Group Blog
 
All Blogs
 

Chapter 37 - San diego downtown

เพลินเพลินกับบรรดาสัตว์น้ำสัตว์ทะเลในซีเวิร์ลแล้วผมก็ขับรถต่อไปยังตัวเมืองซานดิเอโก ซึ่งเวลานั้นก็เป็นยามเย็นแล้ว มีแสงแดดอ่อนๆ ตะวันก็ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที เมืองซานดิเอโกแห่งนี้เป็นเมืองที่มีความใกล้ชิดกับแม่น้ำและทะเลเป็นอย่างมาก ตลอดเวลาที่ผมขับรถเข้าไปในตัวเมืองนั้นแทบจะไม่มีเวลาไหนเลยที่ไม่ได้เห็นแสงสีทองของพระอาทิตย์ยามเย็นที่สะท้อนมาจากน้ำ บรรยากาศภายในตัวดาวน์ทาวนั้นมีความสงบ ตึกรามบ้านช่องถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงามมีระเบียบ
แสดงให้เห็นถึงการถูกวางผังเมืองมาอย่างดี บรรยากาศที่สบายๆบวกกัยอากาศเย็นๆในเวลานั้นมันช่างน่าลงไปเดินเหลือเกิน ในจังหวะที่กำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศของเมืองอยู่ ผมก็สังเกตุเทางด้านซ้ายเห็นเรือโบราณจอดทอดสมออยู่ริมฝั่งจึงได้โอกาสที่จะลงไปแวะชมสักหน่อย
ว่าแล้วผมก็จอดรถที่ถนน North Habor

href="//www.bloggang.com/data/casky/picture/1192643310.jpg" target=_blank>

เจ้าเรือโบราณที่ผมเห็นและกำลังที่จะเข้าไปชมนี้ก็คือสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งนึงของเมืองซานดิเอโก โดยตอนนี้เจ้าเรือโบราณมันได้เปลี่ยนหน้าที่ของมันจากการเดินสมุทรมาทำหน้าที่เป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำเรียบร้อยแล้ว ผมเดินขึ้นไปบนเรือลำใหญ่ที่จอดอยู่ตรงกลางถูกขนาบด้วยเรือลำเล็กและเรือโบราณอยู่ทั้ง2ด้าน
พอขึ้นไปบนเรือลำใหญ่ก็จึงรู้ชื่อของพิพิธพันฑ์แห่งนี้
MARITIME MUSEUM SAN DIEGOคือชื่อของพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำแห่งนี้ ในเรือลำใหญ่ลำนี้เป็นเหมือนกับร้านขายของที่ระลึกเกี่ยวกับที่นี่และเมืองซานดิเอโกและหากต้องการที่จะลงไปเที่ยวยังเรือลำอื่นๆที่จอดอยู่ข้างๆก็ต้องซื้อบัตร ราคาค่าบัตรก็ไม่ใช่น้อยเลย ผมจึงไม่ได้ลงไป



ออกมาจากเรือแล้วผมมาเดินเล่นอยู่ตรงริมอ่าว ผมว่าอากาศของเมืองนี้ดีมากเย็นสบายกำลังดีไม่ถึงกับหนาวเกินไปเมืองก็อย่างที่บอกเงียบสงบจนทำให้ผมเดินเพลินไปจนสุดถนนสายนั้น จนไปเจอเข้ากับรถสามล้อรับจ้างที่มีหน้าตาเหมือนกับรถสามล้อปั่นแถวบ้านเราตามต่างจังหวัด พอพวกสามล้อมันเห็นพวกผมเดินกันอยู่หลายคน มันก็รีบปั่นเข้ามาหากันเป็นฝูงเลยมันถามผมว่านั่งรถเล่นไหมมันคิดไม่แพงหรอก แต่ผมไม่ค่อยมีตังค์ก็เลยไม่ได้ใช้บริการ

ผมเดินเล่นชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าอยู่แถวนั้นจนฟ้ามืด ท้องก็เริ่มหิวแล้ว ผมจึงคุยกับเพื่อนว่าเดี๊ยวจะไปหาอะไรกินกันสักหน่อยคืนนี้อุตสาห์มาถึงซานดิเอโกทั้งที่ต้องขอมื้อเย็นเป็นอาหารทะเลชุดใหญ่สักชุด ผมขับรถเข้าไปวนหาร้านอาหารทะเลตามที่คุยกันไว้กับเพื่อน ขับไปสักพักผมก็ไปเจอทางขึ้นสะพานที่ชื่อว่าCoranado ซึ่งเป็นสะพานที่สำคัญของเมืองนี้มีลักษณะทอดยาวเชื่อมระหว่างแผ่นดินใหญ่ของเมืองกับเกาะเล็กๆ ผมตัดสินใจขับรถขึ้นสะพานแห่งนี้แล้วก็พบว่าสะพานแห่งนี้เป็นสะพานที่ยาวใช้ได้เลยทีเดียว ช่วงที่ผมไปถึงกลางสะพานได้มองลงมายังตัวเมืองสิ่งที่ผมเห็นนั้นมันสวยงามมาก มันเป็นตัวเมืองซานดิเอโกที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากบ้านเรือนและตึกน้อยใหญ่มากมาย แสงไฟนั้นยังได้สะท้อนพื้นน้ำเป็นสีทองประกอบกับบรรยากาศที่สงบเงียบของเมือง ไม่มีรถติด อากาศเย็นสบาย ผมคิดว่าเมืองแห่งนี้เป็นเมืองสวรรค์อย่างแท้จริง ของผู้ที่ต้องการชีวิตที่สงบสุข ไม่เหมือนกับแอลเอหรือลาส เวกัสที่ผมได้สัมผัสมาก่อนหน้านี้
แล้วผมก็คิดได้ว่า หากในวันนึงข้างหน้าผมเกิดมีโอกาสที่จะต้องมาลงหลักปักฐานที่อเมริกาแล้วละก็ผมจะเลิกเมืองซานดิเอโกแห่งนี้เป็นเมืองแรกเลย


ผมขับรถไปจนสุดสะพานโคโรนาโด้ก็พบว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่บนเกาะเล็กๆเกาะนึงที่มีบ้านเดี่ยวปลูกอยู่หลายหลัง บรรยากาศบนเกาะแห่งนี้ออกจะมืดๆหน่อยจะมีก็แค่แสงไฟที่เปิดไว้ที่หน้าบ้านแต่ละหลัง ผมขับรถวนอยู่สักพักก็พบว่าเกาะนี้มันไม่มีอะไรเลยนี่หว่า เป็นบ้านพวกคนมีตังค์ทั้งนั้นที่สามารถมาซื้อที่บนเกาะเล็กๆเพื่อสร้างบ้านได้ จากนั้นผมก็ขับรถขึ้นสะพานกลับไปยังตัวเมืองอีกเพื่อที่จะหาร้านอาหารทะเล

ผมขับรถวนอยู่สักพักเพราะเริ่มงงกับทาง จนในที่สุดก็มาเจอเข้ากับร้านอาหารทะเลที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ด้วยความหิวแบบสุดๆผมจึงขับรถเข้าไปโดยไม่ได้สนใจเงินในกระเป๋าตังค์ของตัวเองเลย ผมจอดรถดับเครื่องแต่พอก้าวเท้าลงจากรถเท่านั้นแหละ ผมก็พบว่าตัวเองนั้นเป็นแมงสาบ เพราะว่ารถที่มันจอดอยู่ข้างๆผมหรือเกือบจะทุกคันในร้านมันเป็นรถรถราคาแพงทั้งนั้นเลยนี่หว่า ทั้งBenz BMW และรถสปอร์ต แล้วแขกแต่ละคนที่มากินอาหารมันก็ใส่สูทผูกหูกระต่ายใส่ชุดราตรีมาดินเนอร์กันทั้งนั้น แล้วกุเป็นใครวะเนี่ยใส่กางเกงยีนเสื้อยืดกับเสื้อกันหนาว ขับรถแท็กซี่(Toyota Altis)เสือกทะลึ่งจะมากินอาหารทะเลมื้อเย็นสุดหรูกับพวกท่านเซอร์ท่านลอร์ด ผมรู้ตัวแล้วว่ามื้อนี้ผมไม่มีปัญญาที่จะแหดกที่นี่แน่นอน
แต่ด้วยความหน้าบางที่อุตสาห์ขับรถเข้ามาจอดในร้านแล้ว ไอ้พวกเด็กโบกรถมันก็มองผมอยู่ จะให้ขับรถออกไปเลยก็กะไรอยู่ จึงต้องเดินเข้าไปในร้านเหมือนกับเป็นไฮโซคนนึงเหมือนกัน
เข้ามาในร้านแล้วผมก็เช็คราคาอาหารก่อนเลย ปรากฎว่าเป็นเหมือนที่คิดเอาไว้พวกผมไม่มีสิทธิ์ที่จะแหดกที่นี่อย่างแน่นอนที่สุด หรือถ้าจะแหดกจริงๆมื้อถัดไปก็คงกินได้แค่มาม่ากับน้ำก๊อก เพื่อนๆทุกคนลงความเห็นว่าให้ออกไปจากร้านให้เร็วที่สุดซึ่งผมก็เห็นด้วย พวกผมเดินขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็วเพราะอายไอ้ดำที่เป็นเด็กโบกรถ

ท้องก็ยิ่งหิวเข้าไปใหญ่ ผมขับรถเข้าไปในใจกลางดาวน์ทาวเลยสิ่งที่ผมเห็นก็ไม่แตกต่างจากแอลเอเลยคือบรรดาร้านรวงต่างๆได้ปิดหมดแล้ว ร้านอาหารขยะราคาถูกๆก็เช่นกัน ผมขับไปจนเจอย่านLittle Italyเห็นร้านพิซซ่าที่ตั้งอยู่ที่นั่นมันก็เสือกปิดร้านแล้วเช่นกัน แต่สวรรค์ก็ยังเห็นใจผมผมขับรถจนเจอ7ELEVEn ซึ่งทำให้ผมกับเพื่อนๆดีใจมาก เรารอดตายแล้ว เซเว่นอีเลฟเว่นเพื่อนที่รู้ใจทำให้เราหาของกินและมีเซ็กกันได้24ชั่วโมง ผมเข้าไปในเซเว่นและซื้อผัดไทยกึ่งสำเร็จรูป
ยี่ห้อ"กินดี"เพื่อที่จะมาแหลกเป็นมื้อเย็น ที่สำคัญผมช่วยชาติไทยของเราด้วยเพราะมันผลิตที่ประเทศไทยคร๊าบบบ โธ่เอ้ย กะว่าจะได้กินอาหารทะเลแต่ไหนเสือกกลายเป็นผัดไทยวะ

ผมกลับเข้ามาในโรงแรมแล้วก็จัดการกินอาหารเติมน้ำร้อนจนอิ่ม อาบน้ำเสร็จสรรพ แล้วก็มานั่งอยู่ตรงระเบียงเพื่อรับอากาศเย็นๆสูดอากาศที่บริสุทธ์ของเมืองซานดิเอโก ผมก็เอาPDAขึ้นมาต่ออินเตอร์เน็ตระบบWIFIของโรงแรมคุยMSNกับเพื่อนที่อยู่เมืองไทยจนง่วงจึงเข้านอน



เมืองซานดิเอโกแห่งนี้เป็นเมืองที่จะเรียกได้ว่าอยู่ทางตอนใต้สุดของรัฐแคลิฟอร์เนียก็ว่าได้ ติดอยู่กับพรมแดนของประเทศเม็กซิโก เมืองนี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกามาก สังเกตุได้จากการที่มีฐานทัพเรือขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองแห่งนี้




 

Create Date : 08 ตุลาคม 2550    
Last Update : 18 ตุลาคม 2550 0:49:36 น.
Counter : 1285 Pageviews.  

Chapter 36 - Sea world San diego

หลังจากขับรถหลงทางวนอยู่ที่ฐานทัพเรือซานดิเอโกอยู่พักใหญ่ ในที่สุดผมก็สามารถมาถึงซีเวิร์ลจนได้ บัตรที่ซื้อมาจากSix flagsที่ทำงานเก่าของผมนั้นเป็นใบผ่านทางที่ทำให้ผมเข้าไปยังข้างในได้
ซีเวิร์ลซานดิเอโก เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้เลย ที่นี่ก็เหมือนกับซีเวิร์ลทั่วไป หากคนที่เคยเที่ยวซีเวิร์ลแห่งอื่นมาแล้วอาจจะไม่ค่อยตื่นเต้นสักเท่าไร มีปลาโลมาและสัตว์ทะเลหลายๆชนิดทำการแสดงให้กับนักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกัน แต่ที่นี่จะพิเศษกว่าตรงที่มีส่วนของสวนสนุกเล็กๆให้กับนักท่องเที่ยวที่บางทีอาจจะดูสัตว์สนเบื่อได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เช่นล่องแก่ง หรือกระเช้าลอยฟ้า

ผมดูเวลารอบการแสดงของสัตว์ชนิดต่างๆแล้วก็พบว่าใกล้จะถึงเวลาแสดงของปลาโลมาแล้ว ผมจึงรีบเดินเข้าไปจับจองที่นั่งเพื่อที่จะรอดูความน่ารักของเจ้าปลาโลมาที่นี่สักหน่อย พอถึงเวลาแสดงเจ้าปลาโลมาแสนซนทั้งหลายก็ว่ายน้ำออกมาจากสระน้ำด้านหลังมาอวดให้นักท่องเที่ยวได้เห็นความน่ารักของมันพร้อมกับบรรดาครูฝึกทั้งหลาย เจ้าพวกโลมามันดูมีความสุขมากที่ได้แสดงความสามารถต่างๆให้นักท่องเที่ยวได้ชม ครูฝึกก็ให้รางวัลกับเจ้าโลมาแสนรู้พวกนั้นด้วยปลา
หลังจากที่พวกมันแสดงความสามารถในการทำตามคำสั่งของครูฝึกได้สักพักใหญ่ ไม่รู้ว่ากลัวนักท่องเที่ยวจะเบื่อกันหรือไง ครูฝึกก็ประกาศขออาสาสมัครมาให้อาหารเจ้าโลมาบนสระน้ำกันเลยทีเดียว ปรากฎว่ามีครอบครัวๆนึงอาสาที่จะลงไปให้อาหารเจ้าโลมา ลงกันไปทั้งครอบครัวมีพ่อ แม่ ลูก ผลัดกันป้อนอาหารใส่ปากเจ้าโลมากันทีละคน แต่ตอนที่คนแม่กำลังให้อาหารนี่สิ เธอลื่นตกลงไปในสระน้ำ ครูฝึกและครอบครัวของเธอนั้นตกใจสุดขีดแต่ยืนตัวแข็งกันหมดทุกคน ในขณะที่เธอกำลังลอยคอตาลีตาเหลือกอยู่นั้น เจ้าโลมาก็ว่ายเข้ามาช่วยเธอ เธอไม่เพียงแต่จะกอดเจ้าโลมาน้อยเพื่อไม่ให้ตนเองจมน้ำตายเท่านั้น เธอกลับขี่หลังเจ้าโลมาเล่นวนไปมาอยู่รอบสระ นักท่องเที่ยวต่างปรบมือกันยกใหญ่ พร้อมกับเสียงประกาศของครูฝึกว่าไม่ต้องตกใจครอบครัวนี้เป็นหน้าม้าของเราเอง ส่วนผู้หญิงคนที่ตกลงไปในน้ำก็เป็นครูฝึกเหมือนกัน เฮๆๆๆ

พอการแสดงโลมาจบลง ผมก็เดินออกไปช็อปปิ้งนิดหน่อย และก็หาอะไรกินไปด้วย หลังจากที่ท้องอิ่มแล้วก็พร้อมจะลุยต่อ
เข้าไปดูหนังสามมิติของที่นี่ซะหนึ่งเรื่อง แล้วก็เดินไปดูสัตว์ทะเลหายากหน้าตาประหลาดๆ ไปดูปลากระเบน ดูตัวนาค ตัวเงินตัวทอง เฮ้ยอันหลังนี้ไม่มี

ดูสัตว์ทะเลแปลกๆแล้วก็มาต่อที่ไปดูเจ้าหมีขั้วโลกตัวเขื่อง เขาทำเป็นส่วนของสัตว์ขั้วโลกโดยเฉพาะเลย เราจะเดินเข้าไปในทางเดินที่ทำคล้ายๆกับถ้ำไปดูเจ้าหมีขาว เจ้าสิงโตทะเลว่ายน้ำเล่น มีกระจกบานใหญ่กั้นเอาไว้ระหว่างคนกับหมียักเวลาเอาหน้ายื่นเข้าไปใกล้ๆกระจกดูมันว่ายน้ำอยู่แล้วน่ากลัวมากคับ ตัวมันใหญ่จริงๆ ถ้ากระจกมัน ตอ-แอ-กอ=แตกแล้วมันออกมาได้คงโดนมันดอ-แอ-กอ=แดก แน่ๆ

แล้วก็ไปปิดท้ายด้วยการแสดงของเจ้าชามู พระเอกของที่นี่เลย ซึ่งเจ้าชามูนั้นเป็นปลาวาฬหรือวาฬเพชรฆาตแบบเดียวกับเจ้าพรีวิลลี่นั่นแหละ ซึ่งผมเข้าไปตอนที่มันเกือบจะแสดงจบแล้ว ผมเห็นคนดูมันเยอะมาก ขนาดที่หาที่นั่งดูไม่ได้ ผมก็เลยต้องตีตั๋วยืนดู

หลังจากการแสดงของเจ้าชามูจบคนดูก็แย่งกันออกเพื่อที่จะกลับบ้าน ผมแวะดูของที่ระลึกพักนึงแล้วก็เดินกลับไปยังรถเพื่อที่จะขับเข้าดาวน์ทาวของเมืองซานดิเอโก




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2550    
Last Update : 7 ตุลาคม 2550 19:22:20 น.
Counter : 640 Pageviews.  

Chapter 35 - กินลมชมวิวที่San diego

เช้าวันนั้นผมตื่นขึ้นหลังจากที่นอนหลับไปนานเท่าไรก็ไม่รู้บนรถก็พบกับบรรยากาศที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะตอนนี้ผมอยู่ในแอลเอแล้ว เพื่อนที่รับไม้ต่อจากผมขับมาจนถึงแอลเออย่างปลอดภัย ซึ่งตอนนี้พวกผมก็กำลังจะขับรถไปที่Six flagsสถานที่ทำงานเก่าเพื่อที่จะไปซื้อบัตรเข้าDisney Landในราคาสวัสดิการของพนักงาน ซึ่งมันสามารถช่วยให้ประหยัดเงินในกระเป๋าได้ไปครึ่งนึงเลยทีเดียว
หลังจากที่ตื่นขึ้นมารู้ตัวว่ามาถึงแอลเอโดยปลอดภัยแล้วผมก็หลับไปอีก อะไรจะนอนกินบ้านกินเมืองขนาดนั้น โทษทีเห็นใจกันหน่อยเถ้ออเมื่อวานขับรถมา15ชั่วโมง

ผมตื่นมารอบ2ก็พบว่าตัวเองนั้นนอนอยู่บนรถซึ่งจอดอยู่ในปั๊มน้ำมันบนถนนSun set Blvd. ว่าง่ายๆก็คืออยู่ในแอลเอเหมือนเดิมแต่ตอนนี้ได้บัตรDisney Landมาแล้ว เราแวะเติมพลังงานให้รถและก็ให้คนด้วย ผมเดินไปซื้อข้าวกินที่ร้านPanda Express เมื่อทั้งรถทั้งคนพร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ คราวนี้จุดหมายของเราก็คือเมืองซานดิเอโก เมืองทางตอนใต้สุดของแอลเอ

รถออกล้อหมุนวิ่งไปทางใต้ ใช้เส้นทางเลียบฝั่งทะเลไปเรื่อยๆ ขับชิวๆไม่น่าจะเกิน2ชั่วโมงก็ถึง ผมเริ่มตื่นขึ้นมาได้สติอีกครั้ง ไม่ยอมพลาดวิวสวยๆสองข้างทางอยู่แล้วววว
ภาพที่ผมเห็นก็คือบบรยากาศชายหาดทะเลสลับกับเมืองเล็กน้อยใหญ่เรียงรายไปตามทาง ตลอด2ชั่วโมงที่ออกจากแอลเอไปจนถึงซานดิเอโกนั้นผมรู้สึกเพลิดเพลินกับบรรยากาศข้างทางมาก

พอมาจนถึงซานดิเอโก ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว สิ่งที่ต้องทำกันอันดับแรกก็เหมือนทุกๆครั้งก็คือต้องไปหาที่ๆจะนอนสำหรับคืนนี้ก่อน ผมไปแวะดูหลายที่แต่ก็ไม่ถูกใจสักที่ บางที่แพงไปมั่งบางที่ไม่น่านอนมั่ง จนไปเจออยู่โรงแรมนึงในเครือRamada โรงแรมนี้อยู่ติดอ่าวซานดิเอโกเลย หน้าโรงแรมเป็นสะพานทอดยาวออกไปมีเรือใบเรือเฟอร์รี่จอดลอยลำอยู่ บรรยากาศเมืองนี้เงียบสงบแตกต่างจากแอลเอและสิ่งนึงที่ผมสามารถจะอนุมานได้จากบรรยากาศที่เห็นคือเมืองนี้คนรวยเยอะเสียด้วย ผมเข้าไปติดต่อห้องพัก เจ้าของที่นี่เป็นแขกอินเดียพูดจาดีไม่เหมือนกับแขกทั่วไปที่ผมได้เจอมา ผมรีบเอาข้าวของไปเก็บไว้บนห้องแล้วขับรถเพื่อที่จะไปSea world สถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองนี้ซึ่งไอ้ทางไปนี่ผมก็ต้องอาศัยมั่วๆไปเพราะในแผนที่ใหญ่ที่ผมมีนั้นมันไม่ได้บอกรายละเอียดขนาดที่จะใช้ในเมืองได้ มันบอกแค่ทางหลวง
สุดท้ายพวกผมเลยหลงเข้าให้จนได้ ขับวนไปวนมาอยู่แถวโรงแรมนั่นแหละ แล้วก็หลงเข้าไปในฐานทัพเรืออีกหลายครั้ง จนต้องไปถามไอ้หัวเกรียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูว่า เป็นกระเหรี่ยงหลงทาง กำลังจะไปซีเวิร์ล ช่วยบอกทางทีแด แล้วมันก็ชี้ทางให้ ต้องขอขอบคุณทหารหัวเกรียนคนนี้ถ้าไม่ได้มันมาบอกทางคงจะแย่วนอีกหลายรอบ

ระหว่างทางที่ไปซีเวิร์ลผมสังเกตุเห็นถนนอยู่ถนนนึงที่มีชื่อว่าNimitz ก็เลยอยากจะเล่าเกร็ดเล็กเร็ดน้อยเกี่ยวกับที่มาของชื่อถนนสายนี้หน่อย สั้นๆ
หากใครที่ศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือสงครามโลกครั้งที่2ก็คงจะรู้ว่า สงครามนั้นเกิดขึ้นใน2สมรภูมิใหญ่นั่นก็คือในยุโรปและแปซิฟิค
ในภาคของแปซิฟิคนั้นสงครามโลกในครั้งนั้นอเมริกากับญี่ปุ่นสู้รบแบบวัดแพ้ชนะกันด้วยกองทัพเรือ หลังจากที่ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์แบบไม่ทันตั้งตัวแล้ว อเมริกานั้นก็ออกอาการเพลี้ยงพล้ำนิดหน่อย พวกญี่ปุ่นนั้นทำลายเรือรบอเมริกาได้หลายลำแต่หว่าไม่สามารถทำลายเรือบรรทุกเครื่องบินได้เลยสักลำ
ตรงนี้เองที่ตอนหลังกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนของมหาสงครามในครั้งนั้น
เดือนมิถุนายนปี1942ได้เกิดมหายุทธนาวีที่ใหญ่ที่สุดครั้งนึงของโลกขึ้นระหว่างกองเรือของอเมริกากับญี่ปุ่น ยุทธนาวีครั้งนั้นมีชื่อว่าBattle of Midway
ญี่ปุ่นต้องการจะทำลายฐานทัพเรือที่เกาะมิเวย์ซึ่งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิคของอเมริกา โดยปล่อยข่าวลวงให้อเมริกาเข้าใจผิดว่าญี่ปุ่นกำลังจะโจมตีฐานทัพที่อื่นไม่ใช่ที่เกาะมิดเวย์ แต่ผู้บัญชาการกองทัพเรือภาคพื้นแปซิฟิคที่ชื่อว่า Chester W Nimitzนั้นล่วงรู้กลอุบายโดนสามารถถอดรหัสลับของญี่ปุ่นได้ซะเกลี้ยงเลย จึงไม่หลงกลที่จะแบ่งกองเรือไปป้องกันที่ฐานทัพอื่น
ผลก็คือ กองเรืออเมริกันที่รู้แผนการของกองเรือญี่ปุ่นก็รอต้อนรับพวกพี่ยุ่นซะเต็มเหนี่ยว โดยการส่งเครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินขึ้นโปรยระเบิดใส่กองเรือญี่ปุ่น โดยที่กองเรือญี่ปุ่นไม่มีโอกาสจะยิงปืนใหญ่ใส่กองเรืออเมริกาสักนัดเดียว
มหายุทธนาวีครั้งนั้นผลก็คือญี่ปุ่นเสียเรือบรรทุกเครื่องบินไป4ลำ เครื่องบินอีก200กว่าลำ ทหารกว่า3พันนาย เป็นที่มาของโดมิโนเอฟเฟค เพราะหลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ไม่เคยชนะอเมริกาได้เลยในทุกๆศึก จนต้องแพ้สงครามในที่สุด

ถนนที่ชื่อว่าNimitzแห่งนี้ก็เป็นอีกสถานที่นึงที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่วีรบุรุษหรือคนที่ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ เรื่องราวที่น่ายกย่องเหล่านี้แฝงไว้ตามชื่อถนน ชื่อตรอกซอย ภูเขา แม่น้ำ เมือง หรือตำบล ทั่วไปคับ มีทุกประเทศแหละ อยู่ที่เราจะสนใจอยากที่จะรู้ที่มาของหรือเปล่า หรือบางคนอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญก็แค่ชื่อๆนึงที่เรียกอยู่ทุกวัน เพื่อนของผมบางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่มันเดินผ่านทุกวันนั้นสร้างขึ้นเพื่ออะไร
หรือว่าถนนวิภาวดีรังสิตที่หลายๆคนเคยขับรถผ่านนั้นตั้งตามชื่อของใครแล้วเขาทำประโยชน์อะไรให้ประเทศชาติของเรา
ฝากไว้ด้วยคับ บางทีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และน่าจดจำนั้นอาจจะอยู่ใกล้จนเราลืมที่จะสนใจมันเลย





Chester W Nimitz




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2550    
Last Update : 7 ตุลาคม 2550 18:22:40 น.
Counter : 549 Pageviews.  

Chapter 34 - ผมมีIdolในดวงใจเป็นอดีตขี้ยา

ตอนนี้ผมเริ่มที่จะกลับมาเขียนBlogของผมต่อแล้ว ที่หายไปเป็นเวลานานก็เพราะไม่ว่างต้องไปทำหน้าที่ในการศึกษาหาความรู้ในห้องเรียน ซึ่งดูๆแล้วมันก็ไม่ค่อยจะเหมือนในห้องเรียนในอุดมคติของผมเท่าไร บรรยากาศมันเหมือนกับตลาดหุ้นนิวยอร์คซะมากกว่า ที่พวกโบรกเกอร์ตะเบ็งเสียงต่อรองการซื้อขายหุ้นแข่งกัน บางทีก็โยนเศษกระดาษข้ามหัวกันไปมามั่งเพื่อที่จะส่งสารไปยังเป้าหมาย

เอาละไหนๆตอนนี้ผมก็เรียนจบแล้ว ถึงมันจะซวยช้ากว่าเพื่อนไปครึ่งเทอมก็เถอะ
เหตุที่ทำให้ผมจบช้ามันคงเป็นความโง่ของผมคนเดียว อันนี้โทษใครไม่ได้เพราะตอนแรกคิดว่าสามารถเรียนภาษาญี่ปุ่นได้ แต่พอเอาเข้าจริงมันยากแฮะ ไม่เห็นจะเหมือนในหนังญี่ปุ่นที่ผมชอบดู ในหนังใช้กันอยู่ไม่กี่คำเอง
ในที่สุดเรียนญี่ปุ่นไม่ได้ผมก็ต้องมาโละวิชาโทใหม่ทั้งแผง ผมจึงใช้เวลา4ปีครึ่งในการเอากระดาษใบนึงมาติดฝาบ้าน


ผมอยากจะเข้ามาเขียนการเดินทางของผมให้จบแบบบริบูรณ์ จะได้ไม่ค้างๆคาๆอยู่ให้เสียอารมณ์ แล้วปีหน้าผมจะได้เริ่มการเดินทางครั้งใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม

ไม่ได้เขียนBlogมานานแล้ว รู้สึกว่าจะต้องอุ่นเครื่องกันหน่อยกับเรื่องราวของคนๆนึงที่เป็นIdolในดวงใจของผมเลย
มีคนเคยถามผมนะ ว่าใครเป็นIdolของผม ส่วนมากผมตอบไปว่า ผมไม่มีIdol
หรือบางทีก็บอกว่าผมนี่แหละเป็นIdolของผมเอง
แต่พอกลับมาคิดดีๆแล้ว ผมก็รู้สึกชื่นชอบชีวิตคนอยู่คนนึงซึ่งผมคิดว่าเขาเท่มากในสายตาของผม แต่พอไปเล่าให้ใครฟังว่าผมชื่นชอบคนๆนี้ เขาก็หาว่าผมเพี้ยน เพราะผมชอบคนที่เป็นอดีตขี้ยามาก่อน

ใครที่รู้จักวงดนตรีRED HOT CHILI PEPPERSก็คงจะรู้ว่ามีสมาชิกของวงกันอยู่4คน(ในปัจจุบัน)แล้วถ้าใครที่รู้จักวงนี้ลึกลงไปอีกก็คงจะรู้จักกับมือกีตาร์ของวง ที่มีชื่อว่าJohn FRUSCIANTE คนนี้แหละที่ผมชื่นชมและคิดว่าชีวิตของเขานั้นช่างเป็นชีวิตที่น่าสนใจมาก
จอนเกิดที่นิวยอร์คปี1970 ครอบครัวของจอนย้ายที่อยู่บ่อยมาก จนกระทั่งมาปักหลักกันที่แอลเอ หลังจากย้ายมาอยู่แอลเอได้ไม่นานพ่อแม่ของจอนก็เลิกกัน จอนจึงโตขึ้นมาโดยที่มีเพียงแม่และพ่อเลี้ยง แอลเอเป็นเมืองหลวงของวงการมายาและวงการเพลงที่เรารู้ๆกันอยู่ จอนก็ได้รับอิธิพลนั้นโดยตรง จอนคลั่งไคล้Jimi HendrixและวงRED HOT CHILI PEPPERSแห่งแอลเอเป็นอย่างมาก
ตอนนั้นจอนเองก็คงไม่รู้ว่าสักวันนึงข้างหน้าตัวเองนี่แหละจะได้กลายมาเป็นมือกีตาร์ของวงที่ตัวเองชื่นชอบ จอนก็เล่นกีตาร์ทำวงอยู่กับเพื่อนๆเรื่อยมา จนกระทั่งวันนึงมือกีตาร์คนเก่าของRED HOT CHILI PEPPERSนั้นได้ตายขึ้นมาอย่างกระทันหัน เพราะอัพยามากเกินขนาด จอนจึงได้สมัครเข้ามาเป็นมือกีตาร์ของวง
แล้วก็เหมือนกับฟ้าเป็นใจให้จอน จอนได้กลายมาเป็นมือกีตาร์ของวงที่ตัวเองคลั่งไคล้จริงๆ วงดนตรีที่เมื่อก่อนตัวเองเป็นแค่เด็กคนนึงยืนดูพวกเขาเล่นคอนเสิร์ตอยู่ แต่ตอนนี้เขาได้กลายมาเป็นมือกีตาร์ของวงๆนั้นซะแล้ว
กระแสการตอบรับของแฟนๆRED HOTต่อจอนนั้นก็ดีเอาเสียด้วย ชีวิตของจอนก็เลยเปลี่ยนจากที่เคยเป็นเด็กเล่นกีตาร์กับเพื่อนไปวันๆ กลายมาเป็นมือกีตาร์ของวงดนตรีป็อบ-พั้งค์-ร็อค อันดับต้นๆของโลก
ในขนะเดียวกันจอนก็เป็นศิลปินเดี่ยวด้วย จอนออกอัลบัมเดี่ยวของตัวเองควบคู่ไปกับงานในวงRED HOT แต่งานเดี่ยวของเขาอาจจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จสักเท่าไร เพราะไม่ได้เน้นในเรื่องของการตลาดนัก ทำตามใจของตัวเองซะมากกว่า

ชีวิตของจอนนั้นฟังดูแล้วอาจจะไม่มีอะไรเลย มีแต่ความสำเร็จที่ได้มาอย่างไม่ยากเย็นนัก แต่ว่าชีวิตของคนเรามันไม่ได้มีเท่านั้น นักดนตรีร็อคสิ่งที่ควบคู่ไปกับวงการนี้ก็คือยาเสพติด RED HOTก็เป็นอีกวงนึงที่มีชื่อวงการว่าเล่นยาพวกนี้อยู่เป็นประจำ(มือกีตาร์ของวงคนก่อนก็ตายเพราะอัพยาเกินขนาด) จอนก็ได้ก้าวเข้าสู่การเป็นนักดนตรีที่เสพยาอีกคนนึงของวงการร็อค จอนเล่นหมดทุกอย่างทั้งโคเคนกัญชาเฮโรอิน ในขณะที่เพื่อนร่วมวงอย่างAnthoney Flea ก็ไม่ยอมน้อยหน้ากันเช่นกัน
จนกระทั่งในที่สุดจอนก็ถูกจับข้อหาเสพยาเสพติด จอนถูกดำเนินคดีและส่งเข้าสถานบำบัดให้เลิกยา ทำให้ต้นสังกัดของเขายกเลิกสัญญากับเขาทันที
ในขณะเดียวกันวงRED HOTก็ต้องเดินหน้าทำวงต่อไปอย่างทุลักทุเล เพราะขาดมือกีตาร์ไปและสมาชิกของวงที่เหลือก็ยังไม่สามารถที่จะเลิกขาดจากยาเสพติดได้ มีการเฟ้นหาตัวมือกีตาร์คนใหม่ของวงมาแทนที่จอน แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนของวงเลย ช่วงนี้จึงเป็นยุคมืดของวงRED HOTอย่างแท้จริง มีคนกล่าวไว้ว่าRED HOTนั้นไม่สามารถที่จะกลับมาได้อีกแล้ว

ส่วนทางด้านจอนนั้นอาการหนักยิ่งกว่าหลังจากเข้าบำบัดออกมาแล้วก็ยังเลิกขาดจากยาเสพติดไม่ได้ ตอนนั้นเขากลายเป็นคนไม่มีบ้านอยู่ เป็นคนพเนจรผมเผ้ารกรุงรัง อาศัยข้างถนนเป็นที่นอน ยิ่งกว่านั้นก็คือฟันของเขาหักแทบจะหมดปากไม่มีเหลือด้วยพิษของยาที่เขาเสพ ดูจากสภาพของจอนตอนนี้แล้วคงจะคิดได้เพียงอย่างเดียวว่าเขาจะหมดกรรมในชีวิตนี้เมื่อไร

แต่ทว่าชีวิตของคนเราเชื่อไหมว่าบางทีมันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะตายไปง่ายๆแบบนั้น วันนึงจอนได้พบกับเพื่อนเก่าที่อยู่เบื้องหลังวงการดนตรีของแอลเอโดยบังเอิญ ทีแรกเพื่อนของเขาจำจอนแทบจะไม่ได้ เพื่อนของจอนคนนี้ให้จอนเลือกเอา2อย่างในชีวิตว่าจะอยู่ต่อหรือว่าจะตาย แน่นอนจอนเลือกที่จะอยู่ต่อ เพื่อนของเขาพาเขาไปรักษาตัวอีกรอบแต่คราวนี้จอนได้สัญญากับเพื่อนแล้วว่าจะไม่กลับไปหายาเสพติดอีก จอนอาการดีขึ้นและสามารถเลิกยาได้อย่างเด็ดขาด แต่เขาก็ต้องใส่ฟันปลอมทั้งปากตอนอายุยังไม่ถึง30

ทางด้านRED HOTที่กำลังตระเวนเล่นคอนเสิร์ตอยู่ได้รู้ถึงข่าวการเลิกยาได้ของจอนก็รู้สึกยินดี ในขณะที่เรตติ้งความนิยมของวงกำลังอยู่ในสภาวะย่ำแย่ ในอัลบั้มต่อไปอาจจะไม่ได้ออกด้วยซ้ำเพราะต้นสังกัดไม่เห็นความสำเร็จของวงนี้แล้ว
Anthoney กับ Flea เริ่มคิดที่จะดึงตัวจอนกลับมา
Dave Navaroมือกีตาร์คนปัจจุบันลาออกจากวงทันทีโดยให้เหตุผลว่า มือกีตาร์ที่ดีที่สุดของRED HOTได้กลับมาแล้ว

จอนกลับเข้าร่วมวงอีกครั้งในตำแหน่งมือกีตาร์
หลังจากที่จอนกลับเข้าร่วมวงแล้ว ทุกคนในวงเลิกยาได้อย่างเด็ดขาดและหันไปบ้าเล่นโยคะกันแทน
ปี1999 RED HOT CHILI PEPPERSออกอัลบั้มใหม่ที่มีชื่อว่าCalifornicationเป็นอัลบัมที่มียอดขายถล่มทลายที่สุดอัลบัมนึงของวง เพลงในอัลบัมติดท็อปชาร์ตต่างๆมากมาย นิตสารดนตรีหลายเล่มถือว่าอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของวงการเพลงร็อค

ทุกวันนี้จอนก็ยังคงเดินสายเล่นคอนเสิร์ตกับRED HOTไปทั่วโลกพร้อมกับทำอัลบัมเพลงของตัวเอง จอนและสมาชิกRED HOTได้เป็นอีกกลุ่มศิลปินที่ต่อต้านสงครามในอิรักและอัฟกัน

เรื่องราวของจอนได้บอกอะไรกับผมหลายอย่าง ผมคิดว่าชีวิตของจอนนี่แหละสามารถแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจที่แท้จริงในตัวมนุษย์คนนึงได้เป็นอย่างดี
เมื่อคนๆนั้นล้มแล้วสามารถที่จะลุกขึ้นมาสู้ได้อีก
ผมคิดว่าชีวิตของคนเราก็เปรียบเสมือนห้องเรียนห้องใหญ่ที่ไม่มีวันสิ้นสุดหรือจบการศึกษา สิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีต่างสอนให้เราเข้าใจโลกนี้มากขึ้นทั้งนั้น อยู่ที่เราจะมองสิ่งเหล่านั้นในมุมมองไหน
หากคนๆไหนที่ล้มแล้วไม่ลุกขึ้นมาสู้ต่อ คนๆนั้นก็คือคนที่จะแพ้ไปตลอด
แต่หากคนที่ล้มแล้วสามารถที่จะยืนขึ้นมาสู้ได้ต่อคนๆนั้นคือคนที่สมควรจะได้รับการยกย่อง
ผมจึงยกให้จอนเป็นIdolของผม


JOHN


JOHN


RED HOT CHILI PEPPERS




 

Create Date : 03 ตุลาคม 2550    
Last Update : 4 ตุลาคม 2550 11:11:00 น.
Counter : 4709 Pageviews.  

Chapter 33 - Lonely Night to LA

ผมเดินทางออกจากGrand Canyonตอนที่ฟ้ามืดแล้ว
โดยที่ผมอาสาที่จะขับรถเองแล้วถ้าไม่ไหวยังไงจะปลุกเพื่อนอีกคนให้มาขับต่อ รวมๆแล้วถึงตอนนี้ผมขับรถมา10ชั่วโมงแล้ว
พอรถออกมาได้สักพักเท่านั้นแหละเพื่อนทุกคนหลับกันซะหมดเลย ผมจึงต้องขับไปคนเดียว ระยะทางมันก็ใช่ใกล้ๆซะที่ไหนยาวเป็นหลายร้อยไมล์กว่าจะไปถึงLA
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องมาขับรถระยะทางไกลๆแบบนี้ แถมยังต้องขับผ่านทะเลทรายตอนกลางคืน ในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของผม ทางข้างหน้าจะมีอะไรบ้างผมก็ไม่รู้ สิ่งที่ผมมองเห็นก็มีแค่ถนนข้างหน้าที่ระยะแสงไฟรถส่องถึงเท่านั้น

ผมขับรถย้อนกลับไปยังเส้นทางที่ผมขับผ่านมาเมื่อตอนกลางวัน แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด มันมีแต่ความมืด ไม่มีแม้แต่แสงไฟถนน มีแค่แสงไฟที่ส่องไปข้างหน้าจากรถของผมเท่านั้น

เพื่อนๆหลับกันซะหมดผมไม่รู้จะไปคุยกับใครง่วงก็ง่วงแต่ผมยังไม่อยากเปลี่ยนให้เพื่อนมาขับ เพราะผมรู้สึกว่าผมคงจะไม่มีโอกาสขับรถที่นี่บ่อย ผมชอบคืนนั้นมาก มันเหมือนกับว่าโลกนี้มีผมอยู่คนเดียว
(เพราะทุคนหลับกันหมด)แล้วยิ่งกว่านั้นทางที่ผมวิ่ง มีรถคันที่ผมขับคันนี้อยู่คันเดียวเกือบตลอดเส้นทางเลย

พอขับไปเรื่อยๆจนเริ่มมีฝนฟ้าคะนอง ท้องฟ้ามีฟ้าร้องฟ้าแล้บตลอดทาง มันเป็นอะไรที่สวยงามมาก ผมบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้จริงๆ
ผมกำลังขับรถอยู่ในความมืดมิดบนถนนไฮเวย์กลางทะเลทรายที่ที่ซึ่งผมเคยมาเป็นครั้งแรกไกลจากบ้านคนละซีกโลกท่ามกลางสายฟ้าที่กำลังแล้บออกมาแปล็บๆตลอดเส้นทาง

ในที่สุดผมก็สามารถขับฝ่าความมืดและสายฟ้ามาจนถึงเมืองๆนึง นั่นก็คือเมืองเดิมที่ผมผ่านมาตอนช่วงกลางวัน เมืองKingmanนั่นเอง ผมแวะจอดรถที่ปั้มน้ำมันแห่งนึงเพื่ออัดน้ำมันให้เต็มถังเหมือนเคย แล้วทุกคนก็ลงไปซื้ออาหารกินกันเล็กๆน้อยๆ
เมืองKingmanแห่งนี้มันเป็นเมืองที่เรียกว่าSmall townได้อย่างถูกต้องที่สุด เวลาที่ผมไปถึงที่นั่นประมาณ4-5ทุ่มได้ ผมมองไม่เห็นแม้แต่หมาสักตัวบนถนน ทุกอย่างเงียบไปหมด ร้านอาหารขยะก็ปิดหมด บ้านเรือนเงียบไปหมดมองไม่เห็นผู้คนเลย บรรยากาศคล้ายๆกับเมืองร้างในหนัง
ซอมบี้ฝรั่ง แต่ยังดีที่มีไฟถนนและไฟจากบ้านเรือนอยู่บ้าง

หลังจากที่ทั้งคนและรถอิ่มท้องแล้ว ผมก็ทำซ่าโดยบอกกับเพื่อนว่าผมยังไหวขับต่อได้สบายมาก เดี๊ยวยิงยาวทีเดียวถึงLAเลย เพื่อนของผมก็ดีใจที่มันจะได้นอนต่อ ผมก็ดีใจเหมือนกันที่จะได้ขับรถต่อ ทั้งๆที่วันนั้นผมขับรถติดต่อกันเป็นเวลาเกือบ15ชัวโมงแล้ว

การขับรถในอเมริกาอย่างที่เคยบอกว่ารถต้องเครื่องใหญ่ ทนและอึดไว้ใจได้ เพราะภูมิประเทศที่นี่มันกว้างใหญ่มาก บางทีเราต้องขับฝ่าทะเลทรายในตอนกลางคืนซึ่งจะมีรถร่วมทางไม่กี่คัน บางทีเราต้องขับอยู่คันเดียว ถ้าเกิดเครื่องยนต์ดันทรยศขึ้นมาละก็ซวยเลย แต่ไอ้แท็กซี่โคโรล่าของผมคันนี้มันดีที่เป็นรถใหม่ถึงเครื่องจะเล็กก็เหอะ มันเลยไม่แสดงอาการทรยศคนขับเลย รถคันนี้มันก็รูปร่างหน้าตาคล้ายๆAltisของบ้านเรา ราคาตีออกมาเป็นเงินบาทอาจจะถูกกว่าเล็กน้อย แต่มันก็มีจุดแตกต่างเล็กน้อยที่ผมสังเกตุได้เช่น ระบบเปิดไฟหน้าเองเมื่อเซ็นเซอร์จับได้ว่าเป็นตอนกลางคืนแล้ว หรือกรณีไม่รัดเข็มขัดนิรภัยรถมันก็จะร้องอยู่นั่นแหละ จนคนขับรำคาญต้องรัดเข็มขัดจนได้
ผมว่าที่อเมริกาเขาเน้นเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่เล็กๆน้อยๆแบบนี้นะ รถรุ่นใหม่ทุกคันต้องมีระบบแบบนี้ถึงจะออกมาขายได้

กลับมาที่การเดินทางกลับแอลเอของผมต่อ หลังจากผมออกมาจากเมืองKingmanทุกคนก็หลับทันทีเหมือนเคย ผมจึงต้องเปิดวิทยุFMในรถเป็นเพื่อนแก้เหงา ฟังไปมันอย่างงั้นแหละไม่ให้หลับคาพวงมาลัย เดี๊ยวจะพาลพาพวกเพื่อนๆได้นอนกลับประเทศไทยแทน
เชื่อไหมว่าผมต้องจูนช่องFMบ่อยมาก พอรับคลื่นได้ทีนึงฟังไปได้สัก10นาที มันไม่ชัดแล้วต้องเปลี่ยนไปหาคลื่นช่องใหม่ ผมทำอย่างนี้อยู่เป็นหลายสิบครั้งจนผมเริ่มขับรถส่ายไปส่ายมาแล้ว เรื่มขับเป๋ๆออกนอกทางไปเหยียบอะไรสักอย่างรถมันก็สั่นครืดๆๆๆๆๆทันที ไอ้สิ่งนั้นมันก็คือรอยปะที่ป้องกันไม่ให้คนหลับในขับรถตกถนนนั่นเอง ผมอยากขับต่อไปให้ถึงLAนะ แต่ร่างกายมันไม่ไหวแล้วขับมา16ชั่วโมงได้แล้ว ผมเลยมองหาที่จอดรถข้างหน้าเพื่อจะปลุกให้เพื่อนอีกคนมาขับต่อ(รถคันนี้มีผมและเพื่อนคนนี้เท่านั้นที่มีสิทธ์ขับได้ เพราะเรื่องรายละเอียดในการทำประกันภัย)ผมขับไปจอดยังสถานที่นึงซึ่งมันมีแต่รถบรรทุกจอดอยู่ แล้วปลุกให้เพื่อนมาขับต่อ ผมขอยอมแพ้แล้ววันนี้ไม่ไหวจริงๆ ทันทีที่ผมเปลี่ยนจากคนขับไปเป็นผู้โดยสารเท่านั้นแหละพอรถออกผมก็ปิดสวิทตัวเองทันที แล้วพอตื่นขึ้นมาผมก็มาถึงLAแล้ว




 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 6 สิงหาคม 2550 14:03:08 น.
Counter : 644 Pageviews.  

1  2  3  4  

CAsky
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




PK worked as a retailler in Totally Toddler store
Six Flags Magic Mountain Valencia California by himself (one man standing) Since March 2006 - June 2006

"In Some Situation the funninest place turn to be the borriest place"

"I'm a working man
I don't understand why clockout
come so slow everytime
That's one line I stay right behind"


free music
Friends' blogs
[Add CAsky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.