ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 
ทำไมใคร ๆ ก็อยากได้ iPad

ipad


ทำไมใคร ๆ ก็อยากได้ iPad (นิตยสาร E-Commerce)
ผู้เขียน : falcon_mach_v

รายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้จาก Strategy Analytics บริษัทวิจัยชื่อดังชี้ให้เห็นว่า ในช่วงไตรมาสสองที่ผ่านมา ยอดการจัดส่งแท็บเล็ตทั่วโลกคิดเป็น 15 ล้านหน่วย แท็บเล็ต Android สามารถทำส่วนแบ่งตลาดได้ 4.6 ล้าน หรือคิดเป็นร้อยละ 30.1 ของยอดทั้งหมด ในขณะที่ iPad สามารถทำได้ 9.3 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 61.3 ส่วนที่เหลือก็คือ แท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการตัวอื่นลดหลั่นกันไป

ถ้ามองอย่างผิวเผิน ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า แท็บเล็ต Android สามารถทำส่วนแบ่งตลาดได้อย่างน่าประทับใจภายในระยะอันสั้น แต่ถ้ามองลึกลงไปแล้ว ตัวเลขที่กล่าวมาเป็นยอดที่ผู้ผลิตจัดส่ง (Shipment) ไปให้กับร้านค้าปลีก ไม่ใช่ยอดขายที่ผู้บริโภคซื้อไปใช้งานจริง ตรงกันข้ามในการแถลงผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดของ Apple ที่ผ่านมา ทางบริษัทย้ำว่าสามารถขาย iPad ไปได้ถึง 9.25 ล้านหน่วย ซึ่งตรงกับยอดจัดส่งที่กล่าวไปพอดี ฉะนั้นถ้ารายงานจาก Strategy Analytics ไม่มีความผิดพลาด นั่นหมายความว่า Apple ผลิต iPad แทบไม่ทันขายเลยทีเดียว

เสียงตอบรับของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์จาก Apple นั้นสร้างความประหลาดใจให้กับบรรดาผู้สังเกตการณ์ทั่วโลก ลองนึกภาพดูว่ากี่ครั้งแล้วที่เราเห็นผู้คนเข้าคิวยาวเหยียดหน้าร้าน Apple Store ในวันแรกที่สินค้าวางจำหน่าย หรือกี่ครั้งแล้วที่เราเห็นมูลค่าหุ้นของ Apple พุ่งขึ้นในทุกครั้งที่ทางบริษัทแถลงเปิดตัวสินค้าชิ้นใหม่ เสียงตอบรับที่ยอดเยี่ยมนี้ได้รับการตอกย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าจากผลการสำรวจที่มีมาให้เห็นเป็นระยะ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ผลสำรวจจาก Bernstein Research พบว่า กว่าร้อยละ 50 ของกลุ่มตัวอย่าง 200 คนในประเทศสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรเลือกที่จะเป็นเจ้าของ iPad แทนที่จะเป็นแท็บเล็ตจากแบรนด์อื่น โดยผู้ทำการสำรวจให้ความเห็นว่า ผู้บริโภคไม่มีความสนใจฟอร์มแฟ็คเตอร์อื่นที่แตกต่างไปจากมาตรฐาน (Benchmark) ที่ Apple ได้สร้างไว้ให้กับ iPad

แล้วมาตรฐานดังกล่าวคืออะไร ?

มีหลายคนเคยให้ความเห็นว่า การตลาดที่สุดยอด ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่หรูหรา รวมทั้งบุคลิกและความสามารถในการนำเสนอที่น่าหลงใหลของ Steve Jobs นั้นร่วมกันผลักดันให้สินค้าของ Apple โดยรวมเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค แต่ถ้าเรายก iPad มาเป็นตัวอย่างแล้วจะพบว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สินค้าของค่ายนี้สามารถทำได้เหนือกว่านอกจากปัจจัยที่กล่าวไป

เมื่อเร็ว ๆ นี้ iSuppli บริษัทวิจัยการตลาดด้านห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ได้วิเคราะห์เปรียบเทียบการออกแบบ iPad ทั้งรุ่นหนึ่งและสองโดยเทียบกับคู่แข่งได้ผลสรุปมาสั้น ๆ ว่า ในแง่ของการออกแบบผลิตภัณฑ์แล้วไม่มีค่ายใดสามารถสู้ Apple ได้เลยสักค่ายเดียว กล่าวคือ iSuppli ได้ให้เครดิตส่วนใหญ่ไปที่การออกแบบภายใน ซึ่งทาง Apple ทำและควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จตั้งแต่การคัดสรรฮาร์ดแวร์แต่ละชิ้นไปจนถึงระบบปฏิบัติการที่ทำให้ระบบโดยรวมมีความเสถียรและปลอดภัยสูง

นอกจากนั้นการเลือกที่จะปรับแต่งโปรเซสเซอร์และระบบปฏิบัติการเองก็มีส่วนทำให้ความต้องการทรัพยากรจากหน่วยความจำน้อยกว่าจากค่ายอื่น ส่งผลให้สามารถลดต้นทุนลงไปได้ถึง 14 เหรียญสหรัฐต่อหน่วย และนี่เองที่เป็นส่วนสำคัญทำให้ทางบริษัทสามารถคงราคาขายมาตรฐานไว้ที่ 499 เหรียญได้

ในทางตรงกันข้าม ผู้ผลิตรายอื่นนั้นถึงแม้จะสามารถพัฒนาฮาร์ดแวร์ได้ดีกว่า มีตัวเลือกรวมทั้งลูกเล่นการเชื่อมต่อภายนอกได้มากกว่าก็จริง แต่ในแง่ของซอฟต์แวร์แล้วยังคงต้องพึ่งพาค่ายอื่นอย่าง Google และ Microsoft อยู่ดี ซึ่งเท่าที่ผ่านมาทั้งคู่ต่างประสบปัญหาการทำให้ระบบปฏิบัติการของตนทำงานเข้ากับฮาร์ดแวร์ที่มีความหลากหลายได้อย่างไร้รอยต่อ และถึงแม้ทั้งคู่จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ด้วยการระบุสเป็กของฮาร์ดแวร์ให้กับผู้ผลิตนำไปใช้ แต่ก็กลับกลายมาเป็นดาบที่ทิ่มแทงตัวเอง เพราะเท่ากับว่าสินค้าที่แต่ละผู้ผลิตทำออกมาแทบจะไม่มีความแตกต่าง ความไร้ซึ่งจุดเด่นแบบนี้เป็นผลให้สมาร์ทโฟน Windows Phone 7 ไม่สามารถทำส่วนแบ่งตลาดได้มากอย่างที่หวังไว้


ประสบการณ์ใช้งาน ปัจจัยหลักที่หลายฝ่ายมองข้าม

บางท่านอาจแย้งว่า แท็บเล็ตอื่นอย่าง Playbook จาก RIM และ TouchPad จาก HP น่าจะเข้าข่ายเดียวกับ Apple ได้ เพราะทั้งคู่ต่างทำทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ (QNX สำหรับ Playbook และ WebOS สำหรับ TouchPad) เองเช่นกัน แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่นับว่าเป็นมาตรฐานหลักของอุปกรณ์พกพาไปแล้วก็คือ ประสบการณ์ใช้งานที่ต้องทำให้ง่าย ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายค่ายกำลังประสบอยู่

เมื่อเร็ว ๆ นี้เว็บไซต์ Boy Genius Report (BGR) ได้ลงจดหมายเปิดจากพนักงานนิรนามของ RIM ที่มีต่อซีอีโอร่วมทั้งสองคือ Jim Balsillie และ Mike Lazaridis โดยมีใจความหลักส่วนหนึ่งคือ เรียกร้องให้ RIM เปลี่ยนวิธีการคิดออกแบบผลิตภันฑ์ BlackBerry เสียใหม่

ส่วนหนึ่งของคำร้องขอคือ ให้ทางบริษัทเน้นไปที่การเพิ่มประสบการณ์ใช้งานให้กับผู้บริโภคทั่วไปมากขึ้น แทนที่จะเอาใจแต่คู่ค้าเหมือนปัจจุบัน โดยได้ยกตัวอย่างคู่แข่ง เช่น Apple ว่าเป็นเพราะทางบริษัทเน้นไปที่การพัฒนาประสบการณ์ใช้งานอันยอดเยี่ยมและการทำให้ผู้บริโภคตระหนักรู้ว่าสินค้าตัวนี้จะช่วยเติมเต็มไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ได้อย่างไร

ซึ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เราเห็นคนต่อคิวยาวข้ามวันข้ามคืน เพื่อให้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนแรกที่ได้เป็นเจ้าของสินค้าตัวใหม่ นอกจากนั้น จดหมายยังกล่าวโจมตี RIM อย่างรุนแรงว่าทำการตลาดอย่างขึ้เกียจ เพราะว่าเน้นชูคุณสมบัติทางเทคนิคที่กำกวมอย่างรองรับ Adobe Flash Multitasking หรือชิปประมวลผลดูอัลคอร์ พร้อมกับยกตัวอย่าง Linux ที่ถึงแม้จะมีคุณสมบัติมากมายเทียบมาตรฐานคู่แข่ง แต่ก็ประสบปัญหาเดียวกันคือ เข้าใจและใช้งานยากสำหรับบุคคลทั่วไปจึงทำให้ไม่สามารถสร้างที่ทางของตนในตลาดได้มากนัก

จดหมายเปิดนี้นับเป็นตัวอย่างเสียงสะท้อนจากคนในที่แสดงให้เห็นว่า ประสบการณ์ใช้งานที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นในตลาดที่มีการแข่งขันสูงและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นพลวัต อย่างไรก็ดี RIM ก็ไม่ได้ย่ำอยู่กับที่ซะทีเดียว เพราะการที่ตัดสินใจนำระบบปฏิบัติการ QNX มาใช้กับแท็บเล็ตแทนที่จะเป็น BlackBerry OS แบบเดียวกับสมาร์ทโฟนนั้นก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าทางบริษัทตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงและความต้องการของผู้บริโภคดี ทว่าทางบริษัทกลับก้าวพลาดด้วยการไม่ใส่แอพพลิเคชั่นอีเมลมาให้ผู้ใช้จำต้องเปิดบราวเซอร์เพื่อเช็กอีเมลแทน ซึ่งถึงแม้ว่าจะใช้แทนกันได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นการตัดความสะดวกสบายอย่างการแจ้งเตือนอีเมลเข้าที่แอพพลิเคชั่นสามารถมอบให้ ซึ่งนับว่าเป็นข้อตำหนิอย่างไม่น่าให้อภัยที่เกิดขึ้นกับ RIM

สำหรับระบบปฏิบัติการอื่นนั้นก็ถูกวิเคราะห์ไปในทางเดียวกันคือ ไม่สามารถมอบประสบการณ์ใช้งานได้ถึงขั้น โดยเฉพาะการตอบสนองต่อหน้าจอระบบสัมผัส ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อดีของระบบปฏิบัติการ Android คือ มีความยืดหยุ่นสูง สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์ได้หลายประเภท แต่ผลคำวิจารณ์หลายแห่งและการทดลองใช้งานโดยผู้เขียนเองนั้นต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การตอบสนองบนหน้าจอยังปรากฏอาการแล็ก และแอพพลิเคชั่นยังมีการแฮงค์บ้าง

ในแง่ของผู้ที่มีประสบการณ์ใช้งานคอมพิวเตอร์มานานก็ยังพอรับได้ แต่กับบุคคลทั่วไปนั้นข้อสังเกตนี้ไม่นับเป็นเรื่องที่ดีเลย ดังที่เคยได้ยินว่าความประทับใจแรกเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับ WebOS นั้น เริ่มแรกถูกมองว่าน่าจะมาเป็นคู่แข่งกับ iOS จาก Apple ได้อย่างไม่ยาก เพราะมีพื้นฐานโครงสร้างที่ดีจาก Palm อดีตเจ้าพ่อ PDA รายแรกๆ ที่เจาะตลาดได้ ทว่าพอ TouchPad วางขายก็กลับได้รับคำวิจารณ์ไปในลักษณะเดียวกันว่าความไวในการตอบสนองยังไม่ดีพอ

แต่ทั้งนี้ ถ้ามองอย่างยุติธรรมก็พอเข้าใจได้ว่า ทั้ง Android และ WebOS บนแท็บเล็ตยังเป็นระบบปฏิบัติการน้องใหม่มาก ไม่เหมือนกับ iOS ที่ Apple เก็บค่าประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเพราะถูกใช้ใน iPhone มาก่อน และโครงสร้างของระบบเองก็ไม่ใช่ของใหม่หมดจด เนื่องจากได้รับการปูพื้นมาจาก OS X บน iMac ที่ขึ้นชื่อด้านความเสถียรมาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นก็ยังไม่สายเกินไปที่คู่แข่งจะสามารถพัฒนาประสบการณ์ใช้งานโดยเฉพาะด้านความไวในการตอบสนองให้เทียบเคียงได้




แอพพลิเคชั่น และ Ecosystem ปัจจัยประกอบที่จำเป็น

เป็นความจริงที่ว่าถ้าไม่มีแอพพลิเคชั่น แท็บเล็ตก็คงไม่แตกต่างอะไรจากกรอบรูปดิจิตอลหรือเครื่องเล่น MP3 ขนาดยักษ์ ฉะนั้นแล้วถ้าแท็บเล็ตใดสามารถรองรับแอพพลิเคชั่นได้หลากหลายกว่า ก็จะส่งผลดีต่อผู้ซื้อ เพราะเหมือนกับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และสำหรับนักพัฒนาเองนั้นการที่แพลตฟอร์มใดสามารถมอบเครื่องมือช่วยเหลือที่ยืดหยุ่นกว่าก็ยิ่งได้ใจไปเต็ม ๆ

ขอย้อนกลับไปที่จดหมายเปิดของพนักงาน RIM อีกสักครั้ง เพราะนอกจากเนื้อหาที่กล่าวไปแล้วในเนื้อความยังตั้งข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับชุดเครื่องมือในการพัฒนา (SDK) ของ BlackBerry ว่าล้าหลัง โดยเปรียบเหมือนกับ Ford Explorer ยุค 90 ในขณะที่ของ Apple เหมือนกับ BMW M3 ที่มอบความพอใจในการขับขี่ได้มากกว่า

พูดง่าย ๆ คือ การพัฒนาแอพพลิเคชั่นของ BlackBerry ในปัจจุบันสามารถทำได้ลำบากมาก ส่งผลให้ผู้พัฒนาบางรายเริ่มตีจากไป อย่างเช่น Seesmic แอพพลิเคชั่นประเภท Third-Party Client ของ Twitter ได้ประกาศแล้วว่าจะเลิกทำเวอร์ชั่น BlackBerry ถ้า RIM ไม่รีบทำอะไรสักอย่าง Seesmic อาจไม่ใช่รายแรกและรายเดียว ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าทางบริษัทจะไม่ทำอะไรซ้ำรอยเดิมกับแพลตฟอร์ม QNX ที่ถึงแม้ในปัจจุบันจะยังมีแอพพลิเคชั่นน้อยอยู่ แต่เชื่อว่าถ้า RIM เอาจริงกับแพลตฟอร์มนี้อนาคตก็คงสดใสไม่แพ้แพลตฟอร์มอื่น

จะว่าไปแล้ว ปริมาณมากน้อยของแอพพลิเคชั่นนั้นสามารถมองได้สองแง่ ในมุมมองของผู้บริโภค ปริมาณที่มากกว่าย่อมหมายถึงตัวเลือกที่เยอะกว่า แต่สำหรับผู้พัฒนาก็อาจเป็นฝันร้ายเพราะหมายถึงการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับแพลตฟอร์มที่มีแอพพลิเคชั่นน้อยกว่าที่ถึงแม้ผู้บริโภค
จะมีตัวเลือกน้อยลง แต่นั่นก็หมายถึงโอกาสที่แอพพลิเคชั่นแต่ละตัวจะมีความโดดเด่นมากขึ้นเช่นกัน

การแปรผันตรงกันข้ามเช่นนี้นับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งที่เจ้าของแพลตฟอร์มต้องคำนึงถึง อย่างไรเสีย เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า iPad สามารถคงทั้งปริมาณและคุณภาพของแอ็พพลิเคชั่นใน App Store ของตนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ไม่ว่าจะเป็นปริมาณที่แตะหลักแสน หรือแอพพลิเคชั่นประเภท Exclusive ที่มีแต่เฉพาะแพลตฟอร์มนี้เท่านั้น รวมทั้งคงมีแอ็พพลิเคชั่นน้อยมากที่มีบนแพลตฟอร์มอื่นแต่ไม่มีบน iPad หรือถึงมีก็ไม่นับว่าเป็น Killer แต่อย่างใด

นอกจากแอพพลิเคชั่นแล้วองค์ประกอบเล็ก ๆ อื่นภายในภาวะแวดล้อมก็มีส่วนช่วยให้แพลตฟอร์มนี้ได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเป็นการหลอมรวมรับบริการบนเว็บฯ อื่นๆ ที่หลากหลาย การซิงค์ไฟล์ไปยังบนเดสก์ทอปทั้งแม็คและพีซีที่สามารถทำได้ง่ายดาย การจับจ่ายบนร้านค้าออนไลน์เพียงคลิกเดียว รวมทั้งอุปกรณ์เสริมแต่งทั้งหลายอย่างเคส ที่ชาร์จ ด็อกกิ้ง ขาตั้ง ลำโพง และสารพันอแดปเตอร์ต่าง ๆ ที่หาซื้อได้ง่ายและมีให้เลือกหลากหลายล้วนเป็นการตอบคำถามอย่างดีว่าทำไมใครๆ ถึงอยากได้แต่ iPad


แล้วแท็บเล็ตอื่นจะไม่มีโอกาสแจ้งเกิดเลยหรือ ?

คำตอบคือ มี แต่ด้วยข้อแม้ว่าจะต้องมอบประสบการณ์ใช้งานและมี Ecosystem รองรับดีไม่แพ้ iPad ทั้งสองอย่างนี้นับเป็นปัญหาใหญ่ที่ผู้ผลิตหลายรายไม่สามารถหาคำตอบได้เพราะติดว่าส่วนใหญ่มีประสบการณ์จากการขายฮาร์ดแวร์อย่างเดียว ในแง่นี้ Amazon จึงนับเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามองมากที่สุด เพราะทางบริษัทมีความพร้อมมากและผ่านร้อนหนาวมาอย่างโชกโชนจากการเป็นร้านค้าออนไลน์

ปัจจุบันทางบริษัทมีทั้งบริการขายอีบุ๊ก เพลง ภาพยนตร์ แอพพลิเคชั่น เช่าเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ และ Kindle เองก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากในหมู่อีรีดเดอร์ด้วยกัน รวมทั้งชื่อเสียงที่สั่งสมมายาวนาน ถ้า Amazon สามารถนำปัจจัยเหล่านี้มาหลอมรวมเป็นประสบการณ์ใช้งานที่สุดยอดได้ รับรองว่า Apple คงเจอคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกว่าแน่นอน






ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก



Create Date : 25 กันยายน 2554
Last Update : 25 กันยายน 2554 10:42:25 น. 1 comments
Counter : 1230 Pageviews.

 
นี้อะไร^^555555


โดย: ญานิศา IP: 223.207.60.166 วันที่: 25 สิงหาคม 2555 เวลา:19:17:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.