|
กรณีเปมิกา กับการสะกดจิต
2-3 เดือนมานี้ ในการอบรมไม่ว่าจะเป็นการอบรมภายในหรือนอกสถานที่ คำถามที่เกิดขึ้นเสมอคือ มีความเห็นอย่างไรต่อกรณีเปมิกา
ครั้งแรกๆที่ยังไม่ทราบข้อมูลชัดเจน รวมถึงการให้ความเห็นอะไรไปโดยที่ตัวผู้ถูกกระทำยังไม่มีโอกาสออกมาบอกเล่าด้วยตัวเอง จะกลายเป็นการช่วยปรักปรำฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ยังไม่รู้ว่าเรื่องราวจริงๆแล้วเป็นมาอย่างไร
ก่อนหน้านี้ผมให้ทัศนะอย่างนี้ 1. แรกสุดบางคนอาจคิดว่าเป็นการหวงสมบัติของคนในครอบครัว วางแผนทำร้ายลูก สามีและน้องๆของตัวเอง ซึ่งในเวลาต่อมาจิตแพทย์ได้ออกมายืนยันว่า คงเป็นไปได้ยากที่จะมีหมอคนไหนให้ความร่วมมือในการวางยาหมอ
อย่างไรก็ตามความเชื่อทำนองนี้สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะถ้าเชื่อว่าเป็นการทำกันเองในครอบครัว อย่างแรกคือ การกระทำที่***มโหดของคนในอาชีพแพทย์ที่เผยแพร่ต่อสารธารณะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขโมยผ่าเอาอวัยวะคนไข้ออกไป หรือการฆ่าแฟนสาวหรือภรรยา หรือแม้การปลิดชีพตัวเองของหมอ ของนักเรียนหมอ ทำให้เชื่อได้ว่าน่าจะมีคนกล้าทำเรื่องแบบนี้ ขณะที่พี่ชายสองคนก็เป็นหมอ อาจมีเรื่องการสมรู้ร่วมคิดของคนเป็นกลุ่มเกิดขึ้นได้
2. ต่อมามีการให้ข้อมูลในวงกว้างเกี่ยวกับเปมิกา เป้าของตัวปัญหาจึงหันชี้ไปที่บุคคลนี้ กอปรกับการได้ออกทีวีของคนๆนี้ยิ่งทำให้สังคมเชื่อว่าเธอเป็นจำเลยในเรื่องนี้
ประการแรกเลยคือการออกทีวีของเธอมีแต่จะทำให้เธอเสียหายมากขึ้น เพราะการที่เธอออกมาแสดงออกในรูปแบบต่างๆ คล้ายกับเป็นการบอกสังคมว่าเธอเป็นมือที่ 3
ประการที่สอง เธอเล่าเรื่องระลึกชาติ เรื่องม้านิลมังกร เรื่องเกี่ยวกับการนั่งสมาธิ มีนิมิต อภินิหาร ฯลฯ ผมได้ฟังก็เริ่มเข้าเค้าว่าเธอเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้
เพราะตลอด 10 ปีมานี้ ผมได้ฟังเรื่องพวกนี้มากทีเดียว จากปากคนที่มาขอรับการสะกดจิตเพื่อแก้ปัญหาหลายราย หลายคนมีประสบการณ์คล้ายๆอย่างนี้ คือโดนหลอก
โดนหลอกจากคนที่มาตีสนิทก็ตาม จากคนที่แอบอ้างว่ามีญาณวิเศษ จากคนที่มีรูปลักษณ์เป็นพระ เป็นผู้ทรงศีล ฯลฯ ที่เริ่มต้นด้วยการตีสนิท การทำนายทายทัก การบอกว่าจะโชคร้าย การยินดีให้ความช่วยเหลือในแง่อิทธิฤทธ์ การล้างกรรม ฯลฯ หรือแม้แต่การสอนศีลธรรมพื้นๆ
คนที่โดนหลอกมักเป็นพวกที่มีปัญหาทางจิตไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ลองคิดตามผมดู ว่าคนที่บอกว่าไปนั่งสมาธิ ธุดงค์หรืออะไรสักอย่างที่ต้องออกไปปลีกวิเวกตั้งแต่ 7 วัน 10 วัน 15 วันหรือแม้เป็นเดือนๆ
จำนวนมากของคนกลุ่มนี้ต้องมีปัญหาบางอย่าง เช่นมีความทุกข์มากในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แก้ปัญหาไม่ได้ หรือป่วยไข้บางอย่างที่ทำให้จิตแกว่ง จิตตกอย่างรุนแรง
เมื่อคนจำนวนมากพวกนี้มีปัญหาอยู่แล้ว การเสนออภินิหารเพื่อช่วยแก้ปัญหาชีวิตให้จึงมักได้รับการสนองตอบในทางเชื่อ ให้ความร่วมมือหรือลองดู
การแสดงอภินิหารจากการเล่นกลหรือจากจิตวิทยาหมู่เล็กๆน้อยๆยิ่งเสริมความเชื่อให้มากขึ้นไป การขอสิ่งตอบแทนจึงเกิดขึ้นตามมา
จากเล็กๆน้อยๆจะเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เร็วๆนี้ยังมีคนมาเล่าเรื่องตัวเองให้ผมฟังว่า ต้องขายที่ดินราคาเป็นล้านหลายแปลงเพื่อถวายพระรูปหนึ่ง เท่านั้นไม่พอ พระยังแนะนำให้เปิดโรงงานเพื่อให้มีรายรับมากขึ้น โดยมีลูกศิษย์ของพระอาสามาช่วยเหลืองานจัดแจงเป็นธุระ ผลที่ได้คือพระกับศิษย์ได้เงินไปด้วยวิธีการต่างๆ 3-4 ล้านบาท ปล่อยให้ผู้ศรัทธาต้องตกนรกด้วยการใช้หนี้ 10 กว่าล้าน
หรือกรณีของแม่ชีสาวที่ต้องทำบุญถวายพระทีละ 2-3 แสน และยังต้องไปคอยปรนนิบัติรับใช้แม่ชีอื่นๆรวมถึงลูกแม่ชี ที่ดูเหมือนจะเป็นลูกและเมียของคนที่อ้างว่าเป็นพระที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง
ทั้ง 2 ร้ายโดนเป่าหูล่อลวงจนหมดตัว ขณะเดียวกันก็โดนปั่นหัวจนมึนงงจมอยู่กับวังวนศรัทธาและนรกที่สลับกันไป เมื่อไหร่ได้สติก็รู้สึกเหมือนโดนหลอก แต่เมื่อความหลงเข้าครอบงำมากๆกลับทำให้คิดว่าตัวเองมีจิตอกุศล ร้ายไปกว่านั้นคือ ถูกทำให้เชือว่า ที่เขาต้องจ่ายเงินออกไปมากๆเพื่อเป็นการล้างบาปล้างกรรมที่เคยทำมาในชาติก่อนๆโดยจ่ายเงินผ่านพระหรือคนที่รับเป็นนายหน้าแก้บาป
ตอนนี้เหยื่อตัวจริงได้ออกมาให้ข่าวแล้ว และพูดถึงจิตวิทยาหมู่ ผมจะอธิบายถึงจิตวิทยาหมู่คร่าวๆดังนี้
1. อย่างคำว่า"เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม" หรือ "เข้ากรุงโรมต้องทำอย่างชาวโรม" หมายถึงว่า คนที่นี่เขาเชื่อกันอย่างไรให้ทำอย่างเขา เมื่อทำไปนานๆก็เกิดความเคยชิน หรือแม้แต่คนชาวโรมเอง หรือคนเมืองตาหลิ่วเองก็อาจทำตามๆกันมาจนจำไม่ได้แล้วว่าทำเรื่องอย่างนั้นๆทำไม
ยกตัวอย่างเรื่องความเชื่อ เช่น ความเชื่อของคนไทยพุทธทั่วไป เมื่อเข้าวัดเราจะไม่เหยียบธรณีประตู หลายคนถ้าบังเอิญไปเหยียบเข้า เวลานอนคืนนั้นอาจถึงขั้นนอนไม่หลับ ในทางกลับกัน ถ้าบังเอิญเป็นนักท่องเที่ยวมากับทัวร์จีนแดงบ้าง ทัวร์รัสเซียบ้าง ถึงจะมีใครบอกเขาว่าอย่าเหยียบธรณีประตู เขาคงเอาความสะดวกเข้าว่า เหยียบแล้วก็แล้วไปไม่ได้รู้สึกรู้สมอะไรกับเรา
จึงต้องไปถามหมอประกิตเผ่า ว่าจู่ๆนึกอะไรขึ้นมาที่จะเลือกไปนั่งสมาธิ และเชื่อเรื่องระลึกชาติ อภินิหาร ไสยศาสตร์ต่างๆ ยังไงก็ต้องให้ความเชื่อในตอนแรกกัน ไม่อย่างนั้นจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ร่วมกับคนกลุ่มนั้นได้อย่างไร และเมื่อเข้าไปอยู่ร่วมกันแล้วก็เริ่มคล้อยตามตามสิ่งที่เขาปฏิบัติและเชื่อกันในหมู่คนกลุ่มนั้น
การหว่านล้อมชักจูงอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง พูดบ่อยๆ ชวนซ้ำๆ เริ่มแรกอาจไปเพราะเกรงใจ นึกสนุกหรือคิดว่าลองดูคงไม่เสียหายอะไร และตอนท้ายก็ตกหลุมพรางเอาตัวไม่รอด
วิธีการนี้ใช้กันเยอะในพวกธุรกิจขายตรง พูดทุกวัน พูดบ่อยๆ ค่อยๆตีค่อยๆกล่อม ยิ่งอุปนิสัยคนไทยขี้เกรงใจ เขาชวนแล้วไม่ไปมันไม่ดี ลองไปสักหน่อยเลยเสร็จ การพูดบ่อยๆซ้ำๆในทฤษฎีสะกดจิตถือเป็นกรรมวิธีแรกๆด้วยซ้ำ
2. หน้าม้าและตัวอย่างปาฏิหาริย์ จะมีการตกลงกันไว้ของคนในกลุ่มนั้น ว่าจะให้มีหน้าม้าแสดงตัวว่าเคยผ่านมาแล้ว เคยทดลองมาแล้ว ทำแล้วดี ทำแล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ และจะพูดถึงประสบการณ์ของตัวเองในเรื่องนั้นๆอย่างน่าตื่นเต้น
อันนี้ทำกันกว้างขวางมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจลูกโซ่ ขายตรง หรือแม้แต่ในวัด มีการออกหนังสือเชิญชวนที่แยบยลซึ่งได้ผลดีกว่าการเชิญชวนวิธีอื่น คือเอาชื่อนายหมูนายหมานายแดง ซึ่งอาจไม่มีตัวตนอยู่จริง หรือเป็นหน้าม้ามาบอกกล่าวถึงประสบการณ์สุดยอดที่ได้รับจากสิ่งที่เขาต้องการจะหลอกล่อเอาจากเหยื่อ
ที่เราเห็นกันจนชิน เช่น ธุรกิจลูกโซ่ งานทำที่บ้าน หรือหนังสือเชิญชวนให้เช่าพระ ได้พระนั้นพระนี้มากราบไหว้บูชาแล้วจะถูกหวย จะโชคดี ผัวจะกลับมา จะได้เมียสวย ฯลฯ ยิ่งคนที่ออกมายืนยันมีสถานะและรูปลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ ยิ่งทำให้คนเชื่อมากขึ้นไปอีก
แต่กรณีหมอประกิตเผ่านี่ยังสงสัย คนที่มีสถานะอย่างนี้จะเชื่อถือใครง่ายๆได้ด้วยหรือ หรือเริ่มมีการให้ยาในขั้นตอนนี้ คือเอาน้ำให้ดื่ม หรือผสมในอาหาร ให้ยาที่ออกฤทธิ์ทำให้คนรับยาขาดสติไปหรืออยู่ในสภาวะหลง พอขาดสติหรือหลง คำพูดที่ป้อนเข้ามาและภาพที่ตัวเองเห็นย่อมไม่สามารถผ่านการกลั่นกรองด้านสติปัญญา การให้ยาจึงน่าจะเริ่มที่กระบวนการนี้ และต้องให้ซ้ำอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันต้องให้ข้อมูลใหม่ๆในทำนองเดียวกันอย่างต่อเนื่องจนถึงขั้นเหยื่อหลงไหลไปเลยทีเดียว
3. จิตวิทยาหมู่ เวลาจัดอบรมหรือไปบรรยายในบางสถานที่ ถ้าโอกาสเหมาะและมีเวลามากพอ ผมมักจะให้มีการทดลอง โดยบอกทุกคนในห้องประชุมว่าจะให้มีการฝึกการเล่าเรื่อง โดยขออาสาสมัคร 3 คนออกมาเล่าเรื่อง ใครเล่าเรื่องได้สนุกมากที่สุดจะได้รับรางวัล
พอได้อาสาสมัครครบทั้ง 3 คนแล้วผมจะขอให้ทั้ง 3 คนนี้ออกไปจากห้องประชุม และขอให้มีคนออกไป โดยบอกว่าจะอธิบายวิธีการให้คะแนนกับคนในห้องประชุม และให้มีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังไม่ให้คนทั้ง 3 ได้ยินว่าผมพูดอะไร
พอทั้ง 3 คนออกไปแล้ว ผมจะบอกคนในห้องประชุมว่า ไม่ว่าคนแรกจะมาเล่าเรื่องอะไร ให้เราทำท่าทีว่าเรื่องนี้สนุก น่าสนใจ ส่วนคนที่ 2 ให้เราเฉยๆไม่แสดงอาการยินดียินร้ายกับสิ่งที่เขาเล่า ส่วนคนที่ 3 ให้เราไม่สนใจ พูดคุยกันเอง หรือบางคนจะทำท่าที่เบื่อหน่าย หรือแสดงความเห็นขัดแย้ง หรือจะโห่ฮาขับไล่ในตอนท้ายๆก็ได้
เมื่อเรียกคนทั้ง 3 ออกมา คนแรกที่เล่าเรื่อง พอเล่าไปสักพักจะรู้สึกว่าคนให้ความสนใจกับเรื่องของตัวเอง จะยิ่งมีกำลังใจเล่า
คนที่ 2 เมื่อได้เห็นปฏิกริยาของคนฟัง และได้ฟังเรื่องที่คนแรกเล่าจะคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้ดีกว่า แต่พอเล่าแล้วปฏิกริยาของคนฟังยิ่งทำให้เขาเริ่มไม่มั่นใจในตัวเองมากขึ้น
คนที่ 3 พอเล่าออกไปแล้ว ปฏิกริยาของคนฟังอาจทำให้เขาหน้าแดง ปากสั่น และถึงกันเสียเซ้วไปเลย เพราะไม่มีใครฟัง ไม่มีใครสนใจ หรือมีคนโห่ไล่
คนทั้ง 3 คนจะงงว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่ 2 กับคนที่ 3 อาจถึงขั้นคิดว่าตัวเองไม่เอาไหน ไม่ได้เรื่อง ไม่มีความสามารถออกมาเล่าอะไรสนุกๆให้คนอื่นฟัง
คนที่มีพื้นฐานจิตใจอ่อนแอ ขาดความมั่นใจในตัวเอง ประหม่าไม่กล้าแสดงออกอยู่แล้วอาจถึงขั้นจิตใจย่ำแย่เลยทีเดียว แต่พอเรามาเฉลยทีหลังแล้วก็กลับคืนเป็นปกติ แต่มีบางคนที่อาการหนักมากๆ ถึงขั้นใจเสียดึงจิตกลับไม่ขึ้นก็มี นี่คือจิตวิทยาหมู่
ในทางกลับกัน ถ้าคุณเดินเข้าไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง แล้วใครสักคนมาบอกว่าถ้าเดินเข้ามาจะต้องจ่ายเงิน 20 บาท อีกคนก็มาบอกว่าต้องจ่าย อีกคนเดินมาหยิบเงิน 20 บาทให้คนที่บอกกับคุณ และอีกคนมายืนพยักหน้า พยักเพยิดให้คุณหยิบเงินออกมาจ่าย รับรองได้ว่าถ้ามีการทดลองนี้ เปอร์เซ็นต์มากกว่าครึ่งหนึ่งจะยอมควักเงินออกมาโดยไม่ถามหรือสงสัยสักคำ
แก๊งตกทองก็เอาความรู้เรื่องนี้ไปใช้ จะมีคนหนึ่งบอกว่าโชคดีจังเจอสร้อยทองและเริ่มขอให้คุณเอาไปจำนำแทนด้วยเหตุผลว่าเขาไม่มีบัตรประชาชน จำนำได้แล้วเราเอาเงินมาแบ่งกัน และจะมีอีกคนที่ดูเหมือนไม่รู้จักกับคนแรกเดินเข้ามาบอกว่าแหมโชคดีจัง ถ้าเป็นฉันจะรีบรับข้อเสนอนี้ บางคนขู่สำทับด้วยว่าถ้าไม่เอาฉันจะเอาเอง และบางทีจะมีอีกคนมาเชียร์ให้เรารีบทำเลย รีบทำเลย รีบทำเลย
ถ้าเราโลภก็เริ่มตกเป็นเหยื่อ คงคิดในใจว่า เรื่องอะไรจะยอมเสียประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้าง่ายๆ ใจที่หมกมุ่นครุ่นคิดแบบนี้จะนึกอะไรไม่ออก ยกเว้นได้ยินคำว่า "รีบทำเลย รีบทำเลย" ก้องอยู่ในหู และรีบทำจริงๆ
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนก็ตบท้ายด้วยการให้เราเอาสร้อยที่ขอมาให้เขาถือไว้เป็นประกัน โดนบรรดาหน้าม้าจะพยักเพยิดบอกให้เรารีบทำ และว่าจะยืนอยู่เป็นพยานและคอยดูให้ไม่ให้คนที่ถือทองของเราหนีไปไหน แต่พอเราโดนโรงจำนำไล่ตะเพิดออกมาเพราะทองมันเก๊ เราก็ไม่เห็นคนพวกนั้นแล้ว และเพิ่งรู้สึกตัวว่าโดนหลอก
ท้ายที่สุดนี้ โดยหลักการแล้วน่าจะมีอะไรมากกว่านี้อีกมาก ที่จะทำให้คนๆหนึ่งถูกหลอกล่อและหลอนให้จ่ายเงินต่างกรรมต่างวาระกันตั้งหลายสิบล้าน เราต้องเฝ้าถามกันต่อไปว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีอะไรมากกว่านี้อีกไหม คงจะได้รู้กัน ถ้าเหยื่อนั้นยอมเปิดเผยโดยละเอียด
Create Date : 21 สิงหาคม 2550 |
Last Update : 21 สิงหาคม 2550 18:11:12 น. |
|
0 comments
|
Counter : 945 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|