ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

ประวัติวันลอยกระทง ประเพณีลอยกระทง

ลอยกระทง

ลอยกระทง



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


ใกล้ถึงเทศกาลวันลอยกระทง 2555 กันแล้ว ซึ่งปีนี้ตรงกับวันพุธที่ 28 พฤศจิกายน …เชื่อว่าหลายคนคงเตรียมตัวควงหวานใจ หรือพาครอบครัวไปลอยกระทงร่วมกันที่ใดที่หนึ่งแล้ว อ๊ะ ๆ ...แต่ก่อนที่จะไปลอยกระทงกันนั้น เรามาทำความรู้จักประเพณีลอยกระทงให้ถ่องแท้กันก่อนดีกว่าค่ะ จะได้เข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของประเพณีอย่างแท้จริง

กำหนดวันลอยกระทง

          วันลอยกระทงของทุกปีจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือถ้าเป็นปฏิทินจันทรคติล้านนาจะตรงกับเดือนยี่ และหากเป็นปฏิทินสุริยคติจะราวเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเดือน 12 นี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว อากาศจึงเย็นสบาย และอยู่ในช่วงฤดูน้ำหลาก มีน้ำขึ้นเต็มฝั่ง ทำให้เห็นสายน้ำอย่างชัดเจน อีกทั้งวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง ทำให้สามารถเห็นแม่น้ำที่มีแสงจันทร์ส่องกระทบลงมา เป็นภาพที่ดูงดงามเหมาะแก่การชมเป็นอย่างยิ่ง

ประวัติความเป็นมาของวันลอยกระทง

ลอยกระทง


          ประเพณีลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า "พิธีจองเปรียญ" หรือ "การลอยพระประทีป" และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน

ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสันนิษฐานว่า พิธีลอยกระทงเป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้นำพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงให้มีการชักโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระบาทของพระพุทธเจ้า

ก่อนที่นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงจะคิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม ดังปรากฏในหนังสือนางนพมาศที่ว่า

"ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่าง ๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้เป็นลวดลาย..."

          เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย ดังพระราชดำรัสที่ว่า "ตั้งแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน" พิธีลอยกระทงจึงเปลี่ยนรูปแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

          ประเพณีลอยกระทงสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3 พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนางนิยมประดิษฐ์กระทงใหญ่เพื่อประกวดประชันกัน ซึ่งต้องใช้แรงคนและเงินจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรดให้ยกเลิกการประดิษฐ์กระทงใหญ่แข่งขัน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำเรือลอยประทีปถวายองค์ละลำแทนกระทงใหญ่ และเรียกชื่อว่า "เรือลอยประทีป" ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ปัจจุบันการลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย

เหตุผลและความเชื่อของการลอยกระทง

          สาเหตุที่มีประเพณีลอยกระทงขึ้นนั้น เกิดจากความเชื่อหลาย ๆ ประการของแต่ละท้องที่ ได้แก่ 

1.เพื่อแสดงความสำนึกถึงบุญคุณของแม่น้ำที่ให้เราได้อาศัยน้ำกิน น้ำใช้ ตลอดจนเป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา ที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ลงไปในน้ำ อันเป็นสาเหตุให้แหล่งน้ำไม่สะอาด

2.เพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานที เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ และได้ทรงประทับรอยพระบาทไว้บนหาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้นทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่าแม่น้ำเนรพุทท

3.เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ เพราะการลอยกระทงเปรียบเหมือนการลอยความทุกข์ ความโศกเศร้า โรคภัยไข้เจ็บ และสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ให้ลอยตามแม่น้ำไปกับกระทง คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์

4.เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุต ที่ชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล โดยมีตำนานเล่าว่าพระอุปคุตเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถปราบพญามารได้ 

5.เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

6.เพื่อความบันเทิงเริงใจ เนื่องจากการลอยกระทงเป็นการนัดพบปะสังสรรค์กันในหมู่ผู้ไปร่วมงาน

7.เพื่อส่งเสริมงานฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ เพราะเมื่อมีเทศกาลลอยกระทง มักจะมีการประกวดกระทงแข่งกัน ทำให้ผู้เข้าร่วมได้เกิดความคิดแปลกใหม่ และยังรักษาภูมิปัญญาพื้นบ้านไว้อีกด้วย

ประเพณีลอยกระทงในแต่ละภาค

          ลักษณะการจัดงานลอยกระทงของแต่ละจังหวัด และแต่ละภาคจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันคือ


ลอยกระทง



ภาคเหนือ (ตอนบน) จะเรียกประเพณีลอยกระทงว่า "ยี่เป็ง" อันหมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่  (เดือนยี่ถ้านับตามล้านนาจะตรงกับเดือนสิบสองในแบบไทย) โดยชาวเหนือจะนิยมประดิษฐ์โคมลอย หรือที่เรียกว่า "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" โดยการใช้ผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ ให้โคมลอยขึ้นไปในอากาศ เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุตต์ ซึ่งเชื่อกันว่าท่านบำเพ็ญบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึก หรือสะดือทะเล ตรงกับคติของชาวพม่า


ลอยกระทง


จังหวัดตาก จะประดิษฐ์กระทงขนาดเล็ก แล้วปล่อยลอยไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เรียงรายเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"

ลอยกระทง




จังหวัดสุโขทัย เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีชื่อเสียงในเรื่องประเพณีลอยกระทง ด้วยความเป็นจังหวัดต้นกำเนิดของประเพณีนี้ โดยการจัดงาน ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ที่จังหวัดสุโขทัยถูกฟื้นฟูกลับมาอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ.2520 ซึ่งจำลองบรรยากาศงานมาจากงานลอยกระทงสมัยกรุงสุโขทัย และหลังจากนั้นก็มีการจัดงานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟขึ้นที่จังหวัดสุโขทัยทุก ๆ ปี มีทั้งการจัดขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล และไฟพะเนียง

ลอยกระทง


ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ งานลอยกระทงจะเรียกว่า เทศกาลไหลเรือไฟ โดยจัดเป็นประเพณียิ่งใหญ่ทุกปีในจังหวัดนครพนม มีการนำหยวกกล้วย หรือวัสดุต่าง ๆ มาตกแต่งเรือ และประดับไฟอย่างสวยงาม และตอนกลางคืนจะมีการจุดไฟปล่อยกระทงให้ไหลไปตามลำน้ำโขง


กรุงเทพมหานคร มีการจัดงานลอยกระทงหลายแห่ง แต่ที่เป็นไฮไลท์อยู่ที่ "งานภูเขาทอง" ที่จะเนรมิตงานวัดเพื่อเฉลิมฉลองประเพณีลอยกระทง ส่วนใหญ่จัดอยู่ราว 7-10 วัน ตั้งแต่ก่อนวันลอยกระทง จนถึงหลังวันลอยกระทง

ลอยกระทง


ภาคใต้ มีการจัดงานลอยกระทงในหลาย ๆ จังหวัด เช่น อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่มีงานยิ่งใหญ่ทุกปี


กิจกรรมในวันลอยกระทง

          ในปัจจุบันมีการจัดงานลอยกระทงทุก ๆ จังหวัด ซึ่งจะมีกิจกรรมแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ แต่กิจกรรมที่มีเหมือน ๆ กันก็คือ การประดิษฐ์กระทง โดยนำวัสดุต่าง ๆ ทั้งหยวกกล้วย ใบตอง หรือจะเป็นกาบพลับพลึง เปลือกมะพร้าว ฯลฯ มาประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ธูป เทียน เครื่องสักการบูชา ให้เป็นกระทงที่สวยงาม ภายหลังมีการใช้วัสดุโฟมที่สามารถประดิษฐ์กระทงได้ง่าย แต่จะทำให้เกิดขยะที่ย่อยสลายยากขึ้น จึงมีการรณรงค์ให้เลิกใช้กระทงโฟมเพื่อพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ก่อนจะมีการดัดแปลงวัสดุทำกระทงให้หลากหลายขึ้น เช่น กระทงขนมปัง กระทงกระดาษ กระทงพลาสติกชนิดพิเศษ เพื่อให้ย่อยสลายง่ายและไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม

ลอยกระทง

ลอยกระทง

ลอยกระทง


          เมื่อไปถึงสถานที่ลอยกระทง ก่อนทำการลอยก็จะอธิษฐานในสิ่งที่ปรารถนาขอให้ประสบความสำเร็จ หรือเสี่ยงทายในสิ่งต่าง ๆ จากนั้นจึงปล่อยกระทงให้ลอยไปตามสายน้ำ และในกระทงมักนิยมใส่เงินลงไปด้วย เพราะเชื่อกันว่าเป็นการบูชาพระแม่คงคา

          นอกจากการลอยกระทงแล้ว มักมีกิจกรรมประกวดนางนพมาศอันเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเพณีลอยกระทง และตามสถานที่จัดงานจะมีการประกวดกระทง ขบวนแห่ มหรสพสมโภชต่าง ๆ บางแห่งอาจมีการจุดพลุ ดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองด้วย

ลอยกระทง




เพลงประจำเทศกาลลอยกระทง

          เมื่อเราได้ยินเพลง "รำวงลอยกระทง" ที่ขึ้นต้นว่า "วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง..." นั่นเป็นสัญญาณว่าใกล้จะถึงวันลอยกระทงแล้ว ซึ่งเพลงนี้เป็นที่คุ้นหูของทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ เพราะในต่างประเทศมักเปิดเพลงนี้ต้อนรับนักท่องเที่ยว เพื่อแสดงถึงความเป็นประเทศไทย

          เพลงรำวงวันลอยกระทงแต่งโดยครูแก้ว อัจฉริยกุล ผู้ให้ทำนองคือ ครูเอื้อ สุนทรสนาน แห่งสุนทราภรณ์ ซึ่งครูเอื้อได้แต่งเพลงนี้ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2498 ขณะที่ได้ไปบรรเลงเพลงที่บริเวณคณะบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีผู้ขอเพลงจากครูเอื้อ ครูเอื้อจึงนั่งแต่งเพลงนี้ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงจึงเกิดเป็นเพลง "รำวงลอยกระทง" ที่ติดหูกันมาทุกวันนี้ มีเนื้อร้องว่า

วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง 
          เราทั้งหลายชายหญิง 
          สนุกกันจริง วันลอยกระทง 
          ลอย ลอยกระทง ลอย ลอยกระทง 
          ลอยกระทงกันแล้ว 
          ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง 
          รำวงวันลอยกระทง รำวงวันลอยกระทง 
          บุญจะส่งให้เราสุขใจ บุญจะส่งให้เราสุขใจ 

เอ้า... ใครที่ยังไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหน ก็อย่าลืมชวนครอบครัว หรือเพื่อน ๆ มาร่วมกันสานต่อประเพณีที่ดีงามนี้ไว้นะค่ะ อ่อ... และอย่าลืมใช้กระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติด้วยล่ะ เพราะนอกจากจะไปลอยกระทงเพื่ออนุรักษ์ประเพณีแล้ว ยังจะเป็นการช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติไว้อีกต่อหนึ่งด้วยค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก



- loikrathong.net
- phrapradaeng.org
- thaigoodview.com




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2555 8:20:41 น.
Counter : 2433 Pageviews.  

อันดับหนึ่ง! กังนัม สไตล์ เบียดขึ้นแท่นวิดีโอผู้ชมมากสุดบนยูทูบ


กังนัม สไตล์

กังนัม สไตล์ gangnam style




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ทวิตเตอร์ @psy_oppaเฟซบุ๊กทางการ PSY

  กังนัม สไตล์ ยอดชมทะลุกว่า 810 ล้านวิว โค่นแชมป์เก่า เบบี้ ของ จัสติน บีเบอร์ ขึ้นแท่นวิดีโอผู้ชมมากสุดเป็นประวัติการณ์ - ไซ มาไทย 28 ต.ค.นี้ ลือแซ่ด! ร้อง 2 เพลง 25 ล้านบาท

          เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2555 สำนักข่าวซีบีเอสนิวส์ รายงานว่า ขณะนี้ คลิปวิดีโอเพลง "กังนัม สไตล์" ของ ไซ หรือ ปาร์คแจซอง นักร้องชาวเกาหลีใต้วัย 34 ปี สามารถโค่นแชมป์ที่มียอดคนดูเยอะตลอดกาลอย่างเพลง "เบบี้" ของ จัสติน บีเบอร์ นักร้องหนุ่มขวัญใจสาว ๆ วัย 18 ปี สัญชาติแคนาดา ได้อย่างเป็นทางการแล้ว ด้วยสถิติผู้ชมล่าสุดกว่า 810 ล้านวิว




          ทั้งนี้ มิวสิควิดีโอเพลง กังนัม สไตล์ ถูกอัพโหลดลงบนเว็บไซต์ยูทูบ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดผู้ชมจำนวนกว่า 817 ล้านวิว เอาชนะแชมป์เก่าอย่างเพลง เบบี้ อัพโหลดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2011 มียอดผู้ชมราว 803 ล้านวิว





          โดย เควิน อัลล็อกกา ผู้จัดการฝ่ายกระแสนิยมของยูทูบ เปิดเผยผ่านบล็อกส่วนตัวของเขาเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ว่า กังนัม สไตล์ ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในระดับโลก ซึ่งไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน ทุก ๆ วันจะมีผู้คลิกดูชม MV เพลงกังนัม สไตล์ ประมาณ 7-10 ล้านคลิก ขณะที่เพลงของบีเบอร์ มียอดผู้เข้าชมต่อวันประมาณ 350,000-500,000 คลิก และในขณะที่เพลง Baby ต้องใช้เวลานานกว่า 2 ปีกว่าจะสะสมยอดผู้เข้าชมได้ถึง 800 ล้านวิว แต่กังนัม สไตล์ กลับทำได้เช่นนั้นภายในเวลาเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น





          ด้าน ปาร์คแจซอง หรือ ไซ เจ้าของเพลงฮิตกังนัม สไตล์ ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ด้วยว่า "#กังนัมสไตล์ เพิ่งมียอดคนดูมากที่สุดบน@ยูทูบ" พร้อมกันนี้ยังติดแฮชแท็กคำว่า #ประวัติศาสตร์ ในตอนท้ายของข้อความด้วย



MC Hammer & PSY perform onstage during the 40th American Music Awards



MC Hammer & PSY perform onstage during the 40th American Music Awards


          จากความสำเร็จจนโด่งดังเป็นพลุแตกของ ไซ ทำให้ในขณะนี้เขากลายเป็นหนุ่มเนื้อหอมต้องเดินสายโชว์ตัวและจัดคอนเสิร์ตไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ที่ล่าสุดมีข่าวออกมาแล้ว บริษัท เฟรชแอร์เฟสติวัล จำกัด ขอเกาะกระแสกังนัม สไตล์ ทุ่มทุนอิมพอร์ทนักร้องชื่อดังแดนกิมจิมาแสดงสดกันเลยทีเดียว เพื่อร่วมโปรโมทงานลอยกระทงในงาน GANGNAM STYLE THAILAND EXTRA LIVE ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ณ สนามเอสซีจี สเตเดียม เมืองทองธานี

          ทางด้าน วินิจ เลิศรัตนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรชแอร์ เฟสติวัล จำกัด ผู้จัดคอนเสิร์ต เปิดเผยว่า การจัดคอนเสิร์ตครั้งนี้สนนราคามูลค่าการจัดงานราว 50 ล้านบาท (แม้ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขค่าตัวไซต่อสาธารณชน แต่แน่นอนว่าไม่ต่ำกว่า 50%) โดยหนุ่มไซ จะเริ่มแสดงบนคอนเสิร์ตในเวลา 21.30–22.00 น. รวมเวลาเบ็ดเสร็จ 30 นาที ส่วนไซจะโชว์เพลงอะไรบ้างนั้น ยังอุบไว้ก่อน ที่แน่นอนต้องมี "กังนัม สไตล์" แต่ที่แน่ ๆ แว่วมาว่าไซขึ้นเวทีร้อง 2 เพลงได้ 25 ล้านบาท จริงหรือมั่วยังไม่มีใครยืนยันได้

          ทั้งนี้ คอนเสิร์ตจะมีขึ้นที่สนามเอสซีจี สเตเดียม เมืองทองธานี เริ่มตั้งแต่เวลา 18.30 น. โดยก่อนที่หนุ่มไซจะขึ้นวาดลวดลายโชว์ลีลากังนัมสไตล์ จะมีบรรดาศิลปินทั้งไทยและเกาหลีร่วมแสดงอุ่นเครื่อง ทั้งจำอวดหน้าม่านจากศิลปินรุ่นเก๋าทั้งน้าโย่ง น้านง น้าพวง เชิญยิ้ม จากรายการคุณพระช่วย ที่จะมาแหล่เรื่องประเพณีลอยกระทงของไทย ตามด้วยดีเจ Sound Cruz และศิลปินรับเชิญจากอีก 2 วงจากเกาหลีต่อด้วยแร็พเปอร์ฝั่งไทยอย่างโจอี้ บอย สิงห์เหนือเสือใต้




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2555 8:29:00 น.
Counter : 2191 Pageviews.  

ญี่ปุ่นเปิดโรงเรียนสอนแมสคอตแห่งแรกในโลก

โรงเรียนสอนแมสคอต

โรงเรียนสอนแมสคอต

โรงเรียนสอนแมสคอต

โรงเรียนสอนแมสคอต

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ telegraphtv สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

ใครว่าการสวมชุดแมสคอต หรือตัวการ์ตูนนำโชค เพื่อให้ความบันเทิงกับเด็ก หรือโปรโมทสินค้าต่าง ๆ เป็นเรื่องง่าย ๆ ...คุณอาจจะต้องคิดใหม่ หากพบว่า ขณะนี้ในญี่ปุ่นการเปิดโรงเรียนสอนแมสคอตอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน เว็บไซต์เทเลกราฟ รายงานว่า ประเทศญี่ปุ่นมีการเปิดโรงเรียนสอนแมสคอตแห่งแรกในโลกขึ้น โดยสถาบันแห่งนี้มีชื่อว่า โชโก กรุ๊ป ก่อตั้งโดย นางโชโก โอฮิระ ซึ่งจะสอนเกี่ยวกับศิลปะการแต่งกายและเทคนิคการเคลื่อนไหวของแมสคอต เพื่อตอบรับกับความนิยมในการใช้แมสคอตที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน

โดย นางโชโก โอฮิระ เปิดเผยว่า โรงเรียนแมสคอตโชโก เปิดสอนมาตั้งแต่ปี 2528 ซึ่งนับเป็นเวลา 27 ปีแล้ว ถือได้ว่าเป็นโรงเรียนแมสคอตแห่งเดียวในญี่ปุ่น และอาจจะเป็นแห่งเดียวในโลก เพราะแมสคอตของสวนสนุก อย่างดิสนีย์แลนด์ หรือสวนสนุกอื่น ๆ คนที่แสดงเป็นตัวแมสคอตจะได้รับการฝึกอบรมกันสด ๆ หน้างาน ไม่มีการสอนให้ล่วงหน้า แต่เธอหวังว่าจะสร้างตัวแมสค็อตที่มีความสมบูรณ์แบบทั้งการเคลื่อนไหวและบุคลิก

นางโชโก โอฮิระ กล่าวด้วยว่า สำหรับบทเรียนที่โรงเรียนแมสคอตโชโกสอน จะใช้เวลา 2 ชั่วโมง คิดค่าเรียน 2,200 เยน (ราว 820 บาท) นักเรียนจะได้เรียนรู้ทุกอย่าง ตั้งแต่การเต้นรำแบบพื้นเมืองของญี่ปุ่น ไปจนถึงท่าทางการเดินที่จะบ่งบอกอายุของตัวแมสคอต รวมไปถึงการแสดงท่าทางต่าง ๆ ให้เหมาะกับตัวแมสคอตแต่ละตัว เธอต้องการให้ผู้สวมใส่รู้สึกเป็นตัวการ์ตูนนั้นจริง ๆ และสามารถสร้างความสุขและสนุกสนานให้แก่เด็ก ๆ ทั้งนี้ นักเรียนที่มาเรียนมีประมาณ 25 คน เริ่มตั้งแต่คนที่อยากเรียนรู้เพื่อสร้างความสนุกสนานให้แก่คนทั่วไป กระทั่งการฝึกเพื่อเป็นอาชีพ










 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2555 8:53:39 น.
Counter : 2061 Pageviews.  

นอนกัดฟัน เกิดจากความเครียดหรือเปล่า



"กรอด กรอด" คนที่นอนกัดฟันคงมีอาการเจ็บกราม หรือฟันสึก ทางการแพทย์เรียกว่า Bruxismus ซึ่งผู้ที่นอนกัดฟันขณะนอนหลับมักไม่รู้ตัว

ทั้งนี้ ศจ.สเตฟาน โดริง ผอ.แผนกบรรเทาอาการผิดปกติทางจิตในการรักษาฟันของมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เมืองมุนส์เตอร์ ประเทศเยอรมนี กล่าวว่า
ผู้ที่นอนกัดฟันส่วนใหญ่เกิดจากความเครียด เช่น รถติดบนถนน สอบ หรือคร่ำเคร่งกับการทำงาน ที่พบบ่อยคือ เกิดจากความเครียด

ผู้ที่นอนกัดฟันส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 20-40 ปี ซึ่งมีภาวะเครียด นอกจากนี้
กรามที่ผิดส่วนก็มีส่วนทำให้นอนกัดฟันได้ หรือเกิดจากกระดูก เช่น ท่าทางที่ผิดสุขลักษณะ หรือมีปัญหากับข้อต่อกระดูกสันหลัง จึงส่งผลโดยตรงไปที่กล้ามเนื้อเคี้ยวอาหาร หากนอนกัดฟันบ่อย ๆ เมื่อตื่นนอนก็มักปวดกรามและปวดศีรษะ

หากสังเกตตัวเองว่า
นอนกัดฟันก็ควรไปพบทันตแพทย์ โดยหากเกิดจากทางจิตเวชก็ต้องพยายามหลีกหนีความเครียด สร้างความสงบในจิตใจ

นักวิชาการแนะนำว่า คนจะมีความสงบทางจิตใจได้เมื่อมีจุดมุ่งหมายที่เป็นจริงในชีวิต และในการทำงาน และนอนหลับอย่างเพียงพอ หาวิธีผ่อนคลายความเครียดที่เหมาะกับตัวเอง

ที่มา...Lisa




 

Create Date : 25 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2555 11:57:29 น.
Counter : 1879 Pageviews.  

ดื่มเบียร์...ไม่เกี่ยวกับความอ้วน



ทำไมต้องอ้วนเพราะเบียร์ เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไม่คนไทยถึงเปรียบเทียบคนที่มีหุ่นตุ้ยนุ้ยว่าอ้วนเหมือนตุ่มเหมือนโอ่ง แล้วทำไมฝรั่งมังค่าเขาถึงบอกว่าคนที่มีพุงพลุ้ยเนี่ยอ้วนเพราะเบียร์ แล้ววันนี้นักวิจัยกลุ่มหนึ่งเขาเกิดพบว่า การบอกว่าคนเรานั้นอ้วนเพราะเบียร์เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง

นักวิจัยจากอังกฤษและสาธารณรัฐเช็กเกิดนึกสงสัยในคำเรียกขานดังกล่าวจึงได้ทำการสำรวจชาวเช็กเกือบ 2,000 คน ซึ่งเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าชาวเช็กนั้นเป็นนักดื่มเบียร์ตัวยง เพราะปริมาณการดื่มเบียร์ของชาวเช็กต่อคนนั้นมากกว่าคนชาติอื่น แล้วคณะวิจัยก็ได้พบว่า
การมีพุงกับการดื่มเบียร์ปริมาณมากๆ ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ดังนั้นการบอกว่าคนเราจะอ้วนเพราะดื่มเบียร์จึงเป็นการไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ ดร.มาร์ติน โบบัค จากยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน (University College London) และคณะวิจัยจากอินสติติวต์ ออฟ คลินิกคอล แอนด์ เอ็กซ์เพอริเมนทอล เมดิซีน (Institute of Clinical and Experimental Medicine) ในกรุงปราก ได้ให้หญิง 1,098 คน และชาย 891 คน ที่มีอายุระหว่าง 25 ถึง 64 ปี ทำแบบสอบถาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา โดยไม่มีการกล่าวถึงเครื่องดื่มอื่นๆ ทั้งสิ้น

จากการสำรวจพบว่า ชายชาวเช็กจะดื่มเบียร์โดยเฉลี่ยราว 3.1 ลิตรต่อสัปดาห์ ขณะที่ผู้หญิงจะดื่ม 0.3 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยในจำนวนนี้มีชายอยู่ 3 คนที่ดื่มเบียร์อย่างหนัก คือดื่มราว 14 ลิตรต่อสัปดาห์ และมีหญิงเพียง 5 คนที่ดื่มถึง 7 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยก่อนและหลังการดื่มเบียร์ คณะวิจัยจะให้แพทย์วัดขนาดของเอว และสะโพก ชั่งน้ำหนัก และบันทึกดัชนีมวลรวมของอาสาสมัครไว้ตรวจสอบด้วย

และคณะวิจัยก็พบว่า การมีพุงไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มเบียร์เลยสักนิด โดยกล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้ของเขาชี้ให้เห็นว่า การกล่าวอ้างว่าคนอ้วนหรือมีพุงเพราะการดื่มเบียร์มากเกินไปจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ด้านนักวิจัยจากอิตาลีชี้ว่า ผู้ชายทุกคนมีแนวโน้มที่จะอ้วนลงพุงได้ ตามความผันแปรของยีนของแต่ละคน ขณะที่ไนเจล เดนบี จากสมาคมโภชนาการแห่งอังกฤษกล่าวว่า ผู้ที่ได้รู้ข่าวนี้ก็ไม่ควรวิ่งแจ้นเข้าผับเข้าบาร์หรือไปหาลานเบียร์เพื่อซดเบียร์ให้หายอยาก
เพราะไม่ว่าจะรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มชนิดใดก็ตามที่ผสมแอลกอฮอล์ก็สามารถอ้วนได้หากรับประทานมากเกินไป และหากต้องการดื่มจริงๆ ก็ควรดื่มแต่พอดี





ที่มา...บีบีซีนิวส์




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2555 8:59:45 น.
Counter : 2581 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.