ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

การโจรกรรมรถยนต์แบบต่างๆ และวิธีป้องกัน

ก่อนอื่นเลย มาดูว่าโจร เข้าไปในรถเราได้อย่างไร โจรต้องหาวิธีเข้าไปภายในรถยนต์ของเราให้ได้ก่อน ปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายวิธีได้แก่

1 กุญแจปลอม 
        ถ้าคนร้ายมีกุญแจเหมือนกับเรา ก็เปรียบเสมือนเป็นเจ้าของรถนั่นเอง วิธีการที่ผู้ร้ายจะได้กุญแจปลอมนั้นได้แก่ การแอบปั้มกุญแจเช่นเวลาที่เรานำรถไปจอดซ่อม ล้างอัดฉีด ซื้อรถจากโชว์รูม เต็นท์ขายรถมือสอง จากเจ้าของเก่าที่ไว้ใจไม่ได้ หรือที่นิยมสมัยนี้คือการติดต่อซื้อรถทางอินเตอร์เน็ต แล้วแอบมาปั้มลูกกุญแจเวลาเจ้าของเผลอ ซึ่งคนร้ายจะติดตามมาถึงบ้าน และที่จอดรถประจำเพื่อโขมย

2 เหล็กแข็งแทนกุญแจ 
        คนร้ายจะใช้เหล็กขนาดเท่ากุญแจรถแต่เป็นเหล็กแข็ง ส่วนมากจะดัดแปลงมาจากประแจหกเหลี่ยมมุมฉากสแตนเลสที่มีความแข็ง ตีเข้าที่รูกุญแจแล้วใช้แรงบิดจนชุดฟันเฟืองเสียหาย และหมุนจนตัวล็อคเปิดออก เป็นอีกวิธีหนึ่งที่คนร้ายชอบใช้กัน

3 ใช้ลวดแข็งเกี่ยวตัวล็อคประตู 
        ถ้าใครเคยลืมกุญแจไว้ในรถแล้วเรียกช่างมาปลดล็อคกุญแจจะเคยเห็นว่า ช่างจะใช้ลวดเชื่อมยาวๆเบอร์แข็งๆ ดัดทำเป็นตัวยู งัดยางรีดน้ำประตูออก และใช้ลวดแยงเข้าไปให้ตะขอเกี่ยวกับปุ่มกดล็อคให้เด้งขึ้น เสมือนมีคนอยู่ในรถแล้วดึงปุ่มเปิดประตูขึ้น หรือใช้ฟุตเหล็กแยงให้ตรงกับคันชักกลอนประตูให้เด้งลง หรือใช้ลดแยงทางมือเปิดประตูเพื่อมาดันตัวกดล็อกให้เด้งขึ้น วิธีนี้ถ้าช่างที่มีความชำนาญจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

4 งัดประตูหูช้าง 
       พวกรถกระบะแค็บที่มีประตูหูช้าง โจรจะใช้ลวดแข็งมากๆงอเป็นตัวยู สอดเข้าไประหว่างกระจกแค็ปแล้วงัดแรงๆ กระจกจะเปิดออก แล้วจะงัดตัวล็อคให้หัก ใช้มือเอื้อมมาเปิดตัวล็อคประตู บางคนคิดว่ากระจกบานนี้น่าจะแข็งแรงแต่ถ้าคุณลองงัดดู จะต้องเปลี่ยนใจว่า มันไม่ยากอย่างที่คิด

5.ใช้น้ำกรด 
      โจรจะใช้น้ำกรดชนิดเข้มข้นใส่เข็มฉีดยา หยดไปตามรูกุญแจเพื่อทำลายชุดฟันเฟือง และสปริงเล็กๆในแม่กุญแจ แบบนี้ยังนำมาใช้ภายในรถพวกล็อคพวงมาลัย ล็อคเกียร และล็อคครัชได้อีกด้วย

6. ทุบกระจกประตูหรือกระจกหูช้าง 
       โจร จะใช้เหล็กแหลมคม ค่อยๆกะเทาะกระจกจนเกิดรอยร้าว ใช้ผ้าปิดป้องกันเสียง จนกระจกแตกออกทั้งบาน ใช้มือล้วงเปิดตัวล็อคกุญแจออก คราวนี้ก็ถือเป็นการง่ายแล้วถ้าจะเข้าไปในรถของท่าน

7. ช็อตวงจรไฟฟ้า 
       บางท่านคิดว่าใช้กุญแจรีโมตแล้วปลอดภัยแน่ แต่จริงๆแล้วกลับง่ายต่อการต่อรัดวงจรไฟฟ้า เช่นวงจรไฟเลี้ยว ในชุดรีโมตแบบธรรมดา หรือถ้าเป็นรถยุโรปด้วยแล้วกลับเป็นเรื่องง่าย ตัวล็อคจะเด้งหลุดทันที

8. จูนสัญญาณจากรีโมต 
        เวลาจอดรถในห้างสรรพสินค้าพอเรากดรีโมตล็อคปุ๊ป คนร้ายก็จะมีเครื่องมือมาจับความถี่สัญญาณ แล้วหาก็อปปี้ความถี่มาใช้ยิงเปิดประตูได้เลย แบบนี้ถือว่าเป็นระบบที่อันตรายมาก

9. ยกรถ 
       บางครั้งแล้วคนร้ายอาจใช้วิธีเอารถยกมายกไปเลย แบบนี้อย่าคิดว่าขำครับ เป็นวิธีที่โจรบางพวกนิยมใช้กัน เมื่อยกรถแล้วจะหาทางเข้าที่เปลี่ยวๆ แล้วปลดล็อคต่างๆกันต่อไป

10. จี้หรือปล้น 
       อย่างที่เคยได้ยินกันตามหน้าหนังสือพิมพ์นี่หละครับ เช่นการวางเรือใบ ดักซุ่มในที่เปลี่ยว ล่อลวงต่างๆ แต่ที่เห็นเป็นประเด็นร้อนอย่างการลวงซื้อรถทางอินเตอร์เน็ต แล้วขอนัดดูในที่เปลี่ยว แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้มาขอซื้อรถหรอกครับ แต่อาจจะขอไปใช้กันฟรีๆเลยก็ได้

และขโมยสมัยนี้ มันให้เราปลดล๊อครถ และสต๊าทรถให้มันพร้อม แล้วมันค่อยขโมยครับ เช่น
1. จอดติดไฟแดง ท่านลืมล๊อคประตูอีกข้าง มันเดินมาเปิดประตู เข้ามานั่งข้างท่าน จี้เอารถท่านไป
2. จอดปั๊มน้ำมัน ไม่ดับเครื่อง เดินเข้าไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ โจรเข้ารถ ขับไปชิวๆ
3. หาอะไรวางหนุนล้อรถในห้าง เจ้าของรถมองไม่เห็น เวลาถอยรถ งง ทำไมมันถอยไม่ได้ ลงมาดู ขโมยก็ขึ้นรถ ล็อคเรียบร้อย ขับรถท่านไปชิวๆ
4. รอท่านอยู่ฝั่งประตูคนนั่งข้าง พอท่านขึ้นรถ กำลังสต๊าทเครื่อง มันก็เปิดขึ้นมานั่งข้างๆ แล้วจี้บังคับท่านไปส่งท่านลงข้างทาง
5. ขับรถที่เปลี่ยว เจอสิ่งกีดขวาง ท่านต้องลงไปเอามันออก ขโมยมันก็เดินมาขึ้นรถท่านแล้วขับไป  หรือมีขโมยหลายคนมันก็จี้เลย
6. ขอร่วมทาง แล้วจากนั้น........
7. ปลอมเป็นตำรวจเรียกท่านจอด ให้ท่านลงรถ แล้วมันก็ขับไป
8. ชนท้ายท่าน ท่านลงรถ ขโมยอีกคนเดินไปขับรถท่าน จากไป

เมื่อเข้ารถได้แล้วโจรมักจะทำอย่างไร

1. งัดคอพวงมาลัย เพื่อเป็นการปลดล็อคระบบบังคับเลี้ยว โจรจะถอดคอพวงมาลัยแล้วใช้อุปกรณ์งัดหูล็อคคอกุญแจหรือตัดกุญแจล็อคคอที่เป็นตะกั่วให้หลุดออกจากแกนพวงมาลัย แค่นี้ระบบล็อคคอก็จะหลุดออกอย่างรวดเร็ว

2. ใช้เลื่อยตัด ถ้าเรามีกุญแจล็อคคันเกียร หรือล็อคพวงมาลัย อย่าพึ่งหลงคิดว่าโจรจะใช้เวลามากเพราะล็อคเกียร หรือล็อคพวงมาลัยราคาถูก ก็เปรียบเสมือนเครื่องประดับรถสำหรับโจรแค่นั้นเอง อย่างในรูปล็อคเกียรนั้นจับเวลาในการตัดได้ไม่กี่นาทีเท่านั้น

3. ใช้น้ำกรด โจรจะใช้น้ำกรดชนิดเข้มข้น หยอดไปตามรูกุญแจต่างๆจนเสียหาย และหลุดออก

4. ช็อตวงจรไฟฟ้า และต่อสายตรง คนร้ายส่วนมากจะมีการฝึกฝนและศึกษาวงจรกันขโมยของแต่ยี่ห้อแต่ระรุ่นมาเป็นอย่างดี คนร้ายอาจใช้เวลาไม่นานในการต่อสายตรงแล้วสตาร์ทเครื่องหลบหนีได้อย่างรวดเร็ว

ขโมยแล้วเอาไปไหน

1. ส่งขายประเทศเพื่อนบ้าน 
         แนวทางของคนร้ายถ้าเป็นรถใหม่ก็จะนำส่งประเทศเพื่อนบ้าน แรกๆก็แปลกใจว่าถ้าจะข้ามตะเข็บชาย แดนก็มีทหาร ตำรวจสกัดด่านไว้หมด แล้วมันเอาไปได้ไง ที่เคยเห็นก็เป็นวิธีเอาลงแพ แล้วใช้ไม่ลวกถ่อข้ามแม่น้ำไป ราคาขายในประเทศเพื่อนบ้านไม่เกินหลักแสนบาท

2. แยกขายเป็นอะไหล่มือสอง 
         ถ้าเป็นรถเก่าหน่อยคนร้าย ก็จะนิยมเอามาแยกขายอะไหล่แบบเชียงกงบ้านเรา ถ้าสังเกตกันดีๆมีหลายร้านที่มีอะไหล่ทั้งนอกและในบ้านเราผสมอยู่ก็ไม่น้อย หรือนำไปซ่อมขาย ลักษณะพวกนี้จะทำงานเป็นออเดอร์สั่งมาเลย อยากได้รุ่นไหน สีอะไรเป็นต้องได้ พวกนี้จะนำมาแยกชิ้นส่วนแล้วนำมาซ่อมรวมกับรถที่เกิดอุบัติเหตุแบบสาหัส ที่ต้องการอะไหล่แบบครึ่งคันหรือใช้เกือบทั้งคันเลยก็มี

3. สวมทะเบียน 
         อีกแบบก็นำมาสวมกับทะเบียนรถอุบัติเหตุแบบซ่อมไม่ได้แล้ว ใช้แค่ทะเบียนกับหมายเลขตัวถังและหมายเลขเครื่องเดิมนำมา ต่อใส่แล้วเก็บสีให้สวยก็ขายได้แล้ว สมัยนี้ช่างฝีมือ และเทคนิคใหม่ๆมีเยอะ ขนส่งยากที่จะจับได้

4. ทำทะเบียนปลอม 
         แบบสุดท้ายใช้รถแบบนั้นเลยแล้วทำทะเบียนปลอมขึ้นมา (จากขนส่ง) สามารถต่อทะเบียนวิ่งได้ทุกปี จนถึงปีที่ 6 ต้องตรวจ ต.ร.อ. ก็ไม่สามารถทำได้เพราะกลัวตรวจสอบเจอ ก็นำไปแยกขายอะไหล่อีกที

แล้วเรามีวิธีป้องกันรถหายกันได้อย่างไร

ใช้อุปกรณ์ป้องกันขโมย ในปัจจุบันมีคนพัฒนาอุปกรณ์เพื่อมาหยุดยั้งการโจรกรรมรถยนต์ออกมาขายมากมายไปหมด มาดูตัวอย่างระบบกันขโมยที่นิยมใช้กันในปัจุบัน

1. ล็อคเกียร แทบเป็นอุปกรณ์ที่แถมมากับโรงงานเลย แนะนำให้ใช้ยี่ห้อที่มีเชื่อเสียง วัสดุเป็นสแตนเลส หรือเหล็กกล้าอย่างดี ถ้าเป็นแบบของแถมราคาถูกต้องขอบอกตรงๆครับว่าเหมือนของประดับรถมากกว่า

2. ล็อคพวงมาลัย เป็นอุปกรณ์ที่ดี โจรต้องใช้เวลาในการปลดล็อคเพิ่มขึ้น โจรอาจใช้วิธีขันพวงมาลัยออกมาปลดล็อค หรือตัดพวงมาลัยออกแบบพวงมาลัยเครื่องบินแล้วขับหนีกันไปแบบนั้นเลย

3. ล็อคเบรคครัช เป็นแบบที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ผลิตกันมามากมายหลายยี่ห้อ การล็อคแบบนี้จริงๆแล้วถือเป็นการป้องกันแบบทีมีประสิทธิภาพมาก บางรุ่นคนร้ายอาจต้องใช้แก็สตัดเพื่อปลดล็อคเลยก็ได้

เทคโนโลยีล่าสุดในการป้องกันขโมยรถยนต์แบบต่างๆ

1.ระบบ ควบคุมการล็อคประตูแบบไร้สาย (Wireless Door-lock Remote Control System) 
        เป็นระบบที่ใช้รีโมตควบคุมระยะไกล ใช้เคลื่อนความถี่สูงระดับ FM ส่งรหัส ID Lock จากตัวแม่ Master เข้าสู่กล่องควบคุม ECU ระบบนี้จะใช้รหัสโค้ด 10 ตัว เพื่อเข้ารหัสในการปลดล็อคกุญแจ ถ้ารหัสผิดกล่องจะทำการตัดสัญญาณ ต้องใช้กุญแจไขเท่านั้น และยังคอยรับอาการผิดปกติที่เกิดกับรถยนต์ทุกรูปแบบ

2. ระบบป้องกันการสตาร์ทเครื่องยนต์ (Engine Immobilizer System) 
       ระบบนี้จะอาศัยแผ่นโค๊ด (Transponder Chip) ที่ฝังอยู่ในลูกกุญแจ เมื่อนำลูกกุญแจเสียบเข้าสู่แม่กุญแจ จะมีการส่งสนามแม่เหล็กจากตัวแม่ มาสู่ตัวลูก เพื่อเปรียบเทียบโค๊ด ถ้ารหัสผิดกล่องคอมพิวเตอร์จะตัดสัญญาณการสตาร์ทเครื่องยนต์ทันที และไม่สามารถสตาร์ทอีกใหม่อีกได้ ระบบนี้ถ้าเจ้าของรถบางคันคาดไม่ถึง เอาลูกกุญแจสำรองที่ทำปั้มเองมาไข จะไม่สามารถสตาร์ทเครื่องได้ ต้องลากรถกลับเข้าไปแก้โค๊ดที่ศูนย์ทุกรายครับ

3. ระบบ TDS หรือระบบส่งสัญญาณด้วยเสียง 
        ระบบนี้จะทำงานเมื่อมีการกดรีโมตล็อคประตู ซึ่งระบบจะมีเซนเซอร์จับสัญญาณ เสียงสั่นสะเทือน เพื่อป้องกันการทุบกระจกรถ การเปิดประตูโดยไม่ใช้รีโมต การถอดขั้วแบตเตอร์รี่ ระบบจะส่งสัญญาณเสียงทันที ด้วยตัวกำเนิดสัญญาณเสียงแบบมีแบตเตอร์รี่ในตัว หรือบางรุ่นใช้ต่อพ่วงกับแตรรถยนต์ให้เกิดเสียงดัง ซึ่งต้องใช้รีโมตเป็นตัวหยุดการทำงานเท่านั้น

4. แบบอื่นๆ 
        เทคโนโลยีการป้องกันรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เช่นระบบติดตามรถยนต์ที่ถูกโจรกรรม ด้วยเรดาร์นำทาง GPRS ที่จะมีตัวส่งสัญญาณให้ทราบได้เลยว่า ขณะนี้รถที่ถูกขโมยวิ่งอยู่ที่ไหน ระบบจะประสานงานกับ GPRS ของตำรวจเพื่อติดตาม หรือจะเป็นระบบที่ปล่อยควันหมอกออกมา ให้โจรตกใจและรีบหลบหนีไป และระบบที่เมื่อรถถูกขโมย ระบบจะส่งสัญญาณมายังโทรศัพท์มือถือของเจ้าของรถ ว่ารถกำลังถูกขโมย เพื่อให้เจ้าของรีบโทรแจ้งตำรวจมาสกัดจับได้ต่อไป

ดูแลและป้องกัน

  1. การหาที่จอดรถ ไม่ควรจอดในที่เปลี่ยว ลับตาคน หรือจอดค้างคืนไว้เป็นเวลานานจนคนร้ายขโมยได้ง่าย
  2. ป้องกันการถูกปั้มกุญแจ เช่นเวลานำรถไปซ่อมตามอู่ที่ไม่น่าเชื่อถือ ล้างอัดฉีด ขอดูรถซื้อขาย และวิธีอื่นๆที่โจรอาจจะใช้เวลาที่เราเผลอแอบปั้มลูกกุญแจและสะกดรอยตาม เวลานำรถไปซ่อม หรือล้าง ควรทิ้งไว้เฉพาะกุญแจรถเท่านั้น กุญแจล็อคแบบอื่นๆ ต้องเก็บไว้ให้หมด
  3. ป้องกันการถูกล่อลวง เช่นการขอซื้อรถยนต์ หรือการนัดพบในที่เปลี่ยว หรือในที่ที่ก่อให้เกิดอันตราย
  4. เป็นหูเป็นตาให้กับตำรวจ ถ้าพบเห็นบุคคลที่มีพฤติกรรม หรือกำลังโจรกรรมให้รีบแจ้งเพื่อจับกุม

เมื่อรถหายแล้วควรทำอย่างไร

  1. แจ้ง จส.100 สายด่วนรถหายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-7119160 เพื่อออกอากาศในสถานีวิทยุเพื่อมีผู้ที่เห็นรถที่หายขับอยู่บนท้องถนน
  2. โทรแจ้ง ศปร.ตร ที่เบอร์ 1192 เพื่อความรวดเร็วในการกระจายข่าวไปในทุกหน่วยงานในพื้นที่
  3. แจ้งความที่โรงพัก และสถานีตำรวจใกล้บ้านให้รวดเร็วที่สุด เพื่อตำรวจได้รีบออกติดตามคนร้าย
  4. บอกต่อเพื่อนฝูง คนสนิทที่รู้จักทั้งหมด ให้รีบกระจายข่าวเพื่อไล่ออกติดตาม
  5. ติดตาม และ สอดส่องในจุดที่สันนิฐานว่าคนร้ายใช้เส้นทางใดหลบหนี หรือพบเห็นบุคคลต้องสงสัย ให้รีบแจ้งความดำเนินคดี
ที่มา: //www.softbizplus.com/general/734-types-of-car-theft-and-how-to-prevent




 

Create Date : 20 มีนาคม 2556    
Last Update : 20 มีนาคม 2556 0:09:59 น.
Counter : 3107 Pageviews.  

ตั๊กแตนสวยที่สุดในโลก




Mantis ตั๊กแตนตำข้าว หากบอกว่า ตั๊กแตนตำข้าว เป็น ตั๊กแตนที่สวยที่สุดในโลก หลายคนคงร้องยี้ ไอ้ตัวเขียวเก้งก้างๆ มีขาหน้าเป็นเคียว มันสวยตรงไหน ? ก็คงจะจริง แต่ บางสายพันธุ์ของตั๊กแตนตำข้าวนั้น เพื่อเป็นการพรางตัว ให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม จึงนำไปสู่ความงามดังจะปรากฏดังต่อไปนี้


ข้อมูลเฉพาะ ของ ตั๊กแตนตำข้าวกล้วยไม้มาเลเซีย

Malaysian orchid mantis ตั๊กแตนตำข้าวกล้วยไม้มาเลเซีย เป็นชื่อที่ใช้เรียกโดยทั่วไป ส่วนชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ ” Hymenopus coronatus “

พบได้ทีประเทศมาเลเซีย( Malaysia ) อินโดนีเซีย( Indonesia ) และในป่าฝนของสุมาตรา ( Sumatran )

อาศัยอยู่ ดอกของต้นมะละกอ ดอกกล้วยไม้ ดอกต้อน Frangipani

ในช่วงยังไม่โตเต็มวัยอาหารหลักคือ แมลงวันผลไม้ แต่เมื่อโตเต็มวัย พวกมันสามารถกินทุกอย่างที่มันจับได้ รวมถึงกิ่งก่าตัวเล็ก โดยหลักพวกมันเป็นสัตว์กินเนื้อ แต่พวกมันยังกินกล้วย บ้างเล็กน้อยเพื่อเป็นการเสริมวิตามิน และโพแทสเซียม

พวกมันมีขาทั้งสีที่ใช้เดินมีลักษณะเหมือนกลีบดอกไม้

สีร่างกายจะปรับเปลี่ยนไปตามถิ่นที่อยู่ มีทั้งสีชมพู สีขาว ทำให้พวกมันเป็น ตั๊กแตนที่สวย ที่สุดในโลก









 

Create Date : 19 มีนาคม 2556    
Last Update : 19 มีนาคม 2556 8:21:33 น.
Counter : 3472 Pageviews.  

บ่องตง-ศัพท์ฮิตติดแชทของวัยรุ่นสังคมออนไลน์-2013




"บ่องตง" ใครไม่รู้จักศัพท์นี้ อาจเดาได้ว่าไม่ได้เล่น "เฟสบุ๊ค" หรือ "ทวิตเตอร์"

เพราะตอนนี้ว่า "บ่องตง" ที่มาจากคำว่า "บอกตรง ๆ" กลายเป็นคำศัพท์ที่หลาย ๆ คนใช้ในโลกออนไลน์ไปแล้ว ซึ่งไม่ต่างจากคำศัพท์อื่น ๆ

เช่น เมพขิง ๆ ,จุงเบย, ดราม่า ,ฟิน รวมไปถึงวลีเด็ดต่าง ๆ อย่าง แก่ใจดีสปอต หรือ เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่ ที่เคยเป็นคำยอดฮิตเมื่อปี 2012

ทั้งนี้ ยังไม่ทราบที่มาของคำว่ามาจากการพิมพ์ผิด, การลดทอนคำหรือไม่ อย่างไร

 นอกเหนือจากคำว่า "บ่องตง" แล้วยังมีการแชร์ภาพของคำศัพท์ที่ลักษณะคล้าย ๆ กัน ในสังคมออนไลน์ คือมีการลดคำทอนคำ จากยาว 2 พยางค์ให้เหลือ 1 พยางค์ หรือ 3-4 พยางค์ให้เหลือ 2 พยางค์ เช่น ช่ะ จาก ใช่ป้ะ ที่มาจาก ใช่หรือปล่าว อีกทีหนึ่ง, อัลไล จาก อะไร, น่าร็อค จาก น่ารัก, ชิมะ จาก ใช่มะ ที่มาจาก ใช่มั้ย อีกทอดหนึ่ง เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีหลาย ๆ คนที่มีได้ขึ้นสถานะ หรือสเตตัส การนำคำศัพท์นั้นมาล้อเลียน รวมไปถึงใช้คอมเม้นด้วยความว่า "บ่องตง" ขณะที่บางคนแสดงความเห็นถึงการใช้คำดังกล่าว รวมถึงคำอื่น ๆ ว่า ควรใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ขณะเดียวกันวงคาวบาวยังผลงานเพลงชื่อว่า "บ่องตง" ออกมาอีกด้วย

ทั้งนี้ น.ส.สุปัญญา ชมจินดา ผู้อำนวยการกรมวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน ที่ระบุว่า ภาษามีการเปลี่ยนแปลงและสามารถเกิดคำศัพท์ใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา ถือเป็นปกติอย่างยิ่ง หากแต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีด้านการสื่อสารคอยช่วยให้คำเหล่านั้นเผยแพร่เร็วขึ้น จึงก่อให้เกิดการใช้วงกว้าง และส่งผลให้รู้สึกว่ามีคำศัพท์เกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก แต่การใช้คำก็ยังคงจำกัดอยู่ในการสื่อสารเฉพาะกลุ่มอยู่ดี เช่น เพื่อนกับเพื่อน  เช่นเดียวกับ ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เคยให้สัมภาษณ์ ถึงประเด็นการใช้คำศัพท์ยอดฮิตของวัยรุ่นไว้ว่า ที่จริงแล้วภาษาไทยมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และไม่ถือว่าเป็นภาษาวิบัติ แต่ควรมีการใช้อย่างถูกกาละเทศะ และต้องไม่ลืมว่า คำศัพท์เหล่านั้นมาจากที่ใด เขียนอย่างไร

ขอบคุณ //news.thaipbs.or.th




 

Create Date : 18 มีนาคม 2556    
Last Update : 18 มีนาคม 2556 8:18:34 น.
Counter : 2423 Pageviews.  

วิธีสังเกตอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด



อาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด สามารถแบ่งอาการออกได้เป็น 3 ระดับ คือ
ระดับที่ 1 มีอาการเจ็บหน้าอกขณะออกแรง โดยมักเจ็บหน้าอกแบบแน่นๆ บีบๆ หรือหนักๆ ที่หน้าอกตรงกลางหรือหน้าอกด้านซ้าย โดยอาการเจ็บหน้าอกอาจร้าวไปที่ขากรรไกรล่าง กราม หัวไหล่ หรือท้องแขนด้านซ้ายหรือทั้งสองข้างก็ได้ และมักเป็นอยู่ไม่นานประมาณ 5ถึง 10นาที อาการมักจะดีขึ้นหรือหายไปได้เมื่อหยุดพัก
ระดับที่ 2 มีอาการเจ็บหน้าอกขณะพัก และอาการเจ็บหน้าอกมักจะเป็นรุนแรงมากขึ้น เป็นนานมากขึ้นประมาณ 10 ถึง 20 นาที และเป็นบ่อยครั้งขึ้นกว่าเดิม โดยอาการอาจทุเลาลงได้เมื่อหยุดพักหรืออาจไม่ดีขึ้น แต่ตรวจไม่พบมีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจ
ระดับที่ 3 มีอาการเจ็บหน้าอกขณะพัก โดยมักมีอาการเกิดขึ้นทันทีทันใด อาการเจ็บหน้าอกมักเป็นรุนแรงและเป็นนานกว่า 30 นาทีขึ้นไป โดยมักมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เหงื่อแตก ใจสั่น หายใจไม่สะดวก หน้ามืดหรือเป็นลม และตรวจพบว่ามีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจร่วมด้วย ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างรีบด่วนเนื่องจากมีอาการรุนแรงและเฉียบพลัน ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
            ดังนั้น ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรสังเกตอาการของตนเองว่า มีลักษณะอาการที่อาจบ่งชี้ว่ามีโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดร่วมด้วยหรือไม่ และควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม ถ้ามีอาการผิดปกติดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงระดับที่ 3ควรได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและทันท่วงที เนื่องจากอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเสียชีวิตได้
            และถ้าพบคนหมดสติจากภาวะฉุกเฉินทางหัวใจ ผู้ที่ให้การช่วยเหลือผู้ป่วยควรตะโกนเรียกให้ผู้อื่นที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวมาร่วมให้การช่วยเหลือผู้ป่วยก่อนเป็นลำดับแรก ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติดังนี้
- ผู้ที่ให้การช่วยเหลือเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ทางการแพทย์อยู่เลย : อาจให้การช่วยเหลือผู้ป่วยโดยโทรศัพท์ไปที่เบอร์ 191หรือ เบอร์หน่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาลเพื่อให้มาทำการช่วยเหลือผู้ป่วยโดยทันทีทันใด หรือรีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก่อนถ้าต้องใช้ระยะเวลานานในการรอเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินที่จะมาให้การช่วยเหลือผู้ป่วยในที่เกิดเหตุ
- ผู้ที่ให้การช่วยเหลือที่เคยผ่านการฝึกอบรมเกี่ยวกับการช่วยเหลือคนหมดสติมาบ้างแล้ว : ควรทำการช่วยเหลือผู้ป่วยโดยพิจารณาดูว่า ผู้ป่วยยังหายใจได้เองเพียงพอหรือไม่ และคลำชีพจรที่บริเวณคอข้างใดข้างหนึ่งของผู้ป่วยเพื่อดูว่าผู้ป่วยยังมีชีพจรเต้นอยู่หรือไม่ ถ้าผู้ป่วยไม่มีชีพจรเต้นให้เริ่มทำการบีบนวดหัวใจโดยกดที่บริเวณหน้าอกด้วยสันมือทั้งสองข้างทันที โดยกดลึกลงไปประมาณ 1ถึง 1 นิ้วครึ่ง ด้วยอัตรา 100 ครั้งต่อนาที จนกว่าจะนำผู้ป่วยส่งถึงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสาร Hospital Healthcare ปีที่ 5 ฉบับที่ 45 ประจำเดือนมิถุนายน 2554


ที่มาข้อมูล villagefund.or.th
ที่มารูปภาพ siamhealth.net





 

Create Date : 15 มีนาคม 2556    
Last Update : 15 มีนาคม 2556 8:22:06 น.
Counter : 1783 Pageviews.  

ข้าวโพดต้มดีมีประโยขน์



เราเคยเชื่อกันว่าผักผลไม้ดิบสดจากธรรมชาติจะมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าที่เอามาหุงต้ม และหลายคนเข้าใจว่าการต้มข้าวโพดต้องต้มเร็วๆ พอสุก ไม่ต้มนานๆ

แต่นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยคอร์เนล ทำให้ความเชื่อนั้นเริ่มสั่นคลอน เมื่อรายงานว่า การกินข้าวโพดต้มสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและมะเร็งได้ นักวิจัยพบว่า การต้มทำให้ข้าวโพดปล่อยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ออกมาหลายตัว และที่สำคัญตัวหนึ่งที่ชื่อว่า กรดเฟอรูลิก (Ferulic acid)

กรดเฟอรูลิกสำคัญอย่างไร
กรดเฟอรูลิกเป็นกรดอินทรีย์
เป็นสารสำคัญที่เป็นตัวช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมีประสิทธิภาพ กรดเฟอรูลิกเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงถูกใช้สำหรับต่อต้านการแก่ (aging) ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัด รักษาสุขภาพของกล้ามเนื้อ ต่อต้านผลกระทบจากรังสีอัลตราไวโอเลต (จึงป้องกันมะเร็งผิวหนังได้)

กรดเฟอรูลิก เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากในเนื้อเยื่อของคนเวลาที่คนเราออกกำลังร่างกาย โดยเฉพาะการออกกำลังชนิดแอโรบิก ซึ่งมีการใช้ออกซิเจนมากในร่างกาย นั่นคือ เกิดออกซิไดส์(Oxidize) หรือเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation)

ในร่างกายคน คำว่า ออกซิไดส์ หรือ ออกซิเดชัน หมายถึง ปฏิกิริยาจากออกซิเจน นั่นเอง การออกซิไดส์ในร่างกาย ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจง่ายๆ ก็ทำนองเดียวกับการเกิดสนิมเหล็กที่ตัวถังรถยนต์นั่นเอง การเกิดสนิมเป็นปฏิกิริยาออกซิไดส์ที่เหล็กสัมผัสกับออกซิเจนและความชื้นในอากาศ และกลายเป็นสนิม และในที่สุด รถก็จะผุพังไป ร่างกายคนเราก็เช่นเดียวกัน มีการออกซิไดส์เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ยิ่งมีการใช้ออกซิเจนมาก ยิ่งมีการออกซิไดส์มาก

ปกติธาตุออกซิเจนเป็นธาตุที่ขาดไม่ได้สำหรับชีวิต แม้กระนั้นก็ตามออกซิเจนในบางรูปก็อาจเป็นอันตรายได้ โมเลกุลของออกซิเจนปกติ (ออกซิเจนดี) จะมีอิเล็กตรอนอยู่กันเป็นคู่ ทำให้เป็นโมเลกุลของออกซิเจนที่คงตัว แต่ถ้าออกซิเจนมีการสูญเสียอิเล็กตรอน ทำให้อิเล็กตรอนขาดคู่ จะไม่คงตัว เรียกว่า อนุมูลอิสระ (ออกซิเจนตัวร้าย) ที่เรียกว่าเป็นตัวร้ายเพราะมันไม่เสถียร จึงเคลื่อนที่พล่านไปเพื่อหาอิเล็กตรอน และฉกเอาอิเล็กตรอนจากเซลล์อื่นๆ และเข้าไปเกาะอยู่กับเซลล์ ก็ทำให้โมเลกุลในเซลล์นั้นกลายเป็นอนุมูลอิสระที่มีออกซิเจนเป็นแกน ถ้ามีมากจะทำลายเซลล์ในเนื้อเยื่อ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า กระบวนการนี้คือ กระบวนการแก่ (Aging process) ของคนนั่นเอง

เวลาที่คนเราออกกำลังกาย ถ้าอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น ไม่ได้ถูกกำจัดออก จะก่อให้เกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อล้า ไม่สามารถเล่นต่อไปได้ ปวดกล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้ออักเสบได้  กรดเฟอรูลิกในร่างกายจะทำหน้าที่กำจัดออกซิเจนตัวร้ายทันทีที่เกิดขึ้น โดยการจัดส่งอิเล็กตรอนให้ทันที จึงไม่สามารถไปฉกเอาอิเล็กตรอนจากเซลล์ของเนื้อเยื่อ อาการผิดปกติต่างๆ จึงไม่เกิดขึ้น

ดังนั้น การออกกำลังกายก็ต้องมีข้อควรระวังด้วย ไม่ใช่ออกกำลังกายอย่างเดียว แต่ต้องเตรียมสุขภาพและกินอาหารที่ดีด้วย คนที่มีสุขภาพไม่ได้ ขาดสารอาหารหรืออ่อนแอ ควรออกกำลังได้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น และต้องมีการเตรียมตัวในด้านอาหารและโภชนาการด้วย

เมื่อเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเกิดการออกซิไดส์ในร่างกาย ร่างกายก็ต้องมีกลไกในการควบคุม เหมือนกับที่เราป้องกันไม่ให้เหล็กเป็นสนิม หรือไม่ให้ผุก่อนเวลาอันควร ร่างกายคนจึงมีสารกำจัดอนุมูลอิสระ หรือบางทีเรียกว่า สารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือสารที่ทำหน้าที่จัดส่งอิเล็กตรอนให้ออกซิเจนตัวร้าย เพื่อให้เป็นออกซิเจนตัวดีนั้นเองตามสภาวะที่ถือว่าเป็นอุดมคติ (คือ กินอาหารถูกต้องสมบูรณ์ สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีพิษภัย อากาศดี) ร่างกายก็จะมีสารกำจัดอนุมูลอิสระอยู่แล้วโดยธรรมชาติ และจะไม่ปล่อยให้อนุมูลอิสระเพ่นพ่านในร่างกาย

แต่ความเป็นจริงที่เราต้องเผชิญในชีวิตจริงนั้น อุดมคติเหล่านั้นไม่มีเหลืออยู่แล้ว กลับมีแต่สิ่งที่ส่งเสริมการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่าผลิตภัณฑ์ที่เราใช้กันเกือบทุกชนิด เป็นแหล่งส่งเสริมการเกิดอนุมูลอิสระ ไม่ว่าจะเป็นไอเสียรถยนต์ ควันบุหรี่ สารพิษฆ่าแมลง แม้กระทั่งสเปรย์ระงับกลิ่นตัว หรือยารักษาโรคที่เรากินตามแพทย์สั่ง ก็เป็นสารส่งเสริมอนุมูลอิสระทั้งสิ้น

ในข้าวโพดหวานตามธรรมชาติ จะมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์อยู่ และมีตัวที่สำคัญคือ กรดเฟอรูลิกในข้าวโพดดิบจะแฝงตัวอยู่ในผนังเซลล์ของพืช อยู่ในรูปของกลูโคไซด์ (คือ สารที่น้ำตาลกลูโคสเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ข้าวโพดหวาน) เมื่อข้าวโพดถูกต้มนานๆ สารแอนตี้ออกซิแดนท์และกรดเฟอรูลิกจะถูกปลดปล่อยออกมาเป็นอิสระ

นักวิจัยพบว่า ถ้าต้มข้าวโพดยิ่งนาน ปริมาณของสารแอนตี้ออกซิแดนท์จะถูกปล่อยออกมามากขึ้น

ถ้าต้มข้าวโพดที่ 115 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาที ปริมาณของสารแอนตี้ออกซิแดนท์จะเพิ่มขึ้น 21% ถ้าต้ม 25 นาที จะได้สารแอนตี้ออกซิแดนท์เพิ่มขึ้น 44% และถ้าต้ม 50 นาที จะได้เพิ่มถึง 53% แต่เมื่อวัดปริมาณเฉพาะกรดเฟอรูลิกที่ถูกปล่อยออกมาพบว่า กรดนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 240% (เมื่อต้ม 10 นาที), 550% (เมื่อต้ม 25 นาที) และ 900% (เมื่อต้ม 50 นาที)

คนจำนวนมาก ชอบกินข้าวโพดหวานดิบ เพราะเชื่อว่ามีสารอาหารครบถ้วนสมบูรณ์ดี หลายตนชอบต้มเพียงพอสุก เพราะเกรงความหวานจะหายไป ผลงานวิจัยนี้เสนอแนะให้ทราบว่า ข้าวโพดต้มมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก ในแง่ของการให้สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ แม้ว่าวิตามินบางตัว เช่น วิตามินซี จะหายไปบ้าง อย่างไรก็ตามข้าวโพดก็ไม่ใช่แหล่งที่ดีสำหรับวิตามินซีอยู่แล้ว

จะเห็นว่า ข้าวโพดต้มจะมีคุณค่ามากกว่าที่เราคิดมากมายนัก และปู่ ย่า ตา ยาย ได้พาเรากินกันมานานแล้ว แต่พวกฝรั่งเริ่มจะมารู้จักกินกันไม่นานนัก แต่น่าเสียใจที่เด็กๆ ของเรา โดยเฉพาะเด็กเล็กไม่รู้จักกินของพวกนี้ เพราะสังคม (จากการโฆษณาและสื่อ) จะสอนให้เด็กกินแต่กากของข้าวโพด เช่น ของอบกรอบ ของเค็มปรุงแต่งรสทั้งหลายซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่เป็นผลดีเลยสำหรับสุขภาพของเด็ก แต่ดีสำหรับสุขภาพความร่ำรวยของผู้ผลิต

ที่มาข้อมูล mekoclinic.com
ที่มารูปภาพ chanthaburi.go.th




 

Create Date : 14 มีนาคม 2556    
Last Update : 14 มีนาคม 2556 8:12:22 น.
Counter : 2732 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.