สะพายกล้องท่องฮานอย: อาศรมอักษรศาสตร์ Temple of Literature, Hanoi


Temple of Literature กลางกรุงฮานอย ถ้าจะแปลแล้วได้อารมณ์ที่สุดในความเห้นของผม ก็คือ "อาศรมอักษรศาสตร์"

จะด้วยเหตุผลอะไร ก็ไม่รู้
อาจจะเป้นเพราะว่า ถ้าแปล ว่า "วัดวรรณคดี" คือตรงตัว Temple --> วัด แล้ว literature --> วรรณคดี แบบนี้ มันออกจะฟังแล้วตลก ๆ อย่างไงพิกลอยู่



อาศรมอักษรศาสตร์ เป็นสถานที่ทองเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่อยู่ใจกลางกรุงฮานอย ไม่ใกล้ไม่ไกล จาก Palais Presidential เท่าใดนัก

ถ้าสังเกตโดยรอบ เราจะเห็นถึงอิทธิพลของแนวคิดแบบ ขงจื๊อชัดเจนมาก

เท่าที่แอบฟังไกด์ชาวเวียดนาม บรรยาย ให้ชาวต่างชาติที่มาเที่ยวฟัง คือ ผมไม่ได้จ่ายตังค์ แต่ไปยืนฟับเขาบรรยาย แบบได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง ก็พอจะจับใจความว่า

สมัยก่อน เวียดนาม มีการเรียนศิลปวิทยาคล้าย ๆแบบจีน มีการสอบ เป็นขุนนาง ถ้าจะให้จินตนาการไปเอง ก็คงเป็นการสอบจอหงวน

และมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็เหมือนเป้นที่รวบรวมวิทยาการต่างๆ ของเวียดนามสมัยโบราณ ที่ผุ้มีความรู้ในแถบน้ จะต้องมาศึกษาวิชาต่าง ๆ

เปรียบเทียกับไทย ก็คงจะอารมณ์วัดโพธิ์ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรก ของไทยยุคก่อนการสถาปนาของรัฐชาติสมัยใหม่นั่นแหละ



จะว่าไปแล้วแม้ เวียดนามจะเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ที่รับแนวคิด มาร์กซ์ เลนิน มาเต็มๆ มีอนุสาวรีย์ เลนิน ให้คนเคารพ แล้ว แนวคิดแบบมาร์กซิสต์ เนี่ยเขา ไม่สนับสนุนให้คนมีศาสนา เพราะศาสนา ทำให้คนเชื่อ หรือว่า อีกนัยหนึ่งคือ เขามองว่า ศาสนามอมเมาประชาชน

แต่กระนั้น อิทธิพลของความเชื่อแบบขงจื๊อประเทศเวียดนามก็ยังฝังรากหยั่งลึกในหมู่คนเวียดนาม ดังจะเห็นได้จาก หลายๆ คน ก็มากราบไหว้ รูปปั้น ขงจื๊อ หรือผมฟังสำเนียงเวียดนามได้ว่า "ขงตื่อ" อาจจะออกเสียงผิดพลาดประการใด วานผู้รู้ช่วยแก้ให้ด้วย

คือเวลาจะต้องมีการสอบแข่งขันทางการศึกษา หลายครั้งหลายคราว เราก็จะพบว่า มีนิสิตนักศึกษาในฮานอย ก็จะมากราบไหว้ขอพรจากขงจื๊อ

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศคอมมิวนิสต์ หนึ่งในห้าประเทศสุดท้ายของโลก นอกเหนือไปจากจีน เกาหลีเหนือ คิวบา ลาว ก็มีเวียดนามประเทศนี้นี่แหละครับ




ถ้าพูดถึงแนวคิดแบบมาร์กซิสต์ แล้วก็อดนึกถึงนวนิยายเรื่อง Animal Farm ของ George Orwell ที่เขียนขึ้นมาล้อเลียนการปกครองในอดีตสหภาพโซเวียตไม่ได้

คือ สัตว์เลี้ยงในฟาร์มพากันต่อต้าน Mr. Jones เพราะใช้อำนาจกดขี่สัตว์ต่างๆ
อยุ่มาวันหนึ่ง ก็มีหมูมาปลุกจิตสำนึกทางด้านสิทธิของสัตว์ต่าง ๆ ด้วข้ออ้างว่าด้วย "ความเทาเทียมกัน" ถ้าจำไม่ผิด นิยายใช้คำว่า All animals are equal รึเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แล้วก้ประโยคที่ว่า
Four legs good, two legs bad

จนสัตว์ต่าง ๆ ลุกฮือ ขึ้นมาขับไล่ Mr.Jones ไปสำเร็จ

พอไล่ไปได้แล้ว ทำไปทำมา หัวหน้าผู้ปลุกขบวนการ กับตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่เสียเองแทน Mr. Jones
คือไอ้เจ้าหมูนั่นแหละมันตั้งตนเป็นนายแล้วใช้งานสัตว์ต่าง ๆเสียเอง ในขณะที่ตัวเองก็เสพสุข และพร้อมจะฆ่าแกงสัตว์ตัวที่ไม่เห็นด้วยกับมัน
ส่วนสโลแกน ที่ว่า Four legs good, Two legs bad ก็ต้องเป็นหมัน เพราะ ไอ้เจ้าหมู นั่นมันดันลุกขึ้นยืนสองขาเสียเอง Four legs good Two legs ก็เลยกลาเยป็นคำว่า better เข้ามาแทนที่คำว่า bad

สรุปว่าที่เคยด่า เคยว่าเขาเนี่ย พอปฏิวัติเขาเสร็จ หมูทำเองหมดเลย จะกล่าวว่าเข้าข่าย "ว่าแต่อิเหนาเราเป็นเอง" ก็คงไม่ผิด

ซึ่งตรงนี้ ผู้แต่งนิยาย ล้อเลียนนักปฏิวัติในโซเวียต ที่ขับไล่ราชวงศ์ออกไป โดยอ้างความเท่าเทียมกัน แต่พอตัวเองเป็นใหญ่ กับขูดรีดชาวบ้านไม่แตกต่างกันจากสมัยกษัตริย์ มีนักคิดบางคน บอกว่า ขูดรีดยิ่งกว่าเสียอีก



พูดถึงเรื่อง "ว่าแต่อิเหนาเราเป็นเอง" แล้ว อดจะนึกถึงเรื่องศาสนาไม่ได้
แนวคิดมาร์กซิสต์แนวฮาร์ดคอร์ ที่เห็นว่าไม่ควรมีศาสนาเพราะศาสนามอมเมาผู้คนนั้น

ทำไปทำมา มาร์กซิสต์ เหมือนจะกลายๆ เป้นศาสนาเอาเสียเองอย่างไรก็ไม่รู้

คือ คาร์ล มาร์กซ์ นี่คลับคล้ายคลับคลาจะเป้นศาสดาอยู่แล้ว

ส่วน คอมมิวนิสต์ มานิเฟสโต้ หรือ ดาส คาปิตาล (Das Kapital) เนี่ย ก็มีบทบาท คล้าย ๆ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ว่าอะไรถูกเสมอ อย่างไรอย่างงั้น

แล้วก็ การถกเถียงทางการเมืองของเหล่าสหาย เนี่ย เป็นพิธิกรรม
ส่วนพวกสหายทั้งหลายก็ทำตัวไม่ต่างจากสาวก ของศาสนาหนึ่งๆ เลย




เห็นลวดลาย ศิลปะของสถาปัตยกรรมแบบนี้ อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่า ช่างใกล้เคียงกับวัฒนธรรม หรือ สถาปัตยกรรมของจีน มาก

ผมเคยคิดเล่น ๆ ว่าถ้าฝรั่งเศสไม่เข้ามาในอินโดจีน
ตอนนี้ประเทศเวียดนามจะเป้นอย่างไร
อาจจะมีความใกล้เคียงกับจีนมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ก็ได้
อย่างน้อย

ภาษาเวียดนามก็อาจจะยังใช้ตัวอักษรจีนอยู่













ทุกวันนี้ ศิลปะเก่าๆ ยุคโบราณของเวียดนามไม่ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญเพียงอย่างเดียว

แต่ถ้าเราสังเกตให้ดี บริเวณหน้าประตูทางเข้าของ อาศรมอักษรศาสตร์แห่งนี้ เราจะพบเห็นคู่บ่าวสาว มาถ่ายทำวีทีอาร์ ของธุรกิจเวดดิ้งสตูดิโอ มากมาย

นับว่าเป็นการแปลงทรัพย์สินของ คอมมูน (หรือของชาติ?) ให้งอกเงยเป็นมูลค่าทางทุนนิยมที่น่าสนใจ

ในประเทศที่ยังได้ชื่อว่า เป็นประเทศคอมมิวนิสต์แห่งนี้




Create Date : 11 มกราคม 2553
Last Update : 11 มกราคม 2553 12:42:10 น.
Counter : 1027 Pageviews.

4 comments
  
ที่นครวัด เขมร เขาก็นิยมมาถ่ายภาพแต่งงานด้วยค่ะ วันที่ไปเที่ยวมีถึง 4 กลุ่มแน่ะ
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:13:00:28 น.
  
สุขสันต์วันจันทร์อันแสนผ่อนคลายนะค้าบ
โดย: ผมชอบกินข้าวมันไก่ วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:20:49:55 น.
  
น่าสนใจมากเลยค่ะ เป็นที่หนึ่งที่อยากไป แต่ยังไม่มีโอกาส
โดย: NuiErnik วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:12:41:23 น.
  
น่าอิจฉาเป็นอันที่สุดดดดดดดดด
อยากไปเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ศึกษาศิลปะ วัฒนธรรม อะไรแบบนี้บ้างจัง
เก็บข้อมูลได้เยอะมากเลยค่ะ เก่งจังเลย
เวลานู๋ไปเที่ยวก็สนใจฟังไกด์บรรยาย บางที่ก็มีศึกษาไว้ล่วงหน้า
แต่พอกลับมาแล้วก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้ ถ้าจะให้มาเล่าบอกใครต่อนี่ บอกไม่ถูกแน่นอน อิอิอิ

ถ้ามีโอกาสจะไปบ้างค่ะ ขอบคุณนะคะที่นำมาฝาก ^^
โดย: บุษบาแต้เตี้ยม วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:1:08:50 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เชษฐภัทร
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



New Comments
All Blog
MY VIP Friend