" ความฝันไม่เคยหายไปจากเรา เรานั้นแหละที่หายไปจากความฝัน "
 
 

กฏทองคำ ( The Golden Rule)

วันนี้ได้อ่านโพสต์หนึ่งซึ่งเล่าถึงความไม่พอใจในบริการของพนักงานร้าน IT ยี่ห้อ ผลไม้ สาขาหนึ่ง
และในคอมเม้นท์ ก็มีบางคนบอกว่าได้รับการบริการไม่ดีในแบบเดียวกัน ในขณะที่บางคนก็บอกว่าเป็นเฉพาะพนักงานบางคนไม่ใช่ทุกคน แล้วจะทำอย่างไรที่จะทำให้มีโอกาสได้รับการบริการที่ดีอยู่เสมอคำตอบนั้นก็คือ กฎทองคำ

กฎทองคำ กล่าวไว้ว่า “จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา”

จากการที่ได้อ่านโพสท์ที่แสดงถึงความไม่พอใจในการรับบริการของผู้โพสต์ที่ปรากฏในสื่อแทบทั้งหมดนั้น ล้วนไม่ได้ตั้งอยู่ในกฏทองคำแทบทั้งสิ้น เพราะคนส่วนใหญ่ พยายามใช้ ความรู้สึก
คำพูด อำนาจ บารมี หรืออะไรก็ตามเพื่อพยายามให้ คนอื่น ปฏิบัติต่อตนเองตามแบบที่ตนเองต้องการแต่กลับปฏิบัติต่อผู้อื่นในแบบที่ตัวเองไม่ต้องการ เมื่อคนอื่นปฏิบัติกลับในแบบเดียวกัน ก็ไม่พอใจ

โดยธรรมชาตินั้น เราไม่สามารถบังคับคนอื่นได้อย่างแท้จริง เพราะแม้แต่ตัวเราเองเราก็ยังบังคับไม่ได้อย่างแท้จริงเลย ไม่เชื่อ ก็ลองสั่งให้หัวใจหยุดเต้นดูซิ

แต่มีกฎธรรมชาติอยู่กฎหนึ่ง ที่ทำให้กฎทองคำนั้นมีผลก็คือ
“กระทำอย่างไร ก็ย่อมได้ผลจากการกระทำนั้น”

ดังนั้น ถ้าต้องการได้รับบริการที่ดีเสมอ จงใช้ กฎทองคำ เช่น

ไม่ว่าคนอื่นจะใช้วาจาไม่สุภาพอย่างไร จงใช้วาจาสุภาพที่สุดต่อเขาเสมอ

แม้จะเป็นความผิดของคนอื่นจงอย่างโทษว่าเป็นความผิดของเขา
และจงเป็นผู้ยอมรับผิดก่อนแม้มันจะเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่มีผลต่อเหตุการณ์นั้นๆ

อย่าแสดงว่าเป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะต้องให้ความช่วยเหลือเรา
แต่จงแสดงว่าเขาจะเป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่งถ้าได้ช่วยเหลือในการแก้ปัญหาให้กับเรา

จงกล่าวชม และขอบคุณเขาอย่างจริงใจ แม้นว่าเรื่องเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่เขาต้องทำตามหน้าที่อยู่แล้ว

และหากเป็นการสนทนาที่พบหน้ากันโดยตรง จงยิ้มแย้มและแสดงท่าที่เป็นมิตรเสมอ
แม้ว่าเขาจะแสดงกริยาอย่างไรก็ตาม

ถ้าถามว่า กฎทองคำ นี้จะสำเร็จ 100 เปอร์เซนต์ไหม ตอบได้เต็มปากว่า ไม่ ความสำเร็จอยู่ที่ราว ๆ 90 กว่าเปอร์เซนต์เท่านั้น

หากฝึกฝนให้ตนเองใช้ กฎทองคำ จนเป็นนิสัย ซักวันหนึ่งจะได้พบว่าแม้แต่คนที่ได้ชื่อว่าบริการย่ำแย่ที่สุด ท้ายสุดแล้วก็จะบริการเราดีอย่างน่าประหลาดใจ

ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะเลือกมีประสบการณ์แย่ ๆ 10 เปอร์เซนต์ ในขีวิต หรือ จะเลือกมีประสบการณ์แย่ ๆ แทบทั้งชีวิต นั่นเอง

#กฎทองคำ #บริการ #ความสุข #ชีวิต #goldenrule




 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2565   
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2565 9:41:07 น.   
Counter : 868 Pageviews.  


สุข ทุกข์ อยู่ที่ ลมหายใจ





เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น

เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะการดับไปของสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป


คือ ธรรมที่อาศัยกัน


ไม่ได้หมายถึง เมื่อมีดินสอจึงมียางลบดินสอ เท่านั้น

แต่หมายถึง เมื่อมีดินสอเกิดขึ้น จึงมีการเรียกว่า ดินสอ เกิดขึ้นอีกด้วย


ธรรมที่อาศัยกันนี้ มีอยู่ทุกหนแห่งตั้งแต่ระดับจักรวาล จนไปถึงอนุภาคที่เล็กที่สุด รวมถึงในร่างกายของเรา


การจะเข้าใจธรรมที่อาศัยกันนี้ จึงทำได้โดยศึกษาจากจักรวาล, อนุภาค หรือส่ิงอื่นใดก็ได้ แต่เราจะเข้าใจสิ่งอื่นใด ได้ดีไปกว่า เข้าใจร่างกายของเรา


ดังนั้น การศึกษาร่างกายเราจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด หากเราพิจารณาร่างกาย จะพบว่าประกอบด้วย 2 สิ่ง คือ ส่ิงที่ควบคุมได้ เช่น การพูด การหยิบ การจับ และส่ิงที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การเต้นของหัวใจ การย่อยอาหาร


ซึ่ง บางส่ิงนั้น เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้ด้วย เช่น การหายใจ


เหตุนี้เอง การพิจารณาลมหายใจ ที่ผ่านเข้า ออก ร่างกายเรานั้น จึงเป็นจุดเร่ิมต้นที่ดีในการศึกษา ธรรมที่อาศัยกัน นั่นเอง


เมื่อ ศึกษาลมหายใจว่าเป็น ธรรมที่อาศัยกัน ก็จะเข้าใจว่า ลมหายใจมีลักษณะใด เกิดได้อย่างไร ดับเป็นอย่างไร และหนทางใดที่จะดับได้


เนื่องจาก ลมหายใจ และทุกสรรพสิ่ง มีธรรมที่อาศัยกันเป็นพื้นฐาน


ทุกข์ ก็มีธรรมที่อาศัยกันเป็นพื้นฐาน มีลักษณะ มีเหตุที่ทำให้เกิด มีการดับ และมีหนทางในการดับ


ซึ่งหนทางในการดับทุกข์นั้น ก็คือ "การทำดี ละชั่ว ทำจิตให้บริสุทธิ์"


หาก สุข เกิดได้จากการ มีทุกข์น้อย "การทำดี ละชั่ว ทำจิตให้บริสุทธิ๋"


ก็คือ หนทางที่จะมีความสุข ภายใต้ ธรรมที่อาศัยกัน นั้นเอง




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2561   
Last Update : 29 พฤษภาคม 2561 23:11:22 น.   
Counter : 356 Pageviews.  


ข้อคิดจากข่าวดัง กรณีวิศวกรยิงวัยรุ่นดับ



เมื่อเรื่องนี้ดังก็ขอฝากเป็นอุทาหรณ์ว่า

"บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น"
ดังนั้น "ผลของการกระทำ จึงย่อมเกิดจาก ความคิด"
มนุษย์ เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องอะไรก็มักจะมองแต่
ผลที่เกิดขึ้น แล้วก็ตัดสินว่า ต้องมีฝ่ายดี
ต้องมีฝ่ายเลว หรือ ดีน้อยกว่า หรือ เลวน้อยกว่า
แล้วต่างคนก็ต่างคิดไปตามที่ตนได้เห็น ตนได้ยิน ตนพอใจ
จนบางครั้ง ก็เลยเถิดถึงขั้น ตัดสินว่า
มันสมควรเป็นเช่นนั้นแล้ว มันถูกต้องแล้ว
จึงต่าง"ยินดี" บน "ความหายนะ" ของผู้อื่น
โดยลืมพิจารณาความเป็นจริงว่า "ผล" นั้น เกิดจาก "เหตุ" อะไร?
เรื่องนี้จึงเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า
"เมื่อเรามี ความคิด ที่จะหาเรื่องอยู่เสมอ เรื่องก็จะเกิดอยู่เสมอ"
ผลกรรมที่ต้องเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย
และผลกรรมที่ต้องถูกจับฐานพรากชีวิตคนอื่นนั้น
ก็เกิดจาก "ความคิด" ที่จะหาเรื่องอยู่เสมอนั้นเอง
ถ้าไม่มี "ความคิด" ที่จะมีเรื่อง
ก็จะไม่เกิด "คำพูด" ที่ก่อเรื่อง
และจะไม่นำไปสู่ "การกระทำ" ที่ทำให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น
ซึ่งผลของเหตุการณ์นี้ ก็เริ่มจาก
การไม่พอใจกันจากการจอดรถขวางกัน ( ความคิด )
การมีปากเสียงกันเนื่องจากการไม่พอใจจากการจอดรถขวางกัน ( คำพูด )
มีการไม่ยอมกันปาดรถกันไปมา ( การกระทำ )
และอีกหลายเหตุการณ์ที่หมุนเวียนกันในเรื่อง
ความคิดบ้าง คำพูดบ้าง การกระทำบ้าง
จนจบลงด้วย การยิงกันจนเสียชีวิต ( การกระทำ )

ฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต ( ผลกรรม )
ฝ่ายหนึ่งถูกดำเนินคดี ( ผลกรรม )

เมื่อพิจารณาในเรื่องนี้
หากฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง หยุด " ความคิด "
ในช่วงเวลาใด เวลาหนึ่ง ไว้ได้
ก็จะไม่นำมาสู่ ผล อย่างที่เป็นข่าวอยู่นี้
โดยเฉพาะ "การระงับ ความคิด ที่นำไปสู่ความไม่พอใจ" ตั้งแต่เริ่มแรก
แต่มนุษย์ มักถูกกระตุ้นได้ง่าย หลอกลวงได้ง่าย จาก กิเลส ตันหา
ซึ่งนำไปสู่ การคิด การพูด การกระทำ ใต้อิทธิพลของ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง เรื่องนี้จึงจบลงอย่างที่เห็น

ในชีวิตของมนุษย์เรานั้น มีเรื่องราวเช่นนี้ วนเวียนมาให้เห็นอยู่เสมอ
แล้ว มนุษย์ ก็มองเรื่องเหล่านั้น ด้วย ความคิด ที่อยู่ใต้อิทธิพลของ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง พากัน วิพากษ์วิจารณ์
เรื่องของคนอื่นกันไปโดยไม่ได้เรียนรู้ ระมัดระวัง ความคิด ของตน
ว่ามันอาจนำไปสู่ ผล ที่เป็นหายนะในชีวิตแม้แต่น้อย
จนกระทั่งวันนึง เมื่อ "ความซวย" มาเยือน
เราก็จะกลายเป็นคนหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้น
#กรรม #ผลกรรม #วิศวกร #ยิง #วัยรุ่น #ความคิด #คำพูด #การกระทำ #ธรรมมะ #ข่าวดัง




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2560   
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2560 17:58:41 น.   
Counter : 514 Pageviews.  


มนุษย์มีปรกติ รักสุข เกลียดทุกข์ แต่มักทำกรรมอันส่งผลเป็นทุกข์


มนุษย์มีปรกติ รักสุข เกลียดทุกข์

แต่มักทำกรรมอันส่งผลเป็นทุกข์

นั่นเพราะมนุษย์มี อวิชชา คือ ความไม่รู้

ไม่รู้อะไร? ไม่รู้ ไม่เข้าใจว่า ความเป็นธรรมชาติของทุกข์ นั้นเป็นอย่างไร
และไม่รู้ว่าจะดับทุกข์ ได้อย่างไร

ดังนั้น เมื่อมนุษย์รักในความสุข จึงพยายามแสวงหาความสุข
อยู่เสมอ ซึ่งความสุขนั้น มีความเป็นธรรมชาติ คือ ไม่เที่ยง
มีเปลี่ยนแปลง มีดับไป นั้นคือ ทุกข์

ในเมื่อสิ่งที่ทำแล้วเป็นสุข ไม่สามารถสร้างความสุขให้ได้อีกต่อไป
ก็เริ่มแสวงหาความสุขจากสิ่งอื่น ไม่มีอันจบสิ้น
ทำให้ผลจากการแสวงหาความสุขนั้น ได้ผลเป็นทุกข์ อยู่เสมอ

ส่วน ทุกข์ นั้นถึงแม้ว่า เราจะเกลียด แต่ก็ไม่สามารถจะหลบเลี่ยง
หลีกหนีไปได้ เพราะทุกสิ่งในโลกนั้นมีธรรมชาติ คือ ไม่เที่ยง
มีเปลี่ยนแปลง มีดับไป นั้นคือ ทุกข์ ซึ่งจะต้องเผชิญอยู่เสมอ

ลองดูสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา ทุกสิ่งนั้น มีการเปลี่ยนแปลงเสมอ
ไม่ว่าจะมาก หรือน้อย และเมื่อถึงเวลาหนึ่งไม่ว่าเร็ว หรือช้า
สิ่งเหล่านั้นก็ต้อง กลายสภาพ หรือสูญสลายไป
แม้แต่ร่างกายเรา ก็เช่นกัน

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราจะมี "ความสุขกับชีวิต" ได้อย่างไร

ลองมาดู ๓ ข้อ ที่จะทำให้เรามี “ความสุขกับชีวิต”

๑. ไม่กระทำอะไรที่ส่งผลเป็นทุกข์

นั่นก็คือการไม่ทำชั่ว แล้วการทำชั่วคืออะไร?

ในเมื่อมนุษย์มีปรกติ รักสุข เกลียดทุกข์ ดังนั้น
การทำให้ผู้อื่น หรือ ตัวเรา ซึ่งเป็นมนุษย์ ได้รับความเดือดร้อน เป็นทุกข์
ไม่ว่าด้วยการกระทำ ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ
นี้คือการกระทำชั่ว นี้คือการกระทำซึ่งส่งผลเป็นทุกข์

ทั้งนี้ รวมไปถึงการกระทำต่อสิ่งที่ไม่ใช่ มนุษย์ เพราะ
สิ่งเหล่านั้นก็ รักสุข เกลียดทุกข์ ด้วยเช่นกัน

๒. แสวงหาความสุขด้วยวิธีที่ถูกต้อง ?

แน่นอนว่าเมื่อมีสุข ย่อมมีทุกข์ เพราะทุกข์เป็นผล จากการที่ไม่สามารถ
รักษาความสุขไว้ได้ เนื่องจากมัน ไม่เที่ยง มีเปลี่ยนแปลง มีดับไป เป็นธรรมดา
ดังนั้น การแสวงหาความสุขด้วยการกระทำในสิ่งที่ทำให้มีความสุขมาก
แต่ส่งผลเป็นทุกข์น้อย จึงเป็นวิธีแสวงหาความสุขที่ถูกต้อง

ซึ่งนั่นก็คือ การทำดี แล้วการทำดีคืออะไร?

ในเมื่อมนุษย์มีปรกติ รักสุข เกลียดทุกข์ ดังนั้น
การทำให้ผู้อื่น หรือ ตัวเรา ซึ่งเป็นมนุษย์ ได้รับความสบาย เป็นสุข
ไม่ว่าด้วยการกระทำ ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ
ก็คือการกระทำดี คือการกระทำในสิ่งที่ทำให้มีความสุขมาก แต่ส่งผลเป็นทุกข์น้อย

ทั้งนี้ รวมไปถึงการกระทำต่อสิ่งที่ไม่ใช่ มนุษย์ เพราะ
สิ่งเหล่านั้นก็ รักสุข เกลียดทุกข์ ด้วยเช่นกัน

๓. ทำจิตใจให้ไม่ก่อความทุกข์ ?

เคยไหมที่เรามีเรื่องที่ทุกข์ ซึ่งมักจะเป็นการสูญเสีย
คนที่เรารัก หรือของที่เรารัก
เมื่อในเวลาที่สูญเสีย เราก็ทุกข์ เมื่อเวลาผ่านมาเรานึกถึงอีกเราก็ทุกข์
เมื่อนึกถึงเวลาที่เคยมีความสุขด้วยกัน เราก็สุข แต่แล้ว มันก็กลับเป็นทุกข์
เพราะรู้ว่าช่วงเวลานั้นไม่สามารถหวนกลับคืนมาได้อีก

ความทุกข์เหล่านี้ เกิดขึ้น เพราะเราไม่ได้ชำระจิตของเราให้บริสุทธิ์
ไม่ฝึกจิตของเราให้รู้จักสลัดความทุกข์ที่ผ่านเข้ามา ให้หมดไป ให้สิ้นไป
ไม่ฝึกจิตของเราให้มีปรกติ คิดในเรื่องที่จะไม่ก่อให้เกิดทุกข์
ไม่ฝึกจิตของเราให้มองเห็นตัวเราตามที่เป็นจริง

ซึ่งการฝึกนั้น ไม่ยาก ไม่ซับซ้อน แต่จำเป็นต้องตั้งมั่น อดทน
และฝึกด้วยวิธีที่ถูกต้อง เพื่อการเจริญสติ และสมาธิ

ถ้าการเจริญสติ และสมาธิ นั้นยังรู้สึกว่าเข้าใจยาก ไม่พร้อม
หรือไม่รู้ว่าคืออะไร เริ่มอย่างไร ฝึกที่ไหน หรือวิธีไหนที่ถูกต้อง

ก็เพียงหมั่นฝึกทำข้อ ๑.ละชั่ว และฝึกทำข้อ ๒.ทำดี ให้สม่ำเสมอ
อย่างตั้งมั่น และอดทน ไปก่อน

เมื่อทำไปนานพอ มากพอ ถึงจุดหนึ่ง คุณจะพบว่า
มีเรื่องดี ๆ ผ่านมาในชีวิตมากขึ้น
มีสิ่งดี ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตมากขึ้น
มีคนดี ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตมากขึ้น
มีโอกาสดี ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตมากขึ้น
และมี “ความสุขกับชีวิต” มากขึ้น มากขึ้น ตลอดเวลา

#ธรรมตรรกะ
#ความสุขกับชีวิต

#ความสุข #ความทุกข์ #ทำดี #ทำชั่ว #โอกาสดี




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2559   
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2559 15:08:49 น.   
Counter : 455 Pageviews.  


ขอศาสนาพุทธเป็น ศาสนาประจำใจ ดีกว่าไปประจำชาติ

ศาสนาพุทธมีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ ให้รู้แจ้งในทุกข์ และแนะหนทางที่จะพ้นไปจากทุกข์


หนึ่งในนั้น สอนให้เห็นว่า ทุกสิ่งนั้นล้วนไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงนี่แหละเป็นทุกข์
แม้ตัวเราเองนั้นก็ไม่เที่ยง ดังนั้น หากเรายึดมั่นในความเป็นตัวเรา เป็นของเรานั้น ย่อมไม่มีทางพ้นไปจากทุกข์

ปัจจุบัน หลายคนที่กล่าวว่าตนเป็นพุทธนั้น ไม่ต้องพูดไกลไปถึง การไม่ยึดมั่นในตัวเรา ว่าไม่ใช่ของเราเลย
เพราะเขาเหล่านั้นยึดมั่นทุกอย่างไปหมด ว่าเป็นของเรา นั่นของเรา นี่ของเรา แม้แต่ศาสนาก็ยังยึดว่าเป็นของเรา
ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ใช่ ผู้ที่เดินตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ดังนั้น คนที่อยากรู้ว่าศาสนาพุทธ ทำให้คนรู้แจ้งในทุกข์ได้อย่างไร มีหนทางปฏิบัติใดที่จะทำให้พ้นไปจากทุกข์
ก็ขอเชิญให้มาดู มาศึกษา มาพิสูจน์ ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าพบ และสอนให้ปฏิบัตินั้น มีผู้ทำได้จริง ปฏิบัติได้จริง
และมีผลประเสริฐจริง อย่างไร

ส่วนผู้ที่ กำลังศึกษา กำลังพิสูจน์ กำลังปฏิบัติ อยู่นั้น
ก็อย่ามัวสนใจ ในเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บอก ไม่ได้สอน
อย่าไปร้อนใจ ว่าจะมีใครจ้องทำลายศาสนาพุทธ
อย่าไปคิดร้าย กับสงฆ์ที่ไม่ประพฤติเป็นสงฆ์
อย่าไปโต้แย้ง กับชาวพุทธที่ไม่ปฏิบัติตามวิถึพุทธ

เพราะธรรมทั้งหลายนั้น ทนต่อการพิสูจน์

แม้จะเขียนบันทึก ตำรา หรือกฏหมายอันใด ที่ให้ศาสนาพุทธเป็นที่นับถือ
มีองค์กรศาสนาพุทธที่ใหญ่โต มีผู้นับถือศาสนาพุทธจำนวนมาก
แต่กลับไม่มีใคร ปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ศาสนาพุทธ ก็สูญสิ้น เหลือเพียงชื่อ

แต่ขอเพียงให้ศาสนาพุทธ เป็นแค่ศาสนาประจำใจ แม้ใครเพียงสักคนสุดท้ายบนโลก
ยังปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาพุทธก็ยังคงอยู่ในโลก

-------------------------------------------------------------------------------------

ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้า
เอาเลื่อยที่มีที่จับทั้งสองข้าง เลื่อยอวัยวะใหญ่น้อยของพวกเธอ
แม้ในเหตุนั้นภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดมีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น
ภิกษุหรือภิกษุณีรูปนั้น ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งสอนของเรา
เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาที่ลามก
เราจักอนุเคราะห์ผู้อื่นด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์
เราจักมีเมตตาจิตไม่มีโทสะในภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น
และเราจักแผ่เมตตาอันไพบูลย์ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้
ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลกทุกทิศทุกทาง
ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น
ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แล.
มู. ม. ๑๒/๒๖๐/๒๗๒




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2559   
Last Update : 9 มีนาคม 2559 14:04:39 น.   
Counter : 441 Pageviews.  


1  2  

ชิวหา
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้"
[Add ชิวหา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com