|
นกกระจอกตาล
นกกระจอกตาล Passer flaveolus (Plain-backed Sparrow / Pegu Sparrow) เป็นหนึ่งในสามนกกระจอกประจำถิ่นของประเทศไทย หรือหนึ่งในสี่ของนกกระจอกที่พบในประเทศไทย(ชนิดหนึ่งเป็นนกอพยพ หาพบได้ยากคือนกกระจอกป่าท้องเหลือง) มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหาง 13.5-15 เซ็นติเมตร นกตัวผู้กับนกตัวเมียแตกต่างกันอย่างชัดเจน
นกตัวผู้มีจุดเด่นที่ต่างจากนกกระจอกอีกสองชนิดคือเป็นนกที่ดูเรียบๆ หลังสีน้ำตาลแดงไม่มีลาย กระหม่อมและหลังตอนบนเป็นสีเทา คอจากใต้ปากจนถึงอกตอนบนมีสีดำ แก้มและลำตัวด้านล่างสีเหลืองอ่อน
นกตัวเมียสีสันแตกต่างจากนกตัวผู้ คือหัวและลำตัวเป็นสีน้ำตาลแกมเทา มีคิ้วสีอ่อน ปีกและหลังเป็นสีน้ำตาลแกมเหลืองอ่อน คล้ายกับตัวเมียของนกกระจอกใหญ่แต่หลังไม่มีลาย
นกทั้งสองเพศมักถูกพบหากินด้วยกันเสมอๆ ดังนั้นหากไม่แน่ใจว่านกกระจอกตัวเมียที่พบเป็นนกกระจอกอะไร ก็สามารถอ้างอิงได้ง่ายๆจากตัวผู้นั่นเอง
นกขนิดนี้มีการกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชียในประเทศพม่า ไทย มาเลเซีย กัมพูชา ลาว เวียตนาม
นกกระจอกตาลอาศัยหากินตามพื้นที่เกษตรกรรม สวนสาธารณะ พื้นที่เปิดโล่ง และชายป่า อาหารของนกชนิดนี้ก็คือเมล็ดพืช เช่นข้าว หญ้า หรือแมลงเล็กๆ โดยอาจพบหากินเป็นคู่ หรือเป็นฝูงเล็กๆ หรือร่วมกับนกกระจอกชนิดอื่นและนกกระติ๊ดที่กินอาหารชนิดเดียวกัน
นกในบล็อกถ่ายมาจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นกมากินดอกไผ่ที่บานร่วมกับนกไผ่หรือนกกระติ๊ดเขียว
ข้อมูลจาก :
หนังสือคู่มือดูนกหมอบุญส่ง เลขะกุล นกเมืองไทย โดยคณะบุคคลนายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล ปี2550
//en.wikipedia.org
Create Date : 29 ธันวาคม 2552 | | |
Last Update : 29 ธันวาคม 2552 20:38:22 น. |
Counter : 10096 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นกอีเสือลายเสือ
นกอีเสือลายเสือ Lanius tigrinus (Tiger Shrike / Thick-billed Shrike) มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางราว 17-19 เซ็นติเมตร น้ำหนักประมาณ 27-37 กรัม นกตัวผู้มีหัวค่อนข้างโตสีเทาตั้งแต่กระหม่อมถึงท้ายทอย หน้าผากและแถบคาดตาสีดำ ขนคลุมลำตัวด้านล่างขาว ขนคลุมหางด้านบนสีน้ำตาลอ่อน ปีกและหางสีน้ำตาลแดงไม่มีลายแถบสีขาวที่ปีก มีลายเกล็ดสีดำบนขนคลุมปีกด้านบน นกตัวเมียสีคล้ำกว่าตัวผู้ จุดเด่นคือมีลายขีดหรือเกล็ดสีดำหรือน้ำตาลเข้มที่ท้องโดยที่นกตัวผู้ไม่มี
นกตัวไม่เต็มวัยคล้ายนกตัวเมียแต่กระหม่อมและหน้าด้านข้างมีขีดหรือเกล็ดสีดำ มีแถบขาวอมเหลืองหรือสีเนื้อแคบๆบริเวณโคนปากบนลากคล้ายคิ้วผ่านตา ใต้คอมีแถบแคบๆสีขาว โคนปากบนและล่างมีสีอ่อน ดูคล้ายนกอีเสือสีน้ำตาลตัวเด็ก แต่นกอีเสือลายเสือมีปากหนากว่า หางสั้นกว่าและบริเวณที่จะกลายเป็นแถบคาดตาสีดำเมื่อโตเป็นตัวเต็มวัยจะเห็นได้ชัดกว่า
นกชนิดนี้ทำรังวางไข่ในจีน เกาหลี ญี่ปุ่นและตะวันออกไกลของประเทศรัสเซีย ฤดูหนาวจะย้ายลงมาอยู่ที่ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียเป็นนกอพยพผ่านของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับประเทศไทยจะพบในช่วงต้นฤดูอพยพ ช่วงปลายเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม โดยพบตามสวนสาธารณะในเมือง ป่าโกงกาง ป่าชายเลน ตามที่โล่งในที่ราบภาคกลางและทางใต้ลงไปเมื่อนกอพยพลงไปเรื่อยๆ และจะพบอีกครั้งช่วงปลายฤดูคือช่วงที่นกอพยพกลับโดยจะพบได้ทั้งภาคใต้ กลาง ตะวันตกและภาคเหนือ
อาหารหลักของนกชนิดนี้คือแมลงต่างๆ อันได้แก่ ตั๊กแตน จิ้งหรีด แมลงเต่าทอง แมลงปีกแข็ง ผีเสื้อและผีเสื้อกลางคืน แต่สัตว์เล็กอย่างนกเล็กๆหรือกิ้งก่าก็ไม่ได้รังเกียจ นกชนิดนี้จะเกาะคอนนิ่งๆตามชายป่าเพื่อล่าเหยื่อแต่ก็จะออกหาเหยื่อตามกิ่งไม้ใบไม้ด้วย
ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคมเป็นช่วงจับคู่ผสมพันธุ์ทำรังวางไข่ นกจะเริ่มจับคู่ตั้งแต่ช่วงเดินทางกลับขึ้นเหนือ หรือช่วงที่เพิ่งเดินทางกลับถึงใหม่ๆ นกทั้งสองเพศช่วยกันทำรังบนกิ่งไม้บนต้นไม้ผลัดใบสูง 1.5 ถึง 5 เมตรจากพื้นดิน วางไข่ครั้งละ 3-6ฟอง ปรกติ 5 ฟอง ตัวเมียกกไข่เป็นเวลา 14-16วัน และเลี้ยงลูกในรังประมาณ 2 สัปดาห์
นกในบล็อกถ่ายมาจากสวนรถไฟ เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2551ที่ผ่านมา ในบริเวณเดียวกันมีนกอพยพอีกหลายชนิดได้แก่ นกจับแมลงพันธุ์จีน ตัวผู้และตัวเมีย นกเขนน้อยไซบีเรียวัยอ่อน นกจับแมลงตะโพกเหลืองตัวผู้และตัวเมีย ขอบคุณคุณultramanที่ส่งข่าวการพบนก
ข้อมูลจาก :
//www.bird-home.com
//en.wikipedia.org/wiki/Tiger_Shrike
Create Date : 01 ตุลาคม 2551 | | |
Last Update : 1 ตุลาคม 2551 11:24:28 น. |
Counter : 4143 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นกกระจอกชวา
นกกระจอกชวา Padda oryzivora / Lonchura oryzivora (Java Sparrow / Ricebird) มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางประมาณ 13-17 เซ็นติเมตร หัวและหางสีดำ วงรอบตาสีแดง แก้มสีขาว ลำตัวด้านบนเป็นสีเทา ลำตัวด้านล่างตั้งแต่ช่วงกลางท้องลงไปเป็นสีชมพูอ่อนๆ ปากหนาสำหรับขบเมล็ดพืชสีชมพูอมแดง นกตัวผู้และตัวเมียคล้ายกัน
นกชนิดนี้เป็นนกประจำถิ่นของเกาะชวา เกาะบาหลี และเกาะใกล้เคียงอื่นๆในประเทศอินโดนีเซีย อาศัยอยู่เป็นคู่หรือเป็นฝูงตามทุ่งหญ้า แหล่งเกษตรกรรม และที่ที่มีคนอยู่อาศัย อาหารของนกกระจอกชวาได้แก่เมล็ดข้าว เมล็ดหญ้า ผลไม้และแมลงเล็กๆ เนื่องจากมีหน้าตาและสีสันสวยงามจึงถูกจับมาขังกรงเสียมาก โดยเป็นนกที่ถูกนำเข้าไปและสามารถปรับตัวอาศัยและแพร่พันธุ์ได้ในหลายประเทศเช่นตามหมู่เกาะแปซิฟิค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮาวาย เปอโตริโก้และรัฐฟลอริด้า
นกกระจอกชวาทำรังช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนสิงหาคมตามโพรงบนต้นไม้ ชายคาบ้าน และรอยแตกตามอาคารต่างๆ รังเป็นรูปกลมทำจากรากหญ้า ใบหญ้า ลักษณะค่อนข้างรกรุงรัง วางไข่ครั้งละ 4-6ฟอง ใช้เวลากกไข่ประมาณ 13-14 วันก็ฟักเป็นตัว
สำหรับประเทศไทย นกชนิดนี้ถูกนำเข้ามาในฐานะนกกรง แต่เกิดเหตุการณ์กรงแตกขึ้นเมื่อประมาณปี 2500 ทำให้นกจำนวนมากหลุดออกสู่ธรรมชาติ อาศัยและแพร่พันธุ์ที่บริเวณดอนเมืองและกระจายมาบริเวณใกล้เคียงที่เหมาะสมเช่น ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้น
ภาพนกในบล็อกถ่ายมาจากประชาชื่น นกอยู่เป็นฝูงไม่ใหญ่มากนักลงกินเมล็ดหญ้าอย่างขยันขันแข็ง และขอบคุณคุณตุ๋ยที่อำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี
ข้อมูลจาก :
//www.answers.com/topic/java-sparrow //www.bird-home.com
Create Date : 03 กันยายน 2551 | | |
Last Update : 3 กันยายน 2551 16:53:53 น. |
Counter : 10062 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นกกะรางหัวขวาน
นกกะรางหัวขวาน Upupa epops (Common Hoopoe) ไม่ใช่นกหัวขวาน และไม่สามารถใช้ปากเล็กๆโค้งยาวบอบบางที่มีเจาะไม้ได้แน่ๆ นกชนิดนี้มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางราว30เซ็นติเมตร รูปร่างเพรียว หัวเล็ก ปากเล็กยาวโค้งลงเล็กน้อยสีค่อนข้างดำ มีหงอนบนหัวที่สามารถกางแผ่ออกได้เหมือนพัด สีสันโดยรวมทั้งตัวรวมทั้งขนหงอนเป็นสีน้ำตาล ปลายขนหงอนมีแต้มสีดำ ปีกสีดำสลับขาว ขนหางสีดำมีแถบคาดสีขาวไล่ระดับกันลงมาในแต่ละเส้น ลำตัวด้านล่างสีอ่อนกว่าด้านบน นกทั้งสองเพศคล้ายคลึงกัน
เราสามารถพบนกชนิดนี้หากินตัวเดียว เป็นคู่ เป็นครอบครัวและเป็นฝูง นกจะเดินหากินไปเรื่อยๆตามพื้นดิน นกจะออกหากินแต่เช้าโดยใช้ปากแหย่ลงไปในดินนิ่มๆเพื่อพิสูจน์หาอาหาร เมื่อจิ้มปากไปเจออาหารนกจะงับทันที โดยอาหารของนกกะรางหัวขวานคือแมลงต่างๆ ลูกกบและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เนื่องจากมีลิ้นเล็กมากไม่สามารถตวัดเหยื่อได้ เวลากินนกจึงต้องโยนเหยื่อขึ้นแล้วอ้าปากรับ ถ้าเหยื่อมีขนาดใหญ่และแข็งอย่างพวกแมลงต่างๆก็ต้องฟาดให้ส่วนที่แข็งหลุดออกแล้วกินเนื้อนิ่มๆ เมื่อกินอิ่มแล้วก็จะบินไปเกาะพักบนกิ่งไม้
นกกะรางหัวขวานอาศัยและหากินตามที่โล่ง พื้นที่เกษตรกรรม ป่าละเมาะ ชายป่าโปร่ง ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ และป่าไผ่ ตั้งแต่พื้นราบจนถึงที่สูง1500เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นนกที่ค่อนข้างจะพบง่ายใกล้ชิดกับคน เช่นพบตามสนามหญ้าในรีสอร์ตที่ชะอำ ใกล้ชายหาดที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จังหวัดเพชรบุรี ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงที่นกกะรางหัวขวานจับคู่ผสมพันธุ์ทำรังวางไข่ โดยนกตัวผู้จะส่งเสียงร้อง ฮูฟ ฮูฟ ฮูฟ ประกาศอาณาเขตและเรียกร้องความสนใจจากตัวเมีย และนกจะพองขนรอบคอออกและก้มหัวลงด้วย ถ้านกตัวเมียสนใจก็จะบินไปหา เมื่อเป็นเช่นนั้นนกตัวผู้ก็จะย่ำเท้าถี่ๆเข้าไปหาและพยักหน้าเรื่อยๆ ทำปีกพอง สั่นและแผ่หางออกด้วย เมื่อผสมพันธุ์แล้วนกก็จะเลือกหาทำเลสำหรับเป็นที่วางไข่ โดยอาจเลือกโพรงไม้ธรรมชาติ โพรงรังเก่าของนกอื่น ซอกหรือรูแตกของกำแพง ซอกหินริมตลิ่ง ซอกในจอมปลวก โพรงโคนต้นมะพร้าว หรือแม้กระทั่งในรถไถเก่าอย่างในภาพ
ในโพรงรังอาจมีวัสดุรองรังหรือไม่ก็ได้ จากนั้นแม่นกก็จะวางไข่ครั้งละราว4-5ฟองหรืออาจมากกว่า โดยนกเริ่มกกไข่ตั้งแต่วางไข่ฟองแรก ลูกนกจึงออกจากไข่ไม่พร้อมกัน ใช้เวลา14-16วันไข่ก็จะฟักเป็นตัว โดยในระหว่างฟักไข่ ตัวผู้จะหาอาหารมาป้อนตัวเมีย จนกระทั่งลูกนกออกจากไข่มาได้ระยะหนึ่ง แม่นกก็จะออกมาหาอาหารเองและหาอาหารมาป้อนลูกนกบ้าง เมื่อลูกนกอายุ 27-28วันก็สามารถออกมาหาอาหารและหัดบินได้
นกชนิดนี้มีการกระจายพันธุ์กว้างขวางครอบคลุมทวีปยุโรป อาฟริกาและเอเชีย สำหรับประเทศไทยพบได้ทั่วประเทศยกเว้นทางภาคใต้พบได้น้อย โดยในจำนวนนกกะรางหัวขวาน 10 ชนิดย่อยทั่วโลก จะพบในประเทศไทย 2 ชนิดย่อยคือชนิดย่อย U.e.longirostrisซึ่งเป็นชนิดย่อยประจำถิ่น และชนิดย่อย U.e.satueata ซึ่งพบน้อยกว่าและเป็นชนิดย่อยที่อพยพเข้ามาหากิน ชนิดย่อยนี้สังเกตได้จากปลายหงอนซึ่งมีแต้มดำจะมีจุดขาวด้วย
ภาพนกในบล็อกถ่ายมาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐมเมื่อเดือนมีนาคม 2551ที่ผ่านมา พ่อนกหาอาหารมาให้แม่นกป้อนลูกในโพรงรังซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของรถไถเก่านั่นเอง
ข้อมูลและอ่านเพิ่มที่ :
//www.bird-home.com
Create Date : 12 กรกฎาคม 2551 | | |
Last Update : 13 กรกฎาคม 2551 21:32:46 น. |
Counter : 5532 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|