เด็ก ๆ ทะเลาะกัน
เด็กชาย ก. ซึ่งเป็นนักเรียน ชั้นม. 1 เป็นแฟนกับ เด็กหญิง ข. ซึ่งเป็นนักเรียน ชั้น ม. 3

เด็กชาย ก. เป็นเด็กนักเรียนธรรมดาคนหนึ่งซึ่ง เพิ่งได้สัมผัสกับการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียนประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง

แม้ว่าจะเป็นคนที่ไม่สุงสิงกับใคร แต่เด็กชายก. ก็มีความสามารถพิเศษ คือ ส่งกลอนประกวดได้รางวัลชนะเลิศกลอนวันไหว้ครูในระดับม.ต้นของโรงเรียน ซึ่งเป็นงานกิจกรรมเพียงไม่กี่งานที่เขาเข้าร่วม จนทำให้รู้จักกับเด็กหญิง ข.

เด็กหญิง ข. ซึ่งกำลังจะได้เปลี่ยนคำนำหน้า จาก "เด็กหญิง" เป็น "นางสาว" ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เป็นนักเรียนที่ทำกิจกรรมมากมาย เป็นประธานชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติ แล้วก็มีเพื่อนฝูง ในและนอกชมรมเป็นโขยง

พลันที่ เพื่อนสนิทของ เด็กหญิง ข. ซึ่งเป็นประธานชมรมดูตัวกิ้งกือ และประธานชมรมพุทธศาสนา รู้ว่า เด็กหญิง ข. เป็นแฟนกับ เด็กชาย ก. ซึ่งอยู่ชั้น ม.1 เข้า เพื่อน ๆ สองคน ซึ่งเป็นระดับหัวหน้าชมรมของเด็กหญิง ข. ก็ไม่ชอบใจกันใหญ่

แล้วยิ่งไปเจอ บุคลิกของ "คนบ้ากลอน" ของเด็กชาย ก. เข้าให้ เพื่อน ๆ ยิ่งรู้สึกแอนตี้ แฟนของ เด็กหญิง ข. คนนี้ หลาย ๆ ครั้ง ที่เจอ แฟนเพื่อน พวกเขาก็จะแอบคิดออกแนว แบบอารมณ์ว่าหมั่นไส้ ว่า

"ไอ้น้อง ก. !!! เมิงจะมา บ้ากวี อะไรแถวนี้หวะ กูเบื่อหว่ะ" (ไม้เว้นกระทั่งประธานชมรมพุทธศาสนาก็ยังคิดแบบนี้)

แต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปากบ่นอะไร

สาเหตุข้อที่หนึ่งคงเป็นเพราะเกรงใจเพื่อน
สาเหตุข้อที่สองคงเป็นเพราะ เด็กชาย ก. ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรง ไม่ได้ทำอะไรออกนอกลู่นอกทาง อาจจะแค่บุคลิกและดูติ๊ด ๆ ไม่ถูกจริต กับพวกตัว จะให้คนระดับประธานชมรม ลุกไปด่า มันก็ไม่ใช่ที่ เดี๋ยวจะโดนร้องเรียนไปยังห้องปกครองเอาได้

กระนั้น พวกเพื่อนรักระดับประธานชมรมทั้งสองของเด็กหญิง ข. ก็ยัง(แอบ) หมั่นไส้เด็กชั้นม. 1 คนนั้นอยู่ดี

เด็กชาย ก. พอจะรู้สึกได้บ้าง ว่า ประธานชมรมชมกิ้งกือ คงจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาเท่าไหร่
แต่สำหรับประธานชมรมพุทธศาสนา เนี่ย เด็กชาย ก. ไม่เคยระแวงสงสัยเลย ด้วยเข้าใจว่าธรรมะ จะช่วย ลบอคติ โลภ โกรธ โหลง ออกจากใจคนที่อยู่ใกล้คำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างประธานชมรมพุทธศาสนา เขาจึงวางใจ และยกไว้ในฐานะ รุ่นพี่ที่เคารพคนหนึ่ง

--------------

หลังจากคบกันมาได้แปดเดือน อยู่มาวันหนึ่ง เด็กหญิง ข. บอกเลิกกับเด็กชาย ก.

เด็กชาย ก. ร้องไห้และตามตอแย เด็กหญิง ข. เพราะไม่อยากโดนบอกเลิก

พวกเพื่อนๆ เด็กหญิง ข. อันมี ประธานชมรมชมกิ้งกือ และประธานชมรมพุทธศาสนา เป็นต้นได้วางแผนกันที่ร้าน "เป็ดพะโล้แม่ใหญ่แดง" ในโรงอาหารโรงเรียน ด้วยตอนนี้ โอกาสที่จะได้ปลดเปลื้องความหมั่นไส้ที่มีต่อ เด็กชาย ก. ที่พวกเขาอัดอั้นอยู่บั้นท้ายมานาน ก็ได้มาถึงแล้ว

หลังวางแผนเสร็จ เยาวชนทั้งคู่ ก็ป่าวประกาศ บอกเพือ่น ๆ ในชมรมทุกชมรม ว่า "เด็กชาย ก. มันมาตอแยเด็กหญิง ข. เพือ่นเราหว่ะ เราต้องจัดการไอ้น้องก. ให้มันสำนึก" (แต่ไม่ได้บอกว่า ใครบอกเลิกใคร เพราะ เด็กหญิง ข. เป็นคนบอกเลิกนั่นเป็นเพื่อนประธานชมรมชมกิ้งกือ กับประธานชมรมพุทธศาสนา)

พูดเสร็จ ประธานชมรมทั้งสอง ก็เป็นจัดแจงการรุมกระทืบ

โดยประธานพุทธศาสนาเป็นคนดูต้นทาง และจัดแจงนำเสนอข้อมูลว่าเด็กชาย ก. โวยวายเด็กหญิง ข. ว่าอะไรบ้าง เพื่อเป็นเรียก ลูกชมรมพุทธศาสนา และเพื่อนต่างชมรม ที่รู้จัก เด็กหญิง ข. และพร้อมจะช่วยเด็กหญิง ข. (แต่ พวกลูกชมรม เหล่านี้ไม่เคยรู้จักเด็กชาย ก. และไม่เคยมีความบาดหมางใด ๆ มาก่อน)

ฝ่ายประธานชมรมดูกิ้งกือ ก็เป็นคนนำ "ลูกชมรม" ไปกระทืบเด็กชาย ก. ที่หน้ารถเข็นขายลูกชิ้นนึ่งหลังโรงเรียน ตอนห้าโมงเย็นด้วยตัวของเขาเอง

เด็กชาย ก. ที่กำลังโดนรุมทำร้ายรู้สึกมึนงงมาก เพราะว่า ตีนทั้งหลาย ที่รุมกระทืบ เขานั้นเป็นตีนของคนที่เขาไม่รู้จัก ไม่เคยมีความบาดหมางใด ๆ มาก่อน

เด็กชาย ก. ได้ยินเสียงคนที่มารุมกระทืบ โหวกเหวกว่า "ไอ้นี้ มันมาตอแย ประธานชมรม อนุรักษ์ธรรมชาตเพื่อนเรา ต้องเหยียบมันให้ตายไปเลย" ได้ยินแบบนี้ เขาก็คิดว่า พวกนี้คงมาช่วยเพื่อน เพราะรักเพื่อนเขา แต่ก็อดนึกด่า ในใจไม่ได้ว่า "กูจะเลิกกับใคร มันไปหนักหัวพวกมึงรึไง ทำไมต้องเป็นเดือดเป็นแค้นแทนผู้หญิงคนหนึ่งขนาดนี้"

แต่....

อนิจจัง

พอเห็นหน้าประธานชมรมชมกิ้งกือ เด็กชาย ก. ก็เริ่มสงสัยว่า คนพวกนี้ มาเพื่อช่วยเพื่อนของตัวเอง คือ เด็กหญิง ข. จริงหรือ

หรือว่าสุดท้าย แล้ว ก็เป็นแค่ความเหม็นขี้หน้าที่ ประธานชมรมชมกิ้งกือกับ ประธานชมรมพระพุทธศาสนาไม่ชอบเขา แต่ไม่รู้จะจัดการเขายังไง เลย ยกเรื่อง ที่เขาเลิกกับ เด็กหญิง ข. มาเป็น ข้ออ้าง ในการระดมพลคนที่ชื่นชม เด็กหญิง ข. เพื่อมาใช้จัดการกับเขา

การช่วยเหลือเด็กหญิง ข.เป็นแค่ข้ออ้าง(จะจริงไม่จริงเป็นอีกเรื่อง) ที่สามารถใช้แล้วระดมคนได้มากมาย

และทุกอย่างทำไปเพื่อสนองตัณหาของคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น!!!!

แม้วิธีการระดมพลแบบนี้ มีมาตั้งแต่วัยเด็ก
แต่ไม่ใช่แค่เด็กที่นำมาใช้กัน

หลายครั้งหลายหน เราเห็นผู้ใหญ่ที่จบระดับปริญญาเอก นำมาใช้ทำลายคนที่ตนไม่ชอบ ทั้งในชีวิตจริงและในโลกไซเบอร์

หลายครั้งหลายหน ที่ผู้ก่อการร้าย ก็นำยุทธวิธีแบบนี้ มาใช้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตนต้องการ

หลายครั้งหลายหนที่เราเห็นนักการเมืองนำมาใช้ทำลายศัตรูทางการเมืองของตน

จริง ๆ พฤติกรรมมนุษย์ ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย ไม่ว่าเขาจะอ้าง ว่าได้รับการศึกษามามากมายแค่ไหนก็ตาม

เด็กชาย ก. โชคดี ที่ได้พบเห็นพฤติกรรม การทำลายล้างกันของมนุษย์ในลักษณะแบบนี้ตั้งแต่อยู่ม. 1 ถ้าเขาเจ็บและจำ ศึกษาเรียนรู้ข้อผิดพลาดสิ่งที่เกิดขึ้น จะต้องเติบโต และจัดการแก้ทางยุทธวิธีแบบนี้ได้สักวัน




Create Date : 08 ตุลาคม 2552
Last Update : 8 ตุลาคม 2552 19:02:06 น.
Counter : 503 Pageviews.

1 comments
  
ถ้ามีคนอย่างพวกประธานชมรมในเรื่องมากมาย
สังคมคงน่าเกลียดน่าดูเลยเน๊าะ
โดย: -,- (clyt ) วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:1:29:38 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

เชษฐภัทร
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



New Comments
MY VIP Friend