A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 
Going My Home คืนสู่เหย้า ผ่องเรา และชาวมนุษย์จิ๋ว





ผู้กำกับหนังเจ้าฝีมือชาวญี่ปุ่นเกือบโดยทั้งหมด มักจะเข้ามาเกี่ยวข้องในส่วนของ
การกำกับละครซีรีย์ทีวีกันแทบทั้งสิ้น ส่วนจะเคยกำกับเป็นล้ำเป็นสัน กะปิดกะปอย
หรือประมาณทำชิ้นเดียวเลิก! อันนี้ก็สุดแท้แต่บุญวาสนาของตัวผู้กำกับแต่ละท่าน
ไม่ว่าจะเป็นชุนจิ อิวาอิ (Love Letter,All About Lily Chou-Chou)
คนนี้ก่อนหน้าที่จะมาจับงานภาพยนตร์ ก็เคยเริ่มจากการกำกับทีวีซีรีย์ในช่วงต้นปี๙๐
Ghost Soupของช่องฟูจิทีวี และมูฟวีซีรีย์Fireworks ที่ว่าด้วยเรื่องมิตรภาพวัยเด็ก
เท็ตซึยะ นากาชิมา (Confession,Memories of Matsuko,Kamikaze Girls)
คนนี้ก็เคยไปร่วมแจมกินเล็กกินน้อยในช่วงต้นปี๒๐๐๑-๐๒ กับพวกซีรีย์ตอนชุดพิเศษ
Yonimo kimyo na monogatariกับ Shiritsu tantei Hama Maiku
อีกทั้งยังเคยไปช่วยวงSmap ทำมูฟวีทีวีชื่อX'smap ที่เป็นงานคั่นเวลาเล็กๆของสองฝ่าย
เอาแค่ปีนี้อย่างในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ก็มีผู้กำกับTokyo Sonata คุโรซาวา คิโยชิ
ผู้ซึ่งหายหน้าจากวงการทีวีซีรีย์ไปกว่าสิบปี ยังหวนกลับมากำกับซีรีย์ชุดจำนวนห้าตอน
Shokuzaiทางช่องเคเบิลWowow ให้แฟนที่ตามมาจากโรงได้หายคิดถึงกัน
ซึ่งโดยส่วนมากเจ้าฝีมือที่ว่ามานี้ มักจะผ่านงานที่ถ้าไม่เป็นTanbatsu Movie
ประเภทตอนเดียวจบ หรือไม่ก็จะเป็นพวกJam-Serieที่แบ่งกันสุ่มหัวทำคนละชิ้น
โดยที่งานส่วนเเจมที่ว่านี้ ก็มักจะอยู่ในนช่วงยังสะสมบารมี แสวงหาผลงานเพื่อสร้างชื่อ
กะหวังมาขายแพ็กเก็ตเฉพาะ ที่ให้ศิลปินอินดี้ได้มาปล่อยฝีมือภายใต้แผนงานเดียวกัน
และอีกหนึ่งคนที่ระยะหลังเริ่มให้ความสนใจ จากเดิมที่สนใจแต่กับกำกับหนังเป็นหลัก
ชักจะเขยิบมาแตะงานในวงการซีรีย์ทีวีบ่อยขึ้น ซึ่งหนังที่แกกำกับหลายเรื่อง
ก็มีแฟนหนังชาวไทยให้การพูดถึงเสมอ ทั้งแนะนำบ้าง บูชาผ่านหน้าบล็อกก็ไม่น้อย
ชนิดที่หลายคนแค่เห็นชื่อการันตีเป็นต้องตีตั๋วเข้าชม แม้จะยังไม่รู้เลยว่าเป็นหนังเรื่องอะไร






ฮิโรคาซุ โคเรอิดะ




เด็กจากมหาลัยวาเซดะ ที่มีมุมมองการกำกับหนังที่มีรูปแบบเฉพาะตัว
และสะท้อนปรัชญาพื้นฐานในตัวมนุษย์ ครอบครัวและสภาพสังคมได้อย่างลุ่มลึก
เงียบง่าย (มันสูงกว่านิยามคำว่า"เรียบ"แต่ยังคง"ง่าย" ได้อย่างพรั่งพร้อม)
ชนิดที่แม้หนังจะจบไปแล้ว แต่มันยังคงมีอะไรให้ขบค้างคาสมองไปเก็บคิดต่อที่บ้าน
แบบที่ "นรา" นักวิจารณ์หนังเคยนิยามความเป็นโคเรอิดะ ไว้ว่า

"นุ่มนวล ลึกซึ้ง เรียบง่ายและฉลาดล้ำ.....เล่าเนื้อเรื่องที่มีรายละเอียดเบาบาง
แต่ใช้องค์ประกอบด้านภาพทุกส่วนแทนการขยายความ ดึงเอาความรู้สึกเบื้องหลังในใจ
ของตัวละครมาตีแผ่ทางอ้อมได้อย่างงดงาม"


หรือแม้แต่นักวิจารณ์ชื่อโฆษะแห่งChicaco Sunday Timeอย่างโรเจอร์ อีเบิร์ก
ยังยกผู้กำกับโคริเอดะให้เป็นทายาทที่ยังมีลมหายใจในแบบฉบับของยาสุจิโระ โอสุ
(an Heir of Yasujiro Ozu)









และสิ่งที่น่ายกย่องเพื่อเป็นเกียรติ์ให้สำหรับตัวผู้เขียน คือ งานหนังของแก
ทุกชิ้นยังคงรักษาระดับการเข้าถึงง่าย พัฒนามุมมองทางปรัชญาแก่นสาร
ชนิดที่ไม่ต้องจับเข่าตีความก็สามารถเข้าใจสภาวธรรม ขึ้นอยู่กับว่า
จะไปจับประเด็นที่ปลีกย่อยส่วนไหน และที่สำคัญสามารถทำความเข้าใจใหม่
กับมันได้ไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นหนังในยุคเริ่มต้นจนไล่เรียงถึงปัจจุบัน
ตั้งแต่Maborosi,After Life,Nobody Knows,Still Walking
Air Dollและล่าสุดl wish จึงจะเห็นได้ว่า ในบรรดาผู้กำกับทั้งหลายแหล่
"โคเรอิดะ" เป็นผู้กำกับที่ผู้เขียนพยายามหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงมากที่สุด
อารมณ์ไม่ต่างจากงานของยาสึจิโร โอสุ คือ ไม่รู้จะสรรหากระบวนอักษรใดใด
เพื่อกระชับเนื้อความที่ดูแสนง่าย แต่หาอรรถาธิบายพรรณนาให้เข้ารูปเข้ารอย
(ที่่ส่วนใหญ่จะออกไปทางเข้ารกเข้าพง) ได้แสนยากชะมัด เพียงแต่หนึ่งสายตา
ที่จ้องมองวัตถุเพียงหนึ่งชิ้น แต่มันดันไปสัมพันธ์กับอะไรอีกร้อยแปด
ซึ่งต่อให้ตัวละครบอกความนัยอะไรออกไป บางทีสิ่งนั่นก็หาใช่ความจริง
ในสิ่งที่เป็นมากกว่าสิ่งที่เห็น ที่ลำบากกว่านั่น ผู้กำกับดันไปให้อิสระคนดูในการที่
เราจะไปตีความตามใจอยาก โดยไม่เอากรอบความคิดหลักในใจของผู้กำกับมา
จำกัดกรอบเสียหรืออธิบายเพิ่มเสียด้วยสิ









ดังนั้น .....พอหมดจากหน้าโปรโมทหนังl wish ในปีที่แล้ว
ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวของผู้กำกับโคเรอิดะ จะพักงานตามไปด้วย
เพราะในปีนี้ทางสถานีฟูจิทีวี เขาเปิดตัวความร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างสถานี
กับทางผู้กำกับฮิโรคาซุ โคเรอิดะ ซึ่งถือเป็นนิมิตรหมายอันดี และสร้างปรากฎการณ์
ที่ชวนตื่นเต้นขึ้นหลายด้าน ตั้งแต่ก่อนจะเปิดตัวรอบสื่อ (press conference) อาทิ




๑)เป็นงานกำกับซีรีย์ดราม่าชุดครั้งแรกของผู้กำกับโคเรอิดะ (แม้๒ปีก่อนจะมีโอกาสช่วย
ทางช่องNHKกำกับซีรีย์ผีชุดสี่ตอนจบKaidan โดยที่แกมาช่วยกำกับในตอนสุดท้าย)

๒)เป็นการกลับมาร่วมกันอีกครั้งระหว่างโคเรอิดะกับทีมนักแสดงอาเบะ ฮิโรชิและ
น้ายู หลังจากที่เคยทำงานร่วมกันในหนังStill Walkingเมื่อสี่ปีก่อน

๓)เป็นการคืนวงการในบ้านฟูจิทีวีของสองนักแสดงหญิงที่ห่างหายกันไปนาน
    ๓.๑) ๑๖ปีสำหรับยามากูชิ โทโมโกะ นับตั้งแต่ซีรีย์Long Vacation
    ๓.๒) ๑๐ปีสำหรับมิยาซาวา อาโออิ นับตั้งแต่ซีรีย์Kabushiki Gaisha o-daiba.com

๔)เป็นการปรับเปลี่ยนสไตล์Real Place-Real Timeครั้งแรก แบบไม่ได้จัดฉาก
เซ็ทสถานที่สำหรับผู้กำกับโคเรอิดะ เพื่อให้ได้บรรยากาศแลดูสมจริง





สรรพคุณแค่นี้ มันก็เป็นอะไรที่น่าตื่นตาและน่าตั้งตาคอยเป็นที่สุด








Going My Home จึงเป็นซีรีย์ดรามาเรื่องแรกที่ผู้กำกับโคเรอิดะพยายาม
เล่าถึงครอบครัวชนชั้นกลางตระกลูซึโบอิ ที่แม้จะมีความมั่นคงตามอรรถภาพทั้ง
หน้าที่การงาน ชีวิตสมรสและยืนหยัดปักฐานเพื่อส่งเสียเลี้ยงดูลูกให้ได้รับการศึกษาที่ดี
ทว่า......ชีวิตอีกด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อก็ไม่สู้จะดีนัก
นับตั้งแต่เข้ามาทำงานในเมืองหลวง ก็แทบจะตัดขาดทางการสื่อสารกับครอบครัวในชนบท
โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อที่เขามีความบาดหมางเป็นการส่วนตัว กระทั่งวันที่พ่อล้มป่วยจนไม่ได้สติ
ในฐานะพี่คนโตจึงต้องกลับไปดูแลผู้ให้กำเนิด นำมาซึ่งการระแคะระคายในความจริง
บางอย่างที่ว่าพ่ออาจจะมีครอบครัวนอกสมรส ปริศนากลุ่มมนุษย์ตัวจิ๋ว "คูนะ" ที่สามารถ
เชื่อมสื่อสารระหว่างโลกของคนเป็นกับคนตาย และ "เรียวตะ" เป็นชื่อเดียวที่ผู้เป็นพ่อ
ละเมออยู่ตลอดเวลา จึงนำพาให้เขาต้องเผชิญกับความจริงและการสืบหาสิ่งลวงที่คาใจ
ที่ผู้เป็นพ่อปิดบังเขามาโดยตลอด  หรือที่แม้แต่คนใกล้ชิดในครอบครัวด้วยกันเอง
ก็ไม่เคยทราบมาก่อน 








การได้กลับมาสัมผัสยังแหล่งภูมิลำเนาที่เป็นรากเหง้าเดิมของตัวเอง ณ นาโกยา
ทำให้"เรียวตะ" (ที่แสดงโดยลุงอาเบะ) ได้กลับมาใกล้ชิดกับลูกสาววัยประถมต้น
"โมเอะ"(แสดงโดยดญ.หน้าใหม่มากิตะ อันจู) ที่เธอและพ่อไม่ค่อยจะสนิทสนมเท่าไรนัก
โมเอะมีความสนใจเรื่องมิติพิศวงและอำนาจพลังจิต โดยที่ผู้เป็นแม่ "ซาเอะ"
(เล่นโดยโทโมโกะ)
ระยะหลังก็ไม่ค่อยมีเวลาให้กับครอบครัว เพราะมั่วยุ่งกับงานทำอาหาร
เพื่อเอาไว้ถ่ายโฆษณาเป็นการเฉพาะ จึงพยายามผลักดันให้สามีมีเวลาให้กับลูกมากขึ้น
และแนะนำโอกาสนี้ให้เขาทำดีกับพ่อในช่วงที่พอจะมีโอกาส เมื่อลูกสาวโมเอะ
มีโอกาสได้กลับมาเยี่ยมคุณปู่พร้อมกับคุณพ่อของเธอ การได้รับฟังเรื่องราว
เสมือนมีตัวตนอยู่จริงของพวกมนุษย์จิ๋วคุนะ ทั้งจากปากของคุณปู่ของเธอ
รูปไม้แกะสลัก สมุดจดบันทึกของคุณลุงร้านหมอฟัน "โอโซมุ" (แสดงโดยลุงโตชิยุกิ)
ตำนานพื้นบ้านและสิ่งลักษณะคล้ายหมวกสีแดงตกกลางป่าลึก
ทำให้จากเดิมที่เรียวตะมองว่าเป็นเรือ่งที่เหลวไหล ชักเข้าเค้าผูกโยงเข้าเป็นเรื่องจริง
เปลี่ยนมุมมองที่เคยเห็นขัดแย้งกับลูกสาวกลายเป็นทิฐิเสมอกัน









ขณะเดียวกัน ตัวเขาเองก็ไม่กล้านำเรือ่งนี้ไปเล่าให้กับภรรยาหรือคนอื่นในครอบครัวฟัง
ด้วยสถานะความเป็นพี่คนโต เป็นถึงหน.ฝ่ายประสานทีมโฆษณา เป็นผู้นำของครอบครัว
ที่สำคัญ.......ดันออกตัวต้านเรื่องเหลวไหลนี้ตั้งแต่แรก จึงมีเพียงการเดินหน้าหาความจริง
กับรอเวลาที่พ่อของเขาจะฟื้นขึ้นมาเพื่อเฉลยความจริง  แต่สุดท้าย..ก็ไม่อาจที่จะแน่ใจได้ว่า
ตัวเขาเองจะซักไซ้ความจริงออกมาจากพ่อของเขาเอง ในเมื่อความสัมพันธ์ในปัจจุบัน
ระหว่างพ่อกับลูกที่หมางเมินมานาน ยังคงถูกห่อหุ้ม ด้วยทิฐิ-มานะ และความถือดีปิดกั้นเอาไว้









จนกระทั่งวันหนึ่ง มีหญิงสาวแปลกหน้าอุ้มช่อดอกไม้เข้ามาเยี่ยมอาการของพ่อถึงในห้อง
คำพูดคำจาค่อนข้างจะสนิทสนม ที่ตัวเขาและคนในครอบครัวต่างก็ไม่เคยคุ้นหน้ากันมาก่อน
จนเมื่อสอบถามความจริงจากปากของเธอ เธอมีชื่อว่า "นาโอะ" (แสดงโดยมิยาซากิ อาโออิ)
นาโอะเธอเป็นลูกสาวของเพื่อนพ่อ ที่พ่อของเรียวตะกับแม่ของนาโอะเคยเล่นสำรวจป่า
กันตั้งแต่เด็ก และดูเหมือนพ่อของเรียวตะจะผูกพันกับนาโอะคนนี้เป็นพิเศษ สืบเนื่องมาจาก
เธอมีใบหน้าคล้ายกับแม่ของเธอมาก และดูเหมือนประหนึ่งว่า พ่อของเรียวตะน่าจะมี
ปมในใจลึกๆอะไรบางอย่างที่พิเศษกับแม่ของนาโอะ ซึ่งปัจจุบันนาโอะมีสถานะ
เป็นแม่หม้ายลูกติด ทำงานให้เป็นเจ้าหน้าที่เทศบาลในท้องถิ่น และพยายาม
จะรักษาพื้นป่าในหมู่บ้านจากแผนการพัฒนาของภาคเมือง นาโอะกับลุงโอซามุที่ทำทันตกรรม
มีศักดิ์เป็นพ่อลูกกัน นับตั้งแต่นาโอะสูญเสียสามีไป เธอกับลูกก็ย้ายมาขออาศัย
การกลับมาเยี่ยมอาการป่วยของพ่อ ณ ยังที่ภูมิลำเนาบ้านเกิดพร้อมกับการเผชิญกับเรือ่งลี้ลับ
ก็ทำให้เรื่องที่เคยขัดแย้งเป็นอดีตในใจของเรียวตะ ค่อยๆคลี่คลายสลายลง
ทั้งปมความขัดแย้งระหว่างพ่อ ความใกล้ชิดระหว่างลูก และท่าทีในการเข้าใจชีวิต
ก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนไปทีละนิดละน้อย จากจุดเล็กๆอันพอเพียง ที่เขาไม่เคยเข้าไปสัมผัส
โดยที่ผลลัพธ์ความจริงนั่น ไม่สำคัญว่า จะมีขึ้นจริงหรือไม่ก็ตาม .........................................









Going My Home เป็นซีรีย์ที่มีเรื่องเล่าในเส้นบางๆ
ตามวิธีถนัดในประเด็นปัญหาทางครอบครัว ที่ยังคงนำเสนอได้อย่างละมุ่นละไม
ค่อยๆเล่าไปตามลำดับเรื่องอย่างไม่ร้อนรน เก็บเล็กผสมน้อย มั่นเติมรายละเอียดในแต่ละตอน
ชนิดไม่โผงผางตามสูตรขนบซีรีย์ทั่วไป แต่จะบรรจงแต่งแต้มเนียนๆอย่างไม่ให้ผิดสังเกต
ไม่มีชนิดบิ้วจิตสัมผัส แต่สามารถทำให้คนดูเข้าถึงตัวละครตัวนั่นๆได้ ไม่ใช่ด้วยอรรถาธิบาย
แต่เป็นการสมานเรื่องราวของการเล่าเรื่องไปพร้อมๆกับการทำความเข้าใจ
ซึมซับไปทีละอณุอย่างค่อยๆถักทอร้อยเรียง จนคล้ายกับว่าสตอร์รีบอร์ดเป็นสิ่งไม่จำเป็น
อาศัย "การไหล" ของเหตุการณ์เป็นเสมือนตัวดำเนินเรื่อง ทั้งผ่านตัวบทสนทนา
กระทำโดยวิธีทางอ้อม และการตั้งคำถามที่ไม่หวังจัวคำตอบ ซึ่งทุกอย่างยังคงเป็นโคเรอิดะ
ที่คนดูเคยเห็นในเวอร์ชั่นภาพยนตร์กันอย่างไร ก็ยังคงเป็นอย่างนั่นในเวอร์ชั่นของซีรีย์ทีวี
และสิ่งหนึ่งที่ยังดำรงไว้ไม่จืดจาง คือ ดนตรีประกอบสไตล์อีซีลิสซึนิง
เพื่อให้เข้าวิธีการถ่ายทอดแบบอีซีวอชชิงนิง สำหรับซีรีย์ชุดเรื่องนี้
พี่แกเลือกใช้เฉพาะกีต้าร์โปร่งตัวเดียว...เอาอยู่ตลอดเรื่อง! พอให้ชมคล้อย
ไปกับบรรยากาศ และประคองน้ำหนักของเรื่องไม่ให้ปลุกเร้าเกินเหตุจนทำให้ผู้ชม
ทางสาธารณวิธีเข้าสู่ภาวะกดดันจนคนดูจุอกแตกตาย กลืนให้ง่ายและซึมซับโดยสะดวก
ซึ่งเป็นอรรถรสเฉพาะตัวของโคเรอิดะ ที่เป็นเสน่ห์ส่วนบุคคลให้นักดูหนังไหลหลงมานักต่อนัก









ส่วนการแสดงนี้คงไม่ต้องพูดถึงกันมาก เพราะได้นักแสดงที่เคยร่วมงานกันมา
ประกอบกับดาราฝีมือจัดจ้านหลายท่าน ทั้งๆที่เพิ่งจะเป็นการกำกับซีรีย์ตอนชุดครั้งแรกในชีวิต
จึงเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกเสียจากด้าน"บารมี" ที่ใครเห็นชื่อก็อยากร่วมเล่นเพื่อเป็นเกียรติ์
(จะว่าไป ถ้านับเอางานที่เป็นส่วนของทีวีจริงๆ โคเรอิดะถือว่าเกิดและเติบโต
มาจากการทำงานทางทีวีในช่วงต้นปี๙๐ เพียงแต่จะเป็นสายงานกำกับด้านสารคดี
และสำหรับซีรีย์เรื่องนี้โคเรอิดะก็มีโอกาสกลับมาฟื้นฝีมือสารคดีที่ห่างหายไปนาน)
นักแสดงหน้าคุ้นๆทั้งอาเบะ ฮิโรชิ,ป้ายู,ลุงโตชิยุกิ หรืออาโออิ ก็แสดงในแบบถนัด
ไม่ได้มีการฉีกบทดัดแปลงอะไรมากจากที่เคย ส่วนการกลับมาของป้าโทโมโกะ
ที่หายหน้าไปนาน นับจากแต่งงานกับดารารุ่นราวคราวเดียวโทชิอากิ คาราซาวา
ในปี๙๕ เธอก็กึงจะลาวงการไปกลายๆ เพราะหายไปจากสารบบบันเทิงทีวี

ก็ยังเป็นการแสดงเรียบๆ ไม่ได้ดึงศักยภาพอย่างที่เคยเห็นในครั้งก่อนๆอะไรมาก
ทางด้านอาโออิ เธอก็ได้หลุดจากโลกนางเอกสไตล์ไทงะซีรีย์จากช่องบอร์ดแคส
แซทเทลไลน์ทีวีอย่างNHKทีวีเสียที เพราะ๓เรื่องสุดท้ายแทบจะผูกขาดจนหมดความใส
ในสไตล์วัยรุ่นจ๊ะจ๋า แบบที่ดาราวัยรุ่นส่วนใหญ่เขามีโอกาสได้โชว์วัยผ่านจอแก้วทีวีกัน
พอกลับมาอีกที เธอก็ดันกลายเป็นมะม๊าใจดีไปกับเขาอีกหนึ่งคนเสียนั่น










จะมีที่น่าจับตาหน่อยคงเป็นนักแสดงเด็กหน้าใหม่ คือ
หนูอันจู ที่ตาตี๋ๆหน้าเบ้ๆดูบ้านๆ จะเข้ากับบทบาทเด็กที่มีโลกส่วนตัวสูง
และมีรัศมีดูดีเมื่อเข้ากล้อง น่าพอที่จะได้ร่วมงานกับโคเรอิดะอีกในอนาคต
(แม้ว่าโดยปกติโคเรอิดะจะไม่ค่อยนิยมกลับมาใช้นักแสดงเด็กเมื่อจบเรื่องไปแล้ว)
ซึ่งก็เป็๋นความเก่งของโคเรอิดะ ที่สามารถดึงศักยภาพของเด็ก ที่แม้โดยปกติ
ผู้กำกับจะนิยมปั่นเด็กหน้าใหม่ มากกว่าที่จะไปใช้บริการจากพวกเด็กมืออาชีพ
เพื่อไม่ให้ติดภาพมาจากซีรีย์เรื่องโน้นเรื่องนี้ ไม่ไปทำลายพลังของพวกนักแสดงรุ่นใหญ่
ขณะเดียวกัน ก็ได้ความสดความใสจากการชิมลางเปิดฤกษ์ และที่สำคัญ
ผู้กำกับมักจะปล่อยให้เด็กเล่นไปตามธรรมชาติอย่างที่เขาเคยเป็น มากกว่าที่จะ
ประดิษฐ์ประดอยประโลมหลอก อุปมาให้น้องหนูเป็นคนนั้นคนนี้เฟกตามเรื่องตามราว
ดังนั้น.....มันจึงเป็นงานชิ้วๆ ที่ไม่ได้ทำมาเพื่อหวังถ้วยมากไปกว่า
ความต้องการที่จะสื่อสารอะไรบางอย่างที่ตัวผู้กำกับโคเรอิดะอยากจะเล่า
เท่าที่มีกรอบของเวลาและทุนพอให้ได้อำนวย ส่วนจะเพื่อหวังผลขอทุนอุปถัมภ์ไป
ไว้สร้างหนังในภายภาคหน้าแบบที่ผู้กำกับท่านอื่นกระทำ?นั่น คงบอกได้ยาก









หากจะถามว่า ผู้กำกับโคเรอิดะได้สร้างความแตกต่างในโลกของซีรีย์
ที่ผิดรูปไปจากโลกของภาพยนตร์อย่างไร? ด้วยคุณสมบัติของซีรีย์ตอน ที่มีเวลา
อย่างเหลือเฟ้อให้สามารถ "เล่น" กับองค์ประกอบเสริมและองค์ประกอบขยาย
ไปตามเส้นทางของโครงเรื่องหลัก แบบที่เวลาของภาพยนตร์ทำได้จำกัดจำเขี่ย
มุกเล็กมุกน้อยที่ถูกใช้อย่างคร่าคร่ำอย่างยิบย่อย ชนิดไม่ต้องกังวลเรื่องการตัดทิ้งให้ได้เสียดาย
มิติของตัวละครก็ได้รับการขยายผ่านทางบทสนทนา และผ่านการกระทำสิ่งละเล็กละน้อย
แต่อย่างที่บอกความที่มัน"ไหล" กรอบเฉลี่ยเกี่ยกันไปของแต่ละตัวละครมันจึงไม่ค่อยเท่ากัน
ผลก็เลยอาจจะเห็น พื้นที่ของการให้เวลาของตัวนี้มาก ขนาดที่ตัวละครนี้หน่อยนึง
การขยายมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการให้โอกาสของผู้กำกับที่ทำหน้าที่เขียนบทเป็นคนๆเดียวกัน
และยังคงสไตล์เดิม ที่ผู้กำกับจะให้โอกาสนักแสดงแต่ละคนได้ดีไซด์การแสดงออกของตัวละคร
ไปตามใจอยาก ใครเห็นดีอย่างไรก็ใส่ไปไม่ต้องยั่ง หรืออิงกับสคริปต์บทให้มันมาก
ซึ่งจากบทสัมภาษณ์ก็ดูเหมือนจะเป็นส่วนที่ชอบของบรรดานักแสดง ที่คล้ายจะมีส่วนร่วม
รับผิดชอบในบทมากขึ้นกว่าผู้กำกับท่านอื่นๆ ขณะที่ความปราณีตในองค์ประกอบศิลป์
อันนี้ยอมรับว่าแทบไม่รู้สึก แม้จะเป็นการจับงานในสว่นของหนังหรือซีรีย์เองก็ตาม
จะว่าไปงานซีรีย์ดูน่าจะยากกว่า เพราะไหนจะเวลาที่มากขึ้นและท่ายากจากสถานที่จริง









ส่วนไอ้ที่ผู้เขียนรู้สึกไปเเอง คือ อคติส่วนตัวที่รู้สึกว่าซีรีย์Going My Home 
เป็นอาณาจักรการเล่าเรื่องที่ไม่มีเส้นขอบของผู้กำกับโคเรอิดะ แม้จะมีพล็อกเรื่อง
แต่เงื่อนไขที่เป็นตัวกำหนดสถานการณ์ ดูจะทำงานได้ผลน้อยไปกว่าความต้องการ
ที่จะปาฏิสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการของตัวละคร ซึ่งจุดหมายแท้จริง
คืออะไรบางทีก็บอกไม่ชัด บางครั้งก็มีผลลัพธ์ในอนาคต บางครั้งก็แค่บ่น
บางอย่างก็สร้างมาเพื่อเรียกอารมณ์ขัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไปเพื่อพัฒนาเหตุการณ์
เลยไม่แปลกใจ ที่หลายครั้งเรื่องเหมือนจะวนจมอยู่ตรงนั่น บางทีเหมือนจะไปหน้า
ก็ดันย้อนกลับมาหลังซะงั้น เหมือนจะเดินหน้าแต่ถูกทำให้ยื้อเพื่อดึงเวลาส่วนจะดึงเวลา
เพื่อประโยชน์ในการบริหารจำนวนตอน หรือเสริมความเป็นมนุษย์ของตัวละคร
อันนี้ก็คลุมเครือไปตามวิถีของผู้กำกับเขาทีเป็นมาแต่ไหนแต่ไร สร้างหนังมาให้คนดู
ได้"รู้สึก" ส่วนประเภทจะดูเพื่อ"เอาเรื่อง" อันนี้ไปหาบทย่ออ่านหน้าโรงเอาเองก็ได้มั้ง?









และที่ประหลาดใจอยู่ไม่หาย ทำไม?Going My Homeถึงมีกลิ่นความเป็นการ์ตูนจิบลี
ปะปนอยู่ในส่วนนั่นส่วนนี้อยู่เต็มไปหมด หรือจะเป็นมิติใหม่ที่กะหวังกินรวบตลาดเด็ก
บังเอิญเด็กที่ว่าตัวมันโตกว่าที่เคยเป็นมา แต่ที่มันยกระดับเหนือกว่าความเป็นจิบลี
ตรงที่แนวทางของเรื่องไม่ได้ปลูกเร้าเพื่อให้เชื่อ หรือต้องการหลอกล่อเพื่อให้สมาทาน
ความเชื่อว่ามันควรมีอยู๋จริง ที่สำคัญมันก็ไม่ได้ปิดโอกาสถึงโอกาสในการมีอยู่ขึ้นจริง
ซึ่งการมีอยู๋จริงของมนุษย์จิ๋วคุนะ ถามว่ามีความสำคัญไหม? มันก็สำคัญแน่
เพราะเป็นเหมือน"จุดขาย"เพื่อตรึงรั้งความสนใจของผู้ชมเป็นอันดับต้น เพียงทว่า...
เสน่ห์ของเรื่องตามลายเส้นของโคเรอิดะ เขาไม่ได้ให้ความสำคัญต่อฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์
มากไปกว่าความสัมพันธ์ในเชิงมนุษย์ ที่รับอิทธิพลแรงจูงใจจากจุดเริ่มต้น
ในความเชื่อเรื่องสิ่งปาฏิหาริย์ิ และจะว่าไปผลสำเร็จนั่นได้เกิดขึ้นเป็นจริง
แม้จะเป็นเพียงโดยทางอ้อมอันไม่ใช่เป้าประสงค์หลัก อีกทั้งการดำรงอยู่จากความฝัน
ที่แม้จะเลื่อนลอยแต่กลับมีจำเป็นเพื่อสำหรับในการหล่อเลี้ยงศรัทธาของการดำรงชีวิต
ที่ทุกคนมีสิทธิ์ในอันที่จะฝัน และอำนาจในการปล่อยวางเพื่อที่จะกลับไปใช้ชีวิตตามเดิม
ด้วยคุณภาพทางจิตวิญญาณ และประสบการณ์ชีวิตที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆในโลกใบเดิม
ส่วนจะจริงเท็จแค่ไหนคงต้องไปวัดใจเฉลยในช่วงท้าย ซึ่งบังเอิญว่าผู้เขียนดันฝืนอยู่ได้ไม่ถึง











When you want to meet someone .Who's dead.


(เมื่อคุณต้องการพบใครสักคน โดยเฉพาะคนที่ตายไปแล้ว)



Those guy have strong wariness about them.
They're hardly ever found.



(พวกมนุษย์จิ๋วเหล่านั้นระวังตัวขั้นเทพ ยากหน่อยนะที่จะหาตัวพวกมัน)




This world isn't made up with just what you can see with your eyes.


(โลกใบนี้ยังมีบางสิ่งที่ถูกสร้างมาเพื่อไม่ให้เรามองเห็นได้ด้วยอายนะทางตา)





เลยไม่แปลกใจที่เรตติ้งซีรีย์จะไปได้ไม่ดีนัก เพราะผิดกลิ่นจากความเป็นงานซีรีย์ทีวีทั่วไป
ที่ไม่ได้ยึดใจคนดูเป็นหลัก นอกจากการเปิดพื้นที่เวลาทีวีเพื่อให้คุณพี่โคเรอิดะได้โชว์
ก็ใช่ว่าจะไม่ถนอมใจคนดูในฐานทีวีเสีย มันก็ยังมีกลิ่นแฟมิลีดราม่าโดยที่ดูคุ้นเคย
ยังคงสื่อสารในกรอบที่คนดูสามารถเข้าถึงและเป็นแรงขับในสิ่งที่คนปัจจุบันยังคงโหยหา
อีกทั้งไม่ได้เป็นงานจำกัดเกรดำชัพื้นที่
กลุ่มคนดู วิธีการเล่าก็ไม่ได้สูงจนสุดเอื้อม
ต้องคว้ากระไดเพื่อปีนมาดู โดยจุดใหญ่ใจความน่าจะเป็นความต้องการที่จะเสนอ
ความสำคัญในสายใยของคนในครอบครัว โดยเฉพาะหลักคิดและมุมมองในแบบคนตะวันออก
ที่ตัดกันไม่ขาด หรือถึงตายจากกันก็ยังคงมีความรู้สึกผูกพันที่เคยอยู่ร่วมกันมา
แม้อาจจะเป็นแค่อดีตที่ล่วงเลยมายาวนานแล้ว แต่สายสัมพันธ์นั้นก็ไม่เคยจางหาย
แต่กลับลงเหลือสายใยบางๆผูกรัด ที่กลายเป็นสำนึกร่วมอะไรบางอย่างที่ซีรีย์
พยายามจะทำให้คนดูรู้สึก ซึมซับ และรื่นรมย์ไปกับมัน
ประเด็นหลักของซีรีย์จึงอยู่ที่จุดเริ่มต้นของเรื่องราว แต่ไปอาศัยส่วนขยายที่เหลือต่อจากนั้น
เสริมต่อและอรรถาธิบายความในเบื้องลึกเบื้องหลัง และการกำหนดตัวประเด็นใหม่
ก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะต้องการขยายตัวเรื่องให้ดำเนินต่อไปข้างหน้า แต่ทว่า.......
เป็นเพียงแค่การทบทวนสามัญสำนึกของตัวละครภายใต้กรอบหลัก
ที่เริ่มต้นจากจุดเรือ่งนั่นเอง ซึ่งก็ถือว่าผิดกลิ่นจากความเป็นซีรีย์ทั่วไปอีกเช่นกัน

แต่ก็ยังพออุ่นใจได้อย่างว่า สถานีคงไม่ทำการอัตนิบากตอนเพื่อบริหารค่าโฆษณา
ตามฐานเรตติ้ง เพราะเป็นงานความร่วมมือกันระหว่างสองสถานี คือ
ฟูจิทีวีกับทางKTV ที่ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดไม่ได้พึ่งรายได้จากสถานีค่ายหลักทางเดียว
นี้ขนาดทีวีเกาหลียังเหมาซื้อสิทธิ์ในการถ่ายทอดชนิดข้ามประเทศอย่างนี้
โคเรอิดะกลายเป็นผู้กำกับมีแบนด์ ต่อให้ล้มเหลวทางเรตติ้งก็ไม่ระคายบารมีที่ได้สั่งสมมา









ส่วนจะให้ผู้เขียนสรุป Going My homeเรือ่งนี้
เอาเป็นว่า มันเป็นการบรรลุสัจธรรมขั้นสูง โดยเลือกดึงส่วนดีมาจากหนังหลายๆเรื่อง
ที่เขาเคยกำกับ ทั้งภรรยาลูกติดที่ผลัดพรากจากสามีจนต้องหลีกลับถิ่นในMaborosi
ประเด็นชีวิตหลังความตายในAfter Life เด็กที่ต้องแก้ไขปัญหาชีวิตของตัวเอง
แบบNobody Knows ลูกชายคนโตที่สำนึกผิดติดค้างในใจอย่างStill Walking 
และอำนาจศรัทธาต่อสิ่งปาฏิหาริย์ในl wish (ส่วนAir Dollดูจะเป็นงานหลุดโลก
สุดขอบจักรวาล จึงไม่แปลกใจหากแกต้องควบหน้าที่โปรดิวเซอร์ติดตามไปด้วย)
ถมยังสอดแทรกการถ่ายทำแบบสารคดี ที่เป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่วงการทีวี

แน่นอนว่า.......ทุกเรื่องของผู้กำกับโคเรอิดะ มีอะไรให้คนดูเก็บไปคิดเป็นการบ้าน
เพียงแต่ว่า ผู้เขียนขอตัดช่องน้อยแต่พอตัวก่อนที่จะถลำลึกเกรงว่าจะบ้าใบ้จนเขียนไม่ออก
เพราะตอนนี้ซีรีย์ฉายไปได้ห้าตอน ผู้เขียนจึงขอตัดหน้า ขอนำมารีวิวเพื่อรักษาสมอง
ก่อนจบตอน ให้เป็นต้องท้อใจสำหรับกับการรีวิวแบบอวสานครบตอนบริบูรณ์ ...........











อ้างอิง
ข้อมูล



Dramawiki/Wikipedia/Tokyohive/Asianwiki
/Dramacrazy/JpopAsia/IMDA





Create Date : 18 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 25 ธันวาคม 2555 14:34:40 น. 2 comments
Counter : 3979 Pageviews.

 
ยังไม่สรุปเหรอคะว่ามีกี่ตอน
เห็นใน Dramawiki ก็ยังเป็น TBA

เรื่องพ่อๆ ลูกๆ ความสัมพันธ์ในครอบครัว
มีอาเบะ มีเด็กน้อยเล่นด้วย น่าสนใจดีนะคะ

หนังที่พูดถึงมี Air Doll อยู่ในสต๊อก
เดี๋ยวจะลองดู ว่าหลุดโลกทะลุขอบจักวาลสักปานใด


โดย: prysang วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:29:27 น.  

 
อ่านแล้วนึกถึงเรื่องArrietty คนตัวจิ๋วเลยค่ะ
มิน่าเจ้าของบล็อกถึงบอกว่ามีกลิ่นอายของจิบลิ
แต่ดูเหมือนจะมีเรื่องลึกลับผสมอยู่ด้วยใช่ไหมคะ
เหมือนเป็นปริศนาที่ต้องการให้คนค้นหา เพื่อให้เจอคำตอบ
และหน้าที่นั้นก็ตกเป็นของเรียวตะพี่ใหญ่ของบ้าน
ฟังดูพล็อตเรื่องตรงนี้น่าสนใจนะคะ
แต่เรื่องความไม่ลงรอยกันระหว่างพ่อกับลูกชายนี้
รู้สึกว่าทั้งหนังทั้งซีรีส์ของญี่ปุ่นชอบใช้กันจังเลยนะคะ
อย่างที่เพิ่งดูจบไปก็Always 3 ที่ใช้พล็อตนี้เหมือนกัน
หรือว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวของคนญี่ปุ่น
มีปัญหาเรื่องนี้กันเยอะคะ น่าคิดเหมือนกันนะคะ
แล้วที่จขบ.บอกว่าเรื่องนี้ผกก.อาศัย "การไหล"
ของเหตุการณ์เป็นเสมือนตัวดำเนินเรื่อง
ฟังดูตรงนี้แล้วน่าสนใจมากเลยนะคะ
แล้วยังบอกด้วยว่าผู้กำกับจะให้โอกาสนักแสดงแต่ละคน
ได้ดีไซน์การแสดงของตัวละครได้ตามใจตัวเอง
อย่างนี้แสดงว่าผกก.ต้องเชื่อมั่นในตัวเองมากเลยนะคะ
ว่าสามารถควบคุมเนื้อหาให้อยู่ในกรอบที่ตนเองต้องการได้
อ่านดูแล้วคิดว่าบท"นาโอะ"ที่ อาโออิแสดง จะเป็นบทที่สำคัญนะคะ
แต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วนาโอะ จะเป็นคนช่วยไขปริศนาด้วยหรือเปล่านะคะ
ส่วน"โมเอะ"ลูกสาววัยประถมต้น คงจะเป็นสีสันให้กับซีรีส์เรื่องนี้ใช่ไหมคะ
แต่ที่ทำให้อยากดูซีรีส์เรื่องนี้มากที่สุดไม่ใช่ผกก.โคริเอดะหรอกค่ะ
แต่เป็นลุงอาเบะ ฮิโรชิ คนนี้เท่านั้นค่า ^____^



โดย: มะนาวเพคะ IP: 101.109.183.63 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2555 เวลา:23:04:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.