ชีวิตคือความไม่แน่นอนแต่ในความไม่แน่นอนของชีวิตเรากลับพบความสวยงามของชีวิต
Group Blog
 
All Blogs
 
สุนทรียสนทนา

กลับมาจากทริปยุโรปครั้งแรกในชีวิต เพื่อนๆหลายคนอยากดูรูปถ่ายจากการเดินทางคราวนี้...แต่เราบอกว่าขอคั่นจังหวะด้วยเรื่องราวดีๆที่ไปสัมผัสมาช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาแทน คงไม่ว่าอะไรกันใช่ไหม? อ่านจนจบเรื่องนี้แล้วเชื่อว่าคุณคงเห็นด้วยว่ามันมีคุณค่าจริงๆ


ผมกลับจากตุรกีวันพฤหัสบดีหลังวันเข้าพรรษา ๑ วัน ได้กลิ่นอายของวันเข้าพรรษาเพราะมีเทียนพรรษาที่การท่าอากาศยานเขาอุตส่าห์ไปแกะสลักไว้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ


วันศุกร์มีโอกาสได้ไปดูละคร "แม่นาค" มิวสิคัลที่โรงละครเอ็มเธียเตอร์ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกแปลกๆที่ต้องสวมหน้ากากชมละคร ล้างมือด้วยเจลอนามัยก่อนเข้าโรงละคร เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสดูละครเพลงในเมืองไทย



ตัวละครที่แสดงเป็น "แม่นาค" คุณธีรนัยน์ ณ. หนองคาย ขอชมว่าเธอมีพลังเสียงที่ไพเราะ ชวนให้นึกถึง Christine ในหนังเรื่อง Phantom of the Opera เพราะคุณธีรนัยน์เธอร้องได้ดีมาก ตรงกันข้ามพระเอกของเรื่อง "พ่อมาก" ที่แสดงโดยคุณ วรฤทธิ์ เฟื่องอารมณ์ ผมคิดว่าความสามารถในการแสดงละครเขาทำได้ดี แต่ความสามารถในการแสดงละครเพลงคงต้องฝึกฝนการร้องอีกมาก คุณภาพในการร้องเพลงยังไม่สมควรเล่นบทพระเอกของเรื่อง เห็นตัวละครบางคนที่เล่นเป็นตัวประกอบ ไม่ว่าจะตัวละครตัวอ้วนเตี้ย หรือตัวแสดงที่เล่นเป็นหลวงพ่อ (ถ้าจำไม่ผิดเป็นพี่จ้อนที่เคยเป็นคอนดักเตอร์วงซียูคอรัส) ทั้งสองคนร้องเพลงด้วยพลังเสียงที่เหมาะกับละครเพลงมากและร้องได้ดีกว่าพระเอกมากๆๆๆ อาจจะเป็นเพราะพวกเขาหน้าตาหรือว่ารูปร่างไม่สง่างามเหมือนพระเอกของเรื่อง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รับการคัดเลือกให้เล่นบทพระเอก????

นี่อาจจะเป็นเพราะสังคมไทยมักไม่ยอมรับพระเอกไม่หล่อหรือว่านางเอกที่ไม่สวย ในขณะที่ต่างประเทศเขาวัดคุณภาพของตัวละครที่บทบาทในการแสดงมากกว่าหน้าตา เคยเห็นละครญี่ปุ่นที่พระเอกหรือนางเอกหน้าตาไม่ได้เรื่องแต่บทบาทกินขาดและเอาชนะใจคนดูทั้งประเทศ ดังนั้นไม่แปลกใจหรอกถ้าจะมีคนจำนวนไม่น้อยผิดหวังกับเรื่องความรักเพราะคนเหล่านั้นมีความคาดหวังเรื่องหน้าตาซึ่งความคิดและความเชื่อแบบนี้ถูกหล่อหลอมจากละครที่ดูทุกวันและชี้นำให้คาดหวังว่าพระเอกและนางเอกในชีวิตจริงต้องหน้าตาดี


วันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาตื่นแต่เช้าไปร่วมสัมมนา "สุนทรียสนทนา" สุนทรียสนทนาคืออะไร? คงมีคำถามที่เกิดขึ้นในใจของหลายๆคน อ่านไปเรื่อยๆแล้วคุณจะเข้าใจ


เมื่อเกือบสามเดือนก่อน...ผมมีโอกาสได้ดูรายการ "ครอบครัวเดียวกัน" ซึ่งรายการได้เชิญเพื่อนเก่า "อังคณา มาศรังสรรค์ (ทองทรงกฤษณ์)" มาเป็นแขกในรายการ อังคณาที่เราเห็นในรายการทีวีวันนั้นแตกต่างไปจากอังคณาที่เราเคยรู้จักสมัยเรียนชั้นมัธยมปลายด้วยกัน ดูสงบ ดูเข้าใจชีวิต ถ้อยคำที่ออกรายการดูเยือกเย็นกว่าอังคณาสมัยเป็นวัยรุ่น ถึงแม้ว่านิสัยบางอย่างที่เคยรู้จักจะยังหลงเหลือให้เห็นบ้างก็ตาม ณาพูดถึง "สุนทรียสนทนา" เอาไว้ในรายการนั้น ซึ่งเราสงสัยว่ามันดีอย่างไร? ทำไมมันถึงทำให้คนๆหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบนั้นได้


ตอนไปอบรม "การพัฒนาภาวะผู้นำธุรกิจและชุมชน" ได้ยินพี่หมอไก่หยิบเรื่อง "สุนทรียสนทนา" ขึ้นมาพูดให้ฟังอีกแล้วก็ชักชวนว่าถ้าสนใจลองไปเข้าร่วมกิจกรรมนี้ดู


มันจะด้วยเหตุผลอะไรที่อธิบายไม่ได้ด้วยเลขจำนวนเต็มลงตัวน้อยๆ (กฎของอโวกาโด ในวิชาเคมี ไม่รู้ว่าจะยังพอจำกันได้ไหม?) อยู่ดีๆผมก็อยู่ในกลุ่มที่ได้รับอีเมลเชื้อเชิญให้เข้าร่วมสัมมนา "สุนทรียสนทนา" ผมก็เลยลองสมัครดูก่อนไปเที่ยวรัสเซีย-ตุรกี เพราะอยากรู้ว่าสิ่งที่ได้จากการสัมมนามันจะเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตเราบ้าง?


ตอนอยู่ที่ Cappadocia ที่ตุรกี ผมได้รับอีเมลยืนยันเรื่องสัมมนา "สุนทรียสนทนา" จากทางผู้จัดว่าจัดแน่นอนในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ ๑๑-๑๒ กรกฎาคมนี้ ผมตอบอีเมลขอบคุณกลับไปแล้วเขียนบอกไปว่าแล้วเจอกันในงานสัมมนา


พอไปถึงสถานที่จัดสัมมนา ตอนไปลงทะเบียน...ผมไปเจออังคณาเข้า ตกใจเพราะไม่คิดว่าจะเจอกันที่นั่น ผมไม่ได้เจอณามา ๒๒ ปีเต็ม โดยรวมแล้วใบหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนที่เรียนม.ปลายด้วยกันเพียงแต่ต้องยอมรับว่าใบหน้าก็เปลี่ยนไปตามวัยทั้งคู่ ผมพึ่งตากแดดแรงๆที่ตุรกีกลับมาเลยมาในสภาพผิวสีแทน อาจารย์ณัฐฬส วังวิญญู (ณัฐ) เป็นวิทยากรตลอดวันแรก ณาช่วยเป็นวิทยากรในบางช่วง





เขาเริ่มต้นการสัมมนาด้วยการสงบนิ่ง อยู่กับลมหายใจ ปลดปล่อยเรื่องวุ่นๆในหัวทิ้งไปชั่วขณะ


อาจารย์ณัฐถามคนที่เข้าร่วมสัมมนาให้แนะนำตัวเองทีละคนและคาดหวังอะไรจากการมาร่วมสัมมนาคราวนี้














อาจารย์ณัฐแชร์ประสบการณ์จากการไปซานฟรานซิสโกคราวนี้ การได้ไปพักโรงแรมเล็กๆที่บริหารโดยคุณยายวัย ๘๐ ที่บริหารโรงแรมด้วยใจที่ให้บริการ เปิดโอกาสให้คนที่มาพักซึ่งมาจากที่ต่างๆหลากหลายกันได้เปิดพื้นที่ตรงนั้นให้แลกเปลี่ยนทัศนะคติได้คุยกัน เพื่อให้คนที่พยายามค้นหาตัวเอง มีความเชื่ออะไรคล้ายๆกัน ได้มาคุยกัน คุณยายเจ้าของโรงแรมที่ชื่อ แซมมี่ (ถ้าผมฟังไม่ผิด) มองเห็นว่า

"มนุษย์มีความแตกต่างกันและในความแตกต่างกันตรงนี้ ถ้าเราชื่นชมเรื่องเหล่านี้อย่างตั้งใจโดยไม่เอาอคติส่วนตัวมาตัดสินจากมาตรฐานของเรา...เราจะตระหนักถึงคุณค่าและความสวยงามของความแตกต่างเหล่านั้น"

การสนทนานำมาซึ่งการค้นพบสิ่งใหม่ๆด้วยกัน ออกจากกรอบความคิด การเข้าหาคนอื่นโดยที่เราไม่มีเกราะกำบัง ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น ยอมรับในความไม่สมบูรณ์ซึ่งทุกคนก็ไม่มีใครสมบูรณ์แบบแม้ว่าจะพยายามให้เป็นอย่างไรก็ตาม มันทำให้เราค้นพบอะไรใหม่ๆได้เยอะแยะทีเดียว

อาจารย์ณัฐชี้ไปที่ว่าอุปสรรคของการทำสุนทรียสนทนาคือ ความรู้ ยิ่งรู้น้อยก็ไม่กล้าพูด หรือการรู้มากก็ยิ่งทำให้บางครั้งความเป็นตัวตนปิดกั้นการรับรู้สิ่งใหม่ๆเพราะคิดว่าตัวเองรู้ดีที่สุดแล้วและไม่อยากรับฟังอะไรใหม่ๆที่แตกต่างไปจากความเชื่อ ความเข้าใจที่ตัวเองสั่งสมมาจากประสบการณ์ในอดีต

ความรู้ที่คิดจะปกป้องตนเองเป็นความรู้ที่มนุษย์เราสั่งสมมานาน...และตัวนี้ก็ปิดกั้นการสนทนา

อาจารย์ณัฐพูดว่า

"หลายคนมีอิสระในการคิด แต่เพราะกรอบของสังคม หน้าที่การงาน ไม่เปิดโอกาสให้เกิดการสนทนาขึ้นมาได้"

ผมฟังแล้วก็รู้ว่าหลายคนคงเคยผ่านประสบการณ์แบบนั้นมา หลายกรณีคุณรู้ว่าสิ่งที่เจ้านายกำลังพูดไม่เข้าท่า เขารู้ไม่จริง คุณรู้ดีกว่า...คุณอยากแนะนำ...แต่คุณรู้ดีว่าถ้าคุณพูด...จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเพียงแต่คุณพูด..ความปรารถนาดีของคุณจะถูกเปลี่ยนเป็นความไม่มีมารยาท ความอวดดี การเสือกไม่เข้าเรื่อง สุดท้ายความคิดของคุณก็ถูกสกัดกั้นแล้วทำให้การสนทนาไม่เกิดขึ้น

อาจารย์ณัฐชวนให้เราคิดตามว่า...ทุกวันนี้เรากำลังห่างออกมาจาก

...การดูแลสุขภาพตัวเอง เราใช้มันอย่างตะบี้ตะบันโดยไม่สนใจดูแลมันอย่างทะนุถนอม จริงไหม? ทุกวันนี้เรากำลังทานอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าต่อร่างกาย ได้สารอาหารครบถ้วนหรือว่า...กินเพียงเพราะว่าอร่อยแล้วทิ้งกากสารพิษทำร้ายตัวเราเองในระยะยาว

...ธรรมชาติ เราสนใจจะไปเดินตามศูนย์การค้าป่าคอนกรีตมากกว่าจะหันไปสัมผัสธรรมชาติ เราไม่พยายามที่จะทำให้ธรรมชาติเข้ามาอยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น

...ครอบครัว เราให้ความสำคัญกับการหาเงิน เพียงเพราะคิดว่าเงินคือคำตอบของชีวิต แต่เราให้ความสำคัญกับความหมายของคำว่า "ครอบครัว" แค่ไหน? คำว่า "ครอบครัว" คืออะไร? ครอบครัวไม่ใช่แค่บ้านที่มีแต่คน โดยที่คนที่อยู่ในครอบครัวขาดความผูกพัน ขาดความห่วงใย และสายสัมพันธ์ที่ถักทอสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้แก่คนที่มาอาศัยอยู่ด้วยกัน แล้วถ้าเป็นแบบนี้มันเรียกว่า "ครอบครัว" ไหม?

...มนุษย์ เราเอาตำแหน่งมาเป็นตัวกำหนดคุณค่าของคน แยกแยะความแตกต่างของคนโดยเอาความถนัดมาเป็นตัวกำหนด
เรากำลังลืมไปว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของโลก มนุษย์เหมือนกันตรงที่ต่างก็ต้องการความห่วงใย ความทะนุถนอม การจะเข้าใจมนุษย์คนหนึ่ง..เราต้องมองจากมุมมองของเขา มากกว่าจะเอาความเป็นตัวตนของเราไปตัดสิน ไปพิพากษาว่าเขาควรจะเป็น เขาน่าจะเป็น และเขาต้องเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น


อาจารย์ณัฐหยิบเอาคำพูดของกฤษณะ มูรติ (นักปราชญ์ชาวอินเดียซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมชื่นชอบคนหนึ่ง การได้อ่านหนังสือ "แด่คนหนุ่มสาว" ของท่านกฤษณะ มูรติแล้วทำให้เข้าใจความหมายของคำว่า "ความรัก" ชัดเจนขึ้นโดยไม่หลงทางอีกต่อไป เพราะความรักโดยนิยามของท่านกฤษณะ มูรติ ชัดเจนและใช้ได้กับความรักทุกรูปแบบ) ขึ้นมาพูด เป็นประโยคที่มีความหมายมากๆ ท่านกฤษณะ มูรติกล่าวว่า


"ถ้าเราลืม ทิ้ง ซึ่งความยึดมั่นในการพยายามค้นหาสิ่งต่างๆที่ลงตัว ความมีระเบียบต่างๆ เราจะค้นพบระเบียบที่งดงามซึ่งมีอยู่แล้ว เราจะค้นพบว่า ชีวิตต้องการอะไร? สภาวะจิตที่เป็นระเบียบมันมีอยู่แล้ว...อยู่ในตัวของเรานั่นเอง"


การค้นพบแรงบันดาลใจในชีวิตนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในชีวิต...เห็นด้วยไหม? มีแรงบันดาลใจในชีวิตหลายๆเรื่องที่ไม่ได้ผ่านเข้ามาง่ายๆแต่ผมก็ไม่ได้ปล่อยให้มันผ่านไปง่ายๆเหมือนกัน เพราะมีเรื่องแบบนั้น...ชีวิตผมจึงมีการเปลี่ยนแปลงจนมาเป็นแบบนี้


ถ้าวัฒนธรรมองค์กรคือกระถางที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ วัฒนธรรมองค์กรที่ดีไม่ว่าเมล็ดพันธุ์แบบไหนมาปลูกย่อมงอกงามเติบโตดี ดังนั้นมีคำถามว่า...

"เป็นไปได้ไหมที่องค์กรจะเป็นที่ซึ่งหล่อหลอมจิตวิญญาณของมนุษย์ที่มาทำงานด้วยให้เติบโตต่อไป?"


การจะยอมรับความหลากหลายทางความคิดและความเชื่อได้นั้น...เราต้องช่วยกันสร้างพื้นที่ Dialogue ขึ้นมา


การมีโอกาสได้ทำกิจกรรมร่วมกันทำให้เกิดการติดต่อระหว่างกัน...ทำให้เกิดความรู้สึกความปลอดภัยมากขึ้น...ตามมาด้วยความไว้วางใจระหว่างกัน....เกิดความผูกพันระหว่างกัน....เกิดแรงบันดาลใจ..นำมาซึ่งการกระทำและผลงานตามมา


ได้ฟังเพื่อนๆที่เข้าสัมมนาแชร์ประสบการณ์ ความหลากหลายของประสบการณ์มันทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า ในความขัดแย้งของการสนทนาสามารถหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกันได้ถ้าเราหัดรู้จักฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากจะพูดอย่างตั้งใจ ฟังโดยไม่เอาอารมณ์มาอยู่เหนือการฟัง ฟังอย่างเดียว คนเราเมื่ออยากจะพูดย่อมอยากให้อีกฝ่ายฟัง....ถ้าเราเป็นฝ่ายฟัง ฟังแบบมีสติ ฟังโดยไม่เอาอารมณ์ไปจับสิ่งที่มากระทบ ไม่ว่าสิ่งที่มากระทบจะเป็นคำพูดที่ยั่วยวนขนาดไหน การกระทบกระทั่งกันจะไม่เกิดขึ้น ตรงกันข้าม....ถ้าเราฟังอย่างมีสติ...เราอาจจะเห็นใจคนพูดมากขึ้นจนเราไม่คิดจะไปทะเลาะด้วย


มีกิจกรรมผู้นำและผู้ตามโดยการหลับตาและจูงกันเดิน...แม้ว่ากิจกรรมนี้ผมเคยทำสมัยเรียนปริญญาโท แต่วันนั้นที่ได้ทำ...มันอีกความรู้สึก เป็นการสร้างความมั่นใจระหว่างกันโดยไม่มีเงื่อนไข


วันรุ่งขึ้นตอนเช้ามีกิจกรรมกายบริหารโยคะนำโดยน้องจิ๊บที่เป็นครูฝึกโยคะ จิ๊บนำพวกเราบริหารกายแบบโยคะด้วยท่าง่ายๆ ที่ผสานระหว่างการเคลื่อนไหวร่างกายช้าๆและลมหายใจเข้า-ออก






แล้วมีการเช็กอินว่า...เมื่อวานภายหลังจากสัมมนากลับไปบ้านแล้วไปทำอะไรบ้าง ได้อะไรไปบ้าง


หลายคนแชร์เรื่องราวในครอบครัว....ที่น่ารักและน่าอิจฉาสำหรับคนอื่น



ผมแชร์เรื่องราวว่ากลับไปแล้วง่วงนอนมาก...เพราะคืนก่อนหน้านอนไม่กี่ชั่วโมง แต่พอผ่านร้านเช่าวิดีโอก็ไปยืมหนังเรื่อง "ความจำสั้นแต่รักฉันยาว" มาดูเพราะอยากดู


ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้น่ารักดี เนื้อเรื่องเดินเรื่องแบบให้ข้อคิดดีๆแก่คนดู ความรักของคนสองวัย ความรักไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยการต้องอยู่ด้วยกันเสมอไป เราสามารถหยิบยื่นสิ่งดีๆให้กับคนที่เรารักได้ตลอดไปไม่ว่าจะอยู่ไกลกันแค่ไหน, เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม เพื่อนๆที่เคยดูหนังเรื่องนี้มาต่างเห็นด้วยว่าหนังเรื่องนี้น่ารัก


ที่ผ่านมาเดือนกว่าผมมักจะตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก...มันทำให้ผมนอนไม่ต่อเนื่องแล้วมีผลทำให้อ่อนเพลียในวันรุ่งขึ้น แต่สำหรับเมื่อคืนวันเสาร์..เดาว่าการผ่านการนั่งสมาธิในระหว่างสัมมนาหลายครั้งทำให้จิตเราสงบ ปล่อยวาง คืนวันเสาร์พอเข้านอนแล้วเราหลับสนิท นอนหลับต่อเนื่องโดยไม่ตื่นขึ้นมากลางดึก บางทีถึงเวลาที่เราจะกลับไปหาสิ่งดีๆ แนวทางที่เราเคยปฏิบัติในอดีตที่เราละทิ้งไป จิตที่สงบและโปร่งเบานำมาซึ่งความสุขในชีวิต


มีการเปิดพื้นที่ให้ใครที่อยากจะพูดอะไรให้มีโอกาสได้พูด ปัญหาในครอบครัว...ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักระหว่างพ่อ-ลูกของบางคนถูกหยิบยกขึ้นมาแชร์


ผมหยิบประสบการณ์สมัยเรียนในญี่ปุ่่นปัญหาความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นกับอาจารย์ที่ปรึกษาอันมีผลทำให้ใช้เวลานานกว่าจะเรียนจบขึ้นมาพูด เรื่องออกจะยาว...แต่จุดเปลี่ยนแปลงในชีวิตเมื่อเราพบคนที่ดีกับเรา คนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากจะเปลี่ยนแปลง และตัวเราเองที่รู้จักปรับทัศนคติของเราเองเสียใหม่ มองสังคมและเข้าใจคนญี่ปุ่นจากมุมมองของคนญี่ปุ่นไม่ใช่เอาความคิดแบบไทยๆไปตัดสินหรือชี้นำและไม่พยายามเดินตามแนวทางของฝรั่งหรือคนไทยในสังคมญี่ปุ่นอีกต่อไป ชีวิตนักเรียนไทยในญี่ปุ่นภาคหลังเลยเต็มไปด้วยสีสันแห่งความสนุกสนาน ได้ค้นพบอะไรที่น่าสนใจตลอดเวลา


ไม่เสียใจหรอกที่ไปใช้ชีวิตในญี่ปุ่นตั้งนานขนาดนั้น


ถ้าผมสามารถเปลี่ยนอดีตได้...ผมก็คงจะกลับไปเรียนในญี่ปุ่นเพียงแต่..ขอเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาเอง ไม่ปล่อยให้กระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่นเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาให้ เหมือนกับว่าถ้าคิดจะแต่งงานก็ควรรู้จักคนที่จะแต่งงานด้วยไม่ใช่ให้พ่อแม่บังคับ,ชี้นำหรือให้คนอื่นช่วยแนะนำคนที่เราจะแต่งงานด้วยโดยที่เรายังไม่รู้จักดีพอ!!!!!!!


สัมมนาคราวนี้เขามีกิจกรรมละครที่ช่วยทำให้เราเข้าใจกับลักษณะของคน ๔ ประเภทซึ่งเขาเปรียบกับสัตว์ ๔ ชนิดคือ หนู กระทิง เหยี่ยว และหมี กิจกรรมสี่ทิศแบบนี้เคยเล่นตอนไปอบรม Knowledge Management





พวกที่เป็นเหมือนหนูมักชอบการประนีประนอม เกรงใจผู้คน ในขณะที่พวกเป็นเหมือนกระทิงคือ ชนลูกเดียว ดื้อ ขาลุย ในขณะที่พวกเหยี่ยวมักจะชอบวางแผนแต่ไม่ค่อยชอบลงมือ พวกหมีจะเป็นพวกมีหลักการ ทำอะไรเนี้ยบมาก กลัวความผิดพลาด ทำอะไรมีเหตุผลมีขั้นตอนชัดเจน


เวลาเจอคนแบบนี้จะทำอย่างไรถ้าต้องทำงานด้วย?


ฟังพี่นิดบอกว่าลูกน้องคนนึงเป็นพวกหมี...ทำงานละเอียดแต่ช้ามาก...ไม่ได้ดังใจ...อยากจะไล่ออก ฟังแล้วขนลุกเลย..แอบกระซิบว่าพี่นิดไม่โหดร้ายไปหน่อยหรอ? ผมเนี่ยพวกหมีนะแต่ลูกผสมกับกระทิงแหละ พี่นิดหัวเราะ


ผมขอพูดแทนพวกหมีแล้วกัน...ถ้าเราต้องไปทำงานกับคนพวกนี้ การจะเปลี่ยนแปลงพวกเขา...คุณต้องมีหลักการและเหตุผลเพียงพอแล้วชี้ให้เขาเห็นว่าถ้าจะเปลี่ยนแปลงแล้วเกิดข้อดีกว่าสิ่งที่เขาทำอย่างไร ต้องให้เขาเห็นภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลง พวกหมียินดีจะเปลี่ยนถ้าคุณสามารถทำให้เขาเชื่อว่าเปลี่ยนแล้วดีกว่า เร็วกว่า สิ่งที่เขาทำอยู่ อย่าคิดแทนพวกเขาว่าเชื่อเถอะเปลี่ยนได้โดยไม่มีเหตุผลรองรับดีพอ


หลังอาหารเที่ยงก็มีการงีบแบบสบายๆแบบนี้ซึ่งช่วยทำให้สดชื่นและการฟังภาคบ่ายมีสมาธิมากขึ้นเยอะเลย







ตอนบ่ายพี่อู๊ดมาแชร์ประสบการณ์ให้เราฟังว่าเอาสุนทรียสนทนาไปใช้กับองค์กรได้อย่างไร? พี่อู๊ดเอาเรื่องไม่น่าประทับใจในอดีตมาแชร์ให้พวกเราฟังแล้วชี้ให้เราเห็นว่า...ในความไม่สวยงามของเรื่องๆหนึ่งมันมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงและเรื่องดีๆที่ตามมาในชีวิตของพี่อู๊ด


แจ๊ดและปุ้มจากรักลูกกรุ๊ปมาแชร์ประสบการณ์ต่อจากนั้น...


แจ๊ดเล่าถึงวิธีจัดการปัญหาความขัดแย้งและความไม่พอใจระหว่างผู้บริหารและพนักงานรุ่นน้องอย่างไร?









การไม่ตำหนิซึ่งกันและกัน แต่พยายามค้นหาสิ่งดีงามที่ทุกคนมีให้แก่องค์กร การพยายามค้นหาสิ่งดีๆในตัวของคนอื่นโดยให้เวลาสั้นๆในการเขียนสิ่งดีงามในตัวของคนๆนั้นลงบนกระดาษ การสร้างบรรยากาศของความรักและชื่นชมระหว่างกัน

ความพยายามที่จะทำกิจกรรมแบบนี้แม้ว่าจะใช้เวลาสั้นๆแต่มันเปลี่ยนบรรยากาศทำให้ทุกคนเกิดความภูมิใจในตัวเอง เกิดความภาคภูมิใจว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ตนเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้องค์กรเติบโต ตัวเองมีคุณค่าจากสายตาของคนอื่นซึ่งหลายคนไม่ตระหนักมาก่อนว่าสิ่งดีๆในตัวเองจะมีคนอื่นมองเห็น เกิดความรักสามัคคีระหว่างกันและมีความยินดีที่จะทุ่มเทให้กับองค์กร พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน





ปุ้มเล่าถึงว่าเคยคิดว่ารักลูกกรุ๊ปจำเป็นต้องสร้างระบบประเมินผลงานของพนักงานให้มีระบบ KPI (Key Performance Index) เหมือนอย่างองค์กรใหญ่ๆที่เป็นระบบเขาทำกันไหม? แต่ตอนนี้ปุ้มได้คำตอบแล้วว่าไม่จำเป็น






เรื่องราวและวัฒนธรรมองค์กรของรักลูกกรุ๊ปที่เพื่อนๆจากรักลูกกรุ๊ปมาแชร์ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวดีๆตอนผมไปสัมภาษณ์ผู้บริหารของรักลูกตอนทำวิจัยเพื่อไปเขียนวิทยานิพนธ์ องค์กรนี้เขาสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นสถานที่ซึ่งอยากทำงานด้วยและพนักงานพร้อมจะทำงานให้ ผลตอบแทนอาจจะไม่สูงเท่าองค์กรใหญ่ๆ แต่ความสุขที่วัดกันไม่ได้ด้วยตัวเงิน...เป็นสิ่งที่รักลูกกรุ๊ปตอบแทนพนักงาน เรื่องราวดีๆในรักลูกกรุ๊ปเคยถูกถ่ายทอดลงในรายการทีวี (ผมเคยเขียนเรื่องนี้ในบล็อกเมื่อสองปีก่อน ลองอ่านในหัวข้อ Happy Work Place ในกลุ่ม "สีสันของบล็อกในระยะเวลา ๑ ปี ๗ เดือน")

การที่วันนี้ได้มาฟังเรื่องราวดีๆของรักลูกกรุ๊ป...ยิ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นในอุดมการณ์ในการบริหารของผู้บริหารรักลูกกรุ๊ป คุณสุภาวดี หาญเมธี ที่พยายามสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้สถานที่ทำงานเป็นแหล่งหล่อหลอมจิตวิญญาณของพนักงานให้เติบโต...เป็นสถานที่ซึ่งพนักงานมีความสุขที่ได้มาทำงานด้วย


ปิดท้ายสัมมนาด้วยความเห็นของผู้เข้าร่วมสัมมนาและเพลงอำลาก่อนจากกัน....


ฟังเพลง What's a wonderful world ที่พี่อู๊ดขับขานแล้วพลอยทำให้นึกถึงคำพูดของนักข่าวอิสระชาวญี่ปุ่นพูดเอาไว้ก่อนเขาเสียชีวิตในอิรักว่า

"ถ้าเราลองหยุดจากงานที่เราหมกมุ่นมาแสนนาน
แล้วมองธรรมชาติรอบๆตัวเราสักหน่อย
เราอาจจะตระหนักว่า
มีความสวยงามของดอกไม้ ใบไม้
ก้อนหินและท้องฟ้า ที่อยู่รอบตัวเรา
มันช่างงดงามจริงๆ"


เขียนมาจนถึงบรรทัดนี้...ตกลงคุณหาคำตอบได้ไหมว่าอะไรคือ "สุนทรียสนทนา (Dialogue)" ?




Create Date : 16 กรกฎาคม 2552
Last Update : 17 กรกฎาคม 2552 1:23:41 น. 9 comments
Counter : 1465 Pageviews.

 
สงสัยแมวยักษ์เป็นหนู และ กระทิงผสมกันน่ะค่ะ อิอิ


โดย: แมวยักษ์ IP: 58.137.150.34 วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:44:51 น.  

 
Thanks for sharing the experience. As always, your story is very interesting and touching.. Waiting for your Russia - Turkey journal naka..


โดย: Nok-BCL16 IP: 118.172.173.196 วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:17:35 น.  

 
thank-alot the story is very good maybe change the thinking of someone


โดย: somporn IP: 61.7.176.148 วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:16:09 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
คุณสบายดีนะคะ


โดย: เกศสุริยง วันที่: 20 กรกฎาคม 2552 เวลา:1:24:17 น.  

 
This is a good story that we can use in our real life. thanks for telling us this story ka.


โดย: เอ๋ IP: 10.1.1.21, 58.137.125.180 วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:54:56 น.  

 
ขอบคุณที่ขยันเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังเสมอ คนแก่อยู่แต่ในบ้าน ได้ฟังอะไรที่แปลกใหม่ก็มักจะหูผึ่งเสมอ แล้วจะคอยฟังอีกนะค่ะ


โดย: สุรัตน์ IP: 118.173.135.67 วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:11:32 น.  

 
thank for thinking of us u always send u news , experience ,many useful news .i really like to see it naka


โดย: cherry IP: 222.123.205.171 วันที่: 15 สิงหาคม 2552 เวลา:17:09:07 น.  

 

เข้าใจธรรม ก็เข้าใจธรรมชาติ
เข้าใจธรรมชาติ ก็ง่ายที่เข้าใจธรรม

เข้าใจตน ก็จะเข้าใจฅน
เข้าใจฅน ต้องเข้าใจกิเลส

จะเข้าใจกิเลส ต้องเข้าใจธรรม
จะเข้าใจธรรม ก็ต้องปฎิบัติใจ(ฝึกใจ)

จะเห็นว่าทุกอย่างล้วนต้องคำว่า "ใจ"เพราะ
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นเอก แก้ใจ = แก้เหตุ (ซ.ต.พ


โดย: Odd. IP: 113.53.174.241 วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:20:53:02 น.  

 
ได้เจอ อ.ณัฐแล้ว จัดคอร์สที่แถวทาวน์อินทาวน์ ไม่เจอคุณอังคณา แต่เจอน้องจิ๊บและคนอื่นๆ จัดวันที 5-6 กย.
ดีค่ะ ฟังได้ 1 วันแล้ว พรุ่งนี้ไปฟังต่อค่ะ


โดย: yin IP: 125.25.129.197 วันที่: 5 กันยายน 2552 เวลา:20:45:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชีวประภา
Location :
พิษณุโลก Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ชีวประภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.