|
Nankyoku Tairiku ลอยหลัก/ปักฝัน/ตะวันแดน/แอนตาร์กติกา
เมื่อกาลมาบรรจบครบรอบหกสิบปี ของค่ายทีบีเอสอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหมายความว่า งานนี้ต้องมีซีรีย์ใจปล้ำอลังการงานสร้างอีกเช่นเคย อีกทั้งสถานียังเกทับเสียงดังๆว่า เป็นซีรีย์ที่อภิมหางานสร้างควักเนื้อมากที่สุดนับตั้งแต่ตั้งสถานีมา (the production of the most expensive drama in the history of the network) แม้จะตะหงิดๆปนสงสัยว่า เอ๊!เหมือนทางสถานีเพิ่งจะฉลองห้าสิบห้าปี ไปกับKarei-naru Ichizoku ไปหยกๆไม่ใช่เหรอ?ทำไมช่างหาเรื่องฉลองกันบ่อยจริง จนกระทั่ง สถานีได้แถลงแผนการสร้างซีรีย์อิงประวัติศาสตร์แบบเจแปนดรีมทูเกทเตอร์ โดยนำบทหนังในปี ๑๙๘๓ มาดัดเสริมเติมแต่งเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย และที่สำคัญอื่นใด ได้พระเอกหน้ามนคนเดิม "คิมูระ ทาคุยะ" มาเป็นเจแปนฮีโร่ กับภารกิจเผชิญความฝัน-ต่อเติมกำลังใจ แก่ชนแดนอาทิตย์อุทัยในหลังยุคโพสต์วอร์ทู
Nankyoku Tairiku ซีรีย์เฉพาะกิจสิบตอนในคืนวันอาทิตย์ ที่พูดถึงทีมคณะสำรวจแดนน้ำแข็งถึงสุดขอบใจกลางขั้วโลกใต้ ในระยะเวลาที่ ญี่ปุ่นถูกยกให้เป็นประเทศที่แพ้สงคราม และผู้คนส่วนใหญ่หมดหวังกับชีวิต ทั้งสภาพเศรษฐกิจและสาธารณูปโภคฝืดเคือง ความเป็นปึกแผ่นในชาติก็จางหายไป สิบปี ที่หลังจากญี่ปุ่นได้ประกาศยอมแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรแบบไม่มีเงื่อนไข ได้เกิดมีกลุ่มคนคณะเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ที่คิดจะกอบกู้ชื่อเสียงให้กับประเทศแม่อีกครั้ง ในเวทีนานาชาติที่ไม่ใช่การสงคราม แต่เป็นการสำรวจทางธรณีวิทยาที่ประเทศชนะสงคราม ก็ยังเข้าไปไม่ถึง ขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นสุดขอบใจกลางที่ "หิน" ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
มันคือ .......................
"แอนตาร์กติกา"
As you know,Antarctica holds the key to many mysteries of Earth. Plus there're many areas untouched by other countries. Antarctica is the one place Japan can stand as an equal with the rest of the world.
(นายรู้ไหม แอนตาร์กติกาถือได้ว่าเป็นกุญแจที่กุมความลีกลับอีกมากมายของโลกนี้ ยังมีพื้นทื่อีกมากที่หลายประเทศยังคงเข้าไปไม่ถึง แอนตาร์กติกาจะเป็นหนึ่งในที่ที่ญี่ปุ่น จะได้ยืนหยัดอยู่บนพื้นที่ในเวทีโลก)
Why don't we're end the post-war era with our hands?
(ทำไมเราไม่มาช่วยกันสิ้นสุดยุคหลังสงครามด้วยมือของพวกเรากัน)
ณ กรุงบัสเซลในเดือนกันยายน ปี๑๙๕๕ มีการประชุม "สมาพันธ์นานาชาติขององค์กรวิทยาศาสตร์" (ICSU-international council of scientific union) ซึ่งมีการประชุมกันทุกๆสองปีต่อหนึ่งครั้ง ทางญี่ปุ่นได้ส่งตัวแทนสองท่านที่เข้าร่วมประชุม หนึ่งในนั้นมี คุระโมชิ ทาเกชิ (แสดงโดยคิมุระ ทาคุยะ) ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ทางธรณีวิทยา และเป็นบุตรชายของร้อยโทชิราเสะ ซึ่งอดีตเป็นหัวหน้าคณะสำรวจขั้วโลก ในสมัยยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ดังนั้น ความท้าทายของคณะสำรวจชุดปัจจุบันที่มีทาเกชิเข้าร่วม ซึ่งจะช่วยสร้างคุณประโยชน์หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น งานวิจัย,เกียรติยศของชาติ, การรวมปึกแผ่นของผู้คน และ การสานปณิธานของคนรุ่นพ่อ แต่กระนั้นก็ไม่ใช่เรือ่งง่ายเลย เพราะแผนงานที่ดูจะเป็นความหวังของคนทั้งชาติจากคนกลุ่มเล็กๆ ที่คิดการณ์ใหญ่ ทว่า อุปสรรคที่เป็นเครื่องกีดขวางความพยายามของพวกเขา ดูจะไม่เล็กน้อยตามไปเสียด้วย
"Prince Harald Coast" lt's in eastern Antarctica.
("พรินซ์ฮารอล์ดคอสต์" มันอยู่ตรงตะวันออกเฉียงเหนือของแอนตาร์กติกา)
Inaccessible! Don't tell me they don't need japan to go to Antarctica?
(พื้นที่เข้าไม่ถึง! อย่าบอกผมนะว่าพวกเขาไม่อยากให้ญี่ปุ่นเข้าไปสำรวจ)
แม้ปัญหาภายนอกดูเสมือนจะเป็นการกีดกันที่ใหญ่หลวง ก็ยังไม่เท่ากับปัญหาภายในด้วยกันเอง เนื่องด้วยการสำรวจพื้นที่เขตนอกทวีป จำต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก (ในเรือ่งประมาณการไว้ที่ห้ารอ้ยล้านเยน) ในบรรยากาศที่ท่ามกลางความอดอยากของผู้คนในชาติ ที่ได้รับผลกระทบจากภัยของสงคราม ซึ่งเป็นเงือ่นไขข้อหนึ่งที่รัฐมนตรีการคลัง ฮิมูโระ ฮารุฮิโกะ (แสดงโดยซากาอิ มาซาโตะ จากEngineและTriangle) อดีตสหายร่วมปีนเขากับทาเกชิ ที่ไม่เห็นชอบและมักจะแสดงการคัดค้านหัวชนฝาในโครงการที่ทาเกชิยื่นเสนอ อีกประการหนึ่ง รมต.ฮิมูโระเคยมีประสบร่วมที่เลวร้ายในครั้งที่ปีนเขากับทาเกชิ ที่หุบเขายัตสุกาทาเกะ โครงการทำท่าว่าจะถูกพับตั้งแต่เริ่ม แต่ด้วยกำลังใจที่มีให้ของศาสตราจารย์ชิโรสากิ (แสดงโดยชิบาตะ โคเฮ จากKeiji Ichidai) ผู้ร่วมเดินทางบุกฝ่าท้าดงไปกับทาเกชิเพื่อรับการอนุมัติ และเป็นหัวหน้าคณะสำรวจแอนตาร์กติกาชุดแรกในฐานะตัวตั้งตัวตี เลยทำให้ทาเกชิ กลับมาฮึดสู้อีกครั้ง เปลี่ยนจากการขออนุมัติงบผ่านทางรัฐบาลมาเป็นการประกาศขอรับบริจาค ผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม (แม้แต่ไอ้หนูจ๋อยแบกนอ้งผิงหลัง ที่เหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของเด็กยุคหลังสงครามทุกเรือ่ง ก็ยังแหงกกระปุกสมทบทุน) ผ่านตัวสัญลักษณ์นกแพนกวินกับแมวน้ำบนลานน้ำแข็ง (แล้วอย่าถามว่าทำไมถึงไม่มีตัวหมีขาว เพราะในซีรีย์เขาดักทางไว้แล้ว ว่าของพรรค์นี้มันมีเฉพาะขั้วโลกเหนือเท่านั้น)
People called the inuit live in the Arctic.But people don't live in That's why Antarctica is God's Territory.
(มีคนเล่าว่า ชนเผ่าไอนุแม้จะอาศัยอยู่ในอาร์กติกก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครคิดอาศัยอยู่ตรงนั้้น นั้นถึงเป็นสาเหตุที่เขายกให้แอนตาร์กติกา เป็นอาณาเขตแห่งพระเจ้าเท่านั้น)
Alright then,l'll get there before anyone else and put a japanese flag there.
(งั้นดีเลย ผมจะไปให้ถึงก่อนใครหน้าไหนก็ตาม และนำธงชาติของญี่ปุ่นไปปักที่ตรงนั้นให้จงได้)
โดยปกติ ถ้าเป็นซีรีย์ภาคปกติโดยทั่วไปก็คงขอยุติกันที่ตรงนี้ แล้วกระโดดข้ามไปเล่าถึงยถาชะตากรรมต่อจากนี้แบบสนุกสนานเป็นคุ้งเป็นแคว แบบขึ้นเรือไปกอ่น แล้วค่อยเล่าย้อนหลังกันไปทีละส่วน (เหมือนในฉบับหนัง เพียงแต่เขา ไม่มานั่งเล่าย้อน มีแต่เดินหน้าฝ่าพายุหิมะกันท่าเดียว) แต่เมื่อเป็นงานฉลองสถานี อลังการงานงบและโปรดักชั่นชุดใหญ่ก็เป็นผลให้ความสามารถในการนำเสนอ แม้งบถ่ายทำจะบานปลาย ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับNankyoku Tairiku ซีรีย์จึงสามารถ ลงลึกได้ถึงรายละเอียดส่วนย่อยจนถึงแผนดำเนินการขององค์ประกอบหลัก "สาม" ประการ จนออกมาเป็นรูปเป็นร่างที่สมบูรณ์ของโครงการที่มีชื่อว่า "ความร่วมมือนานานชาติว่าด้วยเรือ่งการสำรวจพื้นที่แถบแอนตาร์กติกา" (The international joint Antarctic Expedition) ที่ใช้เวลาเตรียมงานนานกว่าสองปี อันประกอบด้วย
ปัจจัยที่หนึ่ง บุคลากรของคณะสำรวจชุดแรก
ซีรีย์ไล่เริ่มต้นกันตั้งแต่การประกาศหาอาสาสมัครจากหลากหลายวิชาชีพ ผ่านการสอบสัมภาษณ์ จนได้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญเฉพาะด้านจริงๆ อย่าง
- ศาสตราจารย์ทางด้านวิทยาศาสตร์โฮชิโนะ เอย์ทาโร่ (แสดงโดย คางาวะ เทริยูกิจาก Mr.BrianและRyoma den) ดูเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ที่มักจะสร้างความสนุกครื้นเครงและเสนอแง่คิดมุมบวกในเวลาวิกฤต - เจ้าหน้าที่การสื่อสารอุสุมิ โนริอากิ (แสดงโดยโองาตะ นาโอโตะ จากBloody Monday และ4 Shimai Tantei Dan) ที่กำลังจะเป็นพ่อคนแต่เพื่อภารกิจระดับชาติจึงขอสละความสุขส่วนตัว - เจ้าหน้าที่ฝ่ายนาวิกโยธินฟุนากิ อิคุโซะ (แสดงโดยโอคาดะ โยชิโนริ จากSexy Voice and Robo และNobuta wo Produce) เป็นนายทหารเรือที่เชี่ยวชาญการเดินเรือและมีวินัยดีเยี่ยม - เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ทานิ เคนโนสุเกะ (แสดงโดย ชิงะ โคตาโระ จากUnfairและTokyo DOGS) ถือเป็นตัวยืนมาตั้งแต่เปิดโครงการ มีประสบการณ์ของการเป็นแพทย์นอกสนาม - เจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธานาโอโตะ ซาเมจิมะ(แสดงโดยซุสุมุ ทาราจิมะ จากCode Blue,Karei naru Spy) นายอู่ที่ขอต่อเติมความฝันของลูกชายที่อยากให้พ่อเข้าร่วม แม้ตอนแรกตัวเองจะไม่ค่อย เห็นดีเท่าไรนัก เป็นความอารมณ์แต่จริงใจ กล้าได้กล้าเสีย - เจ้าหน้าที่ฝ่ายโภชนาการและเสบียงมันไบ ยามาซาโตะ (แสดงโดย Ishimoto Doronzuอิชิโมโตะ โดรอนสุ) ไม่ค่อยมีปากมีเสียงกับใคร วันๆใช้เวลาอยู่แต่ในครัว - เจ้าหน้าที่ฝ่ายทีมสำรวจโนริอากิ อุซึมิ (แสดงโดย นาโอโตะ โอกาตะจากCrying Out Loveฯ) มีประสบการณ์การปีนเขาอย่างโชกโชนและเคยร่วมคณะเดินทางที่หุบเขายัตสุกาทาเกะ - เจ้าหน้าที่บันทึกดาราศาสตร์อินุซึกะ นาสึโอะ (แสดงโดยยามาโมโตะ โยสึเกะ จากPuzzleและ Taiyo to Umi no Kyoshitsu) สมัครเข้าร่วมทั้งๆที่ยังเรียนหนังสืออยู่ มีความสนใจในเรือ่งของ ปรากฎการณ์ออโรร่า แต่ด้วยเป็นตำแหน่งที่มีผู้คนสนใจกันมาก จึงโกหกเพื่อสร้างความได้ เปรียบกว่าคนอื่นไปว่า เคยเป็นพี่เลี้ยงฝึกสุนัขมาก่อน
เอาเป็นว่าประมาณนี้ก่อนละกัน อย่างที่บอกอลังการงานสร้างดารานักแสดงจึงเข็นกันมาเต็มอัตราศึก (โดยเฉพาะเรือ่งนี้ ดูเขาจะให้ความสำคัญกับตัวประกอบมืออาชีพ หลังจากระยะหลังซีรีย์ที่ทาคุยะ นำแสดงมักจะไปดึงดาราเอกจากซีรีย์เรือ่งอื่นๆ เพื่อมาเป็นเบ๋หรือไม่ก็ดารารับเชิญเสียส่วนใหญ่) ถึงแม้ทางข้อมูลจะแจังไว้ที่ตัวเลข ๑๑นักเดินทางสำรวจ แต่เอาเข้าจริงเป็นหน่วยอาสาลงพื้นที่จริง ในขณะที่เรือเดินทางของคณะสำรวจชุดแรก เรียกได้ว่ามีผู้คนเต็มลำเรือ โดยมีศาสตราจารย์ชิโรสากิ อย่างที่บอกในวรรคบทข้างต้น เป็นหัวหน้าของคณะทีมสำรวจชุดแรก
ปัจจัยที่สอง เรือ
ถือเป็นจุดที่Nankyoku Tairiku ไม่ได้มองข้าม อีกทั้งยังให้ความสำคัญในช่วงเริ่มต้น ซีรีย์เรือ่งนี้เขาเก่ง ที่สามารถผนวกยานพาหนะเดินทางควบคู่เข้ากับประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ในเรือ่งต้องเรียกว่าไปขุดเรือเก่าที่เกือบหมดประจำการ เรือSoya ที่ถูกสร้าง ในช่วงก่อนสงครามเมื่อสิบแปดปีก่อน ถึงแม้สภาพเรือรบที่ว่าจะทรุดโทรมตามสภาพการตรำศึก แต่ทว่า ก็ไม่เคยถูกจมเยี่ยงกับอภิมหาเรือรบที่กองทัพญี่ปุ่นเคยภาคภูมิใจอย่าง เรือรบยามาโตะ จนเจ้าเรือรบSoyaได้รับขนานนามให้เป็นthe miracle ship ในเรื่องยังเก๋กว่านั้น เพราะพระเอกทาเคชิยอมแบกหน้าไปหา "มากิโนะ ชิเกรุซัง" ผู้ที่เคยเป็นวิศวกรออกแบบเรือรบยาโมโต้จนเป็นตราบาปให้กับชีวิตตนเอง การช่วยออกแบบ ปฏิสังขรณ์อดีตเรือรบSoya โดยหันเปลี่ยนมาเป็นเรือบรรทุกคณะสำรวจขั้วน้ำแข็ง ก็เท่ากับเป็นการไถ่บาปตัวเองกลายๆ และทำให้ชีวิตบั่นปลายของลุงแกกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ยอมรับว่า ฉากอู่ต่อเรือที่ฮอกไกโดเป็นอะไรที่อลังการงานปลาวาฬสู้ฟลัดมาก มาเจอะมุขนี้ เลยทำให้นึกถึงสมัยน้าชาติที่หันมาใช้นโยบายเปลี่ยนสนามรบให้กลายเป็นสนามการค้าเสียจริงๆ
ประการที่สาม สุนัข
ที่ดูจะเป็นไฮไลท์เด็ดของเรื่อง และเอาไว้กระชากใจในตอนท้าย หลังจากที่ปล่อยให้ช่วงครึ่งเรื่องแรก เป็นเรื่องของพันธกิจที่จะต้องพิชิตใจกลางแดนของขั้วโลกใต้ ด้วยอุปสรรคของสภาพภูมิประเทศที่ปกคลุมไปด้วยน้ำเเข็ง และการขนส่งสัมภาระอย่างเครือ่งจักร สโนว์โมบิวที่ต้องอาศัยเชื้อเพลิง น้ำหนักของเครื่อง และเจ้าหน้าที่เครื่องยนต์ผู้ชำนาญ ศาสตรจารย์โฮชิโนะจอมสติเฟื่องจึงตัดบท เพื่อให้เห็นคุณประโยชน์ในทางเลือกอีกอย่าง ซึ่งก็คือ "สุนัขลาก" (Dog Sled) สิ่งมีชีวิตที่มีน้ำหนักเบา มีขนาดเล็กไม่เปลืองพื้นที่ลำเรือ และสะดวกต่อการเดินทางบนพื้นน้ำแข็งทีมีโอกาสแตกร้าวได้ทุกเมื่อ แน่นอนว่า"ฮอกไกโด" จึงเป็นเขตที่มีชื่อในเรือ่งของ Sakhalin Husky หรือสุนัขลาก ที่ครั้งหนึ่งพ่อของทาเกชิก็เคยมาใช้บริการ ซึ่งก็เป็นโอกาสของทาเกชิที่จะได้มีตำแหน่งแห่งหนบนเรือ หลังจากที่ตัวเองต้องถูกตัดชื่อออกจากคณะสำรวจ คล้ายดั่งธนูปักเข่าให้ต้องเฝ้าเป็นยาม หลังจากสืบทราบมาว่าเคยเป็นหัวหน้าทีมไต่เขา และประสบปัญหาจนกลายเป็นตราบาปเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งกว่าจะได้สมัครพรรคพวกคุณหมาๆ ก็ยากเย็นกว่าการหาคนอยู่หลายเท่า เพราะต้องมีทั้งการคัดเลือกสรีระของพันธ์ที่เหมาะสม การบุกถิ่นที่เป็น สถานฝึกสุนัขพันธ์ลุยหิมะโดยเฉพาะ (และต้องเป็นศ.ฟุรุตาชิแห่งม.ฮอกไกโดะเท่านั้น) มีเรือ่งของสายพันธ์ที่ตกทอดมาจากหมาที่รุ่นพ่อของทาเกชิเคยใช้บริการ (ถึงกระทั่งโยงได้ว่า เจ้าทาโร่และจิโร่เป็นลูกรุ่นที่สามของตัวพ่อพันธ์ฟุอุเรนคุมะโน้นเลย) เสริมดราม่าด็อกกิ้ง ในส่วนของการพรากสุนัขตัวโปรดจากอ้อมกอดของเด็กๆ (เจ้าริกิที่มีสัญชาติผู้นำกว่าตัวใดใด) จนได้สิบเก้าโฮ่งพิชิตภารกิจสุดขั้วโลก ประกอบไปด้วย เปปปุ,มอนเบสึ,ชิโระ,อันโดะ,เบกกุ,เทซึ,อาคะ, จักกุ,,ฟุอุเรน,โบชิ,โมคุ,ทาโระ,จิโระ,เดริ และริกิ
แน่นอนละว่างานระดับ anniversary ที่ทางทีบีเอสจัดให้อย่างงี้ เป็นไม่พลาดที่จะต้องขอใช้บริการของผู้กำกับ Karei naru Ichizoku คุฟุซาวะ คาซึโอะ อีกสักหน ผู้เคยสร้างปรากฎการณ์เรตติ้ง๒๓.๙ สำหรับซีรีย์คืนวันอาทิตย์ แต่เหมือนว่า คราวนี้เรตติ้งNankyoku Tairiku โดยรวมเฉลี่ยดูจะน่าผิดหวังกว่ามาก ทั้งๆที่ โปรดักชั่นใหญ่ ดาราแน่นขนัด และเล่าเรื่องสูตรถนัดสไตล์เจแปนดรีม ที่รับประกันความเสี่ยงว่าเจ็บตัวน้อย แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ครองใจคนดูญี่ปุ่นสักเท่าไรนัก จากเปิดตัวที่๒๒.๒ %ให้ใจชื้น แต่พอนานตอนเข้าเรตติ้งก็ยิ่งลดฮวบ จนเข้ากลางซีรีย์ ในตอนที่ห้า ก็ถือว่าอยู่ในระดับระยะอันตราย ชนิดว่าเรตติ้งของ Moon lover ที่แย่ที่สุดยังไม่เท่ากับเรตติ้งที่แย่ที่สุดของเรือ่งนี้ ซึ่งทางเว็บ //www.tokyohive.com ได้มีการเปรียบเทียบตอนที่ห้าของซีรีย์ ที่ถือว่าเรตติ้งอยู่ระดับเลวร้ายที่สุดของเรือ่ง (และของทาคุยะด้วยในรอบหลายปี) ซึ่งอยู่ที่๑๓.๒ ยังแพ้รายการไวล์โชว์เวลาชนกัน ของค่ายNTVอย่าง Gyoretsu no Dekiru Horitsu Sodanjo ที่มีโฮสต์มือกฎหมาย ยูกิโอะ คิกุชิ เฉือนไปประมาณ ๐.๑% แต่ยังดีหน่อยที่ค่ายฟูจิยังไม่ใช่คู่แข่ง เลยทำให้ซีรีย์เกาหลีร่วมญี่ปุ่นเกี่ยวกับบอดี้การ์ดพิทักษ์ซูเปอร์สตาร์ Boku to Star no 99 Nichi ที่หวังกะชนเช่นกันทำไปได้เคย ๑๐.๔ ส่วนอาซาฮีทีวีนี้ก็หาใช่คู่แข่งเพราะเล่นฉายหนังเก่าลิงคุม คน planet of the ape จะไปโทษเพราะมีการถ่ายทอดสดวอลเลย์บอลหญิงรายการ FIVB World Cup 2011ก็ใช่ที่ เพราะแม่ข่ายที่ถ่ายทอดตอนนั้นก็ไม่ใช่ทีบีเอสให้ต้องดีเลย์แต่อย่างใด
ยังดีนะว่า สูตรเผยไต๋ตอนต่อไปเสมือนว่าจะมีตัวละครตัวหนึ่งตัวใดตายลงไป ยังเป็นสูตรไม้ตาย ที่เรียกเรตติ้งคนดูได้อยู่เสมอ (และหนึ่งที่ทำท่าจะอีตายก็มีทาคุยะอยู่ในนั้น) แต่อีกหนึ่งเสียงมองว่า ที่ตอนต่อมาเรตติ้งทะยานขึ้นเป็น ๑๙.๑ เพราะมีคนกลุ่มใหญ่ เขากำลังรอดูเบสบอลรอบเพลย์ออฟต่างหาก ผลก็เลยเห็นเรตติ้งก้าวกระโดดสูงถึง๕.๙ ซึ่งรอ้ยวันพันซีรีย์จะได้เห็นสักครั้ง กระนั้นเมื่อสรุปค่าเฉลี่ยเรตติ้งครบสิบตอน อานิสงส์แรงถีบจากขบวนการกอบกู้ชีวิตสุนัขของคณะสำรวจชุดที่สาม ซึ่งมีทาเกชิ เป็นโควต้าพิเศษลูกเรือหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ ด้วยข้อจำกัดจากระเบียบของหน่วยงาน ที่สงวนสิทธิ์ให้กับอาสาหน้าใหม่ ถึงแม้ว่าคณะสำรวจแรกจะประสบความสำเร็จ กับการตอกป้ายเหล็กบนเขต Prince Harald Coast ในที่ๆไม่เคยมีนักสำรวจคณะใด เคยไปถึงมากอ่น (ก็เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าขืนเอาธงไปปัก โดยพายุหิมะแรงๆสักดอก ต่อให้บอกว่า"เอาอยู่" ก็จะให้เชื่ออย่างไรไหว แล้วที่ทาคุยะบอกปักธงตอนแรกก็พูดทำเท่ห์ดิ) ผลก็เลยได้ค่าเฉลี่ยเรตติ้งที่ ๑๗.๓ แม้โดยภาพรวมซีรีย์ที่เชิดทาคุยะเป็นพระเอก จะไม่เคยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเรตติ้งที่ ๒๐ แต่ก็ยังดีกว่าใน Moon lovers นิดนึ่ง เพราะครั้งนั้นเฉลี่ยเพียงแค่ ๑๖.๘ เท่านั้น
ส่วนใครที่ไม่ชอบหน้าทาคุยะ แต่พอใจในเนื้อเรื่องจะดูได้รึไม่ ไม่รู้สิ! ในโลกนี้มีคนไม่ชอบหน้าแกด้วยเหรอ? แต่คิดว่าน่าจะได้อยู่นะ แม้พี่ท่านจะเป็นตัวเรื่องในฝ่ายมนุษย์เสียส่วนใหญ่ (แม้กับสุนัขพี่ท่านก็โผล่ไป แย่งซีนเขาเพราะดันต้องควบตำแหน่งเป็นพี่เลี้ยงคุณหมาๆ เพราะผู้ใหญ่ใจหมาบางคน เขาไม่อยากให้คุณพี่ไป) และมาครั้งนี้ในบทผศ.ทาเกชิ ผู้มีปณิธานยึดมั่น-ไม่หวั่นไหว ในอันที่จะสืบทอดเจตนารมณ์ของคนผู้พ่อและสาธารณชนความหวังของคนทั้งประเทศ ถือเป็นบทที่ถ้าตายไปกลางธารน้ำเเข็ง สวรรค์ก็พร้อมจะโอบรับพี่ท่าน เพราะจัดได้ว่า เป็นยอดอุดมคติตามแบบพล็อกเจแปนดรีมอินโพสต์วอร์ทู ที่ต้องการบุคคลที่มีความเสียสละ พยายาม วิริยะอุตสาหะ และมีความเป็นผู้นำในตัวสูง อีกทั้งตัวเองก็มีความชอบธรรมทางภารกิจ เพราะสืบสายเลือดจากคนรุ่นพ่อที่เป็นนักสำรวจเช่นกัน ดังนั้น เลยไม่เห็นใครในตอนนี้ที่จะเหมาะสมไปกว่าทาคุยะในตรงจุดนี้ ก็ลุงทาคุยะเขาก็พยายาม คัดสรรรับงานซีรีย์โดยนับตั้งแต่ขึ้นสหัสวรรษใหม่ ลุงท่านก็รับเล่นซีรีย์เพียงปีละเรื่อง ส่วนข่าววงsmapก็ร้างๆลาๆจนข่าวยุบทีมลือกันชาชิน ก็ถือได้ว่าเป็น มาตราฐานจุดขายที่แฟนท่านทั้งหลายสบายใจกันได้ (แต่ถ้าจะเอาให้เหมือนกับในหนัง ผู้เขียนคงต้องยกให้ลุงฮิโรชิ อาเบะที่หน้ายากูซาได้ใจ เพราะละม้ายคล้ายลุงเคน ทากาคุระเล่นอยู่พอประมาณ มันถึงจะได้ฟิวส์องคุลีมารธุดงภ์กลางน้ำแข็งสุดข้ั้วโลกอะนะ)
แต่ที่น่าเคือง กลับเป็นสัดส่วนของนักแสดงหญิงนี้สิ ทีมงานกะไม่ให้ใจตลาดชายๆบ้างเลย เพราะเอาน้องฮารุกะ ฮายาเซะ มารับบท น้องสะใภ้ของทาเกชิยังพอทำเนา ส่วนจะหวังมีลุ้นอัพเกรดเป็นสะใภ้ตระกูลคุราโมชิ อันนี้คงไม่หวัง เพราะรู้กันอยู่ว่าซีรีย์ญี่ปุ่นหลังๆ เขาให้ความสำคัญจุดกันแค่ไหน แต่ที่เคืองนั่นคือ อุตสาห์รับบทเป็นครูประถมมิยูกิที่เสมือนจะนางเอกอยู่แน่แล้ว แต่โอกาสของการเข้ากล้องโผล่ซีน น่าจะมีไม่ถึงห้าถึงสิบเปอร์เซนต์ต่อหนึ่งตอน ตามประสาของอยู่แนวหลังคอยส่งกำลังใจ ไปๆมาๆ นักแสดงหญิงที่ผู้กำกับ ดูเหมือนจะโผล่ซีนจนทำท่าว่าจะข้ามหน้าครูมิยูกิ กลับเป็นเด็กหญิงอาชิดะ มานะ ในบทลูกสาวฮารุกะแห่งตระกูลฟุรุตาชิที่เป็นเจ้าของโรงฝึกสุนัขที่ฮอกไกโด และมี ริกะหมาตัวโปรดที่เสมือนตัวแทนความเป็นพ่อ เนื่องด้วยเธอเป็นเด็กกำพร้าพ่อตั้งแต่เด็ก แต่ถึงเป็นผู้เขียนๆ ก็คงอิงสูตรนี้เช่นกัน เพราะรู้กันอยู่ว่ากระแส "มานะมาเนีย" มารุนแรงแค่ไหน ยิ่งสถานการณ์ที่ต้องการการรับประกันเรื่องเรตติ้งฮวบขนาดนี้ อะไรมีไว้เอาชัวร์ เป็นต้องจัดสร้างและนำมาประเคนเอาไว้ก่อน แต่สุดท้ายก็คล้ายจะช่วย ได้ไม่มากนัก ตอนหลังเลยทำท่าว่าจะขายแพ็คคู่ ทั้งตัวมานะและฮายาเซะ สถานการณ์ถึงแลดูกระเตื้องผิดหูผิดตา แต่ที่เคืองสุดเคืองโกรธสุดโกรธ เพราะเห็นชื่อนากามะ ยูกิเอะ แห่งGokusen มาแจมด้วยก็แสนจะดีใจ แถมบทไม่ใช่ย่อยเป็นหวานใจของทาคุยะเสียด้วย แต่ที่ไหนได้มีให้เห็นแค่รูปถ่ายขาวดำ เพราะชีตายไปช่วงสงครามโลก อย่างน้อยๆฟีชแบ็คย้อนจี่จ๋ากันสักหน่อยก็ยังดี หม่าย! สถิติสถาพรถาวรไว้อยู่แต่ในรูปถ่าย ช่างเป็นบทที่แสนจะสบายโดยแท้
แต่กระนั้น โดยภาพรวมแล้วก็จัดถือว่าเป็นงานคุณภาพชิ้นเยี่ยม ที่เชื่อว่า นักดูคนไทยน่าจะต้องเป็นที่ชื่นชอบแน่ และผู้เขียนเองก็ชอบมากกว่าKarei naru Ichizoku ที่เรตติ้งกระฉูดเฉลี่ยสิบตอนอยู่ที่ ๒๓.๙ เสียอีก เข้าใจอยู่นะว่าวิธีเล่าเรื่องแบบบรรยาย บางครั้งอาจจะเหมาะกับซีรีย์ในแนวบ้านทรายเทือกๆ แต่อาจจะไม่เหมาะกับแนวแอดเวนเจอร์ดรีม (แค่ฟังเพลงArano yori ที่เป็นเพลงเปิดเรื่อง ก็รู้แล้วว่ากะจะเจาะตลาดกลุ่มใด) ที่สามารถมีวิธีการเล่าเรือ่งได้อีกร้อยแปดวิธี (ซึ่งจะว่าผู้กำกับฟุกุซาวะจะเล่าในแบบของ Mr.Brain หรือ Good Luck!! ที่แกเคยกำกับโดยมีทาคุยะร่วมเล่นก็ได้) ทางสถานีคงเห็นแผลตรงจุดนี้ พอเข้าครึ่งหลังเสียงป้าๆก็หายไป ทำทีเซอร์ให้น่าลุ้นขึ้น เหตุที่เชื่อว่าคนไทยน่าจะชอบ เพราะมันมีปรัชญาและวิธีการถ่ายทอดในแบบที่ยุคหนึ่ง นักดูบ้านเรานั้นคุ้นเคย และรู้เลยว่าต้องเป็นศาสตร์เฉพาะที่อิมพอร์ตเมดอินเจแปนเท่านั้น
วัฒนธรรมประการหนึ่ง ที่ญี่ปุ่นชอบใช้เวลาเล่าถึงเรื่องผลของสงครามโลกครั้งที่สอง คือ การไม่พยายามที่จะกล่าวถึงสาเหตุของสงคราม แต่ก็ไม่ละเลยถึงผลลัพธ์ของความยากลำบาก (และมติชนสุดฯเล่มล่าก็พูดถึง"โอชิน" ในฐานะตัวแทนของบุคคลที่อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวการเปลี่ยนแปลง รัชสมัยเมจิกับข้ามสู่ยุคหลังสงครามโลก แต่จุดที่น่าตำหนิคือ เจ๊โอชินมิใช่ศิลาจารึกทำไมถึง ไม่มีผลนึกถึงจิตใจในความเปลี่ยนแปลง ขณะที่ผศ.ทาเกชิสะท้อนแรงขับจากความเปลี่ยนแปลงชัดเจน) และความยากลำบาก ก็เป็นได้ทั้งแรงขับเคลื่อนในแง่ของภารกิจพลเมืองที่ล่องรัฐนาวาร่วมกัน และแรงขับในแง่การ "เสียหน้า" ของประเทศในเวทีระหว่างประเทศ เพราะเรื่องหน้าตา สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว ถือเป็นสิทธิทางอุดมคติขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งที่พิทักษ์รักษาความเกรงใจจากคนอื่น ตรงกันข้าม ก็เป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องกอบกู้หน้าตาที่สูญเสียไปอันผลของประเทศผู้แพ้สงคราม
ดังนั้น แม้แต่ตัวละครอย่างรมต.การคลังฮารุฮิโกะ จะชอบทำตัวขัดแข้งขัดขา ไม่เว้นแม้กระทั่ง ยอมอาสาตัวเอง เพื่อไปเป็นอาสาสมัครคณะสำรวจชุดแรก แม้จะถูกเขาเกลียดกันทั้งคณะ ก็เป็นการมองเรือ่งของหน้าตา ที่ไม่อยากให้ชาติต้องเจ็บปวดซ้ำจากโอกาสที่น่าจะสำเร็จอันน้อยนิด งบเบิกจ่ายอันมหาศาล ในขณะที่คนญี่ปุ่นยังเต็มไปด้วยความหิวโหยและอดอยาก (ก็ไม่แปลกหรอก ก็พี่เล่นเป็นรัฐมนตรีที่รับผิดชอบทางด้านการเงิน-การคลังนิ) แต่เมื่อการสำรวจประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังได้รับการช่วยเหลือจากฝูงสุนัขที่ปรามาสไว้แต่ต้น ก็ทำให้ทัศนคติแง่ลบที่เคยมีแปรเปลี่ยนไป กลายเป็นตัวตั้งตัวตีที่คอยประสานกับคนของรัฐบาล เพื่อให้คณะสำรวจชุดที่สามกลับไปสถานีโชวะเบสที่แอนตาร์กติกาอีกครั้ง ซึ่งจะว่าไปพี่มาซาโตะ ที่รับบทรมต.การคลังคนนี้ ก็รับบทถนัดที่เคยแอ๊บเป็นครูบ้านอุปถัมภ์แต่ไม่ชอบขี้หน้าทาคุยะ ที่ขอกลับมาตายรังเพราะเอาดีไม่ได้ในการเป็นนักขับรถสูตรหนึ่งจากซีรีย์Engineมาแล้ว ก็แปลกใจอยู่ว่า ใส่ความเป็นสูตรกันขนาดนี้แล้ว ทำไมเรตติ้งถึงยังตกฮวบเหลือเกิน
This Antarctic expedition would come to symbolize the Japan that refused to give up.
(การสำรวจเขตแอนตาร์กติกาคาดหวังว่ามันจะเป็นสัญลักษณ์ ที่แสดงถึงการปฏิเสธการยอมแพ้ของคนญี่ปุ่น)
However the ones who refused to give up.Were not us but them.
(อย่างไรก็ตามถ้าใครสักคนหนึ่งเป็นผู้ที่ปฏิเสธการปราชัย หาใช่มนุษย์อย่างเราๆ แต่เป็นสุนัขพวกนี้ต่างหาก)
ส่วนถ้าให้ฟันธงว่าNankyoku Tairiku จะได้รางวัลในสาขาไหนแบบชัวร์สุด พอมาชะงักเรือ่งเรตติ้งที่เคยทำให้ Moon Lovers แห้วแดกในทุกสถาบัน อย่างน้อยๆ ชาวคณะเจ้าตูบSakhalin Husky แห่งเกาะฮอกไกโด น่าจะมีรางวัลสเปเชียลแก๊งค์ให้คาบไม้ติดเท้ากันพอได้ลุ้น เหมือนรัศมีที่เคยรู้สึกได้ ในตอนที่ได้ดูซีรีย์อันธพาลเบสบอล Rookies (ไม่ได้หมายความว่าเด็กมัธยมรร. เป็นหมาหรอกนะครับ แต่มีสัดส่วนบางอย่างที่คล้ายกัน) การได้สุนัขที่ฝึกมาเพื่อการแสดง โดยเฉพาะประกอบกับ การตัดต่อร้อยเรื่องผนวกเข้ากันเป็นเนือ้เดียว มันชวนให้เชื่อได้ว่า เจ้าพวกหมาๆเหล่านั้นสามารถอธิบายเรื่องราวความรู้สึกนึกคิดหัวอกภายในใจจากก้นบึ้งของหมาๆ โดยให้คนดูอย่างเรา รับรู้รับทราบเข้าอกเข้าใจและน้ำตาไหลพลางสงสาร โดยที่มันไม่จำเป็น ต้องขยับปากพูดสักแอะ หรือให้ท่านผู้บรรยายมาพรรณนาความนึกคิดแทนพวกหมาๆ อาศัยเพียงการคุ้ยเขี่ย เห่าห่อน นอนกลิ้ง คลอเคลีย และส่งสายตาทำซึ้งเป็นระยะ
ซึ่งถือว่า ทีมงานเขาก็สร้างความอัศจรรย์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ จัดเด็กอนุบาลให้เข้าฉากน่าเหนือ่ยแล้ว แต่นี้ ต้องมาจัดบรรดาหมาๆหลายตัวให้มาเข้าฉาก และทำในสิ่งที่ใจผู้กำกับอยากให้เป็น จากเริ่มต้น ที่รู้สึกแค่อยากติดตามการแสดงของดาราในดวงใจ ไปๆมาๆกลายเป็นหมามาแย่งซีน โชว์พาวด์ ยิ่งช่วงเวลาที่ค่อยๆทยอยตายจากไปทีละตัวสองตัวหลังจากถูกทิ้งเพื่อให้คณะสำรวจ ชุดแรกที่เป็นมนุษย์รอด มันเป็นอารมณ์แบบdilemma ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก (ด่าไปไม่ได้เต็มปาก เดี๋ยวจะยอ้นกลับมาเข้าตัว) ช่างชวนให้อึดอัดใจอยู่ไม่น้อย ซึ่งก็ไม่ใช่แค่เวอร์ชั่น ของซีรีย์เท่านั้น แม้แต่เวอร์ชั่นทั้งของญี่ปุ่นและฮอลิวูดก็ทำร้ายจิตใจได้ไม่แพ้กัน ทำให้เข้าใจได้เลยว่า ความรักและผูกพันมันเป็นเรื่องที่เกินเลยกว่าการที่จะสื่อเชื่อมสัมผัสกัน ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์เท่านั้นจึงจะจูนกันติด ไม่ว่าหมาหรือคนเขาต่างก็มีหัวใจนะเออ
ถ้าจะให้มองว่าทำไมNankyoku Tairiku ท่าดีแต่ผลลัพธ์ในแง่คนดูถือว่าน่าใจหาย ดูจบก็ยังแปลกใจ เพราะว่านำเสนอในสิ่งที่คนดูซีรีย์ส่วนใหญ่คุ้นเคย โดยเฉพาะการได้มือเขียนแนวสาม้คคีชุมนุม อิซุมิ โยชิอิโระ ที่เคยสร้างงานรวมกลุ่มเราทำได้ ไม่ว่าจะเป็น Sailor Fuku to Kikanju,ROOKIESและYankee Bokou ni Kaeruมาแล้ว ซึ่งเจ๊ก็ยังคงแม่นยำในการเอาความหลากหลายมาใส่ไว้ในกลุ่มเดียว ทั้งเรื่อง มิตรภาพ(friendship) ความเป็นเพื่อน(comradeship) ความภักดี(loyalty) รักและศรัทธา(love and faith) เกียรติยศ(dignity) และเสียสละ(Sacrifice) (โดยเฉพาะช่วงความขัดแย้งของผู้ใหญ่ ไม่รู้ทำไมเด็กมักจะโผล่มาซื่อให้ผู้ใหญ่ละอายใจทุกที) แม้แต่กลุ่มอุตสาหกรรมอุปถัมภ์ ให้โครงการนี้สำเร็จก็ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทที่เราคุ้นทั้งน่าน ไม่ว่าจะเป็น เรือ่งเครื่องมือวิทยุสื่อสารโดยอิบุคะ มาซารุและโมริตะ อาคิโอะ(Sony) เรื่องเครื่องยนต์โดยฮอนดะ โซอิชิโระ(Honda motor company) หรือเรือ่งงานก่อสร้างฐาน ก็ยังได้ทาเกนากะบิวดิ้งมาช่วยรับเหมาออกแบบ ของจริงเป็นอย่างงี้ไหม?ไม่รู้ แต่มันก็พอทำอิน ให้หลงเชื่อตามไปได้ไม่ยาก อย่างว่าต้นทุนทรัพยบุคลากรบ้านเขามันดีจริงๆ
ยังดีว่า ในช่วงท้ายเรตติ้งกระเตื้องขึ้นสูง คอยฉุดยอดที่ทำท่าว่าจะไปไม่รอด (และไม่ต้องห่วงนะครับ เพราะพอได้ไปอ่านเม้นต์ตามเว็บบอร์ดใครเขาก็ชอบกันทั้งน่าน เรียกได้ว่าผลของเรตติ้งไม่ได้มีผลสืบงานตามไปด้วย บางทีอาจเป็นเรือ่งของพฤติกรรมหน้าจอ) ปัญหารับรู้เป็นการส่วนตัวเลยที่รู้สึกเหนือ่ยกับซีรีย์เรือ่งนี้ในแง่เริ่มต้น คือ การบริหารสัดส่วน เพียงอยากจะบอกว่า สิ่งที่ผู้เขียนบรรยายสารพัดสาระเพเนือ้เรื่องมหาศาลข้างต้นนั้น เฉพาะเพียงตอนแรกเท่านั้น ซึ่งทีมงานเขาเปิดฤกษ์กินเวลานานเป็นพิเศษประมาณชั่วโมงครึ่ง ซึ่งซีรีย์ก็เล่าเรื่องแบบไม่ง้อไม่รอใคร ยิงใส่เหตุการณ์พร้อมกับควบความเป็นอุปสรรคระคนกันไป ชนิดที่ปรากฎการณ์อย่างหนึ่งเกิด อุปสรรคก็สอดแทรกปิดท้ายตามต่อกันมา มันเลยเกิดอาการทะลักข้อมูล พร้อมๆกับอาการเหนื่อยใจแทนตัวละคร ที่ต้องมาเจอะการขัดแข้งขัดขาจากคนในแวดวงเดียวกัน ตลอดจนชะตากรรมฟ้าลิขิต ที่มักจะมีอุบัติเหตุหรือสิ่งผิดพลาด ซึ่งไม่ต่างไปจากอุปสรรคที่พระเจ้าปรารถนาจะทดสอบ
แต่พอย่างเข้าสู่ตอนที่สอง เมื่อเรือSoyaออกเดินทาง ดีกรีของซีรีย์ก็แผ่วลงตามเช่นกัน กลายเป็นเรื่องของการบริหารบุคคลต่างพ่อต่างแม่ ต่างหลักแหล่งที่มา พร้อมๆกับการตัดสลับกับญาติพี่น้องที่รอติดตามข่าวและใช้ชีวิตโดยขาดเสาหลักของครอบครัว อารมณ์ของซีรีย์เลยออกมาเนื่อยและอืดในบางช่วง ประกอบกับวิธีการเล่าของเรื่อง ยังมีความเป็นNarrative Series ที่เอาคุณป้ามาบรรยายภาพกว้างๆ สลับเนือ้หา เพียงแต่สัดส่วนของการเล่าดูจะลดนอ้ยลงเมื่อเทียบกับ Karei naru Ichizoku แม้จะเป็นงานของผู้กำกับคนเดียวกัน บทของเรือ่งก็เป็นสิ่งที่พอจะคาดเดาไม่แปลกใหม่อะไร ตามประสาแนวเจแปนดรีมหลังโพสต์วอร์ ที่ต้องการปัจเจกสักคณะหรือใครสักคน ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในระดับโลก เพื่อที่จะมีที่ยืนอยู่บนเวทีนานาชาติและภารกิจนั้นจะต้อง เป็นไปเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ชาติอีกด้วย อีกทั้งการวางพล็อกสลับล่อหลอกที่ซีรีย์ญี่ปุ่นนิยมใช้ ไม่ว่าจะเป็น ตัวละครปริศนา ความสัมพันธ์โดยบังเอิญ การเล่าเรือ่งเพียงบางส่วน หรือการสร้างสัญลักษณ์ที่จะไปคลี่คลายเหตุการณ์ ล้วนเป็นสิ่งที่ซีรีย์แทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งเข้าใจว่า ผู้กำกับต้องการอนุรักษ์แบบแผนเพื่อสอดรับกับความเป็นงานครบรอบสถานี เพื่อสร้างความแตกต่างเมื่อเทียบกับงานซีรีย์ปกติทั่วไป แม้ตัวงานจะมีเสน่ห์ในแบบเฉพาะของมัน และก็อีกนั้นแหละ ปัญหาความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ของคนยุคเบบี้บูม บางทีก็อาจจะไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าบางอย่าง ที่คนรุ่นปู่ย่าได้เผชิญผ่านร้อนผ่านหนาว อาการชวนอินหรือชวนติดตามก็อาจจะแผ่วไปตามลำดับการณ์ หรือถ้าคิดแบบคนที่ไม่แคร์ พระเอกเพราะมีคนรักเยอะแล้วอย่างผู้เขียน ก็อาจจะให้มองอีกอย่างได้ว่า "ป๋ายะขาลง" (โดยหยิบยกอุทาหรณ์สองงานล่าสุดจากซีรีย์Moonloverและหนังใหญ่The Battleship Yamato ที่เสียงวิจารณ์ไม่ค่อยจะเสนาะหู ฟังดูแล้วยิ่งเกิดอาการต้อแต้)
แต่บางท่านอาจจะเถียงในใจว่า จะอะไรนักหนา ไม่รู้รึว่า สมัยนี้ดาราหน้าไหนๆเขาก็ได้รับผลกระทบจากกระแส หน้าจอทีวีไม่ปลื้ม เพราะมีอะไรนอกจอโน้นนี้นั้นให้น่าสนใจยิ่งกว่า ซึ่งอันนี้ก็ถือเป็นสัจจธรรมเรื่องจริงอยู่อย่างหนึ่ง แต่ทว่า หาใช่จะเกิดขึ้นกับคนทุกคน อย่างน้อยๆล่าสุดดาราเก๋าร่วมรุ่นป๋ายะ "มัตซุชิมะ นานาโกะ" (คนที่เล่นเป็นครูอาซึกะใน GTO) ก็สร้างปรากฎการณ์ประวัติศาสตร์เรตติ้งตอนอวสานตลอดกาลในปีนี้ โดยพาให้ซีรีย์แห่งค่าย NTV เรื่อง Kaseifu no Mita ดราม่าซีรีย์ เกี่ยวกับแม่บ้านปริศนา ติดอันดับสามเรตติ้งพุ่งพราวตลอดกาล โดยเฉพาะ ในสุดท้าย ยอดกระโดดถึง ๔๐% ในเรตนักชมเฉพาะเขตคันโต แซงหน้าอดีตอันดับสามตลอดกาลแห่งค่ายTBS เรือ่ง3 nen B gumi Kinpachi Sensei ที่เคยทำไว้ที่ ๓๙.๙% ทำให้ Kaseifu no Mita เป็นรองเพียงแค่ Tsumikikuzushi Oya to Ko no 200-nichi Senso‘ (TBS ๑๙๘๓) ที่ทำไว้สูง จนยากจะทำลาย ๔๕.๓% และ Beautiful Life‘ (TBS ๒๐๐๐) ที่ ๔๑.๓% ถือเป็นปรากฎการณ์กว่าสิบสองปี ที่เรตติ้งพรวดเกินร้อยละ๔๐ ครั้งสุดท้ายทีทำได้ ก็มาจากเรื่องที่ป๋ายะท่านแสดงไว้ในBeautiful Life เดือนมีนาปี ๒๐๐๐ ทั้งๆที่เริ่มต้นKaseifu no Mita ก็ไต่ระดับที่สถานีน่าพอใจไว้ที่ ๑๙.๕ แต่เมื่อฉายมากตอนเข้าระดับเรตติ้งก็ค่อยเพิ่มสูงขึ้นไม่มีตก จนล่าสุดก่อนอวสาน เรตติ้งมาชันไว้ที่ ๒๘.๖ ทำลายคำสาปที่ขาประจำปรามาสไว้ว่า ร้อยละ ๑๕ได้ก็เรียกว่า "ฮิต" แล้ว แต่ถ้าได้สัก ๒๐ ก็ต้องต่อท้ายไว้ว่า "ฮิตมว้ากก" ("a drama with 15% or more viewership ratings is considered to a hit, and a drama exceeding 20% is considered to be a huge hit")
เมื่อไปย้อนข้อมูลที่เว็บบอร์ด jdorama เขาเม้าท์กัน ถึงพอได้รู้ว่าซีรีย์เรือ่งนี้ เป็นการดัดแปลงมาจากฉบับภาพยนตร์สุดอมตะในปี ๑๙๘๓ ที่ชื่อเกือบคล้ายกันNankyoku Monogatari(South Pole Story) ซึ่งกำกับโดยโคเรโยชิ คุราฮารา (หาดูได้ในYoutubeมีสับยอ่ยเป็นตอนๆ รวมด้วยกัน๑๖ คลิปในล็อกอินของFriendroid แต่เรื่องนี้อเมริกันร้านแผ่นเขาจะรู้กันในชื่อ Antarctica ถ้าอยากรู้ก็คลิก ที่นี้) ปู่เขาเพิ่งล่วงลับจากไปไม่มีวันหวนกลับในเดือนธันวา เมื่อปลายปี ๒๐๐๒ ศิริอายุได้ ๗๕ ปี (ไม่ค่อยรู้ประวัติท่านนี้เท่าไรหนังเรื่องสุดท้าย Hiroshima (๑๙๙๕) เป็นงานกำกับคู่ กับผู้กำกับชาวแคนาดาRoger Spottiswoode ชื่อนี้แฟนเจมส์บอนด์น่าจะพอจำได้จาก ตอนที่ชื่อTomorrow Never Dies) และแสดงนำโดยเคน ทากาคุระ ผู้ผลงานที่พอขุดแล้วคุ้น ส่วนใหญ่จะหนักไปทางบทยากูซา พอรู้อยู่บ้างเพียงไม่กี่เรื่อง เช่น The Yakuza(๑๙๗๔) ที่กำกับโดยSydney Pollackและหนังอเมริกันฟิลม์Black Rain(๑๙๘๙)ที่กำกับโดยRidley Scott
เมื่อคลิกไปดูมาแล้ว โครงเรื่องมีส่วนคล้ายกับเวอร์ชั่นซีรีย์Nankyoku Tairiku อยู่มาก เรียกว่าเห็นความต่างกันเพียงไม่กี่จุด โดยซีรีย์หนักไปทางใส่ไข่ให้รายละเอียด และหาคนหล่อๆ หน้าเกลี้ยงมาเรียกลูกค้า ผิดกับNankyoku Monogatariที่เกือบจะเป็นโรดมูวี่แอนด์แอดเวนเจอร์ แต่ในหนังดูจะให้ความสำคัญกับภารกิจและกิจอันเป็นภาระที่ยากลำบาก โดยเฉพาะเจ้าทาโร่กับจิโร่ (ถึงกระทั่งขึ้นหน้าปกโปสเตอร์ประมาณว่าตรูรอดแน่!) จนไปประทับใจ น้ำหูน้ำตาไหลกระทบสะกิดติ่งหัวกำไรของดิสนีย์ จึงมีการดัดแปลงบทเป็นภาพยนตร์ในปี ๒๐๐๖ ที่คนดูหนังน่าจะรู้จักกันดีบิ๊กซีเนม่าก็เคยเอามาฉาย Eight Below ที่กำกับโดย Frank Marshall และได้นักแสดงหน้าหล่อ Paul Walker มาเป็นพ่อพระ(เข้า)ใจหมาสายพันธ์ Alaskan Malamutes แน่นอนเมื่อมาเป็นฮอลิวู้ด ทาโร่กับจิโร่ย่อมไม่เสนียดลิ้นมะกันชน เลยถูกตั้งชื่อใหม่ให้เป็น Buck กับShadowแทน เห็นว่าเปิดฉายวันแรกก็ขึ้นอันดับหนึ่ง Box Office Mojo ยอดรวมรายได้กว่า ร้อยยี่สิบล้านเหรียญ ไม่กี่ปีต่อมา Hachi พล็อกหมาๆจากญี่ปุ่นก็ถูกเอาไปหากินโดยฮอลิวู้ดอีกครั้ง
แถมเกร็ดก่อนปิดท้ายดีกว่า เจ้าหมาลากเลื่อนที่ทับศัพท์เท่ห์ๆในซีรีย์เรียกว่าSakhalin Husky แต่ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ กลับใช้ทับศัพท์โบราณอีกอย่างว่า Karafuto-Ken ซึ่งต่างก็มีความหมายเดียวกัน คือ เอาความเหนื่อยของหมาเป็นที่ตั้ง เอาความสบายของคนโดยสารเป็นสำคัญ และไหนๆก็สปอยล์ว่ากันขนาดนี้แล้ว งั้นก็บอกถึงอนุสรณ์สถานของวีรโฮ่งๆเสียเลย เจ้าทาโร่ท้ายสุดก็ลงกลับคืนถิ่นและตายรังตรงมหาวิทยาลัยฮอกไกโด ทุกวันยังพอ เยี่ยมชมร่างไร้วิญญาณได้ที่พิพิธภัณฑ์มหาลัย ส่วนจิโระเห็นว่ากลับไปตายที่แอนตาร์กติกา สุดท้ายก็นำร่างมาประจำยังพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ตรงอุเอะโนะพาร์ค แล้วอย่าเผลอคิดว่า ญี่ปุ่นเป็นชาติแรกที่พิชิตขั้วโลกใต้เป็นผลสำเร็จหรอกนะครับ เพราะว่าเมื่อไม่นานมานี้ เขาเพิ่งมีข่าวฉลองครบรอบร้อยปี โดยนายกฯนอร์เวย์ทำเก๋ เป็นประธานเปิดตัวสลักน้ำเเข็งครึ่งตัวของนายโรอาลด์ อมุนด์เซน นักสำรวจชาวนอร์เวย์ ที่พิชิตขั้วโลกใต้เป็นคนแรกการสำรวจขั้วโลก ก่อนหน้าคณะสำรวจของนาวาโทโรเบิร์ต สก็อต แห่งกองทัพอังกฤษเพียง๔ สัปดาห์ แถมซวยซ้ำเมื่อคณะสำรวจจากอังกฤษไปเสียชีวิต ระหว่างทางกลับบ้านขณะที่อยู่ห่างจากสถานที่ปลอดภัยเพียงแค่๑๗ กิโลเมตรเท่านั้น ผู้เขียนว่า ชีวิตของนาวาโทโรเบิร์ตน่าจะเอามาสร้างเป็นซีรีย์ เรตติ้งคงพรวดดีไม่น้่อยเลย
ทำให้ผู้เขียนนึกถึงหัวโปรย หลังหน้าคำนำในหนังสือ Steve Jobs by Water Isaacson ที่ว่า
"The People who are crazy enough to think they can change The World are one who do"
(มีคนมากมาย ที่บ้าพอโดยคิดเอาเองว่าเขาจะเปลี่ยนมันได้ แต่ในโลกนี้มีเพียงคนเดียว ที่ทำได้จริง) ........
อ้างอิงข้อมูลโดย
Dramawiki,Dramacrazy,Jdorama,kpopgossip,Youtube,Tokyohive,IMDB,Asianmediawik,Wikipedia and warinrada@bloggang
Create Date : 21 ธันวาคม 2554 | | |
Last Update : 23 ธันวาคม 2554 9:42:51 น. |
Counter : 4093 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|