ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

เรื่องของ "ลมตด" ใครว่าไม่สำคัญ













ที่มา Monman.in.th




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 28 พฤษภาคม 2554 11:09:33 น.
Counter : 1705 Pageviews.  

ไทเก๊กส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคหัวใจ



การ ศึกษาล่าสุดจากสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่าผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง สามารถเสริมคุณภาพชีวิตของตัวเองได้ด้วยการฝึกไทเก๊ก (Tai Chi) ซึ่งเป็นรูปแบบการออกกำลังของจีนโบราณ

ผลการศึกษา ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมการแพทย์สหรัฐอเมริกา Archives of Internal Medicine พบว่าการฝึกไทเก๊กแบบเป็นกลุ่ม จำนวน 2 รอบ รอบละหนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพียงพอที่จะแสดงพัฒนาการที่สำคัญทางอารมณ์และความเชื่อมั่น

การ ศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจชาวอเมริกันจำนวน 50 คน ที่ได้ลงเรียนไทเก๊ก กับอีกกลุ่มจำนวน 50 คนที่ลงเรียนวิชาการศึกษาหัวใจ

จาก การศึกษาพบว่าการตอบสนองทางกายภาพของทั้งสองกลุ่มตัวอย่างคล้ายคลึงกัน แต่กลุ่มที่ปฏิบัติไทเก๊กมีสภาวะทางอารมณ์ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการ ประเมินคำตอบในแบบสอบถาม

นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับการศึกษาเรื่องหัวใจแล้ว กลุ่มที่ฝึกไทเก๊กยังชี้ให้เห็นถึงสภาวะที่ดีกว่าทั้งในเรื่องความรู้สึกที่ ว่าตนเองมีสุขภาพดีและความรู้สึกมั่นใจว่าตนเองจะทำกิจกรรมบางอย่างที่ เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายได้

ในขณะที่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ยอมรับว่าพวกเขายังไม่เข้าใจในศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังการค้นพบดังกล่าว อย่างถ่องแท้ แต่การศึกษาก็ได้เสนอทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งแก่ผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว เรื้อรัง เพื่อเป็นการเติมเต็มในการดูแลรักษาตามแบบการแพทย์มาตรฐาน

โรคหัวใจล้มเหลวเรื้อรังเป็นโรคที่ร่างกายจะอ่อนกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ และจะจำกัดความสามารถของผู้ป่วยในการหายใจและเคลื่อนไหว

หัว หน้างานวิจัย Gloria Yeh จาก Beth Israel Deaconess Medical Center กล่าวว่าไทเก๊กเป็นดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยแทนการออกกำลังกายตาม แบบดั้งเดิมที่ต้องใช้พลังงานตั้งแต่ระดับต่ำถึงกลาง

"ไท เก๊กปลอดภัย สามารถปฏิบัติได้เป็นประจำต่อเนื่อง และยังอาจเสริมประโยชน์ในการปรับปรุงการออกกำลังกายประจำวัน คุณภาพชีวิต การรับรู้ประสิทธิภาพของตนเองและอารมณ์ที่เปราะบาง และช่วยผู้ป่วยที่สูญเสียสมรรถภาพทางกายด้วยภาวะหัวใจบีบตัว"

การ ค้นคว้าวิจัยก่อนหน้านี้ได้เสนอแนะว่าไทเก๊กอาจเป็นประโยชน์กับผู้ที่ทรมาน จากภาวะความดันโลหิตสูง การปวดกล้ามเนื้อชนิดที่เป็นเส้นยาว (fibromyalgia) และความเครียด เนื่องจากไทเก๊กเป็นการฝึกการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างช้าๆ เป็นวงกลมและเป็นการออกกำลังที่ช่วยเปลี่ยนสมดุลในร่างกาย


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:"ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง"




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2554 7:54:37 น.
Counter : 1339 Pageviews.  

เรื่องน่ารู้ ผู้ชายมองอะไรในตัวผู้หญิง 6 วินาทีแรก



1.รอยยิ้ม

รอย ยิ้มก็สามารถบ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง อาทิ เป็นรอยยิ้มหวานพิมพ์ใจ แต่จริงใจหรือเปล่า ดูจงใจเกินไป เหมือนบังคับให้ตัวเองยิ้ม หรือมันอาจจะบอกได้เลยว่า มื้ออาหารก่อนหน้านี้คุณทานอะไรไป เราแนะนำว่า ให้ฝึกยิ้มบ่อยๆ จนกลายเป็นสิ่งที่คุณรู้สึกไม่ฝืนใจหรือเขินอาย และหัดพกหมากฝรั่งติดกระเป๋าไว้บ้าง เพื่อความมั่นใจ



2.ผมของคุณ


ใช่ ว่าผู้ชายจะรู้จักว่าผมแตกปลายเป็นยังไง ฉะนั้นสิ่งที่เขามองดูก็คือ 1. ผมดูนิ่มมั้ย 2. หากอยู่ใกล้ กลิ่นดีหรือไม่ ฉะนั้น จงรู้จักบำรุงผมของคุณบ้างในบางโอกาสที่คุณหาได้ และอย่าลืมว่า การสระผมให้สะอาดก็เป็นสิ่งที่ทำให้ คุณมั่นใจว่าจะไม่มีกลิ่นเหงื่อจากหนัง ศรีษะโชยไปให้ใครได้ดม



3.ความฉลาด


ใช่ แล้ว คุณเข้าใจถูกต้องที่ผู้ชายชอบมองหน้าอกผู้หญิง แต่เหนือกว่านั้นน่ะเหรอ เขายังสังเกตเห็นอีกว่า คุณปลดกระดุมมากเกินไปหรือไม่ หรือจงใจใส่เสื้อคอกว้างเพื่อให้คุณผู้ชายได้มองเห็นอย่างชัดเจน ซึ่งคุณผู้หญิงทั้งหลายไม่จำเป็นเลยที่ต้องทำอย่างนั้น เพียงแต่คุณรู้จักเลือกเสื้อผ้า ที่พอดีกับตัวแต่ไม่เน้นหน้าอกเกินงาม ก็ทำให้คุณดูดีขึ้นเป็นกอง



4.การแต่งหน้าของคุณ


หาก คุณแต่งหน้าจัดเกินไป มันยิ่งทำให้หน้าคุณดูเหมือนไปเพ้นท์มามากกว่า เขาอาจจะคิดว่าคุณกำลังอยากปกปิดอะไรภายใตเมคอัพหนาเตอะนั่น แต่งหน้าเพียงให้พอสวยงาม อย่ามากเกินไป แต่คุณก็ยังจำเป็นต้องแต่งหน้า สำหรับคนที่ไม่ชอบการแต่งหน้าเลย อาจจะต้องมีแป้งพัพและลิปกลอส หรือจะเป็นบรัชออน เพราะการแต่งหน้าทำให้คุณดูเป็นผู้หญิงมากกขึ้น


5.ผิวของคุณ

คุณ อาจจะกังวลกับเรื่องสิวที่คุณเห็นว่ามันเม็ดใหญ่ เป้งซะขนาดนี้ แต่ก็เป็นไปได้ว่าผู้ชายอาจจะไม่ได้สนใจก็ได้ เขาอาจจะมองข้ามและหันไปเห็นผิวคล้ำแดด ที่คุณไม่เคยรู้สึกอยากจะบำรุงผิวเลย ต่างหากล่ะ

6.กระเป๋า

กระเป๋า ของผู้หญิงส่วนใหญ่แล้วจะใบใหญ่ และมีของมากมาย เหมือนเป็นกระเป๋าของโดราเอม่อน ยังไงยังงั้น หากคุณไม่รู้จักจัดการกับกระเป๋า เป็นต้นว่า เศษกระดาษ เศษห่อลูกอม หรือของในกระเป๋ากว่าจะหาเจอแต่ละอย่างใช้เวลาอย่างมากมาย มันก็เป็นไปได้ว่า คุณไม่ใช่คนที่ชอบทำความสะอาดซักเท่าไร

ลองสังเกตดูตัวเองนะคะ ว่า 6 ข้อนี้ เราดูแลดี ก่อนออกไปเจอเขาแล้วหรือยัง

sakid





 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2554 8:22:18 น.
Counter : 1407 Pageviews.  

การตรวจสุขภาพการนอนหลับ (sleep test)




การ นอนหลับสนิทและเต็มที่นั้น เป็นสิ่งที่วิเศษสุดอย่างหนึ่งในการฟื้นฟู และซ่อมแซมร่างกายของมนุษย์ แต่ถ้าคุณหรือคนรอบข้างไม่สามารถนอนหลับเช่นนั้นได้ เรามีเครื่องมือในการตรวจค้นหาสาเหตุและแก้ไขได้

การ ตรวจสุขภาพการนอนหลับ หรือที่เรียกว่า Sleep test เป็นการตรวจวิเคราะห์การทำงานระบบต่างๆ ของร่างกายขณะนอนหลับ เช่น ระบบการหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือด การทำงานของคลื่นไฟฟ้าสมอง คลื่นไฟฟ้าหัวใจ และกล้ามเนื้อ รวมถึงศึกษาพฤติกรรมบางอย่างที่เกิดขึ้นขณะหลับ

ประโยชน์ ของการตรวจนี้ เพื่อใช้วินิจฉัยและประเมินระดับความรุนแรงของโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น การกระตุกของกล้ามเนื้อต่างๆ และพฤติกรรมที่ผิดปกติขณะหลับ รวมถึงช่วยในการวินิจฉัยโรคความผิดปกติอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการนอนหลับ ตลอดจนใช้พิจารณาเลือกวิธีการผ่าตัดทางเดินหายใจและติดตามผลการรักษา

สำหรับ ผู้ที่ควรเข้ารับการตรวจ Sleep test ได้แก่ ผู้ที่ภาวะนอนกรนดังผิดปกติ หรือมีอาการง่วงนอนกลางวันมากผิดปกติ ทั้งๆ ที่ได้นอนอย่างเพียงพอแล้ว ผู้ที่มีอาการหายใจลำบาก และสงสัยว่า จะมีการหยุดหายใจขณะหลับ หรือผู้ที่มีพฤติกรรมการนอนผิดปกติอื่นๆ เช่น นอนแขนขากระตุก นอนกัดฟัน หรือนอนละเมอ ฝันร้าย สะดุ้งตื่นเป็นประจำ เป็นต้น โดยผู้รับการตรวจควรพบแพทย์เฉพาะทางด้านโรคการนอนหลับโดยตรง หรือแพทย์หู คอ จมูก อายุรแพทย์ หรือกุมารแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ เพื่อสอบถามประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียดก่อนและหลังการตรวจ ซึ่งจะมีผลต่อการวางแผนและการตัดสินใจเลือกในการรักษา

การตรวจ sleep test สำหรับภาวะนอนกรนและหยุดหายใจขณะหลับ แบ่งได้เป็น 4 ระดับดังนี้

ระดับที่ 1 การตรวจสุขภาพการนอนแบบสมบูรณ์ โดยมีเจ้าหน้าที่เฝ้าตลอดคืนเพื่อวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง คลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ ลูกตา ใต้คาง และขา คลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจวัดระดับออกซิเจนในเลือด การตรวจวัดลมหายใจเป็นอย่างน้อย โดยอาจทำภายในห้องตรวจเฉพาะของสถานพยาบาลหรือนอกสถานที่

ระดับที่ 2 การตรวจสุขภาพการนอนแบบสมบูรณ์ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าตลอดทั้งคืน อาจตรวจในห้องนอนตามบ้าน ระดับนี้มีความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกับการตรวจระดับ 1 แต่ค่าใช้จ่ายถูกกว่าจึงเหมาะสำหรับผู้ที่เคลื่อนไหวและเดินทางไม่สะดวก หรือผู้ที่มีอาการมาก ต้องการรักษาอย่างเร่งด่วน

ส่วนระดับที่ 3 และ 4 เป็นการตรวจสุขภาพเพียงบางรายการ ซึ่งอาจมีผลคลาดเคลื่อนในการวินิจฉัย จึงมักไม่ได้รับความนิยม

การ ตรวจจะเริ่มตั้งแต่เวลา 19.00-06.00 น.ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมของผู้ตรวจแต่ละราย ก่อนเริ่มการตรวจ เจ้าหน้าที่จะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการนอน รวมทั้งยารักษาโรคประจำตัว หรืออาจให้กรอกแบบสอบถาม และเอกสารการยินยอมของผู้รับการตรวจ หลังจากนั้นจะอธิบายลักษณะเกี่ยวกับอุปกรณ์ และการปฏิบัติตัวต่างๆ ระหว่างการตรวจ โดยผู้รับการตรวจควรสวมเสื้อผ้าชุดนอนหลวมๆ ทำจิตใจให้สบาย และควรหลีกเลี่ยงการดื่ม กาแฟ ชา เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์เป็นส่วนผสม หรือการออกกำลังกายอย่างหนัก



ขอบคุณบทความดีดีจาก สสส.




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2554 8:26:30 น.
Counter : 1658 Pageviews.  

10 อันดับการค้นพบโดยบังเอิญ



10 Saccharin (ขัณฑสกร)

เชื่อ หรือไม่ว่าสารให้ความหวานที่ หวานกว่าน้ำตาล 550 เท่านี้ ถือกำเนิดมาเพราะนักเคมีนาม Constantin Fahlberg ไม่ได้ล้างมือหลังจากกลับถึงบ้าน! ในปี ค.ศ. 1879 Fahlberg กำลังขมักเขม้นกับการหาวิธีใช้งานน้ำมันถ่านหินอยู่ หลังจากเลิกงาน เขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเขากลับถึงบ้าน คว้าขนมปังมากิน ปรากฎว่า มันหวานกว่าปรกติ หลังจากถามศรีภรรยาว่าเธอได้ใส่น้ำตาลเพิ่มไปหรือเปล่า ภรรยาเธอก็ปฎิเสธ แล้วก็บอกว่า รสชาติก็ปรกติดีนิ Fahlberg จึงถึงบางอ้อว่า รสหวานมันต้องมาจากมือ (ที่ยังไม่ได้ล้าง) ของเขาแน่ๆ วันรุ่งขึ้น เขากลับไปที่ห้องแล็ป และชิมงานทุกอย่างของเขา จนกระทั่งเจอจุดที่มีรสหวาน

9 Smart Dust

คน ส่วนมากมักจะอารมณ์เสีย ถ้าจู่ๆการบ้านของเขาระเบิดใส่หน้าและแตกเป็นชิ้นๆลงบนพื้น แต่ ไม่ใช่นักศึกษา นาม Jamie Link เพราะในขณะที่ Link กำลังทำการทดลองในงานวิจัยของเธอในมหาวิทยาลัย University of California อยู่นั้น ปรากฎว่า ชิพซิลิกอนที่เธอกำลังศึกษาอยู่ เกิดระเบิดแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่หลังจากนั้น เธอก็ได้พบว่า ชิ้นส่วนเล็กๆเหล่านี้ ยังสามารถทำงานเป็นเครื่องตรวจจับได้อยู่ ในที่สุดแล้ว "smart dust" นี่เอง ที่ทำให้เธอได้รางวัลสูงสุดในงาน Collegiate Inventors Competition เมื่อปี 2003 ไปครอง ชิ้นส่วนเล็กๆเหล่านี้สามารถเอาไปใช้หาความบริสุทธิ์ของน้ำดื่ม, หาสารเคมีที่เป็นอันตรายในอากาศ แม้กระทั่ง ระบุตำแหน่งเซลล์มะเร็งในร่างกายมนุษย์ได้ด้วย

8 Coke

การ บังเอิญคิดค้นอาหารต่างๆนั้นมีมากมายเหลือเกิน เช่น มันฝรั่งแผ่นที่เกิดเพราะพ่อครัวนาม George Crum รำคาญลูกค้าที่บ่นว่า french fries ที่เขาทำมันอมน้ำมันเหลือเกิน หรือไอติมแท่งที่เกิดเพราะนาย Frank Epperson ลืมน้ำหวานไว้นอกบ้านในคืนที่อากาศหนาว แต่ไม่มีการบังเอิญใดที่จะประสบความสำเร็จเท่ากับโค้กอีกแล้วเพราะเภสัชกรใน แอตแลนต้าที่ชื่อ John Pemberton พยายามที่จะคิดสูตรยาสำหรับแก้ปวดหัว เขาใช้ส่วนผสมหลายอย่าง -ที่เป็นความลับจนทุกวันนี้- จนเกิดเป็นโค้กขึ้นมา กว่าโค้กจะเป็นที่นียมได้ ก็ต้องใช้เวลาถึง 8 ปีในร้านขายยาของเขา หลังจากนั้น ถึงจะได้เอาน้ำดำมาใส่ขวดขายจนทุกวันนี้

7 Teflon

ใน ปัจจุบัน สาร CFC (chlorofluorocarbon) ได้ถูกระงับไม่ให้ใช้แล้ว เนื่องจากการทำลายชั้นโอโซนของมัน แต่ย้อนกลับไปในช่วงปี 1930 สารนี้แหละ ที่ทำให้ตู้เย็นพัฒนาขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ช่วงนั้นเอง นักเคมีหนุ่มของ บ.DuPont ที่ชื่อ Roy Plunkett ก็กำลังคิดค้นสาร CFC ชนิดใหม่อยู่เหมือนกัน เขาคิดเอาไว้ว่า ถ้าเขาสามารถนำส่วนผสมที่เรียกว่า TFE ไปทำปฏิกริยากับกรดไฮโดรคลอริคได้ เขาควรจะได้สารทำความเย็นชนิดใหม่ขึ้นมาเมื่อเริ่มทดลอง เขาก็เอาก๊าซ TFE มาแช่เย็นและอัดใส่ในกระป๋อง เพื่อที่จะเอาไว้ใช้ในตอนหลัง หลังจากทำโน่นทำนี่แล้ว ถึงเวลาเปิดกระป๋องเพื่อที่จะเอากรดใส่ลงไป ปรากฎว่า ไม่มีอะไรอยู่ในกระป๋อง... ก๊าซหายไปหมดแล้ว ด้วยความโมโห เขาเลยเปิดฝากระป๋องออก แล้วเขย่าๆๆๆ ปรากฎว่า มีผลึกสีขาวๆร่วงออกมาจากกระป๋อง หลังจากนั้น ก็เป็นโชคดีของแม่บ้านทั้งหลาย เพราะเขาเกิดสงสัยไอ้ผลึกขาวๆเหล่านั้น และส่งไปให้นักวิทยาศาสตร์คนอื่นใน บ. ดูต่อไป

6 Vulcanized Rubber (ยางวัลกาไนส์)

Charles Goodyear ต้องรอเป็นปีๆ ถึงจะเจออุบัติเหตุที่ทำให้เขานอนตายตาหลับได้ Goodyear ใช้เวลาหลายสิบปีในการหาวิธีต่างๆที่จะทำให้ยางมีประสิทธิภาพดีขึ้นในขณะ เดียวกันก็ต้องทนความร้อนและความเย็นด้วย ..แต่เขาก็หาไม่เจอสักที จนวันนึง เขาทำส่วนผสมของ ยาง, ซัลเฟอร์ และตะกั่ว หกใส่เตาร้อนๆ ความร้อนเผาส่วนผสมทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้ทำลายส่วนผสมนั้น เมื่อ Goodyear หยิบส่วนผสมขึ้นมาดู ปรากฎว่า มันแข็งขึ้น และยังสามารถใช้งานได้อยู่ ในที่สุด... เขาก็เจอการก้าวกระโดดที่เขาใฝ่ฝันถึง ส่วนยางที่เขาค้นพบนั้น ปัจจุบัน ก็อยู่ใน ยางรถยนต์, รองเท้า ยันลูกฮอกกี้น้ำแข็ง

5 Plastic

ใน ปี 1907 ชแล็ก(ครั่ง?)ถูกใช้เป็นฉนวนในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ แถมไม่ใช่ของถูกๆซะด้วย เพราะมันได้มาจากแมลงชนิดหนึ่งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแน่นอน นาย Leo Hendrik Baekeland นักเคมีว่างงานก็เกิดไอเดียที่จะทำชแล็กสูตรใหม่ขึ้นมา และโกยกำไรให้กระเป๋าตุง แต่ทำไปทำมา การทดลองของเขาดันทำให้เกิดวัสดุที่ขึ้นรูปได้ และทนความร้อนโดยไม่เสียรูปทรงซะงั้น Baekeland ตั้งชื่อสารของเขาว่า "Bakelite" แล้วคิดที่จะใช้มันสำหรับเป็นแผ่นเสียง แต่ไม่นานหลังจากนั้น เราก็ค้นพบว่าไอ้สารนี่ มันทำอะไรได้เป็นพันๆอย่างเลยทีเดียว ตั้งกะโทรศัพท์ ยันหน้ากากผี

4 Radioactivity (กัมมันตภาพรังสี)

มี อยู่สองคำที่คุณคงไม่ ค่อยอยากได้ยินมันอยู่ในประโยคเดียวกันสักเท่าไหร่คือ "อุ๊ย.." กับ "สารกัมมันตรังสี" แต่สำหรับนักฟิสิกส์ นาม Henri Becquerel แล้ว อุบัติเหตุนี่แหละที่ทำให้เขาค้นพบกัมมันตภาพรังสี ย้อนกลับไปในปี 1896 Becquerel ได้มีความสนใจกับของอยู่ 2 สิ่ง นั่นคือ สารฟลูออเรสเซนส์ในธรรมชาติ กับ การ X-ray แบบใหม่ เขาได้ทำการทดลองเพื่อที่ จะหารังสี X โดยจะนำเอาก้อนแร่ฟลูออเรสเซนส์ไปไว้กลางแดด แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่เขาเจอคือ เขาทำการทดลองในหน้าหนาว แล้วกว่าท้องฟ้าจะเปิด ก็ปาเข้าไปเป็นอาทิตย์ ดังนั้น เขาเลยทิ้งอุปกรณ์กองๆไว้ในลิ้นชัก แล้วรอให้ถึงวันที่แดดออก เมื่อเขากลับมาทำงาน Becquerel สังเกตเห็นว่า ก้อนแร่ยูเรเนียมที่เขาทิ้งไว้ในลิ้นชัก ได้ประทับรอยไว้กับแผ่นบันทึกภาพ โดยที่ยังไม่ได้ถูกกับแสงเลย ดังนั้น เขาจึงคิดว่า ไอ้ก้อนหินนี่ มันต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ เมื่อเขาได้ทำการวิจัยร่วมกับ มารี และ ปีแอร์ คูรี เขาก็สรุปได้ว่า ไอ้สิ่งนั้นมันคือ กัมมันตภาพรังสีนี่เอง

3 Mauve (สีย้อมผ้า)

ถ้า พูดถึงความเกี่ยวข้องที่มันแปลกๆ แล้ว ลองมาดูนี่หน่อย นักเคมีอายุ 18 ชื่อ William Perkin ที่ต้องการจะรักษาโรคมาลาเรีย - แต่การค้นพบของเขาจะเป็นการปฏิวัติวงการแฟชั่นทั่วโลกอย่างสิ้นเชิง ...อ้อ แล้วก็ช่วยสู้กับมะเร็งด้วย อย่าเพิ่งงง ลองดูนี่ก่อน ในปี 1856 Perkin ได้พยายามคิดค้นตัวยาควิกนิน แบบใหม่ขึ้นมา แต่แทนที่จะได้ยารักษาโรคมาลาเรีย การทดลองของเขาดันได้สารแหยะๆสีแปลกๆออกมา แต่พอเขาจ้องดูที่สารนั่น เขากลับมองเห็นความสวยงามของมันเรื่อยๆ ปรากฎว่า เขาเป็นบุคคลแรกที่คิดค้นสีย้อมผ้าสังเคราะห์ขึ้นมา สีที่เขาทำขึ้น ถ้าเทียบกับสีที่สกัดมาจากธรรมชาติแล้ว เรียกว่าทิ้งกันไม่เห็นฝุ่น ทั้งสีที่สดกว่า และยังไม่ตกเวลาซักด้วย นอกจากนี้ การค้นพบของเขาทำให้ วิชาเคมีนั้นกลายเป็นศาสตร์ทำเงิน ซึ่งดึงดูดผู้คนที่มีความคิดประหลาดๆเข้ามาในวงการอีกด้วย แต่เรื่องราวของสีนี่ยังไม่จบ เพราะยังมีคนที่ถูกจุดประกายจากงานของ Perkin นั่นคือนักแบคทีเรียวิทยาชาวเยรมันที่ชื่อ Paul Ehrlich โดยเขาใช้สีย้อมผ้าของ Perkin ในการเบิกทางค้นคว้า ภูมิคุ้มกันวิทยา (immunology) และ เคมีบำบัด (chemotherapy)

2 Pacemaker (เครื่องกระตุ้นหัวใจ)

อันดับ เหล่านี้ จะไม่สมประกอบเลย ถ้าขาดสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดจากนักวิทยาศาสตร์ที่ใจลอยเวลาทำงาน มันคือเครื่องกระตุ้นหัวใจนี่เอง เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ช่วยชีวิตคนมานักต่อนักแล้ว และเครื่องกระตุ้นหัวใจที่ถูกยัดใส่ในหน้าอกผู้ป่วยหลายๆรายนี่เอง ที่เกิดขึ้นมาเพราะวิศวะกรชาวอเมริกาที่ชื่อ Wilson Greatbatch ควานหาของในกล่อง แล้วหยิบของขึ้นมาผิดชิ้น... ไม่ได้โม้ แต่เป็นเรื่องจริง Greatbatch กำลังสร้างวงจรที่จะช่วยบันทึกเสียงหัวใจที่เต้นเร็วๆอยู่ ปรากฎว่า เมื่อเขาล้วงไปในกล่องที่เก็บตัวต้านทานไว้ แทนที่จะหยิบตัวต้านทานขนาด 1เมกะโอห์มขึ้นมา เขาดันหยิบตัวต้านทานขนาด 10,000โอห์มขึ้นมาแทน ปราก ฎว่า วงจรที่เขาทำเสร็จ ได้ส่งคลื่นออกมาเป็นเวลา 1.8มิลลิวินาที แล้วหยุดไป 1 วินาที แล้วก็ส่งคลื่นออกมาใหม่ ซ้ำๆไปเรื่อยๆ จนเป็นเสียงที่ทุกๆคนคุ้นหูกันดี นั่นก็คือเสียงหัวใจเต้นนั่นเอง

1 Penicillin

คุณๆ ท่านๆที่อ่านจนถึงนี่คงสงสัยอยู่ในใจว่า แล้วเพเนซิลินล่ะ หายไปไหน? แน่นอน สุดยอดแห่งการค้นพบโดยอุบัติเหตุ ที่รู้จักกันมากที่สุดในศัตวรรตที่ 20 คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพเนซิลินนี่แหละ ถ้าคุณอาศัยอยู่ในถ้ำ ตลอด 80 ปีที่ผ่านมา และไม่รู้จักเพเนซิลินนี่ล่ะก็ ข้างล่างนี่คือประวัติการค้นพบของมัน Alexander Fleming ลืมที่จะทำความสะอาดโต๊ะทำงานของเขา ก่อนที่จะไปพักร้อนในปี 1928 พอเขากลับมา เขาก็เจอกลุ่มราประหลาดอยู่บนเชื้อที่เขาเพาะไว้ แล้วยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ เพราะแบคทีเรียที่เขาเพาะไว้ ไม่เข้ามากล้ำกรายรอบๆเชื้อราเหล่านี้เลย จากนั้นมา เพเนซิลินก็กลายเป็นยาปฏิชีวนะตัวแรก และยังนิยมใช้กันเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้

toptenthailand




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2554 8:35:41 น.
Counter : 1626 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.