|
ภูมิใจในความเป็นไทย
เมื่อวานนี้เป็นวันมาฆบูชา ผมเคยมีความตั้งใจจะไปเวียนเทียนที่พุทธมณฑล แต่อดีตที่ผ่านมาก็เป็นแค่ความตั้งใจ...เพราะสุดท้ายผมมักจะไปเวียนเทียนที่วัดใกล้บ้านตอนค่ำแทนในวันสำคัญทางศาสนา
ตอนอยู่ในญี่ปุ่น เรามักจะมองปฏิทินที่นำมาจากเมืองไทย ถ้าเป็นวันสำคัญทางศาสนา...เรามักจะสวดมนต์บทสำคัญระลึกถึงเหตุการณ์ในพุทธกาล บทสวดมนต์ที่เตือนสติเราให้เข้าใจในสภาวะธรรม โดยสวดมนต์อยู่ภายในอพาร์ทเม้นท์ มักจะมองจันทร์เพ็ญบนท้องฟ้าในวันสำคัญทางพุทธศาสนา...แต่อากาศในญี่ปุ่นมักจะเป็นวันท้องฟ้าปิดมากกว่าวันที่พระจันทร์เต็มดวงส่งแสงสว่างอย่างในไทย
พอกลับมาเมืองไทย....มีโอกาสก็จะไปเวียนเทียนที่วัดใกล้บ้านตอนค่ำ ตอนเดินกลับบ้าน...แสงจันทร์คืนเดือนเพ็ญส่องสว่างพอจะมองเห็นทางได้ไม่ลำบาก
ปีนี้อยากให้ความตั้งใจเป็นจริงเสียที...
ตอนบ่ายๆก็ขับรถไปพุทธมณฑล ไปถึงบริเวณพิธีซึ่งมีพระศรีศากยมุนีทศพลประดิษฐานอยู่ เห็นผู้คนกำลังเดินเวียนเทียนกันอยู่ วิทยุภายในรถยนต์รายงานว่าขณะนี้องคมนตรีท่าน อานนท์ เสนาณรงค์ซึ่งเป็นประธานในพิธีเวียนเทียนในวันมาฆบูชาที่พุทธมณฑลได้เดินทางมาถึงประรำพิธีพุทธมณฑลแล้ว ได้ยินเสียงเพลง "สรรเสริญพระบารมี" ดังขึ้นพอดี
วันนี้ได้มีโอกาสร่วมพิธีเวียนเทียนร่วมกับท่านองคมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และประชาชนทั่วไป
แดดตอน ๔ โมงเย็นแม้จะไม่ร้อนนักแต่ก็มีแสงแดดที่แยงตาในขณะร่วมพิธี มีโอกาสได้สวดมนต์สรภัญญะซึ่งไม่ได้สวดมานานมากแล้ว ทำนองบทสวดสรภัญญะเป็นทำนองสวดมนต์ที่ไพเราะทั้งเนื้อหาและสัมผัสของอักษรภาษาไทยที่ใช้ ฟังแล้วเยือกเย็น
จำได้ว่ามีโอกาสสวดมนต์สรภัญญะที่ประทับใจที่สุดก็ตอนที่ไปจาริกที่กุสินารา พวกเราคณะผู้จาริกแสวงบุญพร้อมใจกันสวดมนต์สรภัญญะขณะที่เดินประทักษิณภายในสถูปที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปรินิพพาน บรรยากาศเยือกเย็น ไพเราะจับใจมาก
เมื่อวานนี้ตอนที่สวดมนต์ชำเลืองดูองค์พระประธานพุทธมณฑล พระศรีสากยมุนีทศพลเป็นพระปางลีลา/ปางก้าวหน้า มององค์พระประธานแล้วก็อิ่มเอิบใจ นอกจากศิลปะจะอ่อนช้อยแล้ว...เหมือนพระศรีสากยมุนีทศพลบอกแก่ผู้คนที่มาที่นี่ให้ทำตัวก้าวไปข้างหน้า ชีวิตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าท้อถอย แต่จงก้าวไปข้างหน้าต่อไป
ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพพระศรีศากยมุนีทศพล ได้บรรยากาศของวันมาฆบูชาที่พุทธมณฑล
หลังจากเวียนเทียนเสร็จมีโอกาสขับรถแล่นชมความงามและบรรยากาศความสงบของธรรมชาติภายในพุทธมณฑลก่อนกลับบ้าน จิตใจเกิดความเบิกบาน
วันนี้มีโอกาสได้ชมรายการ "มหัศจรรย์สุวรรณภูมิ" ทางสถานีทีวีไทย PBS ทางรายการเขานำเสนอเรื่องราวของ "หุ่นละครเล็ก" หลายคนอาจจะมีโอกาสได้ไปชมการแสดง "หุ่นละครเล็กของคณะโจ หลุยส์" มาแล้ว ผมยอมรับว่ายังไม่มีโอกาสได้ไปชมการแสดงของคณะนี้เลย
ตอนที่มีโอกาสได้ไปชมการแสดงคาบูกิของญี่ปุ่นเมื่อครั้งเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นครั้งแรก ในฐานะตัวแทนเยาวชนไทยที่มีโอกาสได้ไปชมศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่น เราได้ไปฟังการอธิบายเกี่ยวกับคาบูกิและเห็นเบื้องหลังของฉากและเวทีต่างๆ ยิ่งตอนที่ชมการแสดงคาบูกิแล้วเห็นผู้คนเข้ามาชมกันเต็มโรงละครคาบูกิ เราชื่นชมที่คนญี่ปุ่นเขาเห็นความสำคัญและยังคงรักษาวัฒนธรรมทีทรงคุณค่าของเขาไว้ เราเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมเมืองไทยไม่สามารถจัดการแสดงไทยๆให้มีผู้ชมเข้ามาชมได้ตลอดทั้งปีและมีคนมาชมกันจนเต็มโรงละครแบบละครคาบูกิได้?
คำถามนี้ยังคงอยู่ในใจจนกระทั่งได้ตั๋วฟรีจากทางมหาวิทยาลัยสมัยเรียนในญี่ปุ่น (ตั๋วฟรีนี้เขาจัดให้สำหรับนักศึกษาต่างชาติเท่านั้น เขาต้องการให้นักศึกษาต่างชาติเข้าไปสัมผัสวัฒนธรรมของญี่ปุ่นในขณะที่ศึกษาในญี่ปุ่น ตั๋วที่ได้ราคาแพงมากตกหมื่นกว่าเยน คิดเป็นเงินไทยก็หลายพันบาท) ไปชมคาบูกิอีก เราก็ยังชื่นชมที่แม้คำพูดของตัวละครจะยากต่อความเข้าใจแม้แต่คนญี่ปุ่น และการแสดงใช้เวลาหลายชั่วโมงแต่ผู้คนก็ยังมาชมจนเต็มโรงละคร แล้วก็มีคำถามว่า "ทำไมศิลปะการแสดงของไทยจึงทำให้คนไทยมาดูจำนวนมากเต็มโรงละครแบบละครคาบูกิไม่ได้?"
วันนี้ได้ชมรายการ "มหัศจรรย์สุวรรณภูมิ" ต้องขอชมผู้ผลิตรายการว่าเขาทำรายการได้ประณีตมาก มุมกล้อง การเดินเรื่อง ลงรายละเอียดได้น่าสนใจมากๆ ดีใจที่คนไทยมีทางเลือกในชีวิตมากขึ้นภายหลังจากที่มีการผลักดันให้เกิดทีวีสาธารณะขึ้นในเมืองไทย คนไทยไม่ต้องเสพละครน้ำเน่าอย่างเดียวเหมือนในอดีต สำหรับคนที่ชอบเสพละครน้ำเน่าก็เสพไป แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบเสพละครน้ำเน่า เขามีทางออก และรายการทีวีสาธาณะสามารถนำเสนอรายการที่เป็นประโยชน์ ถึงจะเป็นละครก็ไม่น้ำเน่าแต่ให้ข้อคิดแก่คนดู และการที่ไม่มีโฆษณาทำให้ผู้ผลิตรายการมีอิสระในการนำเสนอรายการโดยไม่ต้องคำนึงถึงเรตติ้ง คุณภาพของรายการที่ผลิตออกมาจึงทำได้เต็มที่กว่ารายการทีวีที่พึ่งพิงโฆษณา
เรื่องราวของ "หุ่นละครเล็ก" ที่ทางรายการนำเสนอ ได้ยกย่อง "ครูสาคร ยังเขียวสด" ที่รักษาศิลปะแขนงนี้เอาไว้ และลูกหลานตระกูล "ยังเขียวสด" ของครูสาครทั้ง ๙ คนรักในศิลปะแขนงนี้ พวกเขาอนุรักษ์เอาไว้
ลูกชายของครูสาครกล่าวไว้ว่า สิ่งที่เขาทำไม่ใช่เพื่อรักษาสมบัติของครอบครัวไว้ แต่รักษาศิลปะที่ทรงคุณค่านี้เอาไว้เป็นสมบัติของแผ่นดินไทย
เห็นลีลาที่อ่อนช้อยในท่ารำของหุ่นละครเล็กแล้ว...ภูมิใจในศิลปะแขนงนี้ของไทยที่เราสามารถอวดชาวโลกได้ ศิลปะนี้เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ที่เราคนไทยสามารถสื่อสารถึงกัน เข้าใจและรับรู้ร่วมกัน มีแต่คนไทยเท่านั้นที่เข้าใจและเกิดความภูมิใจในศิลปะแขนงนี้
ในญี่ปุ่นก็มีการแสดงหุ่นกระบอกเหมือนกันแต่เขาใช้คำว่า "บุงรักขุ" ผมมีโอกาสชมการแสดงบุงรักขุจากทีวี แต่การแสดงจริงๆยังไม่มีโอกาสได้ไปชม มีโอกาสได้ชมการแสดงละคร "โน" ตอนไปนาโงย่า ละครโนเป็นละครที่ผู้แสดงต้องใส่หน้ากาก แล้วท่ารำบางท่าดูแข็งๆ
รายการ "มหัศจรรย์สุวรรณภูมิ" เขาเน้นว่า....ศิลปะนี้แม้จะทรงคุณค่าขนาดไหนก็ตาม ทางผู้จัดก็ต้องหาทางให้ผู้แสดงหุ่นละครเล็ก อิ่มท้องและอิ่มใจที่เป็นนักเชิดหุ่นละครเล็ก ด้วยการจัดการและบริหารกระแสเงินสดที่มีประสิทธิภาพ
เห็นศิลปะที่แสดงถึงความเป็นไทยและมีผู้รักษาเอาไว้....เกิดความปลื้มใจและอยากให้ศิลปแขนงนี้อยู่กับเมืองไทยไว้นานๆ เพราะนี่เป็นเอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่ทำให้คนไทยแตกต่างไปจากคนชาติอื่น
(ที่มา: ภาพหุ่นละครเล็กที่นำเสนอมาจากรายการ "มหัศจรรย์สุวรรณภูมิ" ที่ออกอากาศในคืนวันอังคารที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ทางสถานีทีวีไทย PBS)
Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2552 |
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2552 23:56:18 น. |
|
10 comments
|
Counter : 1535 Pageviews. |
|
|
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:2:12:19 น. |
|
|
|
โดย: ชีวประภา วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:53:30 น. |
|
|
|
โดย: tanta-wan IP: 202.28.78.174 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:17:36:47 น. |
|
|
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:0:45:50 น. |
|
|
|
โดย: ชีวประภา วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:19:42:08 น. |
|
|
|
โดย: เกศสุริยง วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:1:15:40 น. |
|
|
|
โดย: ยูกะ (YUCCA ) วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:17:39:19 น. |
|
|
|
โดย: ชีวประภา วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:06:35 น. |
|
|
|
โดย: Yai IP: 90.58.80.205 วันที่: 27 เมษายน 2552 เวลา:2:34:58 น. |
|
|
|
โดย: plug IP: 124.120.21.27 วันที่: 30 กันยายน 2552 เวลา:15:04:31 น. |
|
|
|
| |
|
|