2 ชม. และไม่ควรงีบหลับหลัง 15.00 นาฬิกา เพราะอาจมีผลต่อการนอนหลับในคืนนั้นๆได้

3.ไม่ควรใช้เวลาอยู่บนเตียง นานๆ โดยที่ไม่หลับ ไม่ควรนอนค้างอยู่บนเตียงทั้งที่ไม่หลับ ด้วยความคิดที่ว่าอยากจะชดเชยการนอนให้มากที่สุด เพราะการกระทำลักษณะนี้จะยิ่งทำให้คุณภาพการนอนยิ่งแย่ลง และเกิดความไม่ต่อเนื่องของการหลับได้มากขึ้น

4.ควรตื่นนอนในตอนเช้าให้เป็นเวลาทุกวันสม่ำเสมอ

5. พยายามหาเวลาออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสุขภาพร่างกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจากการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในผู้สูงอายุนั้นมีความ สัมพันธ์กับคุณภาพของการนอนหลับที่ดีขึ้น

6.หลีกเลี่ยงยาหรือสารเคมีบางตัวที่จะมีผลต่อการนอนหลับ เช่น กาแฟ บุหรี่ เป็นต้น

7. ควรระมัดระวังเรื่องการใช้ยานอนหลับ ไม่ควรใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องด้วยตนเองโดยไม่ ปรึกษาแพทย์ เพราะการใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องในระยะหนึ่งนั้นจะไปมีผลรบกวนต่อการนอน หลับของเราเองได้


ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
//www.bangkokhospital.com
//www.bangkokhealth.com




 

Create Date : 18 มิถุนายน 2552    
Last Update : 19 มิถุนายน 2552 12:50:17 น.
Counter : 494 Pageviews.  

เอดส์ลูกผสม ระบาดหนักในกลุ่มมั่วเซ็กส์

วิจัยพบเอดส์ลูกผสมระบาดหนักในกลุ่มมั่วเซ็กส์-หญิงบริการ กรมควบคุมโรคหวั่นเอดส์พันธุ์ใหม่ทำผู้ป่วยดื้อยาต้านไวรัส เตรียมขอตัวอย่างทั่วประเทศศึกษาการแพร่บาด

จากกรณีพบเชื้อเอดส์ลูกผสมสายพันธุ์ใหม่ของโลกในหญิงไทย 2 รายมาอย่างต่อเนื่องนั้น ล่าสุด นักวิจัยไทยได้ทดลองเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อสำรวจหาสายพันธุ์ไวรัสลูกผสมพันธุ์ไทยด้วยกันเอง กระทั่งพบว่า เชื้อเอดส์ลูกผสมสายพันธุ์ไทยกำลังระบาดในกลุ่มคนมั่วเซ็กส์ หญิงบริการ ตลอดจนผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกันมากกว่าผู้ติดเชื้อกลุ่มอื่นๆ

พญ.จินตนาถ อนันต์วรณิชย์ นักวิชาการจากหน่วยวิจัยเสิร์ช (SEARCH) ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ขณะนี้หน่วยวิจัยเซิร์ชได้ทดลองเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างประมาณ 500 รายของผู้มาตรวจเลือดในคลินิกนิรนาม เพื่อศึกษาสำรวจหาสายพันธุ์ไวรัสลูกผสมเออี/บี (AE/B) หรือลูกผสมพันธุ์ไทยด้วยกันเอง แต่ยังไม่ได้ตรวจไปถึงสายพันธุ์จี (G) หรือดี (D) จากแอฟริกา ผลการวิจัยอยู่ในขั้นตอนประมวลผล และจะเสร็จสิ้นประมาณสิ้นปีนี้ ทำให้ยังตอบไม่ได้ว่าเอดส์สายพันธุ์ลูกผสมในไทยมีมากน้อยเพียงไร แต่ที่พบคำตอบแน่ชัดก็คือกลุ่มผู้ที่มีคู่นอนหลายคน กับกลุ่มที่ใช้เข็มยาเสพติดร่วมกัน จะมีอัตราของการติดเชื้อเอดส์ลูกผสมมากกว่ากลุ่มทั่วไป

"หลังจากตรวจเลือดของกลุ่มตัวอย่างมาต่อเนื่อง 2-3 ปี ทำให้พบสายพันธุ์เอดส์ในหมู่คนไทยอยู่ 4 ประเภท แบ่งเป็น สายพันธุ์เดี่ยวเออี (AE), สายพันธุ์เดี่ยวบี (B), สายพันธุ์ลูกผสมเออี/บี (AE/B) และกลุ่มคนที่มี 2 สายพันธุ์ในร่างกาย โดยเชื้อไวรัสไม่ผสมกันคือเออี กับบี ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกตัวเลขที่แน่นอนได้ ต้องรออีกประมาณ 6 เดือน แต่ที่เห็นชัดคือคนที่มีคู่นอนหลายคน เช่น หญิงบริการ หรือชายรักชายที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ จะมีเชื้อเอดส์ลูกผสมหรือเชื้อ 2 ตัวในร่างกายมากกว่า เช่นเดียวกับกลุ่มที่ใช้ยาเสพติดผ่านการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ก็จะมีเชื้อเอดส์ลูกผสมมากกว่ากลุ่มคนทั่วไปด้วย" พญ.จินตนาถ กล่าว

ด้าน พญ.พัชรา ศิริวงศ์รังสรร ผู้อำนวยการสำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากงานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ที่ตรวจพบผู้ป่วย 2 รายมีไวรัสเอดส์ 3 สายพันธุ์ผสมกันคือ เอจี/ดี และเออี/จี ซึ่งเป็นการพบครั้งแรกของโลกนั้น ตอนนี้สิ่งที่น่ากังวลใจคือเรื่องการดื้อยาต้านไวรัส ต้องรีบศึกษาว่าเอดส์ผสม 3 สายพันธุ์นี้มีผลต่อการดื้อยาต้านไวรัสหรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีงานวิจัยบางชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มผู้ติดเชื้อเอดส์ผสมหลายสายพันธุ์ จะดื้อยาต้านไวรัสบางตัว มากกว่ากลุ่มที่มีเชื้อตัวเดียว ดังนั้น จากนี้ไปต้องรวบรวมข้อมูลจากทั่วประเทศมาวิเคราะห์ร่วมกัน เพราะที่พบครั้งแรกเป็นคนไข้นิรนามของศิริราช เมื่อเห็นข้อมูลทั่วประเทศแล้ว ก็จะวิเคราะห์ต่อได้ว่าจะรับมือกับเอดส์สายพันธุ์ลูกผสมได้อย่างไร

"เบื้องต้นรายงานจากนักวิจัยของมหาวิทยาลัยที่มีคณะแพทย์ทั่วประเทศระบุว่า สายพันธุ์เอดส์ในไทยร้อยละ 80 เป็นเออี ร้อยละ 10 เป็นบี ส่วนสายพันธุ์ผสมอื่นๆ อาจมีถึงร้อยละ 10 จากนี้ไปต้องเพิ่มการตรวจให้ครอบคลุมถึงโรงพยาบาลเอกชนหรือคลินิกต่างๆ รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ เพื่อดูจำนวนที่แน่นอนว่าเอดส์สายพันธุ์ผสมมีมากน้อยเพียงไร เพื่อนำไปปรับปรุงสูตรยาต้านไวรัสให้เหมาะสม ส่วนกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ หรือหญิงที่กลับมาจากแอฟริกานั้น หากใครต้องการตรวจสุขภาพ ส่วนใหญ่กระทรวงการต่างประเทศจะขอความช่วยเหลือมาเป็นระยะๆ ก็จะส่งเจ้าหน้าที่ไปประสานให้การดูแลช่วยเหลือ แต่การตรวจเชื้อเอดส์ต้องทำโดยความสมัครใจเท่านั้น ไม่สามารถบังคับได้" พญ.พัชรา กล่าว

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมควบคุมโรครายงานว่า เมื่อปี 2548 ศิริราชพยาบาลพบผู้ป่วยเชื้อเอดส์สายพันธุ์ผสมระหว่างเชื้อสายพันธุ์เออีและซี 1 ราย เป็นเพศหญิงติดต่อจากเพศสัมพันธ์ ถือเป็นรายแรกของประเทศไทย โดยเชื้อเอดส์สายพันธุ์ซีพบมากแถบแอฟริกาใต้ แอฟริกาตะวันออก อินเดีย และเนปาล และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสเอชไอวีไปทั่วโลก

โดยครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 50 ของผู้ติดเชื้อเอดส์จากทั่วโลกจะเป็นสายพันธุ์ซี ด้านสำนักระบาดวิทยาระบุว่าในปี 2552 จะมีผู้ติดเชื้อเอดส์รายใหม่ 11,753 คน เฉลี่ยวันละ 32 คน โดยร้อยละ 42 ติดจากสามีภรรยาหรือคู่นอนประจำ ร้อยละ 29 ติดเชื้อจากกลุ่มชายรักชาย ตั้งแต่ปี 2527-2552 มีผู้ติดเชื้อเอดส์แล้ว 1.13 ล้านคน มีชีวิตอยู่ประมาณ 5 แสนคน


ที่มา คมชัดลึก




 

Create Date : 11 มิถุนายน 2552    
Last Update : 14 มิถุนายน 2552 21:24:18 น.
Counter : 495 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

icy_cute
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







CO.CC:Free Domain
Friends' blogs
[Add icy_cute's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.