ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

วันพืชมงคล…สำคัญไฉน



หากเอ่ยชื่อ “วันพืชมงคล” แล้วเชื่อว่าหลายคนคงยิ้มแก้มปริเลยทีเดียว เพราะจะได้หยุดเรียน หยุดงาน พักผ่อนอยู่ที่บ้าน เนื่องจากเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ แต่จะมีสักกี่คนรู้รายละเอียด รู้ความหมาย หรือรู้ความเป็นมาเป็นไปของ “วันพืชมงคล” อย่างแท้จริง เอาเป็นว่าเราไปเจาะลึกประวัติและความเป็นมาของ “วันพืชมงคล” กันดีกว่า…

วันพืชมงคล หมายถึง วันที่กำหนดพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีเก่ามาแต่โบราณที่เสริมสร้างขวัญและกำลังใจแก่เกษตรกรของชาติ เพื่อเป็นการระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ซึ่งพระราชพิธีนี้จะกระทำที่ท้องสนามหลวง ประกอบด้วย 2 พระราชพิธีคือ พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

พิธีพืชมงคล เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น ฯลฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ปราศจากโรคภัย และ ให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามดี

พิธีแรกนาขวัญ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว
ประวัติวันพืชมงคล

พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า พิธีแรกนา เป็นพระราชพิธีที่มีมาแต่โบราณตั้งแต่ครั้งสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งในสมัยนั้นพระมหากษัตริย์ไม่ได้ลงมือไถนาเอง เป็นแต่เพียงเสด็จไปเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีเท่านั้น ครั้นถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์ไม่ได้เสด็จไปเป็นองค์ประธาน แต่จะมอบอาญาสิทธิให้โดยทรงทำเหมือนอย่างออกอำนาจจากกษัตริย์ และจะทรงจำศีลเงียบ 3 วัน ซึ่งวิธีนี้ได้ใช้ตลอดมาถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา

ต่อมาสมัยรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ 1 ได้โปรดให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ประกอบพระราชพิธีแรกนาขวัญแทนพระองค์ และมิได้ถือว่าเป็นพิธีหน้าพระที่นั่ง เว้นแต่เมื่อมีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตร สถานที่ประกอบพิธีในตอนแรก ๆ จึงไม่ตายตัว แล้วแต่จะทรงกำหนดให้ ครั้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดมีพิธีสงฆ์เพิ่มขึ้นในพระราชพิธีต่าง ๆ ทุกพิธี ดังนั้น “พระราชพิธีพืชมงคล” จึงได้เริ่มมีขึ้นแต่บัดนั้นมา โดยได้จัดรวมกับพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ และมีชื่อเรียกรวมกันว่า “พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ”

ส่วนพิธีกรรมนอกเหนือจากการทำให้เป็นตัวอย่าง ตามที่ทรงจำแนกไว้ 3 อย่าง 2 อย่างแรก ที่ว่า “อาศัยคำอธิษฐานเอาความสัตย์เป็นที่ตั้งบ้าง ทำการซึ่งไม่มีโทษนับว่าเป็นการสวัสดิมงคลตามซึ่งมาในพระพุทธศาสนาบ้าง” นั้นทรงหมายถึง “พิธีพืชมงคล” อันเป็นพิธีสงฆ์ที่กระทำ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนอีกอย่างหนึ่งที่ว่า “บูชาเซ่นสรวงตามที่มาทางไสยศาสตร์บ้าง” นั้น ทรงหมายถึงพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญอันเป็นพิธีพราหมณ์

ดังนั้น จึงพอจะสรุปความมุ่งหมายอันเป็นมูลเหตุให้เกิดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ นี้ได้ว่าพิธีแรกนามุ่งหมายที่จะให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎร เพื่อชักนำให้มีความมั่นใจในการทำนา อันเป็นอาชีพหลักที่สำคัญของคนไทยที่มีมาแต่ช้านานสืบมาจนปัจจุบันยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น เพราะการเกษตรซึ่งมีการทำนาเป็นหลักนั้น เป็นสิ่งสำคัญแก่ชีวิตความเป็นอยู่และการเศรษฐกิจของประเทศทุกสมัย

ส่วนวันประกอบพิธีนั้น ต้องเป็นวันที่ดีที่สุดของแต่ละปี ประกอบด้วย ขึ้น แรม ฤกษ์ยาม ให้ได้วันอันเป็นอุดมฤกษ์ตามตำราโหราศาสตร์ แต่ต้องอยู่ในระหว่างเดือน 6 เพราะเดือนนี้เริ่มจะเข้าฤดูฝน เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา จะได้เตรียมทำนา เมื่อโหรหลวงคำนวณได้วันอุดมมงคลพระฤกษ์ ที่จะประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญแล้ว สำนักพระราชวังจะได้ลงไว้ในปฏิทินหลวง ที่พระราชทานในวันขึ้นปีใหม่ทุกปี และได้กำหนดไว้ว่าวันใดเป็นวันพืชมงคล วันใดเป็นวันจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญแต่เดิมมาทำที่ทุ่งนาพญาไท เมื่อได้มีการฟื้นฟูพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นใหม่ จึงจัดให้มีขึ้นที่ท้องสนามหลวง ทั้งนี้ วันแรกนาขวัญเป็นวันสำคัญของชาติ คณะรัฐมนตรีมีมติให้หยุดราชการ 1 วัน และมีประกาศให้ชักธงชาติตามระเบียบทางราชการ

การประกอบพระราชพิธีวันพืชมงคล

พระราชพิธีพืชมงคลเป็นพิธีทำขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิษฐานเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งข้าวที่นำเข้าพิธีพืชมงคลนั้นเป็นข้าวเปลือก มีทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว นอกจากนี้มีเมล็ดพืชต่าง ๆ รวม 40 อย่าง แต่ละอย่างบรรจุถุงผ้าขาว นอกจากนี้ยังมีข้าวเปลือกที่หว่านในพิธีแรกนา บรรจุกระเช้าทองคู่หนึ่งและเงินคู่หนี่ง เป็นข้าวพันธุ์ดีที่โปรดฯ ให้ปลูกในสวนจิตรลดา และพระราชทานมาเข้าพิธีพืชมงคล

โดยพันธุ์ข้าวพระราชทานนี้จะใช้หว่านในพระราชพิธีแรกนาส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งที่เหลือทางการจะบรรจุซอง แล้วส่งไปแจกจ่ายแก่ชาวนาและประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ให้เป็นมิ่งขวัญและเป็นสิริมงคลแก่พืชผลที่จะเพาะปลูกในปีนี้

ทั้งนี้ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในปัจจุบันนี้ได้ดำเนินตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี เว้นแต่บางอย่างได้มีการดัดแปลงให้เหมาะแก่กาลสมัย อาทิ พิธีของพราหมณ์ก็มีการตัดทอนให้เหลือน้อยลง พระยาแรกนาก็ให้ตกเป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนเทพีนั้นคัดเลือกจากข้าราชการสตรีโสดในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระดับ 3 – 4 คือขั้นโทขึ้นไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพระราชพิธีทุกปี มีข้าราชการขั้นผู้ใหญ่ ทูตานุทูต และประชาชนได้มาชมการแรกนาเป็นจำนวนมาก

สำหรับการประกอบพิธีนั้นก็จะถูกกำหนดขึ้นโดยโหรหลวง ในระหว่างพิธีอันสวยงามนี้ ก็จะมีการทำนาย ปริมาณน้ำฝน ในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง และแล้วพระยาแรกนาก็จะทำการเลือกผ้า 3 ผืน ที่มีความยาวต่างขนาดกัน ตามชอบใจ ผ้าทั้ง 3 ผืน นี้จะดูคล้ายกัน ถ้าพระยาแรกนาเลือกผืนที่ยาวที่สุดก็ทายว่า ปีนี้ปริมาณน้ำฝนจะมีน้อย ถ้าเลือกผืนที่สั้นที่สุดทายว่า ปีนี้ปริมาณน้ำฝนจะมาก และถ้าเลือกผืนที่มีความยาวปานกลาง ทายว่ามีปริมาณน้ำฝนพอประมาณ

หลังจากสวมเสื้อผ้าเรียกว่า “ผ้านุ่ง” เรียบร้อยแล้ว พระยาแรกนาก็จะไถลงไปบนพื้นที่ท้องสนามหลวงด้วยพระนังคัลสีแดงและสีทอง ซึ่งลากโดยพระโคผู้สีขาว ตามขบวนด้วยเทพีทั้ง 4 ผู้ซึ่งหาบกระเช้าทองและกระเช้าเงินที่บรรจุด้วยเมล็ดข้าวเปลือก นอกจากนี้ก็มีคณะพราหมณ์เดินคู่ไปกับขบวนพร้อมทั้งสวดและเป่าสังข์ไปพร้อมกัน

เมื่อเสร็จจากการไถแล้วพระโคก็จะได้รับการป้อนพระกระยาหารและเครื่องดื่ม 7 ชนิด คือ เมล็ดข้าว ถั่ว ข้าวโพด หญ้าเมล็ดงา น้ำและเหล้า ไม่ว่าพระโคจะเลือกกินหรือดื่มสิ่งใด ก็ทายว่าปีนี้จะอุดมสมบูรณ์ด้วยสิ่งที่พระโคเลือกนั้น

เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ประชาชนจะพากันแย่งเก็บเมล็ดข้าวที่หว่านโดยพระยาแรกนา เพราะว่าเมล็ดข้าวนี้ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์และความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่มีไว้ในครอบครอง ชาวนาก็จะใช้เมล็ดข้าวนี้ผสมกับเมล็ดข้าวของตน เพื่อให้พืชผลในปีที่จะมาถึงนี้อุดมสมบูรณ์

สำหรับพระโคที่จะเข้าพระราชพิธีแรกนาขวัญ จะถูกเลี้ยงดูอย่างดีในทุ่งหญ้าที่จังหวัดราชบุรี พระโคที่ใช้ในพระราชพิธี จะต้องมีลักษณะที่ดีขาดเกินไม่ได้คือ หูดี ตาดี แข็งแรง เขาทั้งสองตั้งตรงสวยงาม พระโคแต่ละคู่ต้องสีเหมือนกัน ซึ่งจะมีการคัดเลือกพระโคเพียงสองสีเท่านั้น คือ สีขาวสำลีและสีน้ำตาลแดง และเจาะจงแต่เพศผู้เท่านั้นและต้องผ่านการ “ตอน” เสียก่อนด้วย

อนึ่ง นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2509 เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาลงมติให้วันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นวันเกษตรกรประจำปีอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้มีอาชีพทางการเกษตรพึงระลึกถึงความสำคัญของการเกษตร และร่วมมือกันประกอบพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่อาชีพของตน




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2556 8:04:28 น.
Counter : 6983 Pageviews.  

จริงหรือไม่? ใส่บรานอนเสี่ยงมะเร็ง


เคยได้ยินไหมที่สาว ๆ เตือนกันเองว่า "ไม่ต้องใส่บราหรือเสื้อชั้นในเวลานอน เพราะเดี๋ยวจะทำให้เป็นมะเร็งเต้านม" แล้วคุณรู้ไหมคะว่าทำไมการใส่เสื้อชั้นในตอนนอนถึงทำให้เป็นมะเร็งเต้านมได้

ในปี 1995 ได้มีหนังสือเล่มหนึ่งตีพิมพ์ออกมาว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการใส่บรากับความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านม หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า "Dressed to Kill" โดยสองนักวิจัยชาวอเมริกัน ซิดนีย์ รอส ซิงเกอร์ และ โซม่า กริสมายเจอร์ กับผลการวิจัยที่สรุปออกมาอย่างน่าตกใจว่า ผู้หญิงที่ใส่บรานานเกินวันละ 12 ชั่วโมง มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่โรคมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้หญิงกลุ่มที่ไม่นิยมใส่เสื้อชั้นในนาน ๆ

งานวิจัยของทั้งสอง ได้ทำการสำรวจจากหญิงอเมริกันราว 4,700 คน ซึ่งครึ่งหนึ่งในกลุ่มนั้นเป็นโรคมะเร็งเต้านม หลังจากได้สอบถามประวัติและพฤติกรรมการใส่เสื้อชั้นในจากคนทั้งสองกลุ่มแล้ว พบว่าสิ่งที่กลุ่มผู้เป็นโรคมะเร็งเต้านมมีเหมือน ๆ กัน คือ ใส่เสื้อชั้นในที่แน่นกระชับ และใส่เป็นจำนวนชั่วโมงที่ยาวนานถึงขนาดใส่แม้กระทั่งเวลานอน อันต่างจากพฤติกรรมของหญิงกลุ่มที่ไม่เป็นมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

แล้วการใส่เสื้อชั้นในด้วยชั่วโมงที่ยาวนาน มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องต่อการเป็นมะเร็งเต้านมอย่างไร? หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายไว้ว่า การใส่เสื้อชั้นในที่ยาวนาน ทำให้หน้าอกถูกบีบรัดกดทับอยู่ตลอด จนต่อมน้ำเหลืองไม่สามารถระบายของเสียที่และสิ่งแปลกปลอมที่ดักจับได้ออกจากร่างกายไป

โดยต่อมน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่ดักจับและทำลายเชื้อโรค ซึ่งมีทั้งแบคทีเรีย ไวรัส อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายตามธรรมชาติ และสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ที่ร่างกายไม่ต้องการให้แก่เนื้อเยื่อบริเวณหน้าอกทั้งสองข้างนั้น อยู่บริเวณใต้รักแร้ เมื่อมีทางเดินน้ำเหลืองซึ่งเต็มไปด้วยของเสียถูกกดทับด้วยความโอบกระชับของการใส่บราต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ของเหลวดังกล่าวจึงคั่งอยู่ในจุด ๆ เดียว ก่อให้เกิดอาการบวมน้ำเหลือง เป็นซีสต์ และเกิดอาการปวดระบม รวมทั้งเป็นบ่อเกิดของเซลล์มะเร็ง เพราะเมื่อมีเสื้อชั้นในมากดทับ น้ำเหลืองซึ่งมีสารอนุมูลอิสระอันมีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็ง คั่งค้างอยู่ที่เนื้อเยื่อบริเวณเดียวกันเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดเซลล์มะเร็งขึ้นที่เต้านมได้นั่นเอง

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนผลการวิจัยชิ้นนี้จะเป็นเพียงชิ้นเดียวในแวดวงการแพทย์เท่านั้นที่ยืนยันว่าการสวมเสื้อชั้นในติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ เกิน 12 ชั่วโมง จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้น และยังไม่มีผลการวิจัยอื่น ๆ ที่ยืนยันความเชื่อมโยงเรื่องการใส่บรากับการเป็นมะเร็ง แต่อย่างไรก็ตาม ฟังหูไว้หูเอาไว้ก่อนก็น่าจะเป็นเรื่องดีนะคะ ที่สำคัญการใส่เสื้อชั้นในยามนอนหลับพักผ่อนนี้น่าอึดอัดออกจะตายไป ถ้าอยู่กับบ้านหรือห้องหับที่มิดชิด จะปล่อยให้หน้าอกหน้าใจของเราเป็นอิสระบ้างก็ไม่เห็นเสียหายเนอะ :)




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2556 10:24:53 น.
Counter : 1848 Pageviews.  

ขูดหินปูนเพื่อหัวใจ-สมองดีไป 7 ปี



ทำความสะอาดฟัน (ช่วย) ป้องกันโรคหัวใจหรือไม่

การศึกษาใหม่จากไต้หวัน ทำในกลุ่มตัวอย่าง อายุ 50 ปีขึ้นไป 21,876 ราย ติดตามไป 7 ปี 

ผลการศึกษาพบว่า
การขูดหินปูน (scaling) เพื่อทำความสะอาดฟันในคนสูงอายุ ช่วยลดเสี่ยงโรคหัวใจ และสโตรค ได้นานถึง 7 ปี

การขูดหินปูนโดยอาจารย์หมอฟัน หรือทันตาภิบาลเป็นการทำความสะอาดฟัน เพื่อขูดคราบพลัคที่ผิวฟัน และในเบ้าฟันส่วนใต้แนวเหงือก

พลัคหรือคราบจุลินทรีย์ที่ผิวฟัน ทำให้เกิดเหงือกอักเสบ เนื้อเยื่อรอบโคนฟัน (ปริทนต์) อักเสบเรื้อรัง ทำให้สารก่อการอักเสบ แทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดอักเสบ เพิ่มเสี่ยงหลอดเลือดตีบตัน

การขูดหินปูนทุก 2 ปี มีส่วนช่วยลดเสี่ยงโรคหัวใจ 31%, และลดเสี่ยงสโตรค หรือกลุ่มโรคหลอดเลือดสมองแตก-ตีบตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต 15%


ที่มา ... บ้านสุขภาพ




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2556 9:32:43 น.
Counter : 1767 Pageviews.  

ทึ่ง! สมาร์ตโฟนอักษรเบรล


นอกจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีจะนำมาซึ่งความสะดวกสบายต่างๆ ในชีวิตประจำวันแล้วยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

ต่อผู้ทุพพลภาพด้วย อย่างแอพพลิเคชั่น ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้มีความบกพร่องทางสายตา เช่น โปรแกรม "สิรี" ของค่ายแอปเปิ้ล ที่เป็นตัวช่วยให้ใช้งานสมาร์ตโฟนทำได้ง่ายขึ้นด้วยการใช้เสียง

นายเท็ด เฟลโล่ ซูมิต ดาการ์ บัณฑิตมหาวิทยาลัยแห่งชาติด้านการออกแบบ (เอ็นไอดี) ของอินเดีย พัฒนาสมาร์ตโฟนสำหรับผู้บกพร่องทางสายตาโดยใช้เทคโนโลยี "เชพ เมโมรี่ อัลลอย" โดยหน้าจอจะมีปุ่มขนาดเล็กจำนวนหนึ่งซึ่งสามารถเลื่อนขึ้น-ลงได้ เพื่อสร้างเป็นอักษรเบรลให้ผู้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นสามารถสัมผัสด้วยปลายนิ้ว เช่น เมื่อมีข้อความเอสเอ็มเอสหรืออีเมล์เข้ามา ปุ่มจะแปรเป็นอักษรเบรล จากนั้นจะเลื่อนกลับสู่สภาพเดิม

นายดาร์กากล่าวว่า ตนคิดค้นต้นแบบสมาร์ตโฟนเครื่องนี้ร่วมกับศูนย์ไอไอทีประจำกรุงเดลีเป็นเวลาต่อเนื่องกว่า 3 ปี 

ซึ่งทางทีมงานที่คิดค้นหวังว่าจะได้ฤกษ์ผลิตสู่ตลาดปลายปี 2556 โดยสนนราคาอยู่ที่ 185 ดอลลาร์ หรือประมาณ 5,550 บาท




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 10 พฤษภาคม 2556 7:54:49 น.
Counter : 1464 Pageviews.  

ภัยย้อนรอยในเครื่องปรับอากาศ



ยิ่งอากาศร้อนจัดเราก็ยิ่งหันมานิยมใช้เครื่องปรับอากาศมากขึ้นทั้งในกลางวันและตอนกลางคืน เรียกได้ว่าชีวิตของใครหลายคนแทบจะอยู่ในไอเย็นของเครื่องปรับอากาศกันแทบ 24 ชั่วโมง และนี่คือสิ่งที่น่ากลัวมากมาย เพราะได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เรามีโรคแปลกๆ หรือร่างกายอ่อนแอร์ติดต่อเชื้อง่ายนั้น มาจากเครื่องปรับอากาศทั้งในรถยนต์ บ้าน และออฟฟิศนั่นเอง

          สาเหตุสำคัญคือ ความไม่สะอาดถูกสุขอนามัยของเครื่องที่สะสมฝุ่น และเชื้อโรค อาจดูน่ากลัว แต่ที่จริงแล้วภัยเหล่านี้กำจัดได้ง่ายดาย คำตอบไม่ใช่การหยุดใช้งาน แต่คือการรู้จักทำความสะอาด และนี่คือ 9 เรื่องที่คุณควรอ่าน

1.แอร์ในบ้านเครื่องปล่อยสารพัดเชื้อร้าย 24 ชั่วโมง
           เครื่องปรับอากาศ คือภัยที่หลายคนมองข้ามในฐานะแหล่งเพาะเชื้อโรคหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะเชื้อที่มีการแพร่ทางอากาศ ยิ่งเปิดนาน ก็ยิ่งรับการสะสมภัยอันตรายมาก และนี่คือ 5 เรื่องที่คุณไม่รู้ที่ควรอ่าน

          1.แพทย์ยืนยันชัดเจนว่ามีเชื้อโรคนานาชนิดอยู่ในเครื่องปรับอากาศ และเชื้อโรคที่อยู่ในเครื่องปรับอากาศทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา มักเป็นเชื้อโรคที่เจริญเติบโตได้รวดเร็ว และแพร่เชื้อผ่านทางอากาศ ส่งผลให้คนที่ใช้เครื่องปรับอากาศสุขภาพเสื่อมโทรม และเป็นโรคต่าง ๆ มากมาย ทั้ง วัณโรค เชื้อไวรัส โรคสุกใส งูสวัด โรคภูมิแพ้ หืดหอบ ปอดบวม และหัดเยอรมัน

            2.อาการโรคภูมิแพ้ จากเครื่องปรับอากาศคือ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการคันจมูก คันตา จามบ่อย แน่นจมูก และเมื่อตื่นนอนขึ้นมาจะมีอาการระคายคอ และหากมีอาการป่วยรุนแรงมาก จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

            3.ควรสังเกตว่า เวลาที่เปิดเครื่องปรับอากาศถ้ามีกลิ่นอับชื้นที่มากับความเย็น กลิ่นอับชื้นเหล่านี้มักมาจากเชื้อโรคที่ออกมาจากช่องระบายความเย็น และแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ โดยความชื้นจะเป็นแหล่งสะสมเพาะพันธุ์อย่างดีของเชื้อโรค และเมื่อสะสมมาก ๆ เข้า เชื้อโรคก็จะหลุดลอยออกมาปะปนกับอากาศเย็นภายในห้อง

            4.ควรล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ โดยดูตามความเหมาะสมจากสภาพแวดล้อมและการใช้งาน ด้วยวิธีการล้างแผ่นกรองอากาศอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยใช้น้ำฉีดแรง ๆ ที่ด้านหลัง ด้านที่ไม่ได้รับฝุ่น ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกหลุดออก และในแต่ละปีควรล้างเครื่องปรับอากาศแบบเต็มระบบ

            5.ควรปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม โดยทั่วไปควรตั้งไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส และเปิดพัดลมระบายอากาศ เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศได้อย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษ ในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ เช่น การสูบบุหรี่ การปรุงอาหาร ที่สำคัญ ควรดูแลสิ่งแวดล้อมในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ โดยกำจัดฝุ่น กำจัดแหล่งที่อยู่ของแมลงสาบ ละอองเกสรพืช ไรฝุ่นในที่นอน ขนสัตว์ และแมลงอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ หมั่นทำความสะอาดบ่อย ๆ และควรทำความสะอาดเพดาน ม่าน กำแพง ทุก ๆ 2 -3 เดือน กำจัดแหล่งเชื้อรา อย่าให้เกิดความชื้น หรือกลิ่นอับขึ้นภายในบ้านหรือในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ

2.ตู้แอร์ในรถยนต์เครื่องปล่อยเชื้อโรคเคลื่อนที่

ตู้แอร์รถยนต์ ไม่เพียงแค่เป็นแหล่งรวมของฝุ่นละออง แต่ยังเป็นที่อยู่ของเชื้อโรค เชื้อรา เชื้อแบคทีเรียหลายชนิด ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพคุณและครอบครัว เพื่อสุขภาพอนามัย เราจึงควรล้างตู้แอร์ อย่างน้อยปีละ1 ครั้ง และนี่คือ 4 เรื่องที่คุณไม่รู้ที่ควรอ่าน

            1.ฝุ่น จากภายนอกรถจะเข้ามาในระบบแอร์ทุกครั้งที่เปิดแอร์ เมื่อฝุ่นละอองมาเกาะอยู่ตามแผงคอยล์เย็นในตู้แอร์ ทุกครั้งที่เปิดแอร์ ลมแอร์ก็จะพัดเอาฝุ่นเล็ก ๆ เข้ามาในตัวรถ ยิ่งนั่งอยู่ในรถนาน ก็ยิ่งสูดฝุ่นเข้าไปในร่างกาย สะสมไปเรื่อย ๆ นานวันก็จะกลายเป็นสาเหตุของปัญหาโรคภูมิแพ้ โรคเยื่อบุในระบบทางเดินหายใจ

            2.ซากแมลงที่เน่าเปื่อยตายอยู่ในตู้แอร์ เป็นสิ่งที่พบได้เสมอ และนับเป็นอันตรายที่มองไม่เห็นและส่งผลต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง นอกจากคุณจะสูดฝุ่นละอองเข้าไป คุณยังสูดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย นั่นทำให้ร่างกายรับสารและก่อให้เกิดโรคแปลก ๆ ที่ไม่คาดคิดมากมาย โดยเฉพาะโรคจากการติดเชื้อในปอด และอวัยวะภายในร่างกาย

            3.เครื่องฟอกอากาศส่วนใหญ่จะอยู่ด้านหลัง แต่ตัวคุณขับรถอยู่ด้านหน้า ลมแอร์ที่เป่าออกมา จึงเหมือนส่งตรงเข้าจมูก ปอด ให้สูดก่อนที่เครื่องฟอกอากาศจะฟอกอากาศ ในขณะที่การหาซื้อเครื่องฟอกอากาศคุณภาพดีมาติดตั้ง ต้องใช้เงินมากกว่ามาก ดังนั้นการกำจัดที่สาเหตุ ด้วยการล้างตู้แอร์จึงเป็นทางหลีกเลี่ยงโรคภัยที่ดี และประหยัดกว่า

            4.หนึ่งในการล้างตู้แอร์ที่ได้รับการตรวจสอบ และรับรองโดยองค์การอาหารและยา คือการนำตู้แอร์มาทำความสะอาด ผ่านการล้างน้ำยาด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถแวะทำความสะอาดได้กับศูนย์บริการใกล้บ้าน

เพียงเท่านี้คุณก็จะมีความสุขในบรรยากาศแสนสบายกับเครื่องปรับอากาศคู่ใจแล้วค่ะ

ที่มาข้อมูลและภาพ vcharkarn.com




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2556    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2556 7:59:10 น.
Counter : 1472 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.